NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ FANFIC ] TOXIC (รินxลัล) : จบแล้ว

    ลำดับตอนที่ #1 : 1st TOXIC – เรื่องเก่าเก่า [rw]

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 66


    กฎแห่งกรรมที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ ข้อที่หนึ่ง – เรื่องเก่าเก่า

     

    0.

    ลัลทริมา วิกรานต์วรสริต

    จบการศึกษาจากโรงเรียนนิศาพาณิชย์

    สถานะ ...อดีตตัวซวย/แม่มด

     

    นักศึกษาปี 4 สาขามานุษยวิทยา

    ย่างเข้าอายุ 22 ปี ในอีก 3 เดือนข้างหน้า

     

    เลิกกับแฟนคนล่าสุดได้ 4 เดือนกว่า

    ปัจจุบัน : โสด

     

     

     

    1.

    ร่างบอบบางเดินเข้าคาเฟ่เล็ก ๆ ใกล้มหาวิทยาลัย ที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมของนักศึกษา ไม่ต้องคิดอะไรมากมายนัก เพียงแค่เห็นร่างคุ้นตาของเพื่อนสนิทสมัยเรียนปวช.ด้วยกันก็เดินตรงเข้าไปนั่งด้วยแทบจะทันที

     “ไงนี รอนานไหม ฉันเพิ่งเลิกเรียนน่ะ”

     “แป๊บเดียวเอง เหลือยัยเอมอีกคนซินะที่ยังไม่มา” มัณฑีนีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสวมชุดลำลองสบายๆ แต่ดูน่ารักสดใสไม่เรียบเนี้ยบ แว่นตาของเธอดูจะหนาขึ้นนิดหน่อยคงเป็นเพราะเรียนหนัก ผมที่เคยมัดเปียอยู่เสมอถูกปล่อยสยายเคลียไหล่ลาด

    “พวกเธออุตส่าห์ถ่อมาหาฉันถึงมหาลัยเชียว ที่จริงไม่ต้องลำบากขนาดนี้ก็ได้”

    ลัลทริมาพูดอย่างเกรงใจ

    “ไม่เป็นไร ฉันกับยัยเอมเรียนอยู่ใกล้กันจะเจอเมื่อไหร่ก็ได้ ส่วนลัลซิอยู่ตั้งไกล ไม่ค่อยว่างด้วย แถมมหาลัยพวกเราเปิดเทอมคลาดกันอีก ป่านนี้เลยเพิ่งได้นัดเจอกันพร้อมหน้า” สาวแว่นปัดมือบอกเป็นท่าทางว่าไม่ต้องคิดมาก ในตอนนั้นพนักงานร้านเดินเข้ามาเสิร์ฟเค้กที่มัณฑิณีสั่งไว้พอดี ลัลทริมาเลยถือโอกาสออเดอร์ชาเย็นให้ตัวเองบ้าง

    เมื่อกี๊เอมไลน์มาบอกว่าถึงแล้ว กำลังเดินมาร้านล่ะ”

    อีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้

    “เรียนเป็นไงบ้างล่ะลัล”

    “ก็ดี ช่วงนี้ก็กำลังแก้ธีสิสอยู่เรื่อย ๆ น่ะ ตารางชีวิตไม่ค่อยยุ่งเพราะเป็นเทอมสุดท้ายแล้ว ...นีก็น่าจะคล้าย ๆ กันไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวหลุดหัวเราะเบาๆออกมา คนสวมแว่นก็ยิ้มตอบพลางมือหยิบช้อนตัดที่เค้กไปด้วย

    “นั่นก็ใช่ ...เดี๋ยวฉันก็ต้องไปฝึกงานแล้วล่ะ”

    “จะจบแล้วยังต้องฝึกอีกเหรอ”

    “อื้อ ก็เคยบอกไปแล้วไงว่ามอฉันให้ฝึกทุกเทอมเลย”

     

     

     

    2.

    เอมิกากระหืดกระหอบมาแต่ไกล พอเห็นเพื่อนสองคนนั่งรอในร้านผ่านกระจกใสก็ชะลอฝีเท้า ผ่อนแรงลงเดิน เธอสวมกางเกงสกินนี่ยีนส์ขาดเป็นริ้วกับต่างหูเงินดูมีรสนิยม ผ่านไปสี่ปีเด็กสาวผมแดงคนนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งมาดสาวเท่ไม่เปลี่ยน ที่แปลกตาคงมีเพียงผมที่ยาวขึ้นจนมัดรวบไว้ด้านหลังได้กระจุกหนึ่ง

    ไงจ๊ะ แม่สาวเท่ของเรา”

