ตอนที่ 97 : EP.35 Brother
Upside Down
Welcome To The Upside Down
EP.35
"ใช่ เสร็จแล้วอะ แต่เดี๋ยวไปกินข้าวก่อนแล้วส่งเมล์ให้นะ"
(ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันเอาต้นฉบับเอง แกเซฟใส่ทัมบ์ไดรฟ์ไว้ก็พอ)
"โอเคๆ"
มือเรียวแตะหน้าจอโทรศัพท์วางสายเพื่อนสนิทที่กลับมาทำหน้าที่ทวงต้นฉบับอีกครั้ง หลังจากที่หัวหน้ากองบรรณาธิการลงทุนโทรไปง้อให้อนิลกลับมาทำงานในตำแหน่งเดิม ความจริงไม่ใช่เพราะอนิลกลับมาทำงานเพียงอย่างเดียวจินตภัทรถึงมีต้นฉบับส่ง แต่เป็นเพราะจอมพลให้พื้นที่ส่วนตัวแก่คุณนักเขียนมากขึ้น เพราะปัญหาของจินตภัทรไม่ใช่เขียนไม่ได้แต่พอมีจอมพลอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่สามารถทำงานที่อยากทำได้ เพราะตั้งแต่คบกันมาจินตภัทรก็มีแต่เรื่องวุ่นวายใจเต็มไปหมด ทำให้ไม่มีสมาธิเขียนงานเลย
"กินไรดีนะ..." ร่างเล็กพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นหาของกินในตู้เย็น แต่ก็พบว่าตั้งแต่จอมพลกลับไปรับงานกลางคืนเช่นเดิม ก็เกือบๆ หนึ่งอาทิตย์แล้วที่ตู้เย็นว่างเปล่าเพราะอีกฝ่ายก็กินข้าวก่อนกลับห้องเสมอ มาถึงก็ทิ้งตัวลงนอนกอดกัน บางวันก็แทบไม่ได้พูดจาอะไรกัน
สุดท้ายจินตภัทรก็ต้องแต่งตัวออกมาจากห้องเพื่อมาหามื้อเย็นในร้านสะดวกซื้อ ขณะที่กำลังจะปิดประตูห้องเพื่อนบ้านใหม่ที่ซื้อห้องของจอมพลไปก็เปิดประตูออกมาพร้อมๆ กัน อาจจะเพราะจินตภัทรไม่ค่อยได้ออกจากห้องในเวลากลางวันเลยเพราะนอน จะออกมาหาข้าวกินก็ดึกๆ ทำให้ไม่ได้เจอะเจอเพื่อนบ้านใหม่เลย
ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ดูเหมือนเด็กมัธยมมากกว่าคนอายุยี่สิบสี่ชะเง้อไปทางห้องข้างๆ เพราะอยากรู้ว่าเพื่อนบ้านที่ย้ายมาเป็นใคร ชายหนุ่มที่เดินออกมาพร้อมกุญแจรถในมือชะงักขาที่กำลังจะเดินจากห้องและก้มลงมองจินตภัทรราวกับเห็นเด็กซนๆ ที่เดินมาประชิดตัวอย่างไม่เกรงกลัว
จังหวะที่มองหน้าและสบตากันครั้งแรก ดวงตารีของจินตภัทรก็เบิกกว้างและกำลังจะเอ่ยชื่อคนที่รู้จักออกมา แต่...
"จีน? ใช่ไหม?"
เสียงที่คล้ายกันนั้นมีจังหวะในการพูดที่ต่างกันเล็กน้อย อีกความสูงและผมหยักศกที่มีสีน้ำตาลเข้มยิ่งเห็นถึงความแตกต่างกระหว่างพี่น้องได้ชัดเจนทำให้ชื่อของกวินที่กำลังจะเอ่ยทักออกไปถูกลืนลงคอและทำได้เพียงพยักหน้าตอบคำถามอีกฝ่ายที่ยิ้มให้
พอมองใกล้ๆ แล้วเหมือนกันมากเลย...
