ตอนที่ 86 : EP.25 HATE, LOVE [100%]
Upside Down
Welcome To The Upside Down
EP.25
มันเป็นเรื่องจริงที่คนบางคนเลือกที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ตัวเองต้องตกเป็นเป้าให้คนเกลียดชังและผลักคนอื่นเข้าสู่สมรภูมิแทนด้วยเล่ห์เหลี่ยมและเงื่อนไขที่อีกฝ่ายต้องจำนน แต่ในเมื่อไม่ได้บังคับแล้วมันจะผิดอะไรล่ะ ถ้าหากจะเอาตัวรอดด้วยวิธีนี้..
"ข้อแม้เดียวคือห้ามบอกแจ็คว่าเธอมาทำงานให้ฉัน เพราะตอนนี้แฟนคลับที่เป็นหูเป็นตาให้เขาก็โดนเก็บไปเกือบหมดแล้ว ฉะนั้นสิ่งที่เธอต้องทำก็แค่ดูแลตามตารางงานที่ฉันจะบอกในแต่ละสัปดาห์"
"ทำไมถึงบอกไม่ได้..."
"เธออยากรู้จักแฟนเธอด้วยตัวเองหรือตามที่เขาพูดกรอกหูเธอล่ะ?"
'อยากรู้จักกวินด้วยตัวเองหรือตามที่เขาพูดกรอกหูงั้นเหรอ....'
บทสนทนาที่คุยกับยลรดาก่อนลงจากรถยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของอนิลจนนอนไม่หลับ ทั้งที่ความจริงอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนที่เขาควรจะวางใจร้อยเปอร์เซ็นต์ในฐานะแฟนเก่าของกวิน แต่อีกใจก็รู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่กวินบอกเขาไม่หมด เช่นเรื่องเงิน
'ถ้าบีมีปัญหาเรื่องเงินขนาดนี้แล้วทำไมแจ็คถึงไม่ทำอะไรเลย? แจนบอกว่าเพิ่งรู้ แต่แจ็คไม่รู้มาก่อนเหรอ?'
คิดพลางถอนใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ มันก้ำกึ่งไปหมดระหว่างถามกวินไปตรงๆ กับยอมไว้ใจยลรดาแล้วทำตามข้อเสนอ การถูกส่งไปเป็นไม้กันหมา คอยฉะกับแฟนคลับแทนแม่นางเอกที่ขึ้นแท่นผู้จัดการสวยๆ อยู่หลังฉาก รู้ทั้งรู้ว่าต้องลำบากแน่ แต่นอกจากตำแหน่งผู้จักการแล้วก็ไม่มีทางอื่นเลยที่อนิลจะสืบรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับยัยเด็กไพลินอะไรนั่น ที่จู่ๆ ก็หายตัวไปเฉยๆ พอถามยลรดาก็ดูเหมือนจะไม่รู้และไม่เคยเห็นหน้าเด็กคนนั้นเลย มีแต่กวินเท่านั้นที่พูดถึงและบอกว่าเด็กคนนั้นเป็นแฟนคลับที่มีอิทธิพลพอสมควรและจอมพลเองก็จำเป็นต้องเกรงใจ
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย..."
...................
ในเช้าวันรุ่งขึ้นอนิลก็ถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่งด้วยเสียงเตือนข้อความแชทจากคนรัก เพียงที่หรี่ตามองข้อความด้วยงุนงงตื่นไม่เต็มตาแต่เมื่อไล่อ่านข้อความจนจบก็ถึงกับสะดุ้งลุกขึ้นมานั่งพิมพ์ตอบทันที
GAGAWIN : ตื่นรึยัง? สักสิบโมงไปหานะ วันนี้รอดตัวพี่ฝนพาน้ำหวานไปหาคุณยาย
BabyEarn : วันนี้ไม่ว่างอะ ต้องเข้าบริษัท พ่อให้ไปช่วยงาน
คำโกหกที่คิดได้ในวินาทีนั้นถูกพิมพ์ตอบกลับไปในทันทีเพราะตารางงานที่ยลรดาส่งมาให้เมื่อคืน วันนี้เขาต้องรอรถตู้มารับสิบโมงครึ่งแล้วพาจอมพลไปถ่ายงานจนถึงบ่ายสาม
GAGAWIN : เลิกกี่โมงล่ะ? เดี๋ยวไปรับที่บริษัทก็ได้ใกล้ๆ
BabyEarn :
ส่งสติ๊กเกอร์ไปก็นั่งคำนวนเวลาไป สถานที่ๆ ไปวันนี้ก็ไกลเสียด้วย แต่ถ้าจะปฏิเสธไม่เจอกันเลยมันก็ผิดวิสัยไปหน่อยมีหวังได้โดนสงสัยแน่ๆ
GAGAWIN :
BabyEarn :
GAGAWIN : จะรัวสติ๊กเกอร์กันขนาดนี้เดี๋ยวจะโทรละนะ
BabyEarn : สักห้าโมงครึ่งได้ไหม? ยังว่างอยู่ไหม?
GAGAWIN : โอเค เจอกันครับ
ทั้งที่ไม่เคยคิดจะโกหกเลยสักครั้ง ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ แต่เพราะความอยากรู้อยากเห็นที่ยังติดค้างในใจ อนิลได้แต่มองข้อความสุดท้ายที่คุยกันแล้วก็ถอนใจ มองเวลาแล้วก็รีบลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวทำธุระของตัวเองให้เสร็จก่อนจะโทรเรียกคนขับรถที่ยลรดาให้เบอร์ไว้ การทำงานวันแรกกับจอมพลไม่ใช่แค่เขาที่รู้สึกตื่นเต้น แต่คิดว่าถ้าพ่อนักร้องรู้ว่าเขามาดูแลในฐานะผู้จัดการก็คงเสียวสันหลังน่าดูเหมือนกัน
..............
"มาได้ไง? แล้วแจนล่ะ?"