    “แกมาสายตั้งสิบห้านาที ฉันบอกให้แกออกจากมอมาพร้อมฉันเลยก็ไม่เอา” สาวแว่นเอ็ด

    “ก็ฉันเพิ่งเสร็จธุระนี่ รีบมาสุด ๆ แล้วนะ ถ้าไม่ใช่เพราะรถติดฉันมาถึงก่อนยัยลัลอีก” เอมิกาเอ่ยทับถมกวนประสาทเล็ก ๆ ซึ่งนั่นทำให้อีกสองคนหลุดขำอารมณ์ดีได้เช่นเคย หลังจากเอมิกาสั่งเครื่องดื่มเป็นคนสุดท้าย สามสาวเพื่อนสนิทก็นั่งคุยกันอย่างออกรส

    “จะว่าไปพวกเราก็ไม่ได้มาเจอกันพร้อมหน้าตั้งนานแล้วเนอะ”

    “พอขึ้นมหาลัยต่างคนต่างยุ่ง ๆ กันน่ะสิ”

    “ลัลเองก็ชีวิตราบรื่นดีใช่ไหม น้าโรสกับน้องเป็นยังไงบ้าง”

    “น้าโรสน่ะเหรอ เดี๋ยวนี้น่ะบ้างานมากกว่าเดิมอีก กลายเป็นเจ้าตัวเล็กติดพี่ภัทไปแล้วเนี่ย ...ฉันว่าเดี๋ยวอีกหน่อยต้องติดพ่อจนลืมแม่แหงๆ”

    “อ้อ ตอนนี้น้องสามขวบใช่ไหม งั้นปีหน้าก็ได้เข้าโรงเรียนแล้วน่ะสิ?”

    “ถ้าให้เข้าตอนสามขวบได้ก็จะให้เข้าล่ะเอม เด็กอะไร...รู้ดีเป็นบ้าเลย”

    “ไว้เธอก็ถ่ายรูปน้องลงไอจีให้เห็นหน้าบ่อย ๆ สิลัล หน้าตาน่ารักเชียว ท่าจะโตมาหล่อเหมือนพ่อเขา” พอพูดถึงคนเป็นพ่อ ก็นึกถึงเรื่องราวของภัทระขึ้นมาได้  “จะว่าไป ฉันเพิ่งเห็น ad สินค้าของพี่ภัทที่โปรโมททางเน็ตอะ สโลแกนเค้านอกจากน่าซื้อแล้วยังโพสิทีฟอีก สมแล้วที่เคยเป็นไลฟ์โค้ช”

    “ฉันก็เห็นเหมือนกัน กระแสในโซเชี่ยลไม่เลวเลยนะ หวังว่ากระแสรีวิวจะดีด้วย”

    ลัลทริมายิ้มกว้าง

    “ขอบใจพวกเธอมากนะ ฉันจะเก็บไปบอกพี่ภัทให้ครบทุกคำเลย”

    “แล้ว ‘หมอนั่น’ ล่ะเป็นไงบ้าง” มัณฑินีเอ่ยถามถึงใครอีกคนพลางกินเค้กคำสุดท้ายในจานไปด้วย ลัลทริมาได้ยินเสียงเธอพึมพำว่าร้านนี้อร่อยดี ได้ยินแบบนั้นเธอก็เงียบไป ทำท่าไม่เข้าใจคำถาม

    “หมอนั่นไหน?”

    สาวแว่นเห็นแบบนั้นก็เริ่มลังเลว่าจะถามต่อดีหรือไม่ กลายเป็นเอมิกาที่ช่วยขยายความคำถามนั้นให้แทน “ก็ตาบ้านั่น... คุณชายจิตหลุดน่ะ ฉันไม่เห็นเธอพูดถึงเขามาสักพักแล้วนะ”

    ลัลทริมาพลันหน้านิ่ง รอยยิ้มที่ริมฝีปากสีสดเลือนหายและเม้มเข้าหากันครู่หนึ่ง ชาเย็นในแก้วพลาสติกถูกคนด้วยหลอดไปเรื่อย ๆ ดวงตากลมโตหลุบลงก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหัน

    “ไม่รู้สิ เรียนคนละสาขาเลยไม่ได้เจอกันสักพักใหญ่ๆแล้วล่ะ คงกำลังยุ่งละมั้ง ...ว่าแต่ช่วงนี้เอมเป็นไงบ้างล่ะ?”

     

     

     

    3.