จินตภัทรคิดพลางถอยออกมาเพื่อหลบให้อีกฝ่ายเดินออกมาจากห้อง กลิ่นน้ำหอมจางๆ ที่ลอยมาจากตัวของอีกฝ่ายเป็นคนละกลิ่นกลับกวิน ไหนจะเสื้อผ้าที่สวมก็คนละสไตล์เลย กวินจะเป็นผู้ชายที่แต่งตัวเนี๊ยบกว่าและไม่ค่อยจะมีเสื้อผ้าลายๆ ส่วนมากก็เสื้อสีพื้น ไม่ก็ใส่แจ็คเก็ตทับ แต่คนพี่กลับแต่งตัวแนวบูติค เสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายตารางแบรนด์ดังกับกางเกงแสลกสีครีมกับรองเท้าโลฟเฟอร์ที่ดูเผินๆ ไม่รู้เลยว่าเป็นคนทำงานที่อายุสามสิบกว่าแล้ว ยิ่งเวลายิ้มก็ดูอ่อนโยนและมีสเน่ห์กว่าคนเป็นน้องจนจินตภัทรต้องหลบตาไป
เขาว่ากันว่า...ผู้ชายในช่วงอายุสามสิบขึ้นไปนั้นมีสเน่ห์ที่สุดในช่วงวัยอื่น
และ...ผู้ชายอายุสามสิบอัพที่มีพลังทำลายล้างสูงอยู่นี่แล้ว!
"กินข้าวรึยัง?"
"ยะ..ยัง" ร่างเล็กที่ถูกถามส่ายหัวดิ๊ก มองมือที่ล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์ในกางเกงแล้วกดดูเวลาแทนนาฬิกาเปิดออกมาก็เห็นหน้าจอที่เป็นรูปเด็กหญิงน้ำหวานตัวน้อยๆ ที่นั่งยิ้มหวานอยู่บนตักของผู้เป็นพ่อ
ไม่รู้ทำไมหัวใจของจินตภัทรรู้สึกเจ็บแปลบและนึกถึงเรื่องที่กวีกับฝนทิพย์จะหย่ากันขึ้นมา
เพราะสงสารเด็กหญิงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยต้องกลายเป็นเด็กบ้านแตกสาแหรกขาด
ถึงจะไม่รักกันแล้ว แต่การที่กวีย้ายออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้ อยากจะถามเหลือเกินว่าทำอะไรกันนี่ไม่คิดถึงลูกเต้ากันบ้างรึไง
แต่...จะให้เสือกกับครอบครัวชาวบ้านก็ไม่ควรนะ
จินตภัทรได้แต่เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในลิฟท์เงียบๆ ใจหนึ่งก็อยากถามถึงน้ำหวานแต่อีกใจก็ไม่กล้า เพราะเห็นอนิลบอกว่าฝนทิพย์พาลูกไปอยู่กับญาติๆ ที่ต่างจังหวัดหลังจากที่ทนายยื่นเอกสารขอให้ฝนทิพย์ดูแลลูกสาว เพราะกฏหมายที่เกี่ยวกับการหย่าร้างมักจะเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายที่มีรายได้มากกว่า ซึ่งดูรูปการณ์แล้วกวีซึ่งเป็นพ่อก็มีเปอร์เซ็นต์ที่จะได้ลูกสาวไป ถึงได้ทำตัวชิลไปวันๆ ดูไม่ทุกข์ร้อนแบบนี้ได้
"พี่เคยเจอเราแว่บๆ ที่งานหนังสือ เสียดายที่คนเยอะไปหน่อยเลยไม่ได้ไปต่อคิวขอลายเซ็น"
กวีเปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นและอมยิ้มน้อยๆ จินตภัทรมองตามเสียงและหยุดอยู่ที่ดวงตากลมโตที่หมือนกวินไม่มีผิดแล้วก็ทำได้แค่ยิ้มตอบ จนอีกฝ่ายเลิกคิ้วและยิงคำถามเข้าใส่อย่างตรงไปตรงมา
"เป็นอะไรรึเปล่า ดูไม่อยากคุยกับพี่ จริงๆ ตอนพี่มาซื้อห้องนี้เขาบอกว่าเพื่อนบ้านในคอนโดนี้เป็นกันเองมากนะ แต่ดูห้องข้างๆ พี่จะไม่เป็นแบบนั้น"
แม้กระทั่งคำพูดคำจาก็ยังแตกต่างกัน....
