ตอนที่ 95 : EP.33 Because of Love
Upside Down
Welcome To The Upside Down
EP.33
“บ่าเอาอะยาย ส่งมานะกว่าจะถึงน่ะเน่าแล้ว บ่าแน่น้ำพริกหายกางตางโตย อย่างแคบหมูรอบตี้แล้วอ่า หายไปน่าซื่อ ไปรษณีย์ลักไปกิ๋น” (ไม่เอาอะยาย ส่งมานะกว่าจะถึงก็เน่าแล้ว ไม่แน่น้ำพริกหายกลางทางด้วย อย่างแคบหมูรอบที่แล้วอะ หายไปเฉยเลย ไปรษณีย์ขโมยไปกิน”)
เสียงงอแงบ่นให้ผู้ปกครองปลายสายฟังราวกับเด็กตัวเล็กๆ แน่นอนล่ะ ก็ "คุณยาย" น่ะ ยังไงก็มองเห็นจินตภัทรเป็นหลานตัวน้อยๆ อยู่แล้วไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปี...
นานๆ ทีคุณยายจะโทรมาหาสักที พอโทรมาคุยด้วยทีไรนอกจากจะต้องพูดเสียงดังๆ แล้ว ก็ต้องเล่าเรื่องซ้ำๆ เดิมๆ ให้ยายฟัง เช่น เรื่องนิยายที่กำลังฉายอยู่เรียกว่าจำใจต้องสปอยล์ให้ยายฟังก่อนใครเพราะผู้สูงอายุของบ้านชอบขู่ว่าถ้าเกิดตายไปก่อนละครออนแอร์จบจะทำยังไง ง่ายๆ นอกจากเรื่องสาระทุกข์สุขดิบของหลานชายแล้วก็เป็นเรื่องนิยายของหลาน
แถมตอนนี้พอรู้ว่านิยายของหลานชายถูกเอาไปทำละครอีก ทีนี้ละเม้าส์กันยาว หัวข้อสนทนาก็เช่น พระเอกคนนี้หล่อดีนะ แต่ไม่ชอบนางเอกเลยหน้าตาเหมือนกะเทยบ้างแหละ สรุปคุยไปคุยมายายก็ยืนยันคำเดิมว่าไม่ชอบญดาที่เล่นเป็นนางเอกเพราะสวยเกินไป แต่ชอบจอมพลมากเพราะหล่อ จนแม่ของจินตภัทรแอบแซวขึ้นมาตอนต่อสายโทรศัพท์ว่า ท่าทางยายตินางเอกนั่นนี่ดูเหมือนอยากจะเป็นนางเอกซะเอง
แต่เรื่องเดียวที่ยายยังไม่รู้ก็คือไอ้พระเอกที่ยายปลื้มนักปลื้มหนานั้นกำลังจะเป็นว่าที่หลานเขยของยายในอนาคต จินตภัทรไม่กล้าบอกยายแถมพ่อกับแม่ก็บอกว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร เพราะยายอาจจะรับไม่ได้ ไม่ใช่รับไม่ได้ที่หลานชายโตเป็นสาว แต่ยายคงรับไม่ได้ที่พระเอกในดวงใจชอบผู้ชายด้วยกัน
หลังจากวางสายจากญาติผู้ใหญ่ร่างเล็กก็ท้องร้องขึ้นมาทันทีเพราะมื้อเย็นที่กินไปนิดเดียว มือเรียวฉวยกระเป๋าเหรียญใบน้อยกับโทรศัพท์มือถือพร้อมกดดูยอดเงินคงเหลือในแอพฯร้านสะดวกซื้อที่ใช้ซื้อของกินประจำแทนเงินสด อัพเกรดจากบัตรเงินสดที่เคยเพราะคุณพนักงานบอกว่าสะดวกกว่า
ขณะที่จินตภัทรเดินเข้าลิฟท์ไป ร่างสูงใหญ่ที่ขึ้นลิฟท์สวนทางขึ้นมาก่อนก็เหลือบเห็นเสื้อเขียวผ่านตาแว่บๆ ขาที่กำลังจะก้าวพาตัวเองไปที่ห้องก้ถอยกลับและกดลิฟท์ตัวข้างๆ ตามแฟนตัวเล็กลงไปข้างล่าง
ใครสักคนกล่าวไว้ว่า
อย่าเข้าร้านสะดวกซื้อเวลาหิวจัด
เพราะเราจะซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า
จนกระทั่ง.....
"ยอดเงินในแอพฯ ไม่พอค่ะลูกค้า ถ้าไม่ได้พกเงินสดมาสามารถเติมเงินด้วยแอพธนาคารได้นะคะ"
"ไม่มีแอพฯ ธนาคารอะครับ...."
เสียงเศร้าๆ จากลูกค้าตัวเล็ก ทำเอาพนักงานประจำเค้าน์เตอร์หน้าเจื่อนไปด้วย มือเล็กๆ ค่อยๆ หยิบของออกจากกองของกินไร้สาระมากมายที่หยิบไม่คิดชีวิตเมื่อครู่ออกทีละชิ้นอย่างเสียดาย
"งั้น คิดแค่ไข่ต้มกับ..."