    วันสุดท้ายของการเป็นนักเรียนในรั้วนิศาพาณิชย์มาถึงหลังจากรอคอยมานาน ลัลทริมาก้าวเข้านั่งในห้องโถงขนาดใหญ่ เห็นผู้อำนวยการนั่งรอเตรียมตัวขึ้นกล่าวคำอำลาอยู่ข้างเวที กระทั่งนักเรียนชั้นปีที่สามทยอยเข้ามานั่งในห้องประชุมจนเก้าอี้เต็ม ช่วงเวลากล่าวถ้อยคำอวยพรต่อนักเรียนชั้นปีที่สามจากผู้อำนวยการเป็นไปอย่างราบเรียบและจบลงภายในเวลาไม่นานนัก

    บรรยากาศในห้องโถงเต็มเปี่ยมไปด้วยความอาลัย น้ำตาจากสายสัมพันธ์ร่วมสามปีที่แต่ละคนได้สร้างด้วยกันเอาไว้ หรือแม้แต่ฉากนักเรียนหญิงชายถูกสารภาพรักในวันสุดท้ายอย่างในการ์ตูนสาวน้อย ลัลทริมาก็ได้หันไปเห็นเต็มตา น่าทึ่งเสียจริง

    หนึ่งปีเต็มที่ปราศจากญาณอาถรรพ์ ไม่มีการกลั่นแกล้ง และการถูกก่อกวนจากใครบางคน นับว่าเป็นการตายแล้วเกิดใหม่โดยสมบูรณ์แบบ

    อย่างไรก็ตาม ชีวิตเด็กสาวปกติที่ลัลทริมาไฝ่หา ถึงจะไม่มีใครเข้ามาทำร้ายโต้ง ๆ แต่ใช่ว่าพวกเขาจะยินดีเป็นเพื่อนเธอ เด็กสาวยังคงเป็นอากาศธาตุสำหรับพวกเขาบางคน ความหวาดหวั่น รังเกียจ เย็นชา แสดงชัดเจนอยู่ภายในดวงตาและหลายครั้งสีหน้าท่าทางพวกนั้นก็ทำเธออึดอัด แต่ไม่อาจทำอะไรได้ ทำให้ต้องทนอยู่แบบนั้นจนถึงวันจบการศึกษา

    สายตาบางคู่ที่เหลือบมองมาทำให้รู้ตัวว่าการไม่ร้องไห้ซาบซึ้งในวันปัจฉิมนิเทศก็เป็นตัวประหลาดได้ แม้ไม่มีญาณอาถรรพ์ก็ตาม ...อันที่จริงก็พูดได้ว่าพวกเขาต่างมองเธอเป็นตัวประหลาดตลอดเวลา เด็กสาวรับรองได้เลย ถ้าเกิดได้ยินเสียงในใจพวกเขามันจะต้องเป็น

    ในที่สุดฉันก็รอดจากโรงเรียนบ้า ๆ ที่มียัยแม่มดซะที หรือไม่ก็ ไงล่ะ ยืนเงียบเพราะฆ่าใครไม่ได้แล้วล่ะสินังฆาตกร อะไรทำนองนี้

    ทว่ารู้สึกเหมือนขาดบางอย่างไปเมื่อไร้วี่แววของใครบางคนที่ว่า

     

    แม้แต่วันจบการศึกษานายก็ไม่มา...

     ตอนนี้ทำอะไรอยู่เหรอ การิน

     

    ถึงจะคิดแบบนั้น แต่หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการ ในตอนที่ลัลทริมาหันหลังกำลังจะเดินออกจากห้องโถงเธอกลับเห็นเขาอยู่ใกล้ประตูทางออกพอดี การินอยู่ในชุดสูทดำคลุมทับเครื่องแบบนักเรียนเต็มยศดูแปลกตา ถึงแม้นาทีนี้เธอจะไร้ประโยชน์ในสายตาเขาแล้วแต่ก็เอาเถอะ

    ...ไหน ๆ วันสุดท้ายของที่นี่แล้ว เข้าไปทักสักหน่อยคงไม่แย่จนเกินไป

    อย่างน้อยก็ในฐานะคนรู้จักกัน

    เด็กสาวก้าวเท้าเข้าใกล้ร่างสูงโปร่งที่ยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ สีหน้าซังกะตายของเขาบ่งบอกว่าอยากเดินออกจากที่นี่เต็มทน เธอมองมันอย่างนึกขำแล้วเอ่ยทัก

    “ฉันนึกว่านายจะไม่มาแล้วซะอีก”

    เด็กหนุ่มหันมามองเธอสีหน้าราบเรียบ คำพูดเสียดสีถูกเปล่งออกมาเช่นทุกครั้ง “ฉันก็นึกว่าใครบางคนจะทำให้งานสนุกกว่านี้เหมือนกัน”

    “อย่าทำกวนประสาทไปหน่อยเลยการิน ฉันไม่มีพลังพิเศษนั่นมาเป็นปีแล้วนะ”

    ลัลทริมาอวดดีเชิดหน้าใส่ ทว่าเด็กหนุ่มกลับจ้องเธอนิ่งเสียจนเธอนึกกลัว พลันมือแกร่งคว้ามือเธอไปจับไว้ไม่ทันตั้งตัว เด็กสาวสะดุ้ง ใจกระตุกวาบเมื่อปลายนิ้วร้อนสอดประสานจนแนบแน่น

    “...การิน?”