คำทักทายแรกเมื่อจอมพลเปิดประตูขึ้นรถมาทั้งสีหน้าและท่าทางที่บ่งบอกว่าตกใจ มองผู้จัดการคนใหม่ด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ แต่ชายหนุ่มคิดว่าคนรักคงไม่รู้เรื่องด้วยแน่ๆ เพราะต่อให้ทะเลาะกันหรือไม่พอใจอะไร จินตภัทรก็คงไม่ถึงขั้นส่งอนิลมาสอดส่องแน่ๆ
"ขึ้นรถก่อน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง" ร่างผอมบางในชุดนำแฟชั่นที่ราคาแพงจนจอมพลมองหัวจรดเท้าเอ่ยพลางถอดแว่นกันแดดออกก่อนจะเริ่มสาธยายถึง 'งานของตัวเอง' ที่ทำเอาคนฟังได้แต่อ้าปากค้าง เหตุผลง่ายๆ ก็แค่ยลรดาใจไม่กล้าพอที่จะไปปะทะแฟนคลับของจอมพลในฐานะดีเจเก่าที่เคยมีหน้ามีตาในสังคม บวกกับตารางงานที่ต้องจัดมากมายของวงเดฟโซลเองด้วยทำให้อนิลถูกจ้างเข้ามาช่วย
"โห เจ๊ก็ไม่ได้ร้อนเงินปะ ต้องมาทำงานแบบนี้"
คำพูดกวนประสาทแซวขณะที่มองกระเป๋าแบรนด์เนมของอนิลที่มือเรียวเปิดแล้วยัดแว่นกันแดดลงไปเก็บ ราคาของมันน่าจะเกินค่าตัวของเขาที่ต้องทำงานสิบกว่าชั่วโมงแต่คงซื้อได้แค่สายกระเป๋าเองละมั้ง
"ใจรักไง.." ใบหน้าสวยจิกตามองก่อนตอบพลางสะบัดหน้าหนี
"แล้วจะไปนั่งทำอะไรตอนถ่ายงานอะ"
"แล้วปกติแจ็คทำอะไร?"
"ก็อ่านหนังสือ นิยายมันขนมาเป็นตั้งเลย เออ ว่าแต่ไอ้แจ็คมันรู้ปะเนี่ย?"
คำถามที่จอมพลคิดเอาไว้แล้วว่าเพื่อนสนิทเขาต้องไม่รู้แน่ๆ แล้วก็จริงตามคาดเมื่ออนิลตอบกลับมาด้วยท่าทางส่ายหน้าน้อยๆ
"ไม่อะ ก็อย่าไปปากดีฟ้องนะ ไม่งั้นจะฟ้องจีนเรื่องที่เธอแอบไปเจอแฟนคลับ"
จอมพลฟังแล้วก็ได้แต่อึกอักพูดอะไรต่อไม่ถูก ดูเหมือนยลรดาไม่ได้ตั้งใจจะพาอนิลมาช่วยงานอย่างเดียว แต่พามาสร้างภาระให้เขาเพิ่ม เพราะเริ่มแรกก็ขู่ฟ้องเมีย ต่อไปไม่รู้จะขู่อะไรอีก
ชายหนุ่มถูกปลุกขึ้นมาหลักจากงีบหลับมาตลอดทางตลอดสองชั่วโฒงที่นั่งรถมาถึงกองถ่าย ทุกอย่างถูกเซ็ทไว้หมดแล้วเพราะมีถ่ายก่อนหน้าที่เขาจะมา และอุปสรรคแรกของอนิลก็เริ่มขึ้นทันทีที่ลงจากรถแล้วแฟนคลับที่รออยู่กรูกันเข้ามาหาพร้อมเสียงเอะอะเรียกชื่อจอมพล
"นี่ๆ ถอยออกไป ถ้าจะรอไปรอทางออกเลยเสร็จงานแล้วเดี๋ยวให้แวะไปทัก แต่ห้ามเดินเข้ามาวุ่นวายในนี้เข้าใจไหม?"
ประโยคที่เอ่ยกับแฟนคลับเขาทำเอาจอมพลอึ้งไปเหมือนกันแล้วก็ไม่ต่างจากเด็กๆ ที่รออยู่ประมาณยี่สิบคนที่ได้แต่มองหน้ากันแล้วกระซิบกระซาบถามว่าคนนี้เป็นใคร แต่ก็ไม่อาจเล็ดรอดสายตาของอนิลไปได้
"ฉันเป็นผู้จัดการคนใหม่ของบี สิ่งที่พวกเธอควรรู้คือฉันไม่ใช่คนใจดี ถ้าพูดไม่ฟังบีถ่ายงานเสร็จขึ้นรถกลับจะไม่ให้แวะทักแม้แต่คำเดียว โอเคไหม?"