"เดี๋ยวคิดกองนี้รวมกับของผมเลยก็ได้ครับ"
สิ้นเสียงที่เอ่ยแทรกมาจากด้านหลัง ทั้งพนักงานและลูกค้าก็เงยหน้ามองเจ้าของมือที่วางเบียร์กระป๋องกับขนมขบเคี้ยวลงที่เค้าน์เตอร์ คนที่ตั้งสติได้ก่อนคือพนักงานที่โดนโปรแกรมมาอย่างดีว่าก่อนจะคิดเงินลูกค้าให้จะต้อง....
"ตอนนี้เรามีโปรโมชั่นสาหร่ายเถ้าแก่น้อยสองถึง 30 บาทนะคะ"
"ไม่เอาอะ...." จินตภัทรพยายามตอบเลี่ยงแต่มือหนาที่วางอยู่บนไหล่เล็กก็บีบเล็กน้อย
"เลือกสิ เอารสอะไร หยิบไปด้วย" จอมพลเอ่ยพลางยิ้มให้พนักงานขายที่ยิ้มตอบกลับมาด้วยความหวัง
ส่วนคุณลูกค้าตัวเล็กที่ดูหงอยๆ เมื่อครู่ตอนนี้กลับมาแผลงฤทธิ์สวยเลือกได้อีกครั้งหลังจากคนจ่ายเงินให้มายืนอยู่ข้างหลัง
"ไม่เห็นดูรู้เลยว่ารสอะไร หน้าซองมีแต่ดาราเกาหลี ดูดิ อะไรเนี่ย จี โอ ที เจ็ด คือไรอะ?"
"ก๊อทเซเว่นค่ะ แฮะๆ เอารสเผ็ดไหมคะ อันที่เป็นรูปพี่เจบีอะค่ะ หนูว่าหน้าตาคล้ายพี่บะ..." ขณะที่พนักงานกำลังพรีเซ็นต์ไอดอลเกาหลีที่อยู่หน้าซองเต็มที่ เสียงของจินตภัทรก็พูดแทรกขึ้นมาจนทำเอาสิ่งที่กำลังจะเอ่ยถูกกลืนลงคอไปในทันที
"อันนี้คือหล่อแล้วเหรอ? ตาก็ตี่ฟันก็เหยินอะ อันนี้มีสี่คิ้วถูกมะอะ?"
พนักงานเค้าน์เตอร์ข้างๆ มองหน้าจอมพลสลับกับรูปไอดอลเกาหลีหน้าซองขนมซองขนมสลับกันไปมา
ก่อนที่ขนมจะถูกเมินไปด้วยเหตุผลที่ว่า ไอดอลหน้าตาถ่มถุยเกินไป
แต่พนักงานทั้งสองคนที่ยืนหลังเค้านต์เตอร์ก็คิดเหมือนกันว่า....
ที่ด่าๆ อยู่นี่ หน้าตาก็เหมือนผัวมึงอะ!
.................
"แล้วแจ็คบอกจะคุยทีหลังเหรอ?"
คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามพยักหน้าแทนคำตอบก่อนจะเอื้ออมมือไปเช็ดน้ำจิ้มจิ๊กโฉ่ที่ไหลย้อยออกมาจากมุมปากของคุณนักเขียนที่มีความสามารถในการกินไปคุยไปอย่างไม่สะดุดเลยสักนิด
บทสนทนาแรกระหว่างกันคือเรื่องของกวินที่วันนี้มาทำหน้าที่แทนอนิล ที่ดูท่าทางแล้วคงจะมีเหตุให้ออกจากตำแหน่งผู้จัดการแน่ๆ เพราะจอมพลคิดว่ากวินเองไม่ได้ไว้ใจเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ คนมันมีชนักติดหลังมาตั้งแต่เรื่องพิมพ์ แน่นอนว่าคงไว้ใจให้แฟนตัวเองมาอยู่กับจอมพลสองต่อสองไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งจินตภัทรก็คิดว่ามันเป็นสงครามประสาทของแฟนหนุ่มกับเพื่อนที่ก่อกันมาเอง จ้างให้อนิลก็ไม่สนใจผู้ชายแบบจอมพลอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะไม่ใช่เสปคอนิลแล้ว ก็ไม่มีทางที่คนอย่างอนิลจะหักหลังเพื่อนได้แน่นอน เจ้าชู้ระดับเบญ อนิลเองยังไม่มีหวั่นไหวสักนิด
"ก็ให้เวลาเพื่อนหน่อยอะ บางทีคิดดูดีๆ แจ็คอาจจะมีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินก็ได้ พักหลังๆ เขาไม่มีงานนี่นา..."