    เธอพยายามดึงมือออกแต่อีกฝ่ายก็จับไว้แน่นเหลือเกิน

    “ทำอะไรของนายน่ะ ปล่อยเถอะ”

    “ไม่รู้สึกอะไรเลยจริงเหรอ?”

    “ไม่... ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น”

    แม้จะรู้สึกแปลกๆต่อคำถามนั้นแต่เธอไม่อยากคิดในแง่ลบว่ามันจะเป็นลางอะไรสักอย่าง ถ้าให้เด็กสาวตอบตามตรงก็คงจะมีแค่รู้สึกหวาดผวากับคนตรงหน้าเท่านั้นแหละ ทางการินได้ฟังคำตอบก็แสยะยิ้ม

    “หึ ไม่รู้สึกอะไรก็ดี ...แต่ก็ไม่แน่หรอก”

    เด็กสาวสะบัดมืดเขาจนหลุดออกแล้วหันหลังเดินหนี ขยายระยะของแต่ละก้าวให้ยาวเท่าที่เป็นไปได้ ออกห่างจากเสียงทุ้มที่ไล่หลังมาจนประโยคนั้นแทรกกับอากาศจางหายไป

    ถ้าคิดจะหนีให้พ้น ก็ไปให้ไกลล่ะ ไม่อย่างนั้น....”

     

    หลังจากนี้ไม่ว่าเธอกับเขาจะเป็นเพื่อน หรือแค่คนแปลกหน้าต่อกันก็ช่างปะไร เพราะเธอไม่เกี่ยวข้องกับอาถรรพ์อีกต่อไปแล้ว

    ทุก อย่างมันจบแล้ว ....มันจบแล้ว

    ลัลทริมาได้แต่บอกตัวเองเข่นนั้น

     

     

     

    4.

    “ตั้งใจสอบเต็มที่นะลัล น้าเชื่อว่าหนูทำได้”

    รสวดีคลี่ยิ้มอ่อนโยน วางฝ่ามือลงบนศีรษะทุยได้รูปของหลานสาวแล้วลูบเบาๆ ข้างกายรสวดีมีภัทระยืนเคียงกันอยู่ เขายื่นห่อพลาสติกขนาดกะทัดรัดมาให้ตรงหน้า เพ่งดูก็พบว่าภายในเป็นยันต์กระดาษจีนสีแดงแผ่นเล็กที่ถูกพับทบไว้อย่างเรียบร้อย

    “พี่ให้คนรู้จักเขียนฮู้นำโชคให้ ถึงการสอบจะต้องพึ่งตัวเองให้มาก ๆ แต่นี่อาจจะช่วยให้ลัลหายตื่นเต้นได้บ้าง เก็บเครื่องรางไว้ดี ๆ นะครับ” ภัทระที่ไม่เชื่อเรื่องลึกลับมาก่อน ยามนี้โอนอ่อนและปรับตัวได้ดีหลังจากเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นในอดีต และปัจจุบันชายหนุ่มเองไม่ได้เป็นไลฟ์โค้ชชื่อดังเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ทุกวันนี้ภัทระเป็นที่รู้จักในฐานะคลื่นลูกใหม่ในวงการธุรกิจ

    ราว ๆ 2 ปีก่อน หลังจากที่เหตุการณ์สูญเสียญาณอาถรรพ์ของลัลทริมาจบลงไปได้สักพัก งานแต่งงานของรสวดีและภัทระผู้เป็นแฟนหนุ่มก็เกิดขึ้น เด็กสาวได้ใช้ชีวิตในฐานะคนธรรมดาสมดั่งใจ ทว่าเป็นคนใกล้ตัวอย่างน้าเขยของเธอดันประสบปัญหาชีวิตเข้าอย่างจัง

    ลัลทริมาตกใจไม่น้อยที่ได้เห็นข่าวจากสำนักสื่อใหญ่หลายเจ้าว่าภัทระผิดใจอย่างรุนแรงกับชายชื่อทัดเทพ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานและผู้ถือหุ้นหลักของบริษัท ‘Moving Forward’ 