ดูเหมือนอนิลจะถูกเทรนด์มาดีจากยลรดา เพราะก่อนหน้านี้ยลรดามาลงสนามได้แค่วันเดียวก็ถึงกับหน้าบึ้งไปทั้งวันเพราะพูดอะไรแฟนคลับก็ไม่สนใจเลย แถมไม่มีใครเชื่อด้วยซ้ำว่าหญิงสาวมาทำงานในตำแหน่งผู้จัดการ แต่กับอนิลในตอนนี้แค่ประโยคเดียวเด็กๆ ก็เริ่มถอยหลังกลับไปนั่งด้านนอกสตูฯ กันหมด จอมพลแอบยิ้มให้แฟนคลับเล็กน้อยแต่หันมาก็เจอหน้ายักษ์ของผู้จัดการที่จ้องเหมือนจะบีบคอ
"นี่เจ๊ไม่ต้องดุผมก็ได้ ดุแฟนคลับก็พอ"
"ถ้าเรียกเจ๊อีกคำเดียวนะ....." อนิลส่งเสียงคำรามในคอแล้วหรี่ตามองจนคนตัวโตกว่าได้แต่ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมไม่กล้าลองดี จอมพลเดินตามสไตลิสเข้าไปแต่งตัว ก่อนจะทิ้งอนิลไว้กับภาระยี่สิบกว่าคนที่ชะเง้อคอยาวมองหาศิลปินที่ค่อยๆ เดินลับตาไป
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแฟนคลับเป็นประชากรที่มีชีวิตน่าอัศจรรย์สำหรับอนิล เพราะทันทีที่จอมพลหายเข้าไปในสตูฯ เด็กๆก็อจับกลุ่มกันกินขนม ฟังเพลง เล่นโทรศัพท์ เหมือนมีอะไรทำกันไม่เบื่อระหว่างรอทั้งที่จะต้องนั่งกับอยู่เกือบ 5 ชั่วโมง เพราะนอกจากถ่ายนิตยสารแล้วก็มีสัมภาษณ์อีก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับอนิลที่ไม่มีประสบการณ์นั่งรอนอนรอใคร
มือเรียวกดโทรศัพท์ดูอินสตาแกรม แชทคุยกับเพื่อนที่แอลเอ และถอนใจทิ้งประมาณยี่สิบรอบ เขาได้ทำหน้าที่ผู้จัดการแค่ตรวจทานคำถามที่จะใช้สัมภาณษณ์ซึ่งหน้าที่ตรงนี้ยลรดาก็ทำไปแล้วผ่านการอนุมัติคำถามต่างๆ และแก้ไข ตัดออก จนสมบูรณ์ ส่วนอนิลก็แค่ดูว่ามันไม่ได้ถูกเปลี่ยนหรือเพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากนั้น ก็จบแล้วสำหรับผู้จัดการ จนกระทั่งผ่านดูแลฉากเดินมาขอให้เขาเชิญแฟนคลับออกไปเพราะเดี๋ยวจะใช้สถานที่ด้านหน้าสตูฯ สำหรับทำอะไรสักอย่าง
ร่างบางเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมยลรดาถึงหาคนมารับเคราะห์แทน เพราะทันทีที่อนิลเดินไปบอกแฟนคลับให้ออกไปจากที่นั่งหน้าสตูฯ ก็เริ่มมีเสียงบ่นไม่พอใจขึ้นมา บางคนก็พยายามยืนยันว่าสิทธิ์ตรงนี้เป็นสิทธิโดยชอบธรรม
"หนูก็เคยมารอตลอด ไม่เห็นพี่แจ็คว่าอะไรเลย" บ่นไม่พอยังมีชื่อของแฟนหนุ่มถูกหยิบยกมาอ้างอีก อนิลพยามเก็บความรู้สึกเอือมระอาเอาไว้ แล้วเริ่มต่อรองด้วยท่าทีที่อ่อนลง
"ก็ทางเจ้าของสถานที่เขาจะใช้ไงครับน้อง จะรอก็ไปรอร้านกาแฟหรือที่อื่นก่อน ตรงนี้เขาจะย้ายของมาเซ็ทแล้ว"
"หนูยืนฝั่งตรงข้ามก็ได้นี่คะ ตรงใกล้ๆ ต้นไม้"
หนึ่งในเด็กแฟนคลับเอ่ยพลางชีไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ฝั่งแดดกำลังแผดเผาจนอนิลขมวดคิ้วและคิดว่าใครจะบ้าไปยืนอยู่ตรงนั้น แต่เมื่อหันไปปรึกษาทีมงานว่าไม่มีปัญหา เด็กๆ ก็เดินข้ามไปนั่งรับแดดตาหยีกันทั้งกลุ่ม ดวงตากลมโตมองกลุ่มเด็กแฟนคลับด้วยความรู้สึกไม่พอใจลึกๆ ว่าถ้าเกิดป่วยเป็นอะไรกันไปพ่อแม่ไม่ด่ากันหรอกหรือไง จนช่างไฟคนหนึ่งคงสังเกตเห็นเลยเข้ามาเปิดโลกให้อนิลรู้ในเรื่องความหัศจรรย์ของแฟนคลับอีกหนึ่งเรื่อง
"แบบนี้แหละพี่ รอกันทั้งวันทั้งคืนเจอกันแค่นาทีเดียวก็ชื่นใจแล้ว ขนาดวันฝนตกก็มานั่งกางร่มรอกันเป็นกลุ่ม ตีหนึ่งตีสองก็ยังอยู่รอจนกว่าจะเจอถึกกันจะตาย"
อนิลฟังแล้วก็พยักหน้ายิ้มเจื่อนๆ ให้ก่อนจะปลีกตัวเองมานั่งอยู่ในร้านกาแฟชื่อดังอยู่เยื้องๆ กัน แต่สายตาของเขาก็ยังมองไปที่เด็กพวกนั้นด้วยความระแวง แต่ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปนานแค่ไหน กลุ่มก้อนที่เรียกว่าแฟนคลับก็ไม่มีท่าทีจะเหนื่อยกับการรอคอย แถมเริ่มบ่ายคล้อยพวกที่เรียนหนังสือเสร็จก็ตามมาสมทบจนที่อยู่เริ่มแออัด บางคนก็กระเด็นมานั่งตากแอร์สั่งกาแฟร้านเดียวกับเขา หลายคนพยายามยิ้มให้แต่อนิลก็ได้แต่ตีหน้านิ่งไม่หือไม่อือ เพราะโดนยลรดาสั่งมาว่าห้ามไปตีสนิทกับพวกแฟนคลับหรือเลิกปฏิบัติเด็ดขาด
"ขอโทษครับ แถวนี้มีร้านสะดวกซื้อด้วยเหรอ?"
ร่างผอมบางเดินไปถามพนักงานที่เค้าเตอร์หลังจากที่เห็นเด็กบางคนเดินหิ้วถุงขนมนมเนยกันมา แต่ไม่รู้ร้านมันอยู่ตรงไหนเพราะชะเง้อมองเท่าไหร่ก็ไม่เห็น
"อ๋อ อยู่ถัดไปอีกแยกครับ ต้องข้ามถนนไป แล้วเดินไปซอยขวามือแรก อยู่กลางๆ ซอย"
บ้าไปแล้ว...ไกลขนาดนั้นเดินตากแดดกันไปได้ไงวะ?