สีหน้าที่แกล้งตีนิ่งกลับดวงตากลมโตที่มีแววหยอกล้อทำให้จินตภัทรรู้สึกขัดเขินแปลก นักเขียนร่างเล็กทำได้แค่ยิ้มเจื่อน แล้วมองตรงไปที่ประตูลิฟท์ที่มองเห็นเงาสะท้อนของเขาทั้งสองคน มือทั้งสองข้างของกวีล้วงกระเป๋ากางเกงขณะที่เอียงคอมองจินตภัทรผ่านเงาสะท้อนด้วยรอยยิ้มและสายตาที่เอ็นดูนักเขียนร่างเล็ก ทำเอาจินตภัทรไปแต่แอบนินทาอีกฝ่ายในใจ
พ่อแม่ทำกันยังไงพี่น้องถึงหน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ทั้งๆ ที่อายุห่างกันตั้งเยอะ
แต่นิสัยนี่...ฟ้ากับเหวเลย
............
เสียงรอสายดังวนไปวนมาจนกระทั่งสายตัดไป มือเรียวถอนใจก่อนจะสลับมาที่โปรแกรมแชทที่เพื่อนสนิทไม่ยอมตอบกลับ ทั้งที่บอกว่าจะเข้ามาเอาต้นฉบับด้วยตัวเองและมีเรื่องที่อยาก "เล่าให้ฟัง" หลังจากที่คิดและทบทวนแล้วว่าควรจะบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้เพื่อนได้ฟังอย่างไร แต่ความตั้งใจเริ่มแรกก็ถูกเบี่ยงความสนใจไปเมื่อจินตภัทรไม่รับสายและไม่ตอบข้อความที่ส่งไป
ถ้าเป็นห้องเดิมที่จินตภัทรเคยอยู่อนิลก็จะขอคีย์การ์ดเอาไว้เผื่อวันใดคุณนักเขียนเกิดหลับจนลืมส่งต้นฉบับจะได้ตามไปจิกเอาง่ายๆ หน่อย แต่เมื่อเพื่อนเริ่มมีแฟนอนิลก็มีมารยาทพอที่จะไม่ทำตัวลุ่มล่ามเหมือนเคย และให้พื้นที่ส่วนตัวเพื่อนและแฟนหนุ่มไม่เข้าไปก้าวก่าย แต่ดูเหมือนว่าการขาดการติดต่อไปของจินตภัทรในตอนนี้ทำให้อนิลเริ่มคิดใหม่แล้วว่าควรจะขอคีย์การ์ดห้อง2209เอาไว้ด้วย
ที่สุดแล้วคนที่อนิลโทรหาเป็นรายต่อมาคือจอมพล แน่นอนว่าคนรับสายคือคุณผู้จัดการที่เผลอทำเสียงเข้มใส่ว่าโทรมาหาคุณนักร้องส่วนตัวมีอะไร ถึงจะอยากเหวี่ยงใส่แฟนขี้หึงว่า "เลิกระแวงกูกับไอ้แปะนั่นได้แล้ว แปะเพื่อนมึงไม่ใช่เสปคกูตั้งแต่เส้นขนบนหัวยันเส้นหมอยรู้ไว้ซะด้วยเว้ย" แต่เพราะความรักล้วนๆ ที่ทำให้อนิลทำได้แค่หัวเราะแล้วบอกว่าโทรมาถามหาจินตภัทรเพราะเพื่อนตัวเล็กของเขาไม่รับสายไม่ตอบแชทมาเกือบชั่วโมงแล้ว ถ้าอาบน้ำหรือขี้แตกก็น่าจะได้ยินเสียงโทรศัพท์แล้วรีบโทรกลับมา
(ตอนบ่ายๆ ยังคุยกันอยู่เลยนะ ติดต่อไม่ได้ตั้งแต่กี่โมง?) น้ำเสียงที่ติดกังวลของจอมพลถามหลังจากที่รับสายอนิล
"เกือบสองชั่วโมงแล้ว มันออกไปกินข้าวรึเปล่าไม่แน่ใจ มันก็เอ๋อๆ อยู่แล้วอะ ชอบลืมโทรศัพท์มั่งกระเป๋าตังค์มั่ง"
(งั้นเดี๋ยวบีไปดูเองดีกว่า นี่ก็ไม่ตอบไลน์บีเหมือนกัน)
"เอ่อ จะมาทันเหรอไหนบอกถ่ายละครอยู่แถว..."