    สถานการณ์ที่ข่าวในบริษัทเริ่มบานปลายออกสู่สังคม ทำให้ภัทระเลือกที่จะถอนตัวออกไปเอง ในเวลานั้นภัทระได้พื้นที่จากสื่อมากมาย แต่ก็เสียความน่าเชื่อถือจากสาธารณะไปด้วย การตัดสินใจครั้งนั้นยังร่วมไปถึงจบอาชีพไลฟ์โค้ชของเขากลาย ๆ เช่นเดียวกันกับ Moving Forward เมื่อขาดภัทระผู้เป็นดั่งรากฐานไป เพียงเดือนกว่า ๆ ก็มีข่าวว่าบริษัทต้องปิดตัวลงตามไปด้วยในท้ายที่สุด

    ทว่าในโชคร้ายยังมีโชคดี และคำว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามก็ยังใช้ได้

    ชายหนุ่มต้องชดใช้หนี้สินในจำนวนไม่มากนัก ยามวิกฤตินั้นผ่านพ้นไป เขาได้นำเงินเก็บส่วนหนึ่งจากที่มีเหลืออยู่มากพอมาลงทุนร่วมกับรสวดีที่เป็นภรรยา และรับบรรยายตามมหาวิทยาลัยเป็นรายได้เสริม ภายในสองปีนับจากเวลานั้น เมื่อชีวิตและการเงินเริ่มอยู่ตัวทั้งสองคนตัดสินใจมีลูกด้วยกันคนหนึ่งในตอนที่ลัลทริมาอายุได้สิบแปดพอดี

    ภัทระเป็นพ่อที่ดี รสวดีก็เป็นแม่ที่น่ารัก และญาติผู้น้องแบเบาะของเธอก็น่าเอ็นดูเหลือเกิน ภาพนั้นได้กลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดของเด็กสาว และรู้สึกว่าไม่มีคำไหนจะเหมาะสมไปกว่า ครอบครัวแสนสุข อีกแล้ว ลัลทริมารู้สึกดีใจมากจริง ๆ

    เด็กสาวมองห่อกระดาษเปื้อนหมึกดำตรงหน้า คลี่ยิ้มกับความใส่ใจของเขา

    เธอใช้สองมือรับกระดาษนั้นไว้แล้วเก็บลงกระเป๋ากระโปรง เอ่ยขอบคุณก่อนจะบอกลาทั้งสองคนก่อนจะหันหลังเผชิญหน้ากับอาคารสูงใหญ่ สองเท้าก้าวเข้าสู่พื้นที่ที่ถูกใช้เป็นสนามสอบด้วยใจกังวล

     

     

     

    5.

    สองเดือนผ่านไปจากวันสอบ

    วันนี้แหละชี้ชะตา เด็กสาวกดเข้าเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเป็นรอบที่สามเพื่อรีเฟรชหน้าเว็บ ตรวจดูผลคะแนนสอบ โชคดีที่ครั้งนี้เข้าได้เสียที ผลสอบออกมาในรูปแบบของการเรียงลำดับคะแนนที่มากที่สุด แล้วแจงชื่อสาขาที่ลงสมัครสอบไว้ด้านหลังช่องคะแนน

    กดปุ่ม F3 ช่องค้นหาแถบเล็กปรากฏขึ้นมาแล้วจึงพิมพ์ชื่อตัวเองลงไป

    ดวงตากลมโตกวาดมองเลขพวกนั้นแล้วถอนหายใจเฮือก

     

    คุณพระคุณเจ้า... สอบติดแล้ว

     

    เมื่อเด็กสาวปิดแถบค้นหา หน้าเอกสารในเบราเซอร์ก็เด้งขึ้นมาที่ด้านบนสุดโดยอัตโนมัติ

    ทว่านั่นแหละที่ทำให้เธอแทบกลั้นใจ หากไม่ใช่เพราะชื่อที่เธอคุ้นเคยกับมันมาตลอดสามปีถูกวางไว้เป็นรายชื่อแรกของหน้าเอกสาร ชื่อนี้ที่เธอรู้จักดีเหลือเกิน แม้ผลสอบจะบอกว่าจะเป็นคนละสาขาวิชากันก็ตาม

    เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามุมปากตัวเองขยับยกขึ้น

    รอต่อไปอีกไม่นานนัก วันมอบตัวก็มาถึง เด็กสาวก้าวเข้ามาในอาคารเรียนประจำคณะของมหาวิทยาลัย เธอไม่รู้หรอกว่าต้องเดินไปที่ไหน จนกระทั่งมีรุ่นพี่สะกิดเรียกและบอกให้เธอเดินตามเด็กนักเรียนเหล่านั้นที่ทยอยเดินตามในทิศทางเดียวกัน