อนิลทำตาโตขณะที่พนักงานที่ให้คำตอบยิ้มให้ตามมารยาท ร่างบางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะหยิบเครดิตการ์ดออกมาจากกระเป๋าและเริ่มสั่งแซนวิชกับเครื่องดื่มหลายชุดก่อนจะขอให้พนักงานช่วยเอาไปให้เด็กๆ ที่รออยู่ ราวกับได้ปลดเปลื้องความรู้สึกอึดอัดทั้งที่ขัดคำสั่งของยลรดา แต่มันทนไม่ไหวจริงๆ ที่จะต้องเห็นเด็กผู้หญิงตัวแค่นั้นผลักกันเดินข้ามถนนไปร้านสะดวกซื้อแล้วก็เอาขนมมาแบ่งกันกินซึ่งดูแล้วมันไม่มีทางอิ่มท้องไปได้เลย...
ไม่นานเด็กสองสามคนก็เดินเข้ามาในร้านแล้วยิ้มให้เขา อนิลรู้สึกวางตัวไม่ถูกแต่พอเห็นยกมือไหว้ขอบคุณก็ได้แต่รับไหว้หน้าตาเหลอหรา
"ขอบคุณนะคะพี่ จริงๆ พี่แจ็คก็เลี้ยงขนมพวกหนูบ่อย แต่พี่เปย์หนักกว่าเยอะเลยอะ พี่ชื่ออะไรเหรอคะ?"
อนิลฟังคำถามแล้วก็เงียบไปชั่วอึดใจ คำพูดของยลรดายังคงวนเวียนอยู่ในหัวที่ย้ำว่าอย่าไปยุ่งกับแฟนคลับ แต่สุดท้ายท่าทางและสายตาของเด็กหญิงที่ยืนมองหน้าเขามันก็ไม่ได้น่ากลัวหรือเหมือนตัวประหลาดอย่างที่อนิลเคยจินตนาการเอาไว้ว่าแฟนคลับของคุณบีเดฟโซลคงจะเป็นพวกเด็กผู้หญิงโรคจิตชอบนักร้องหน้าหล่อหุ่นดีเป้าตุงอะไรแบบนั้น
"ชื่อเอินครับ ไม่ต้องขอบคุณหรอก เอ่อ ทำไมไม่ไปเรียนกันอะ? มารอแต่เช้าเลยเหรอ?"
"อ๋อหนูสอบเช้าวิชาเดียวค่ะ สอบเสร็จก็มากัน เอาหนังสือเตรียมสอบมาอ่านรอ"
เพราะมันเป็นคำตอบที่เกินคาดไปไกล ทั้งที่เขาคิดมาตลอดว่าเด็กพวกนี้คงบ้าตามผู้ชายหนังสือหนังหาไม่ร่ำไม่เรียน อนิลได้แต่พยักหน้าแล้วมองเข็มกลัดสถาบันฯที่ติดหน้าอก ใบหน้าที่เคยเฉยชาก็อมยิ้มแล้วถามขึ้นมาเพราะมันเป็นโรงเรียนที่เขารู้จัก สุดท้ายอนิลก็พูดคุยเป็นกันเองกับแฟนคลับมากขึ้น และเริ่มเข้าใจว่าทำไมกวินถึงเป็นที่รักของแฟนคลับ เพราะตลอดเวลาที่พูดคุยกันและเริ่มรับรู้ว่ากวินลาออกไปแล้วก็มีแต่คำพูดว่าเสียดาย ถึงจะแอบหึงเล็กๆ ในใจเวลามีใครบางคนในกลุ่มแฟนคลับชมว่ากวินหล่อมาก เสียดายที่ไม่เจอกันแล้ว แต่นอกเหนือจากนั้น ก็มีแต่เรื่องดีๆ และการบอกเล่าให้อนิลฟังว่ากวินในฐานะผู้จัดการนั้นทำงานแบบไหน จนกระทั่งหัวข้อการสนทนาเริ่มกลายเป็นการนินทาแฟนคลับผู้มีอิทธิพลที่อนิลเกือบลืมไปแล้วว่าเป็นคนสำคัญที่เขาอยากรู้จัก
"เนี่ยแก ฉันว่าพี่เขาโชคดีมากเลยนะอีลินลี่นมโตไม่ค่อยมาตามแล้ว ไม่งั้นมันต้องเกลียดพี่เขาแน่ๆ อะ"
"เดี๋ยวนะ ทำไมเขาต้องเกลียดพี่อะ?"
"แหมพี่เอิน ก็พี่สวยไง สวยกว่าผู้หญิงอีก ใครหน้าตาดีๆ อีลินลี่หมายหัวหมด เคยมีแฟนคลับบางคนโดนจ้างให้เลิกตามก็มีเพราะเสือกสวยกว่ามัน"
แฟนคลับร่างอวบช่างจ้อพูดจบเพื่อนๆ ในกลุ่มก็เริ่มหัวเราะแล้วนินทาไพลินให้เขาฟัง บางคนถึงขั้นเปิดรูปให้ดู อนิลมองแล้วก็คิดว่าเด็กคนนี้หน้าตาสะสวยทีเดียว ก็คงไม่แปลกที่จอมพลจะไปหาบ่อยๆ แถมยังได้เงินอีกต่างหาก
"แล้วจริงไหมที่พี่เคยได้ยินมาว่าเขาไปเสนอตัวให้บีอะไรงี้?"