ขณะที่อนิลกำลังจะพูดเตือนอีกฝ่ายที่มีอาการร้อนรนอย่างเห็นได้ชัดเพราะถ่ายละครอยู่ไกลจากคอนโดมาก แต่อีกฝ่ายกลับพูดแทรกขึ้นมาราวกับวินาทีนี้ไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว
(ขอยี่สิบนาที เอินไปรอหน้าห้อง ถ้ากดออดแล้วไม่ตอบแสดงว่าอยู่ข้างนอก)
อนิลรู้สึกผิดนิดๆ ที่ตัดสินใจบอกแฟนเพื่อนแทนที่จะรอ เพราะดูเหมือนจะสร้างภาระทางจิตของอีกฝ่ายไปแล้ว ร่างผอมบางถอนใจก่อนจะทำตามที่จอมพลบอกคือไปรอหน้าห้อง2209ก่อน ถ้ากดออดแล้วไม่มีใครตอบรับก็แสดงว่าอยู่ข้างนอกไม่ก็อาจจะหลับซึ่งหวังว่าจินตภัทรจะแค่หลับสนิทเท่านั้น...
..............
กวีเป็นมนุษย์ที่ปฏิเสธยากคนหนึ่งที่จินตภัทรไม่เคยเจอมากก่อน แม้คำพูดที่โน้มน้าวให้มานั่งกินมื้อเย็นด้วยกันนั้นแสนธรรมดา แต่รอยยิ้มและท่าทางที่ทำให้ "ไว้ใจ" กลับนำพาให้นักเขียนร่างเล็กมานั่งอยู่ในร้านอาหารเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดนัก ทั้งคู่เลยเดินมาเรื่อยๆ พร้อมกับบทสนทนาที่เกี่ยวกับงานเขียนไม่มีที่สิ้นสุด
ใช่ การพูดคุยเกี่ยวกับทัศนคติที่มีต่อเรื่องนิยายเรื่องนั้น นักเขียนคนนี้ เป็นเรื่องที่จินตภัทรเลี่ยงที่จะพูดคุยได้ยาก เพราะมันเป็นเรื่องที่สนุกจริงๆ ที่จะได้นั่งคุยกับคนที่อ่านหนังสือมาเยอะมากอย่างกวี แน่นอนว่ากวีต่างจากกวินที่เป็นน้องชายในเรื่องมุมมองและความคิด
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า กวีฉลาดกว่าและมีทัศนคติต่อโลกที่กว้างกว่าน้องชาย
"พี่คิดว่าเราสามารถเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ จากนิยายที่เราอ่านได้ โดยไม่ต้องประสบกับมันโดยตรง เรียกว่าเป็นประสบการณ์ทางอ้อม..." เสียงทุ้มเอ่ยพลางหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปากขณะที่ยิ้มให้คนที่นั่งตรงข้ามที่พยักหน้าเห็นด้วย
"อื้อ จีนชอบอ่านงานของคุณว.วินิจฉัยกุล รู้ไหมเรื่องที่ประทับใจที่สุดเป็นวรรณกรรมเยาวชนเรื่องลินลาน่ารัก มันเป็นวรรณกรรมเยาวนชนก็จริง แต่คุณว.วินิจฉัยกุลสามารถทำให้มันเป็นหนังสือที่ผู้ใหญ่อ่านแล้วคิดตามได้ จีนอ่านซ้ำหลายครั้งมาก ชอบการบรรยายสถานที่ บ้านเรือน แล้วก็สีหน้าของตัวละคร เราอ่านแล้วสัมผัสได้ว่าตัวละครนั้นมีตัวตนจริงๆ"