ร่างเล็กหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพื่อยัดซาลาเปาหมูสับไข่เค็มของโปรดเข้าปาก ส่วนจอมพลที่นั่งมองอยู่ก็ตอบกลับก่อนจะเอื้อมมือไปรูดเอาแป้งซาลาเปาที่กระเด็นไปไกลกว่าปากคนกิน
"แต่มันเอาเงินไปก่อนจะมีปัญหา เช็คดูย้อนหลังให้พี่พัฒน์ไปถามค่าตัวจากแบรนด์เสื้อผ้าก็รู้เลยว่าหายไปเกือบแสน ค่าจัดการบ้าอะไรของมัน ยื่นหน้ามา กินซาลาเปาทำไมเลอะหน้าผากเนี่ย"
มือหนาหยิบเศษซาลาเปาเข้าปากตัวเองขณะที่บ่น เรียกรอยยิ้มของจินตภัทรที่เต็มไปด้วยซาลาเปาในปากจนอมยิ้มแก้มตุ่ย ดูๆ ไปก็เหมือนฉากในหนังรักโรแมนติกที่พระเอกนั่งเช็ดปากให้แล้วบ่นไปด้วย แต่จะเอาไปเขียนในนิยายก็ซ้ำกับชาวบ้านอีก ก็ได้แต่เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำที่น่ารักระหว่างกัน เพราะนานๆ ทีจะได้มานั่งคุยกันไปกินขนมกันไป ช่วงนี้จอมพลงานเยอะเพราะละครเริ่มออนแอร์ เสียงตอบรับดีมากจนมีแฟนนิยายขอให้เขียนภาคต่อเพราะละครเรื่องนี้ถูกกำหนดให้เป็นแค่มินิซีรีส์ที่มีความยาวเพียงสิบตอนเท่านั้น เหตุผลก็เพราะจอมพลเองก็มีงานของวง และจินตภัทรไม่อยากให้ทางผู้กำกับเพิ่มฉากยืดเยื้อไปกว่าในหนังสือ
"ทำงานกับน้องแก้มเป็นไงมั่ง ดีขึ้นไหม? วันนี้น้องเขาส่งข้อความมาขอโทษเรื่องบีด้วย เขาบอกว่าขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิด เหมือนน้องเขารู้แล้วว่าเรื่องหนี้ไม่จริงอะ"
"เหรอ? ส่งมาเมื่อไหร่?" จอมพลถามพลางหลุบตามองมือเล็กๆ ที่เริ่มแยกสสารของซาลาเปาออกจากกัน
"เย็นๆ เขาส่งข้อความมาแต่เราตอบไปสั้นๆ อะเพราะคุยกับยายอยู่ บีช่วยกินหมูสับหน่อย อ่ะ"
จินตภัทรว่าพลางยัดไส้หมูสับเป็นก้อนใส่ปากแฟนหนุ่มแล้วตัวเองก็กินแต่ไข่แดงกับแป้งอย่างมีความสุข คนถูกบังคับให้ช่วยกินหมูไม่ได้พูดอะไรเพราะบ่อยครั้งที่จินตภัทรชอบแบ่งอาหารที่กินๆ อยู่ในจานมาให้เขา เช่น ถ้ากินข้ามมันไก่เขาก็จะได้หนังไก่ ถ้าไปกินข้าวขาหมูด้วยกันเขาก็จะได้หนังหมูเพิ่มมาในจานตัวเอง แต่จินตภัทรกลับไม่เคยบอกแม่ค้าหรือเจ้าของร้านเลยว่าตัวเองไม่กินของพวกนี้ พอจอมพลถามก็ได้คำตอบจากเจ้าตัวว่า ราคามันไม่ได้ถูกลงและเนื้อก็ไม่ได้เพิ่มอยู่แล้ว สู้เอาส่วนที่ไม่กินให้แฟนได้กินด้วยจะดีกว่า
ขณะที่กำลังช่วยกินไส้หมูในซาลาเปา เสียงอ่อยๆ ของจินตภัทรก็เอ่ยขึ้นมาทำเอาคนฟังใจหาย
"บี..ช่วงนี้จีนเขียนนิยายไม่ได้เลยอะ เลยคิดว่าจะ..."
ก่อนที่จะเอ่ยเจตนารมณ์ออกมา เสียงทุ้มก็พูดแทรกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก
"อย่าบอกนะว่าจะย้ายกลับไปห้องนั้น นายหน้าเขาได้คนซื้อแล้วนะ พรุ่งนี้จะย้ายเข้าแล้ว"
ห้อง 2207 กลายเป็นตัวเลือกในการขายเพราะจอมพลเองไม่สามารถจะอยู่ในห้องเดิมได้อีก หลังจากผ่านการถกเถียงมานาน จินตภัทรก็ยินยอมที่จะให้จอมพลเข้ามาอยู่ด้วยและให้แฟนหนุ่มขายห้องนั้นไป ซึ่งแปลกที่นายหน้าของคอนโดหาคนซื้อต่อได้เร็วมากจนน่าตกใจ แถมไม่ต่อราคาลงเลยแม้แต่บาทเดียว
"เปล่าสักหน่อย ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะย้ายห้อง แต่ช่วงนี้จีนไม่ค่อยมีสมาธิเลย ไม่รู้ทำไม..."