    โชคร้ายที่ลัลทริมาดันหูดีได้ยินคนข้างๆคุยกันว่าต้องไปกรอกเอกสารใต้อาคารเสียก่อน สองขาจึงก้าวเปลี่ยนทิศไปกะทันหัน ทันใดนั้นร่างกายบอบบางชนกับแผ่นหลังกว้างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้าคนหนึ่งพอดี ทำเอาเซถอยก้าวไปด้านหลังเล็กน้อย

    ปากที่กำลังเอ่ยคำขอโทษหยุดลงเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเจ้าของแผ่นหลังที่เธอคุ้นเคยดี

     

    การิน?

     

    ฝ่ายนั้นหันมาปรายมองด้วยแววตาเรียบนิ่งจนดูเฉยชา

    ...ไม่ใช่สิ

    แทบไร้เยื่อใยเลยก็ว่าได้ ริมฝีปากเหยียดออกคลับคล้ายจะเบะปากก็ไม่ใช่เป็นรอยยิ้มก็ไม่เชิง แทนที่จะได้รับรอยยิ้มกับสีหน้าเหยียดหยาม ทว่าเจ้าตัวกลับส่ายหัวเบา ๆ

    ลัลทริมาคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงถอนหายใจ

    หึ ...สงสัยจะนรกลิขิตจริง ๆ ซะแล้ว”

    ไม่มีคำต่อว่า ทิ้งไว้แค่เสียงทุ้มคุ้นหูพึมพำ

    เด็กสาวพยายามตีความ ถ้อยคำนั้นอาจจะเป็นคำถากถาง การินเสียดสีอดีตของเธออยู่งั้นเหรอ หรือว่าเขาแค่พูดไปงั้น ๆ ตามนิสัยของเจ้าตัวโดยไม่แฝงความนัยอะไรเลย แต่อย่างน้อยลัลทริมาเชื่อว่าไม่ว่าอย่างไรเด็กหนุ่มก็ไม่เจตนาร้ายต่อเธอแน่ หมอนั่นคงไม่ใจร้ายขนาดนั้น

    เขาเป็นคนบ้าบิ่นที่เธอให้มากกว่าความเชื่อใจ

    และในเมื่อไม่มีญาณอาถรรพ์ การเรียนสถาบันเดียวกันอีกครั้งคงไม่เลวร้ายนักหรอก

     

    ...แต่เสียใจที่ต้องบอกว่า จุดเริ่มต้นแห่งความชังก็เริ่มจากตรงนี้เช่นกัน

     

     

     

    6.

    “ไม่รู้สิ เรียนคนละสาขาเลยไม่ได้เจอกันสักพักใหญ่ๆแล้วล่ะ คงกำลังยุ่งละมั้ง ...ว่าแต่ช่วงนี้เอมเป็นไงบ้างล่ะ”

    เพื่อนสาวทั้งสองคนสบตากันเล็กน้อย ไม่ปริปากถามอะไรต่อถึงเรื่องนั้น เพียงเพราะลัลทริมาแสดงทีท่าว่าไม่อยากพูดถึงมัน กลายเป็นว่าบทสนทนาถูกเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิงเข้าสู่เรื่องราวของเอมิกา

    คนถูกถามเกาแก้ม และเอ่ยตอบ “ฉันเหรอ? ตอนก็เรื่อย ๆ นะ อาทิตย์หน้าฉันต้องเริ่มฝึกงานแล้ว สวดมนต์ภาวนาทุกวันเลยว่าขอให้บริษัทที่เลือกไปเป็นที่ที่ดี”

    “สวดมนต์ทั้งที่แกเป็นฝรั่งเนี่ยนะ” มัณฑิณีเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย

    “ฝรั่งไหว้พระไม่ได้หรือยัยแว่น คนเราต้องมีที่พึ่งทางใจบ้างสิ”

    “จะว่าไป เอมเนี่ยโชคดีจริง ๆ ที่พ่อเข้าใจ สุดท้ายก็ได้เรียนท่องเที่ยว ถ้าตอนนั้นไม่ไปคุยกับพ่อดี ๆ ป่านนี้นึกไม่ออกเลยว่าเธอจะเรียนอะไรอยู่”

    “อื้อ ฉันก็ดีใจที่แด๊ดยอมเข้าใจเหมือนกัน ...ไม่แน่นะ ถ้าแด๊ดไม่ยอมอาจจะต้องจำใจเรียนบัญชีเอกภาษาจนหัวฟูแว่นหน้าเตอะเหมือนแกก็ได้” คนโดนพาดพิงถลึงตาใส่

    คุยต่อได้สักพักใหญ่โทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะก็สั่นแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า

    มือขาวนวลพลิกหน้าจอขึ้นมาแล้วสีหน้าเปลี่ยน คิ้วสวยย่นเข้าหากันก่อนจะคว่ำหน้าจอกลับลงไปโดยไม่สนใจข้อความที่ยังคงถูกส่งตามมาอีกสองสามครั้ง

     

    ติ๊ง!