"เรื่องนี้พี่ก็ชอบ พี่กลับมาอ่านอีกทีตอนมีลูก แล้วก็คิดว่าถ้าพี่เป็นคุณน้าของลินลา พี่คงฟ้องร้องโรงเรียจนโรงเรียนปิดไปเลย คิดดูสิทำให้เด็กคนนึงต้องพิการเชียวนะ ตอนที่โรงเรียนส่งจดหมายมาว่าจะพาน้ำหวานไปทัศนศึกษาที่เขาดิน พี่บอกฝนเลยว่าไม่ให้ลูกไป เด็กอนุบาลเองให้ไปสวนสัตว์ เกิดครูจับไม่ดีลูกเราวิ่งเข้ากรงเสือไปทำไง? เราไม่มีทางไว้ใจใครให้ดูแลลูกเราได้หรอกถ้าไม่ใช่แจ็คกับแบม พี่ไม่ให้ใครมาดูแลแทนแน่นอน"
สายตาของจินตภัทรมองคนตรงหน้าที่เอ่ยถึงลูกสาวแล้วก็อดย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องที่อยู่ในใจก่อนหน้านี้ไม่ได้ แม้จะถกเถียงกับตัวเองว่าไม่อยากยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่พอนึกถึงเด็กหญิงตัวน้อยๆ แล้ว ก็ต้องหลุดถามอีกฝ่ายในที่สุด
"พี่หวงลูกสาวมากขนาดนี้...ไม่หย่ากับพี่ฝนไม่ได้เหรอครับ จีนสงสารน้ำหวานจัง"
"ครอบครัวที่ครบสมบูรณ์แต่จิตใจของคนในครอบครัวไม่สมบูรณ์ มันก็ไม่ต่างกับครอบครัวแตกแยก มีพ่อแม่ครบแต่พ่อแม่ไม่รักกันน้ำหวานก็คงไม่มีความสุขหรอก แล้วอีกอย่างฝนต่างหากที่ยื่นข้อเสนอขอหย่ามา ซึ่งพี่ก็คงปฏิเสธไม่ได้เพราะเหตุผลของฝนคือพี่มันเลว และที่ผ่านมาเราไม่เคยรักกัน" น้ำเสียงของกวีเอ่ยเรียบๆ และยิ้มให้เล็กน้อย
"คือ..พี่มีลูกด้วยกันนะ อย่างน้อยก็ต้องเคยรักกันและ.."
"มีลูกไม่ได้หมายความว่าเรารักกัน พี่ว่าจีนรู้ดีว่าขั้นตอนการมีลูกไม่จำเป็นต้องรักกันก็ได้นะ"
คำพูดที่ตอบแกมหยอกทำเอาคนฟังก้มหน้างุดอย่างขัดเขิน แน่นอนว่าจินตภัทรรู้ดีว่าไอ้ "ขั้นตอน" ที่ว่ามันคืออะไร แล้วกวีก็เก่งมากทีเดียวที่พูดเรื่องซีเรียสอย่างปัญหาครอบครัวได้ด้วยสีหน้าที่ยังมีรอยยิ้มอยู่แต่สายตานั้นบ่งบอกให้รู้ว่าเจ็บปวดไม่น้อยเลย
ทำให้รู้ว่ารอยยิ้มของกวีไม่ใช่การเสแสร้ง หรือ ไม่แคร์ครอบครัว แต่เพราะกวีเป็นผู้ใหญ่และมีวุฒิภาวะพอในการจัดการอารมณ์และสีหน้าท่าทางได้ดี ไม่ใส่อารมณ์โดยไม่จำเป็น ไม่เรียกร้องหาความยุติธรรมให้ตัวเองทั้งที่เหตุผลการเลิกลานั้นตัวเองเป็นคนผิดก็ยอมรับออกมาโดยไม่แก้ตัวแม้แต่คำเดียว ทำให้คนฟังอย่างจินตภัทรประหม่าเสียเอง..