เสียงถอนใจของจินตภัทรทำเอาคนฟังขมวดคิ้วมองด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เขาไม่รู้ว่าการที่จินตภัทรแต่งนิยายไม่ได้เลยมันเกี่ยวกับเขาโดยตรง ที่ทำให้แฟนตัวเล็กไม่มีสมาธิ หรือเป็นเพราะมันเป็นช่วงที่คุณนักเขียนกำลังอยู่ในช่วงขาลงกันแน่
"เครียดเหรอ? หรือว่า...เพราะบีมาอยู่ด้วย"
คำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใย กับมืออุ่นๆ ที่ค่อยๆ ลูบแก้มนิ่มอย่างอ่อนโยนทั้งน้ำเสียงและการกระทำของจอมพลราวกับปลอบโยนเด็กเล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าเกิดปัญหาอะไรกับตัวเอง
"ถ้าถามตรงๆ มันก็ใช่อะ คือไม่ใช่ว่าจีนไม่อยากอยู่กับบี แต่ไม่รู้สิ สมองมันไม่กระเตื้องเลยอะ คิดไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่มีต้นฉบับเรื่องใหม่ส่งให้เจ๊โฉมมาเกือบเดือนแล้วอะ พอเขาถาม จีนก็บอกแค่ว่ากำลังเขียนอยู่..."
ขณะที่ร่างบางกำลังบ่นด้วยน้ำเสียงงอแง จอมพลก็ค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินไปดึงข้อมือของร่างเล็กให้ลุกขึ้นตามและโอบกอดเอาไว้แน่น เขาเข้าใจดีว่าอะไรที่ทำให้จินตภัทรไม่มีสมาธิเลย ต่อให้แฟนเขาไม่พูดออกมาตรงๆ เขาก็รู้ดีว่ามันเป็นเพราะตัวเขาเอง ที่กลายเป็นพันธนาการแห่งความรักที่พรากจินตนาการของคุณนักเขียนไป ไม่ต่างจากช่วงที่เขาพยายามเขียนเพียงกับเพื่อน เขาต้องทิ้งพิมพ์ไปกินนอนอยู่ห้องซ้อมเป็นอาทิตย์ๆ
"เดี๋ยวหลังจากพรุ่งนี้ไปบีจะกลับไปรับงานในผับแล้วก็อาจจะกลับสักตีสองตีสาม จริงๆ ไอ้โจ้มันก็อยากให้กลับไปร้องเพลงเพราะมีคนติดต่อมาเยอะ เพื่อนในวงก็อยากจะกลับไปทำงานเหมือนกัน"
เมื่อได้ฟังทางออกของปัญหาจากปากของคนรัก จินตภัทรก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่ามันเป็นทางออกที่ค่อนข้างดี เพราะก่อนหน้านี้ตัวเขาเองก็เขียนนิยายจนดึกดื่น และเวลากลางวันถ้าไม่รีเสิร์ชหาข้อมูลก็คือนอนเอาแรง แต่เพราะช่วงหลังจากคบกันก็อยากอยู่ด้วยกันตลอดเวลาทำให้ช่วงเวลาการทำงานของจินตภัทรรวนไปจากเดิม พอสองสามทุ่มจอมพลกลับมาก็ต้องวางมือจากทุกอย่าง เพราะอยามีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะๆ ทั้งคู่ก็เลยต้องเสียสละกันคนละครึ่ง จอมพลหยุดรับงานแสดงในผับ ส่วนจินตภัทรก็หยุดเขียนนิยายไปเกือบเดือน
"อืม บีอยากทำจริงๆ ใช่ไหม? ไม่ได้ทำเพื่อจีนอย่างเดียวใช่ไหม?"
สีหน้าเป็นกังวลสบตาคนรักพลางเอ่ยถาม จินตภัทรรู้ดีว่าจอมพลพยายามทำเพื่อเขาถึงได้กลับไปทำงานกลางคืนอีกหลังจากไม่รับงานตามผับมาสักพักแล้วตั้งแต่คบกัน
แทนคำตอบมือเล็กถูกยกขึ้นและริมฝีปากหยักค่อยๆ กดจูบลงที่หลังมือของคนรักขณะที่ยิ้มพลางเอ่ย
"ใครๆ ก็อยากจะอยู่กับแฟนทั้งๆ นั้นแหละจีน แต่ว่า...อธิบายยังไงดี ถ้าตอนนี้ปัญหาของเรามันก็เหมือนเพลงที่ว่างของวงพอสนั่นแหละ"
"เพลงที่ว่างเหรอ?" คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างสงสัยในคำตอบ แต่เมื่อเสียงเพราะๆ ของคนรักร้องเพลงที่กล่าวถึงขึ้นมา ก็อดยิ้มเขินไม่ได้
"หากเคียงชิดใกล้ แต่เธอต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อฉัน ประโยชน์ที่ใด หากรักทำร้ายตัวเอง..."
จินตภัทรก็คงเหมือนจอมพลที่ไม่เคยอ่านหนังสือของจินตภัทรสักหน้า ในขณะที่ตัวจินตภัทรเองก็ไม่เคยฟังเพลงของแฟนหนุ่มมาก่อนสักเพลง น่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนรักร้องเพลงให้ฟังใกล้ๆ มันทั้งเขินและปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูกและทำได้แค่ยิ้มจนแก้มปริและชื่นชมออกมา
"ว้าววว ร้องอีกสิ เพราะจัง"
คิ้วหนาเลิกพลางมองแฟนตัวเล็กอย่างไม่พอใจ ไม่บอกก็รู้ส่าจินตภัทรคงลืมไปแล้วว่าเขาเป็นนักร้อง
"อ่าวคุณ ผมเป็นนักร้องนะครับ ร้องไม่เพราะได้เหรอ?"