คำถามของอนิลไม่ได้ซีเรียสหรือรุนแรงเลยแม้แต่น้อย แต่เสียงที่กำลังคุยกับจ้อกลับเงียบลงเหมือนมีคนสะดุดเตะปลั๊ก สายตาแฟนคลับมองเขาเป็นตาเดียว แต่สิ่งที่ตอบนั้นกลับทำให้อนิลรู้สึกหดหู่เหลือเกิน
"หนูไม่รู้ว่าอีลินมันทำจริงไหม แต่หนูเชื่อว่าพี่บีไม่เอามันหรอก พี่บีเขาดีจะตาย เป็นสุภาพบุรุษมากๆ ดูสิพี่เขาเป็นเกย์ยังเขาเปิดตัวแฟนนักเขียนคนนั้นได้
ตอนที่เห็นข่าว พวกหนูก็ใจหายนะ แต่อีกใจก็คิดว่าดีแล้วอะอย่างน้อยก็ไม่ต้องมีเมียเป็นชะนี แล้วที่ได้ยินมาพี่จีนแฟนพี่บีเขาน่ารักนะ โคตรโชคดีเลยที่ได้พี่บีเป็นแฟน ส่วนเรื่องข่าวลืออะไรพวกเนี่ยหนูไม่เชื่อกันหรอก อะไรที่พี่บีไม่ได้พูดออกมาจากปากหรือมีหลักฐานว่าทำผิด จ้างให้หนูก็ไม่สนใจ
พวกหนูเชื่อว่าพี่บีเป็นคนดี ตั้งแต่ตามพี่เขามา พี่เขาไม่เคยมีข่าวเสียหายนะ ถึงจะมีคนพยายามกุข่าวว่าเขามีแฟนตั้งแต่มหาลัยแอบคบกันมาตลอด พวกหนูก็ไม่เชื่อหรอกถ้าพี่บีไม่ออกมาพูด ยังไงพวกหนูก็เชื่อในตัวพี่เขาเสมอ
ก็ตามมาตั้งหลายปีตั้งแต่บ้านพี่เขาอยู่ในตลาด จนตอนนี้ปลูกบ้านใหญ่โตให้พ่อแม่ พี่คิดว่าคนนิสัยดีๆ แบบนี้จะทำเรื่องไม่ดีได้เหรอคะ?"
ฟังจบอนิลก็ได้แต่ยิ้มให้อย่างเข้าใจ ทั้งที่สิ่งที่แฟนคลับพูดมามันช่างไร้เดียงสาเหลือเกินในความคิดของเขา...
ความรักของแฟนคลับ มันน่าเศร้าจริงๆ การรักคนๆ หนึ่ง ที่เราไม่มีวันเห็นตัวตนของเขา แต่กลับเชื่อมั่นในสิ่งที่เห็นหมดหัวใจ
อนิลคิดว่าเขาคงเป็นแฟนคลับใครไม่ได้....เพราะมันน่าเศร้าเกินไป
.........20%.........
ทั้งที่มันเหมือนกับวันธรรมดาวันหนึ่งที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย ตั้งแต่เช้าทั้งที่เขาดีใจที่วันนี้ทั้งบ้านออกไปต่างจังหวัดเพราะฝนทิพย์พาหลานสาวไปบ้านญาติๆ รีบส่งข้อความไปหาคนรักเพราะจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งวัน เพราะยังไงอนิลช่วยงานที่บ้านก็คงไม่มีเหตุจะต้องปฏิเสธเพราะตลอดมามีเวลาน้อยแค่ไหนก็จะรีบมาหากันตลอด
แต่ทุกอย่างที่วางแผนไว้มันกลับผิดแผนไม่หมด เพราะอนิลปฏิเสธที่จะเจอกันเพราะต้องไปบริษัทของพ่อ ซึ่งตั้งแต่คุยกันจบกวินกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่วันที่ธรรมดาอีกต่อไป เขาไม่สามารถเชื่อได้สนิทใจเลยแม้ว่าคำตอบจะเป็นเพียงแค่ตัวหนังสือกับสติ๊กเกอร์น่ารักๆ จากอีกฝ่าย อยู่ๆ มันก็มีอะไรบางอย่างสะกิดใจขึ้นมาว่าคนรักกำลังโกหกเขา...
กวินขับรถมาที่คอนโดของจอมพลทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเพื่อนมีตารางงาน แต่คนที่เขาอยากเจอกลับเป็นจินตภัทร เขาอยากปรึกษาคุณนักเขียนว่าช่วงนี้อนิลเป็นอะไรรึเปล่า มีปัญหาอะไรรึเปล่าที่เขาไม่รู้ เพราะหลังจากวันที่เขาอธิบายเรื่องจอมพลไปดูเหมือนอนิลยังมีเรื่องติดใจไม่เข้าใจอยู่แต่กลับไม่พูดไม่เซ้าซี้ถามอีกเลยดูจะไม่ใช่นิสัยของเจ้าตัวสักนิด
เมื่อขับรถมาถึงกวินก็โทรขึ้นไปหาจินตภัทรทำทีว่าแวะมาแถวนี้แล้วชวนไปกินข้าวกัน ซึ่งคุณนักเขียนตัวเล็กก็ไม่ได้ปฏิเสธและบอกให้เขาจอดรถรออยู่ที่หน้าคอนโดไม่ต้องวนรถขึ้นมา ชายหนุี่มเปิดกระจกกวักมือเรียกรปภ.ว่าจะถามขอเขาจอดรอตรงสัก 15 นาที เพราะต้องให้เวลาจินตภัทรแต่งตัวก่อนจะลงมา
"ขอโทษครับ เดี๋ยวขอจอดรถเพื่อนตรงนี้ได้ไหม?" ชายหนุ่มว่าพลางส่งยิ้มให้รปภ.สูงอายุที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีเพราะเขาก็มาที่นี่บ่อยๆ
"อ้อ ได้สิครับ ช่วงนี้ไม่มีรถเท่าไหร่ อ้อใช่เมื่อตอนสายๆ เห็นรถตู้มาจอดรับคุณบี ไม่ได้ไปด้วยกันแล้วเหรอครับ?"