"พี่ไม่รักกันก็ไม่น่าแต่งงานกันเลย แล้วแบบนี้เกิดพี่ไปเจอคนที่รักมากกว่า พี่จะไม่ทิ้งลูกเหรอ ขอโทษที่จีนถามแบบนี้นะครับ แต่มันก็อดคิดไม่ได้ เด็กบางคนพ่อพอแต่งงานใหม่ก็มีลูกกับเมียใหม่แล้วน้ำหวานจะทำยังไง..."
และกลายเป็นจินตภัทรเองต่างหากที่ยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ และเอาอารมณ์ไปใส่กับเรื่องของคนอื่น
กวีอมยิ้มและพยักหน้ารับรู้อย่างเข้าอกเข้าใจ ขณะที่เรียกบริกรมาเก็บเงินราวกับเป็นช่วงเวลาที่ให้จินตภัทรได้สงบสติอารมณ์
มือเรียวล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและเพิ่งรู้ตัวในตอนนั้นเองว่าลืมหยิบโทรศัพท์มือถือลงมาด้วย พอมองนาฬิกาที่อยู่ผนังของร้านอาหารถึงรู้ว่าเขาออกมากินข้าวเลยเวลาที่นัดไว้กับอนิลแล้ว
"เดี๋ยวจีนต้อง..." ขณะที่กำลังจะขอตัวกลับก่อน คนที่หันไปจ่ายเงินให้ก็ตอบสิ่งที่จินตภัทรสงสัยก่อนหน้านี้
"พี่คงไม่ได้แต่งงานใหม่หรอก เพราะผู้หญิงที่พี่อยากแต่งงานด้วยเขาไม่อยู่แล้ว..."
ไม่รู้ทำไมในหัวของจินตภัทรตอนนี้ถึงมีคำตอบเป็นชื่อของใครคนหนึ่งทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ หัวใจของจินตภัทรเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ
"ความจริงบางอย่างเรารู้อยู่แก่ใจ แต่กลับไม่กล้ายอมรับมันอย่างตรงไปตรงมาเพราะแค่กลัวว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่มันผิด ที่ผ่านมาพี่ไม่เคยปิดบังฝนหรือใครทั้งนั้นว่าพี่คบกับใครอยู่ แต่คนที่รู้ดีอยู่แล้วต่างหากที่ไม่กล้าถาม"
"บีรู้เรื่องนี้ไหม..."
"มันอยู่ที่ว่าเขาอยากเชื่ออะไร บีมันเป็นคนมั่นใจในตัวเองมากเกินไป และเชื่อมั่นมาตลอดว่าคนที่มันคบอยู่ไม่มีวันทิ้งมันซึ่งนั่นก็ถูกต้องนะ ผู้หญิงเขาไม่ทิ้งมัน เขารักมันมาก แต่เขาก็ไม่ได้คบมันคนเดียว จีนคิดว่ามันเป็นความบกพร่องของใคร?"