"แหะๆ นั่นสินะ" ใบหน้าที่แดงเรื่องไปทั้งสองแก้มก้มลงมองมือหนาที่กอบกุมมือตัวเองไว้อย่างเขินอาย ดวงตาคมมองท่าทางของคนรักแล้วก็หลุดเข้าไปในห้วงความคิดเพียงครู่ ก่อนจะบอกความในใจเพื่อย้ำเตือนให้คนตรงหน้าจดจำมันเอาไว้ให้ดี
"จีน.."
"หืม?"
"ไม่ได้มีแค่จีนหรอกนะที่รักบีมากที่สุด บีเองก็รักจีนมากที่สุดเหมือนกัน"
...........
"หาคนมาทำตำแหน่งนี้มันยาก ถึงแกจะน่าเบื่อแต่ฉันก็หาใครที่จะสามารถตามต้นฉบับจากจีนไม่ได้อีกแล้วล่ะ นี่มันหายไปเกือบสองอาทิตย์ หลงผัวอยู่สิท่า"
"ลองเจ๊มีผัวเป็นบีเดฟโซลมั่งก็ทิ้งงานทิ้งการเหมือนกันแหละ"
"นังเอิน!"
"น่ะ หน้าแดงทำไม เห็นมะ เป็นใครก็หลง โอ้โหนี่ถ้าไม่มีภูมิต้านทานนี่ก็หลงเหมือนกันละนะ อิอิ"
เสียงหัวเราะน่าหมั่นไส้ของคนที่ถือไพ่เหนือกว่า ทำเอาโฉมฉายหัวหน้ากองบรรณาธิการอดีตเจ้านายและกำลังจะเป็นเจ้านายคนปัจจุบันถึงกับกุมขมับกับสกิลการต่อล้อต่อเถียงของอนิลที่ไม่เคยแพ้ใคร
เพราะช่วงหลังจากที่เซ็นต์สัญญาให้ทางบริษัทเอ็กซิกส์นำนิยายไปทำเป็นบทละครได้ จินตภัทรก็หายเงียบไปไม่มีผลงานส่งมาให้เลย อย่างที่รู้กันว่ารายได้ของสำนักพิมพ์นกน้อยส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับยอดขายของจินตภัทร ทำให้ผู้บริหารเริ่มร้อนใจและให้โฉมฉายตามจิกนิยายจากจินตภัทรให้ได้ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็งานเยอะเกินไปจนสุดท้ายต้องเรียกตัวอนิลกลับมา
"ก็เอาเป็นว่าแกก็เป็นพนักงานสัญญาจ้างแล้วกัน อยากจะออกไปแรดเมื่อไหร่จะได้ไม่มีปัญหากับฝ่ายบุคคลอีก"
"จ้า แหมดีเท่าไหร่แล้วยังมีโต๊ะให้นั่งโนะ คิดว่าจะได้ปูเสื่อนั่งพื้นซะละ" น้ำเสียงกวนๆ ของอนิลเอ่ยพลางเชิดใส่คนเป็นนายอย่างผู้มีชัย เสียงทักทายของเพื่อนพนักงานในสำนักพิมพ์ราวกับแฟนคลับที่รอคอยการกลับมาของศิลปินรุ่นใหญ่ แต่ทันทีที่อนิลนั่งลงที่โต๊ะก็พบว่ามีงานกองใหญ่วางรออยู่ราวกับเขาไม่เคยลาออกจากบริษัทนี้มาก่อน
"นี่เอางานมากองไว้ให้เหมือนกูไม่เคยลาออกเลยนะเนี่ย แม่ง อะไรเนี่ย หนังสือตีกลับ โอ้ยเว้ย"
อนิลถอนใจกับกล่องพัสดุที่ตีกลับมาเพราะเป็นนิยายของจินตภัทรที่ถูกจองในงานหนังสือก่อนที่ตัวเล่มจะวางจำหน่ายตั้งสามเดือน แต่พอถึงเวลาหนังสือออกตีพิมพ์ คนรับกลับย้ายบ้านเสียอย่างนั้น
"อะไรเนี่ย บ้านย้ายไปแล้ว ไม่มีผู้รับ แล้วจะส่งให้ใครวะ?" อนิลบ่นก่อนจะหมุนกล่องดูเลขที่สั่งซื้อแล้วคีย์ลงไปในระบบ ดูเหมือนว่าผู้จองกับคนรับหนังสือจะเป็นคนละคน แถมยังจองเป็นอันดับต้นๆ เสียด้วย
"อืม...ชื่อผู้จอง คุณกวี กิจเจริญ ผู้รับ คุณพิมพ์ พัฒนโชติ เอ๊ะ?"