"ผมไม่ได้ทำงานกับบีแล้วครับ ช่วงนี้พัก" กวินตอบคำถามที่น่าอึดอัดออกไปอย่าเงสียไม่ได้ ทั้งที่ตัวเขาเองไม่ได้อยากออกจากงานเลยสักนิด
"อ๋อพักผ่อนสินะครับ ใช่ เมื่อเช้าเห็นรถตู้คันใหม่ รถสวยทีเดียวผมเห็นคุณเอินนั่งมาด้วยว่าจะทักอยู่แต่เห็นแกไม่ได้ลงมาจากรถทีแรกก็งง คุณว่าคุณจีนจะลงมา แต่เหมือนรีบมารับคุณบีแล้วก็ออกไปเลย"
ทั้งที่เป็นบทสนทนาที่ธรรมดาๆ เพราะยังไงรปภ.ก็รู้ว่าพวกเขารู้จักกัน ไม่ว่าจะเข้าใจว่าพวกเขารู้จักกันในฐานะไหน แต่สิ่งที่มันสะกิดใจคือคำบอกกล่าวที่พูดถึงอนิลทั้งที่เจ้าตัวบอกเขาว่าไปที่บริษัทของพ่อ แล้วทำไมถึงนั่งรถตู้มารับเพื่อนเขาได้....
"เอินเหรอครับ? ดูผิดรึเปล่า" กวินถามย้ำเพื่อความแน่ใจ เขาไม่อยากเชื่อเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าอนิลไม่มีทางไปไหนมาไหนกับจอมพลอยู่แล้วเพราะท่าทางที่เกลียดขี้หน้ากันอย่างกับอะไรดี อย่างน้อยถ้าไปก็น่าจะมีจินตภัทรไปด้วย แต่ดูเหมือนรปภ.จะมั่นอกมั่นใจทีเดียวว่าไม่ได้ตาฝาดไปเอง
"คุณเอินนี่แหละครับ ผมเห็นตอนคุณบีเปิดประตูขึ้นรถ ยังว่าจะทักอยู่เลยว่าแว่นสวย ผมสีแดงที่คุณเอินเพิ่งทำมาไม่กี่วันก่อนมันติดตาซะขนาดนั้นไม่มีทางเป็นคนอื่นหรอกครับ"
ใช่ เมื่อสองสามวันก่อนแฟนเขาทำผมสีแดงเพลิงเลยแหละ แถมยังถ่ายรูปมาอวดด้วยว่าทำร้านใต้คอนโดของจินตภัทรราคาถูกกว่าไปทำที่สยามตั้งเยอะ กวินฟังแล้วก็เก็ยสีหน้าจนกระทั่งกระจกรถปิดลง เขามองไปทางล็อบบี้ของคอนโดแล้วปล่อยให้ความคิดของตัวเองค่อยๆ ทบทวนอย่างใจเย็น แต่ขณะที่เหลือบไปมองเด็กตัวเล็กๆ ที่คุณแม่อุ้มเดินออกมาก็พานให้คิดถึงพิมพ์ขึ้นมา
เขาเคยแอบมารอรับพิมพ์เมื่อครั้งที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ หญิงสาวมักจะทักทายเพื่อนบ้านคอนโดเดียวกันด้วยรอยยิ้ม เห็นใครอุ้มเด็กก็เป็นต้องเดินเข้าไปทักเพราะชอบเด็กมาๆ หลายครั้งที่หลังเลิกเรียนเขาจะพาน้ำหวานมาหาพิมพ์ทั้งที่เจ้าตัวเล็กหลับอุตุอยู่ในคาร์ซีท แต่พิมพ์ก็ยังมีความสุขอยู่เสมอเวลาที่ได้มองหน้าหลานสาวของเขาใกล้ๆ แม้ยามหลับ
กวินไม่เคยบอกใครว่าเขาเป็นคนคิดมากแค่ไหน แต่พิมพ์มักจะเป็นคนเดียวที่มองหน้าเขาแล้วรู้ว่าเขามีอะไรในใจ หญิงสาวเป็นเหมือนเพื่อนสนิทและน้องสาวที่เขารัก แม้จะจำใจต้องลดทอนความรู้สึกลงมาจากคนที่เคยแอบชอบด้วยความจำใจ แต่พิมพ์ก็ยังเป็นหนึ่งในความทรงจำดีๆ ของเขาเสมอมา...