    ติ๊ง!

     

    ติ๊ง!

     

    “ลัลไม่เปิดดูหน่อยเหรอ”

    ไม่ใช่เรื่องสำคัญน่ะ ไว้ดูทีหลังก็ได้”

    “...แต่มัน--”

     

    ติ๊ง!

     

    สิ้นสุดความอดทน พอกันที ลัลทริมาคว้าโทรศัพท์แล้วกดโหมดเงียบเพื่อจบปัญหา ไม่มีเสียงข้อความใด ๆ รบกวนเธออีก

    นั่นแปลว่าสายโทรเข้าอีกสองครั้งหลังจากนั้น ก็ส่งไปไม่ถึงด้วย

     

     

     

    7.

    ลัลทริมากลับมาถึงบ้านในตอนค่ำ เวลานี้เข็มสั้นจ่อที่ระหว่างเลขเจ็ดและแปด ส่วนเข็มยาวน่ะช่างหัวมันเถอะ ไฟในบ้านเปิดสว่างจ้า กลิ่นอาหารโชยมาจางๆ เสียงเด็กเล็กในบ้านหัวเราะแว่วมาจากด้านใน รสวดีบอกไว้ว่าวันนี้จะมาเยี่ยม คาดว่าครอบครัวของเธอกำลังจัดมื้อค่ำกันอยู่

    “หนูกลับมาแล้วค่ะน้าโรส”

    “ดีนะลัลบอกน้าก่อนว่าจะกลับช้า น้าเลยไม่รีบ ไม่งั้นกว่าลัลจะมากับข้าวเย็นแน่เลย” ญาติเพียงคนเดียวเอ่ยทักกลับมา

    เป็นเพราะนัดกันไว้มาเยี่ยมที่บ้านลัลทริมาในวันที่ฝ่ายหลานสาวมีนัดพอดี เธอจึงบอกรสวดีไว้ก่อนแล้วว่าอาจจะกลับดึกกว่าปกติ ฝ่ายรสวดีไม่ลืมถามถึงเรื่องที่ได้นัดเจอกันเพื่อนเก่าวันนี้

    “ไงจ๊ะลัล เพื่อน ๆ หนูเป็นไงบ้าง”

    “ดีค่ะ ยังสนิทกันเหมือนเดิมเลย”

    ลัลทริมายิ้มตอบ

    แม้จะเปิดประตูบ้านเอ่ยทักน้าสาว แต่การที่เหลือบเห็นใครบางคนที่นั่งเอนตัวบนโซฟาตรงหน้าทำให้เธอตัวแข็งทื่อ หัวใจดวงเล็กสั่นรัวแรงขึ้นขึ้น

    ...ทำไมต้องเป็นตอนนี้ ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นแล้วเชียว

    มือที่กำสายสะพายกระเป๋าชื้นเหงื่อจนอึดอัด เบี่ยงสายตาหลบดวงตาคมกริบ ดวงตาคู่นั้นที่เธอจะไม่มีวันเคยชินกับมัน

     

    “...โทรไปก็ไม่รับ”

     

    “ตอนนั้นฉันมีนัดอยู่” ทำเหมือนไม่เป็นไรทั้งที่ในใจอยากรีบเดินหนีขึ้นห้อง แสร้งทำเป็นเยือกเย็น ถอดรองเท้าตามปกติ และนึกเกลียดที่วันนี้มันถอดออกยากกว่าทุกวัน

    “กับใครเหรอ?” เจ้าของคำถามเลิกคิ้ว ดวงตาคมหลุบต่ำลงมองเรียวขายาว “กระโปรงสั้นเชียว”

    “แล้วสำคัญกับนายตรงไหนล่ะ?”