อนิลร้องเสียงหลงออกมาอย่างลืมตัวเมื่ออ่านทวนชื่อนามสกุลทั้งผู้จองและผู้รับหนังสือ เขาจำนามสกุลแฟนหนุ่มได้ไม่ผิดแน่ แต่ที่รู้ๆ หนังสือชุดนี้กวินมีแล้วและคนจองก็เป็นคุณพ่อของน้ำหวานที่จองให้แม่พิมพิลาไลยวันทองสองใจที่อนิลแอบตั้งชื่อนี้เรียกอดีตแฟนเก่าของจอมพลคนเดียวเพราะจินตภัทรไม่เห็นด้วยที่จะเรียกพิมพ์แบบนั้น
หัวใจของอนิลเต้นรัวเมื่อจินตนาการในหัวประติดประต่อกันกับเรื่องที่พิมพ์เคยคิดกลับมาขอคบกับกวินใหม่หลังจากที่เลิกกับจอมพล ในทฤษฏีของอนิลว่าด้วยเรื่องชะนีแรดแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คนสวยๆ อย่างพิมพ์จะไม่รู้ว่ากวินแอบชอบตัวเองมาตลอด
มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้พิมพ์สงสารกวิน และไม่ยอมตัดรอนความสัมพันธ์ให้มันจบๆ มันต้องมีอะไรสักอย่างระหว่างพี่ชายของกวินและแม่วันทองสองใจที่ตายไปแล้ว
"ดีนะกูไม่เชื่อเรื่องผี ไม่งั้นอีวันทองนี่มาบีบคอกูแล้วข้อหาเสือก..." อนิลพูดกับตัวเองขณะที่เริ่มหาเบอร์โทรศัพท์ของพี่ชายแฟน เพื่อจะหลอกถามว่าจะให้เอาหนังสือไปส่งที่ไหน สุดท้ายมันก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเพราะในระบบมีเบอร์ผู้จองใส่ไว้ก็ได้แต่ภาวนาให้คุณกวีไม่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์
หลังจากที่รอสายไม่นาน เสีงที่คล้ายกับน้องชายจนอนิลใจสั่นก็รับสาย
(สวัสดีครับ)
อนิลกระแอมเล็กน้อยก่อนจะแอ๊บเสียงแมนที่สุดในชีวิตเหมือนพ่อไม่รู้ว่าเป็นตุ๊ด
"เอ่อ สวัสดีครับ ผมโทรมาจากสำนักพิมพ์นกน้อย ทางเราได้รับชุดหนังสือนิยายเพียงฝันที่คุณกวีได้สั่งจองเอาไว้ในงานหนังสือ เหมือนว่าที่อยู่ที่ให้จัดส่งจะไม่มีผู้รับน่ะครับ"
อีกฝ่ายที่ฟังอยู่อ้ำอึ้งไปเล็กน้อย เหมือนว่าคงตกใจที่ผีน้องเมียยังมาตามหลอกหลอนหลังจากตายห่าไปแล้วเป็นปี
(เอ่อ คือ เขาคงย้ายบ้านไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นส่งมาให้ผมที่ออฟฟิศก็ได้ครับ ไม่ทราบสะดวกจดที่อยู่ไหมครับ?)
"อ้อ สะดวกๆ ครับ แต่ว่า...จะให้จ่าหน้าว่าถึงคุณพิมพ์ พัฒนโชติเหมือนเดิมไหมครับ?"
อนิลแกล้งถามจี้ใจดำอีกฝ่ายแล้วก็เม้มปากกลั้นใจรอคำตอบ ไม่รู้ว่าคำตอบที่รอคอยจะออกมาดราม่าหรือว่างงในงงไปอีกก็ไม่รู้
(ผมตั้งใจซื้อให้ภรรยาครับ แต่เธอเสียไปแล้ว ใจจริงอยากจะขอคืนเงินเพราะผมคงไม่ได้อ่านแทนเธอ...)
ตอแหลถูกมะ ดูซีรี่ส์เกาหลีมากเกินไปปะคุณพรี่? เมียกับลูกยังนั่งหัวโด่อยู่บ้าน ว้อท เดอะ ฟัค!
อนิลคิดในใจพลางแบ้ปาก คำโกหกของกวีฟังแล้วขนลุกเป็นบ้า ก็อย่างว่าแหละพูดให้คนไม่รู้จักฟังอยากจะปั้นเรื่องยังไงก็ได้สินะ
"อ่า ครับ เสียใจด้วยนะครับ ยังไงผมขอที่อยู่และชื่อผู้รับด้วยนะครับ"
(แล้วแบบนี้ผมต้องเสียค่าส่งเพิ่มไหมครับ?)