ไม่รู้ทำไมพอคิดถึงเรื่องพิมพ์เขาก็เริ่มกลัวขึ้นมา มันกลายเป็นความรู้สึกที่หลอกหลอนตัวเองว่าจะโดนเอาคืนจากเพื่อนทั้งที่ไม่เคยกลัวมันมาก่อน ตลอดมาจอมพลไม่เคยเอ่ยปากกับเขาเลยว่าไม่พอใจที่เขากับพิมพ์สนิทสนมกัน ทั้งๆ ที่พิมพ์เองยังเคยหลุดปากพูดกับเขาว่าจอมพลไม่พอใจที่เรื่องบางเรื่องเธอเะอามาปรึกษาเขาแทนที่จะปรึกษาแฟนหนุ่ม เขาเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองคิดกับพิมพ์ยังไง และกลายเป็นเรื่องตลกที่เขาแกล้งแซวพิมพ์ว่ามีแฟนขี้หึงต้องระวัง ทั้งที่ตัวเองเป็นสาเหตุให้ทั้งคู่ทะเลาะกันมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยก็ตามเพราะพิมพ์ติดเขามากในฐานะพี่รหัสตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง มีอะไรก็คุยกัน มีอะไรไม่สบายใจก็มักจะโทรบอกเขาเป็นคนแรก จนมันติดไปแล้วว่าเขาคือคนที่พิมพ์คิดถึงเป็นคนแรกเสมอจนจอมพลไม่พอใจในหลายๆ ครั้ง
ต่อให้ไม่พอใจ....มันจะเป็นไปได้เหรอที่จอมพลจะมาเอาคืนเขาด้วยวิธีเดียวกัน ในเมื่ออนิลออกปากแต่แรกว่าไม่ชอบเพื่อนเขาเลยสักนิดแม้แต่หน้ายังไม่อยากจะมอง
"ไง ไม่ค่อยเจอเลย หลานสบายดีปะ?" เสียงของคนที่เปิดประตูรถขึ้นมาทักขึ้นเรียกสติที่ล่องลอยไปไกลของกวินให้กลับมาในโลกปัจจุบัน ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้ก่อนจะออกปากถามว่าจินตภัทรอยากกินอะไร มือเรียวก็ส่งหนังสือมาให้สามเล่มขณะตอบ
"อยากกินข้าวมันไก่อะ นี่อะ หนังสือเล่มใหม่พอดีได้มาเกินเพราะแต่ก่อนเขาจะพิมพ์มาเผื่อเอินด้วย แต่เอินลาออกแล้วไง เลยให้แจ็คแล้วกัน"
"ขอบคุณนะ" กวินตอบพลางพลิกดูหนังสือนิยายเล่มใหม่ที่เขาไม่มีเวลาออกไปเดินดูร้านหนังสือเพราะมัวแต่เลี้ยงหลานอยู่บ้าน
หลังจากที่เอาหนังสือไปไว้ด้านหลังที่นั่งคนขับ เขาก็ขับรถพาจินตภัทไปหาร้านอร่อยกินตามความประสงค์ของคุณนักเขียนที่บอกว่าเสิร์ชหาจากอินเตอร์เน็ตมาว่าไม่ไกลจากคอนโดเท่าไหร่ กวินแอบถามถึงอนิลว่าวันนี้ได้คุยกันไหม ร่างเล็กตอบแค่ว่ายังไม่ได้ทักไปเลย เพราะมัวแต่ยุ่งปิดเล่มอยู่ แต่อยู่ๆ ก็มีคำถามที่เขาไม่อยากตอบถามกลับมา
"แจ็ครู้เรื่องแฟนคลับที่เคยมาวุ่นวายกับพิมพ์ไหม? เห็นคุณป้าที่อยู่ห้องตรงข้ามเราบอกว่าน้องเขาตกบันไดหัวฟาดพื้น จนป่านนี้ยังไม่เจอเขาเลย ปกติจะเห็นกันเวลาเราลงมาเซเว่น"
"อืม ไม่รู้อะ รู้แค่ว่ามีแฟนคลับตกบันได..."
"เหรอ อืม แปลกอะ เราว่าจะถามหลายครั้งแล้วว่าทำไมตอนนั้นบีถึงไม่ทำอะไรเลย ทั้งๆที่แฟนคลับเข้ามาก้าวก่ายพิมพ์ แต่ทำไมถึงเฉยอะ" ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของจินตภัทรมันบ่งบอกให้รู้ว่าสิ่งที่ถามออกมาเป็นความกังวลใจที่เจ้าตัวคงไม่ได้เอาไปถามแฟนหนุ่มแน่ๆ
"เรื่องมันซับซ้อนน่ะ..."
กวินตอบเพียงเล็กน้อยก่อนจะพยายามประมวลผลและเรียบเรียงคำอธิบายที่จะเลี่ยงไม่บอกว่าจอมพลแอบไปเจอแฟนคลับส่วนตัวเพราะเขาเองที่นัดให้ มันก็เพื่อผลประโยชน์ล้วนๆ เหมือนเส้นสายที่มีทั่วไปในองค์กรณ์ เขาเองก็เป็นเส้นสายหนึ่งที่เลือกให้จอมพลไปเจอแฟนคลับส่วนตัวและรับของขวัญมาบ้าง ตามที่ไพลินขอเอาไว้ แต่ช่วงนี้ไม่รู้เด็กสาวหายไปไหน ขาดการติดต่อกันมาเกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว ทั้งที่ปกติจอมพลไปไหนทำอะไรเธอก็ต้องโทรมาถามไม่ก็ส่งข้อความมาเค้นถามจนกว่าเขาจะตอบ หนักๆเข้าก็ลำเลิกเรื่องที่เสียเงินเสียทองให้จอมพลไป ทั้งเรื่องเงินซัพพอร์ตข้าวของราคาแพงที่เคยให้มา
"คงไม่ได้...ไปทำอะไรไม่ดีใช่ไหม จีนหมายถึง เวลาบีไปเจอแฟนคลับแบบนั้น"
คำถามที่จู่ๆ ก็เอ่ยออกมาจนกวินเกือบเบรครถกระทันหัน แต่โชคดีที่รถค่อยๆชะลอจอดติดสัญญาณไฟแดงเสียก่อน
"ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ บีมันไม่ทำหรอก อย่างมากบางคนที่สนิทๆ ก็แค่ไปกินข้าวกัน ทุกครั้งแจ็คก็ไปด้วยนะ แต่บางทีถ้าขอเจอแปบเดียวบีมันก็แวะไปรับของแล้วกลับเลยไม่เคยอยู่ด้วยหรอก"
แม้จะเป็นถ้อยคำที่ปลอบโยนไม่อยากให้จินตภัทรคิดมากแต่ทั้งหมดนั่นกวินก็บอกไปตามความจริง เพราะทุกครั้งที่ไพลินร้องขอจะเจอจอมพลให้ได้ เขาก็อยู่ด้วยเสมอ
จินตภัทรเงียบไปเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่เหมือนชั่งใจว่าจะถามเขาดีไหม แต่สีหน้าของเจ้าตัวมันปิดไม่มิดเลยจนเขาได้แต่รออย่างมีมารยาทไม่บุ่มบ่ามถามออกไป ยังไงเขาก็เกรงใจอีกฝ่ายอยู่เพราะยังไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้นแม้ว่าจินตภัทรจะปล่อยตัวไม่คิดมากและให้ความสนิทกับเขาพอๆ กับอนิลก็ตาม
"คือเรา... ไว้ใจแจ็คได้ใช่ไหม? เหมือนที่เอินไว้ใจน่ะ"
คำพูดที่ทำให้ชายหนุ่มใจเต้นแรง เขาไม่ได้คิดไปไกลแต่เพราะท่าทีของจินตภัทรที่ทำให้เขาคิดมาก เพราะทุกครั้งที่ใครให้ความสำคัญเขา มันมักจะทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขอยู่เสมอ โดยเฉพาะกับนักเขียนที่แอบปลื้มมาตลอด
"อื้ม ได้ดิ ทำไมถามแบบนั้นอะ แจ็คดูไม่น่าไว้ใจเหรอ?"