จากการคุยกันด้วยสติ ราวกับวัดว่าใครมีสติมากกว่ากัน และใครที่จะเริ่มใช้อารมณ์ขึ้นมาก่อน
"พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง พี่มีลูกแล้วนะ"
แต่เหตุผลของจินตภัทรที่ตอกกลับไปกลับทำให้เขารู้สึกว่าพลาดอย่างแรงที่อ้างเรื่องความถูกต้องขึ้นมากับอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะฉลาดกว่า และมีเหตุผลโต้แย้งที่จินตภัทรไม่คาดคิดมาก่อน
"พี่คบกับพิมพ์ก่อนที่ฝนจะท้องอีก แล้วพิมพ์นั่นแหละที่ยังรักไอ้บีมากกว่าและบอกว่าพี่ควรทำหน้าสามีที่ดีของฝน เพราะคนที่อยากมีลูกก็คือฝน ตอนมีน้ำหวานออกมาพี่ก็รักลูกพี่นะ เพราะข้อดีข้อเดียวที่ได้ฝนเป็นเมียคือมีลูกน่ารัก แต่พอมีลูกตามที่ต้องการแล้วฝนก็ใช่ว่าจะดูแลลูก คนที่ถูกทิ้งให้เลี้ยงน้ำหวานแต่เล็กจนโตก็ไอ้แจ็ค พี่เองก็ต้องทำมาหากิน ในขณะที่ฝนไม่ทำอะไรเลย ไม่มีอาชีพ ไม่ได้ดูแลลูกอยู่บ้าน อยากไปไหนก็ไปใช้ชีวิตอิสระ ทิ้งลูกไว้กับน้องชายพี่ มันไม่ดีเท่าไหร่หรอกที่ต้องมานั่งด่าเมียตัวเองให้คนอื่นฟัง แต่ในฐานะพี่ชาย พี่ไม่ได้เลี้ยงเจ้าแจ็คให้มาเป็นทาสพี่สะใภ้ แต่แจ็คมันยอมเพราะฝนเป็นพี่ของพิมพ์ มันเลี้ยงหลานงกๆ เพราะมันเห็นแก่ผู้หญิงที่มันชอบ แล้วมันก็รักหลาน หลังจากหย่ากับฝนพี่จะพาลูกมาอยู่ที่นี่ เพราะไม่อยากทะเลาะกับแบมแล้ว แบมมันเข้าข้างพี่สะใภ้มัน..."
"แต่มันก็ไม่แฟร์อยู่ดี พี่คบซ้อนกับคนอื่น พี่มาทีหลังบีแล้วทำไมถึงไม่เลิกยุ่งกับพิมพ์ไป"
คนเรามักจะมองเห็นปัญหาในมุมของคนนอกเสมอ จินตภัทรเองก็เช่นกัน
สิ่งที่คุณนักเขียนพยายามย้ำกับกวี นอกจากจะไร้ประโยชน์แล้ว เขายังรู้สึกว่าตัวเองโง่มากที่ยังยืนกรานในฝั่งของความถูกต้องและลืมว่า ความถูกต้องนั้นมันขึ้นอยู่กับ "ใคร" เป็นคนตัดสิน
เพราะดูเหมือนว่าการพูดด้วยอารมณ์ส่วนตัวของจินตภัทรจะกลายเป็นดาบที่กลับมาทิ่มแทงตัวเอง..
"จีนเองก็มาทีหลัง ทำไมถึงคบกับบีได้ละครับ? เพราะความรักต่างหากที่ผิด ความรักที่มันเกิดผิดที่ผิดเวลาต่างหากที่มันทำให้ทุกอย่างผิดไปหมด เราไม่จำเป็นต้องหาคนรับผิดในเรื่องนี้หรอกจีน เราแค่รู้ตัวเองก็พอว่าทำแล้วได้อะไร ถ้าเรามัวแต่มาคิดถึงความถูกต้อง พี่ว่าคนแรกที่ควรจะเดินออกไปจากเรื่องนี้น่าจะเป็นจีนนะครับ
จีนเองก็รู้ดีอยู่ว่าบีมันมีแฟนแล้ว แถมยังมาทะเลาะกันต่อหน้าต่อตา แต่หลังจากที่เขาทะเลาะกัน จีนกลับคบบีต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้สึกผิดกับพิมพ์เลยแม้แต่น้อย เพราะจีนมองเห้นความผิดของคนอื่นมากกว่าตัวเองไงครับ จีนบอกว่าพี่ไม่ควรทำแบบนั้น แต่พอเป็นเรื่องของตัวเองก็ตัดสินใจอีกอย่างใช่รึเปล่า?"