"ไม่ต้องครับๆ แค่ส่งไปให้คุณเก็บไว้ก็เจ็บปวดมากพอแล้ว ให้มาเก็บค่าส่งอีกคงใจร้ายมากเลย"
อนิลแกล้งพูดประชดใส่อีกฝ่ายอย่างอดรนทนไม่ได้ เพราะเขาไม่ชอบคนโกหกที่ไม่รู้คิดยังไงถึงอ้างเรื่องเมียตายหน้าตาเฉย แล้วนังวันทองนี่เป็นเมียของพี่ชายแฟนเขาอีกคนรึไง ถึงได้อ้างเรื่องเมียตายไม่อายปากแบบนี้
แต่ก่อนที่อนิลจะวางสายไป สิ่งที่ไม่คาดคิดก็ถูกเอ่ยกลับมาจากปลายสาย
(ฝากบอกนักเขียนด้วยนะครับว่าขอบคุณมากจริงๆ ที่เขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา จริงๆ ผมไม่ใช่แฟนนิยายแต่พอดีได้อ่านเรื่องนี้จากน้องสาว ผมเลยอยากซื้อให้ภรรยาผมได้อ่านด้วยเพราะช่วงท้องเธอค่อนข้างเครียด แต่..เธอคงไม่มีโอกาสอ่านมันแล้ว)
ราวกับทุกอย่างรอบตัวหยุดลงราวกับมีคนกดปุ่มพอส อนิลไม่รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบกายนอกจากเสียงของกวีที่พูดถึงภรรยาที่ตั้งครรภ์ด้วยน้ำเสียงที่อมทุกข์ ภรรยาที่ตั้งครรภ์คนนั้นหากอีกฝ่ายไม่โกหก ก็คืออดีตคนรักของจอมพล และคนที่กวินเคยรักมากกว่าใคร ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็แปลว่า....
....................
"เจ้าของห้องฝากให้ดิฉันทำเรื่องโอนให้นะคะ ยังไงรบกวนเซ็นรับตรงนี้นะคะ"
เสียงของนายหน้าขายห้องพักเอ่ยเรียกสติคนที่หันกลับมาพร้อมกับดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาย่างน่าสงสาร ชายหนุ่มฝืนยิ้มออกมา ก่อนจะดึงปากกาด้ามทองจากสูทราคาแพงออกมาเซ็นรับมอบห้อง 2207 หลังจากที่เขาเคยได้ฟังจากปากของพิมพ์มาตลอดว่าห้องมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรและมองออกไปเห็นวิวทิวทัศน์แบบไหน
"ขอบคุณมากนะคะคุณกวี แล้วนี่จะย้ายเข้ามาอยู่วันไหนคะ เห็นบอกจะย้ายเข้าเลยไม่เห็นมีของมาเลย"
"ยังไม่ใช่ตอนนี้ครับ...น่าจะอีกสักพัก"
ชายหนุ่มยิ้มตอบและปล่อยให้พนักงานเดินออกจากห้องไป ก่อนที่เขาจะหันกลับมามองห้องพักที่ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ใหม่เอี่ยม ไม่มีอะไรที่ทำให้เขานึกถึงคนรักที่จากไป นอกจากห้องๆ นี้ ที่เขาเคยโกรธเธอมากที่หลอกให้เขามาดูแต่สุดท้ายคนที่ซื้อตัดหน้าไปกลับเป็นจอมพล และสุดท้ายเธอก็ไม่เลิกกับไอ้นักร้องนั่น
กวียอมรับว่าตัวเองเป็นคนใจแคบและใจร้ายอย่างถึงที่สุดเมื่อพิมพ์กลับมาขอความช่วยเหลือเขาหลังจากตัดรอนความสัมพันธ์ต่อกันไปเพราะ "ความรู้สึกผิด" ที่เธออ้างว่าเธอไม่สามารถมองหน้าหลานสาวได้หลังจากที่แอบคบหากับพี่เขยมาเกือบหกปี ใช่ หกปีที่ทั้งสองแอบไปมาหาสู่กันตลอดโดยที่ฝนทิพย์ไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย
หลังจากตัดรอนความสัมพันธ์ไป พิมพ์ก็กลับมาขอร้องให้เขาช่วยเรื่องงาน แน่นอนว่าภรรยาเขาไม่เคยรู้ความสัมพันธ์นี้ก็มาช่วยพูดให้ กวีจึงได้ทีระบายความคับแค้นใจส่วนตัวด้วยการหลอกให้พิมพ์ไปนอนกับหนึ่งในบอร์ดผู้บริหารสายการบินโดยที่เธอไม่สามารถจะปฏิเสธมันได้
มันควรจะจบลงด้วยความสะใจเมื่อเขาได้แก้แค้นพิมพ์ที่หลอกให้เขารักมาเป็นเวลานานแต่กลับยังคบอยู่กับผู้ชายอีกคนหนึ่ง มันควรจะจบลงพร้อมชีวิตที่ถูกทำลายลงของหญิงสาว แต่กลับตาลปัตรไปหมดเมื่อมีอีเมลส่งมาหาเขาก่อนวันสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเพียงหนึ่งวัน ในนั้นมีรูปถ่ายจากเครื่องอัลตร้าซาวด์ และข้อความที่บอกว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ได้เกือบสองเดือนแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่สนใจว่าเธอกำลังท้องกับใคร เพราะเขามั่นใจว่าหากเธอท้องกับจอมพล เธอก็น่าจะบอกจอมพลเพราะนั่นน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าที่จะได้แต่งงานและดึงแฟนหนุ่มให้กลับมารักเธออีกครั้ง แต่พิมพ์กลับส่งมาให้เขา นั่นก็แสดงว่าเธอมั่นใจว่าเด็กในท้องเป็นลูกของเขา...