    เธอไม่ได้ตอบแต่ทำเมินเดินผ่านเขาไป ในตอนที่กำลังจะขึ้นบันไดเสียงเรียกของรสวดีก็ร้องบอกให้เธอรีบอาบน้ำแล้วลงมารับประทานอาหารด้วยกัน พร้อมกับเอ่ยชวนเขาคนนั้นไว้ด้วย ซึ่งลัลทริมาได้ยินเต็มสองหูว่าเขาไม่ปฏิเสธ และนั่นทำให้เธอชักจะหงุดหงิดยิ่งกว่าเก่า

    “ดูสบายดีมากกว่าที่คิดอีกนี่”

    เพียงเขาเอ่ยทัก ฉับพลันร่างกายเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

    เพราะเสียงทุ้มต่ำที่ออกจากริมฝีปากหยักไม่เย็นชาอย่างที่ควรจะเป็น เสียงนั้นเรียบนิ่ง ไม่แม้แต่ห่วงใย...แทบไม่แสดงอารมณ์เช่นเดียวกับทุกครั้งที่เคยได้ยินมาตลอด และนั่นทำให้เธอไม่รู้เลยว่าเขากำลังต้องการอะไร

    ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว

     

    ...บางทีเจ้ากรรมนายเวรจะมาในรูปแบบของแฟนเก่า...

     

    ลัลทริมาไม่เคยนึกถึงประโยคไหนเท่าวันนี้ ในตอนที่ได้เจอกับตัวเองจริง ๆ 

    นายมาทำอะไรที่นี่ การิน

     

     

     

    8.

    “ธุระ...สำคัญ”

    งั้นก็ไปทำซิ ไม่ต้องแวะมา”

    “ธุระของฉันอยู่ที่นี่”

    บ้านฉันเนี่ยนะ ที่นี่มีอะไร?”

    “มีเธอไง”

     

    ...บ้าเอ๊ย

     

    แต่นายก็รู้นี่ว่าฉันไม่มีญาณอาถรรพ์ ...ฉันไม่มีสิ่งที่นายต้องการแล้วการิน นายจะเอาอะไรอีก”

    “ก็ไม่เชิงว่าเรื่องนั้นหรอก”

    “งั้นก็กลับไปซะสิ”

    “บอกแล้วไงว่าทำมาธุระ” สิ้นเสียงทุ้มคุ้นเคย ฝ่ายนั้นแค่นหัวเราะให้กับการดันทุรังตอบโต้บทสนทนาที่คล้ายจะวนเป็นงูกินหางเข้าไปทุกที

    เสี้ยววินาทีที่ดวงตาสีดำลึกลับจ้องตรงมาเหมือนจะทะลุเข้าไปในจิตใจ ทำเอาลัลทริมาอยากจะกรีดร้อง ภัทระที่อุ้มลูกอยู่ชะโงกหน้ามาถามเธอว่าเป็นอะไรหรือเปล่า และเธอก็ทำได้แค่ฉีกยิ้มกลวง ๆ กลับไปพร้อมบอกเขาว่าเธอไม่เป็นไร

    ในที่สุดการินก็เผยรอยยิ้มเยาะออกมาอย่างน่าโมโห

    ลัลทริมากัดริมฝีปากแน่น แม้เธอเองจะไม่เคยปริปากว่าเลิกกับเขาแล้วเพราะคนรอบตัวไม่จำเป็นต้องรู้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะสังเกตได้สิ ปล่อยให้เขาเข้ามานั่งลอยหน้าในบ้านแบบนี้ได้ยังไง ในเมื่อเป็นแบบนี้หญิงสาวก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

    ไม่รู้เลยว่าจะทนทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้นานอีกแน่ไหน

    ...ตราบใดที่เขายังอยู่ที่นี่

     

    อยู่ต่อหน้าเธอ

     

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++


    humble_h :

    เราแค่อยากลองเขียนดู แบบว่าเรือที่เราจิ้นๆกันอะ รินลัลโมเม้นต์น่ารักเยอะใช่ไหมล่ะ?

    สมมติถ้าสองคนนี้เดินมาบรรจบกันแล้วทุกอย่างมันไม่ได้เวิร์คอย่างที่คิดไว้จะออกมาเป็นยังไง 

    -------------------------

    จะว่ารีไรท์ก็ไม่เชิงแฮะ มีแค่เปลี่ยนบทสนทนา บทบรรยายบางส่วน กับเพิ่มเนื้อเรื่องเข้าไปเฉยๆ เอง บางจุดยังลักไก่ใช้ของเดิม คิดอยู่ว่าถ้าไม่มีปัญหาอะไรคงมาอัพทุกวันเหมือนตอนลงเรื่องนี้ครั้งแรก ภาคคดีอาถรรพ์ถามตัวเองว่าทิ้งหรือยัง ก็ตอบว่ายังนะ ยังไม่ใช่ตอนเน้ๆๆๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×