ใช่ พอเป็นเรื่องตัวเองทำไมเขาถึงไม่เคยรู้สึกผิดเลย...
"ครุฑน้อยอาจจะดำน้ำเก่ง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ครุฑควรจะเป็นไม่ใช่เหรอ? พี่เองก็ชอบเรื่องนี้นะแต่ความคิดของเราคงต่างกัน เพราะถ้าเรายืนในมุมของคนที่แตกต่างเราก็จะรู้สึกเห็นด้วยกับคนที่แตกต่าง แต่หากเราเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างความถูกต้อง คนที่แตกต่างก็ผิดวันยันค่ำ....."
เสียงทุ้มหยุดเพียงครู่ขณะที่สีหน้าของจินตภัทรกลับซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าเขาจำได้ว่าหนังสือเล่มแรกและเล่มสุดท้ายที่เขาให้พิมพ์ยืมอ่านมันคือเรื่องครุฑน้อย
สายตาของจินตภัทรมองกวีที่ยืนขึ้นเต็มความสูงและเอ่ยประโยคสุดท้ายทิ้งเอาไว้ก่อนที่จะจากไป
".....ก็เหมือนที่จีนมองว่าพี่ผิด แต่ตัวเองไม่ผิดที่แย่งบีไปจากพิมพ์ มองว่าพี่ผิดที่นอกใจฝน พิมพ์ผิดที่คบซ้อน แต่กลับไม่เคยตำหนิเพื่อนตัวเองที่เข้ามาเป็นมือที่สามระหว่างแจ็คกับแจน มันก็ต่างกันแค่..เราจะเอาตัวเองไปยืนมองคนอื่นจากจุดไหน"
.................
"มึงจะเอารถมอไซต์ลูกค้าไปวิ่งได้ไง ไอ้เชี่ยบ้าปะเนี่ย"
"กูเป็นพรีเซนเตอร์นะ ยังไงก็ต้องเป็นของกูอยู่แล้วคันนึง"
กวินถึงกับหมดคำพูดกับคำตอบของจอมพลที่ตอกกลับขณะที่สวมหมวกกันน็อคใหม่เอี่ยมและหยิบอีกใบใส่ไว้ใต้เบาะนั่งด้วย
"บี..." เสียงของกวินเรียกชื่ออีกฝ่าย
"รถติดขนาดนี้ให้กูเดินเท้าไปไหม?"
"ใจเย็นๆ ก่อนได้ไหม"
"นี่แฟนกู มึงก็บอกให้ใจเย็นได้ ลองเป้นแฟนมึงขาดการติดต่อไปมั่งไหมล่ะ?"
การถกเถียงจบลงด้วยเสียงเครื่องมอเตอร์ไซค์ที่เร่งเครื่องจนควันโขมงก่อนที่กวินจะมีโอกาสพูดอะไรต่อ ดวงตากลมโตมองรอบกาย สายตาของทีมงานที่สับสน และผู้กำกับที่ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับนายแบบโฆษณาที่อยู่ๆ ก็เอารถลูกค้าขับออกไปจากสตูดิโอหน้าตาเฉยหลังจากถ่ายเสร็จเพียงเทคเดียว
และแล้วก็เป็นหน้าที่ผู้จัดการที่ทำได้แค่แก้ตัวแทนไปข้างๆ คูๆ
"มันมีเรื่องด่วนน่ะครับ.."
...........TBC..........
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แบบอย่างก็ไม่เห็นด้วย
แล้วนี้ไม่รักกันแล้วไปแต่งงานทำไม เพื่อผลประโยชน์ หรืออะไรยังไง หรือมั่ว หรือเมา แล้วมาพูดว่าอยากแต่งงานกับพิมพ์แต่ไปแนะนำให้เสียตัวแลกงาน จะมาแค้นพิมพ์ก็ไม่ถูกทั้งที่ก็รู้ว่าพิมพ์รักบีอยู่แล้ว
คุณบีนี่ขับรถดีๆนะ มาช่วยกันน้องจีนออกจากคุณกวีที