กวีโกหกภรรยาว่าต้องไปดูงานต่างจังหวักและกลับไปหาพิมพ์อีกครั้ง และบอกกับเธอว่าเขาจะรับผิดชอบเอง พิมพ์ออกมาอยู่อพาร์ตเม้นท์เล็กๆ หลังจากที่โดนจอมพลไล่ออกมาจากห้องอย่างไม่ใยดี เธอไม่บอกใครเรื่องที่กำลังท้องอยู่ กวีกลัวจับใจว่าเธอจะทำอะไรโง่ๆ เพราะแม้ต่อหน้าใครๆ พิมพ์จะยิ้มราวกับไม่ทุกข์ร้อน แต่เธอกลับมาที่ห้องและเอาแต่ร้องไห้ จนกระทั่งผลสอบสัมภาษณ์จากสายการบินแจ้งมาว่าเธอผ่านการคัดเลือก
ขณะที่กวีคิดไปไกลว่าเขาจะหย่ากับฝนทิพย์ เพราะรูปของเด็กตัวน้อยๆ ที่พิมพ์กำลังร้องขอความเป็นพ่อจากเขา แน่นอนว่ามันแย่มากที่เขาทิ้งครอบครัวมา แต่เขาคิดว่าระหว่างน้ำหวานกับเด็กที่กำลังจะเกิด แน่นอนว่าเด็กในท้องพิมพ์น่าสงสารกว่ามากเพราะความรักที่เขามีต่อพิมพ์ที่มากกว่าฝนทิพย์
แต่เปล่าเลย...ทุกอย่างไม่ง่ายแบบนั้นเมื่ออยู่ๆ พิมพ์ได้รับรูปถ่ายแบลคเมล์ที่เธอเคยอยู่กับกวีส่งมาให้ทางข้อความโทรศัพท์ และเจ้าของรูปก็ขู่ว่าจะไปสอดไว้ใต้ประตูห้องเดิมที่เคยอยู่กับจอมพล เธอกลับไปเอารูปที่เป็นหลักฐานนั้น หลังจากที่เธอหายไปหนึงคืนเต็มๆ โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเธอไปทำอะไรมาหลังจากรู้ผลสอบสัมภาษณ์จนกระทั่งเธอส่งข้อความมาหาเขาอีกครั้ง...
'พิมพ์เอาเด็กออกแล้วนะคะ...พี่คิดว่าทางสายการบินเขาจะเจอตอนตรวจร่างกายไหมคะ? ขอโทษที่ทำอะไรไม่ปรึกษานะคะ'
หลังจากข้อความนี้ กวีก็ไม่ได้รับข้อความใดๆ จากพิมพ์อีกต่อไป
จากผลชันสูตรและกล้องวงจรปิดในบริเวณนั้นบ่งบอกว่าหญิงสาวก้าวลงไปที่ถนนก่อนที่รถของอนิลจะขับมาชน
แต่หลังจากที่กวีให้เพื่อนตำรวจที่มีเส้นสายช่วยติดต่อกับหน่วยงานนิติวิทยาศาสตร์ช่วยชันสูตรอีกครั้ง
ผลจึงออกมาว่าพิมพ์อาจจะหน้ามืดไปชั่วขณะเพราะเสียเลือดมากตอนที่ไปเอาเด็กออก และเซลงไปบนถนนขณะที่รถของอนิลขับมาพอดี และสาเหตุการเสียชีวิตไม่ใช่เกิดจากอาการเลือดออกในสมองหลังจากถูกรถชน แต่พิมพ์เสียชีวิตก่อนหน้านั้นเพียงเสี้ยววินาที ด้วยภาวะเสียเลือดจนช็อก
ความจริงที่กวีรู้ถูกซื้อด้วยเงินอีกครั้งเพราะเขาไม่ต้องการให้ครอบครัวของพิมพ์รู้ว่าพิมพ์ไปทำอะไรมา
เขาใช้เงินซื้อหลักฐานการเสียชีวิตของพิมพ์เอาไว้ไม่ให้เธอถูกมองว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำเพื่อเธอ เพราะเงินมากมายแค่ไหนก็ไม่สามารถซื้อชีวิตของผู้หญิงที่เขารักกลับมาได้....
...........TBC..........
ใครนึกหน้าพี่กวีไม่ออกให้นึกถึงแจ็คที่อายุมากกว่านี้สักสิบปีค่ะ
จริงๆ ประเด็นพี่กวีกับพิมพ์เราจะเล่นตั้งแต่ภาคแรกแล้ว แต่เปลี่ยนใจ
พอได้มีโอกาสเขียนภาคนี้ก็เลยได้เขียนจนได้ค่ะ ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

กวีก็......................
ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบาย
พีคในพีค
ก่อนอื่นขำที่มีการไทอินเถ้าแก่น้อย 555 จีนด่าพิเจบีตะไม โอยยย
ละก็เพิ่งจะมาสังเกตเอาตอนนี้ว่า สนพ ที่จีนสังกัดชื่อนกน้อย อ่านมาจะร้อยตอนละตั้งแต่ภาคแรก 555
สุดท้ายเรื่องของพรี่กวีกับพิมพ์ โอ้ย พีคในพีึค พี่กวีนี่รักพิมพ์จริงๆสินะ พิมพ์นี่เป็นตัวละครที่ซับซ้อนจริงๆ ขนาดนางตายแล้วนะ