"ไม่รู้สิเราแค่มีเรื่องไม่สบายใจ ทั้งที่เราอยากช่วย แต่บีเขาบอกว่าไม่เป็นไร แต่..."
"ช่วยเรื่องอะไร?" คิ้วหนาขมวดเข้าหากันขณะที่ภายในใจมันสับสนไปหมด เพราะเดาไม่ออกว่าจินตภัทรมีเรื่องอะไร
"เรารู้ว่ามันแย่นะที่เอาเรื่องนี้มาบอกแจ็ค แต่เราไม่รู้จะไว้ใจใคร แจ็คกับบีสนิทกันก็คงรู้กันอยู่แล้วใช่ไหมอะ ว่าบีมีหนี้ที่ค้างอยู่ตั้งเยอะ เราอยากเป็นคนช่วยบี อย่างน้อยจ่ายให้ทั้งหมดทันทีไม่ได้ แต่ถ้าจ่ายให้ก่อนทีละงวด จนกว่ามันจะหมด แบบนั้นอย่างน้อยบีก็คง..."
ก่อนที่จินตภัทรจะเื้อนเอ่ยจนจบเพราะความรู้สึกที่ทั้งรักทั้งห่วงแฟนหนุ่ม แต่กวินกลับถามแทรกขึ้นมาเพราะอดทนฟังจนจบไม่ไหว เพราะมันเป็นเรื่องที่เขา 'ไม่เคยรู้มาก่อน' ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อนหรือผู้จัดการ
"เดี๋ยวนะ หนี้อะไร? มันไปยืมใคร?"
สีหน้าของจินตภัทรดูเหลอหราขึ้นมาทันทีราวกับเด็กที่มึนๆงงๆ มือเรียวล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเปิดข้อความที่แก้มยุ้ยสาธยายเรื่องของจอมพลว่าชายหนุ่มติดหนี้ผู้บริหารค่ายเป็นจำนวนมาก แถมยังเสี้ยมว่าให้จินตภัทรระวังตัวว่าจะถูกปลอกลอกอีก
"อ่าว...แล้วที่แก้มยุ้ยส่งข้อความมาบอกเราอะ นี่อะ...น้องเขาโกหกเหรอ?"
กวินไล่สายตาอ่านข้อความที่อยู่ตรงหน้าทุกตัวอักษร ก่อนที่รถคันหลังจะบีบแตรไล่เพราะเขาอยู่คันหน้าสุดและไม่ได้ทันสังเกตว่าไฟจราจรเปลี่ยนสีแล้ว กวินออกรถพลางทบทวนสิ่งที่เขารู้เห็นมาตลอดด้วยความรู้สึกราวกับโดนหักหลัง เพราะอยู่กันแค่นี้และสนิทกันมากจนสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่กลับมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใต้จมูกของเขาแท้ๆ แต่ไม่เคยรู้มาก่อน
"แล้วจีนถามบีมันแล้วเหรอว่ามันมีหนี้ก้อนนั้นจริงไหม?"
"อื้ม คุยแล้วอะ บีก็ไม่ได้บอกว่าจริงไม่จริง แต่บีแค่พูดว่าไม่ได้คิดจะเอาเงินเรา เขาจะจัดการของเขาเอง"
ยี่สิบล้านเลยเหรอ....
เงินเยอะขนาดนี้มันเอาไปทำบ้าอะไรของมันวะ? หรือว่า....
อยู่ๆ สิ่งที่เขามองข้ามไปก็ย้อนกลับมาในความทรงจำที่เขาเคยถามจอมพลไปเมื่อหลายปีก่อน ตั้งแต่วางแผนจะย้ายมาอยู่คอนโดใหม่ คำถามที่เขาเคยถามเพราะเป็นห่วง แต่จอมพลกลับตอบกลับโดยไม่คิดราวกับเตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว
'พ่อมึงซื้อบ้านในหมู่บ้านเศษฐสิริเลยเนี่ยนะ ถูกหวยมารึไง? ไอ้เชี่ยร้อยตารางวาเกือบ 16 ล้านไม่รวมตกแต่งนะเว้ย'
'ก็ช่วยๆ กันแหละ อยู่ในเมืองมันก็ดีกว่าให้เขาอยู่ที่ตลาดไปตลอดชีวิตนะ กูทนไม่ได้ว่ะมึง นั่นพ่อแม่กูนะ กูมีเงินมาซื้อคอนโดอยู่กับพิมพ์ แต่เสือกปล่อยพ่อแม่อยู่ตลาดพรานนกเนี่ยนะ?'
'แล้วมึงจะเอาเงินมาจากไหนวะ? แค่ดาวน์ก็เกือบยี่สิบล้านแล้วมั้ง'
'ก็กู้มาแหละ หาคนค้ำประกันให้ได้แล้ว'
ใช่....ต้องเป็นเรื่องซื้อบ้านแน่ๆ เพื่อนเขาไม่มีทางเอาเงินไปทำอย่างอื่นหรอก ถึงจะบ้าบองี่เง่าแค่ไหน แต่มีสิ่งเดียวที่เขารู้ว่าทำไมจอมพลยังกัดฟันรับเงินที่ไพลินโอนมาให้ทุกเดือนอยู่ ทั้งซื้อบ้าน แล้วส่งให้พ่อแม่ใช้อีกเดือนละสี่ห้าหมื่น ทั้งที่เขาเคยบอกแล้วว่าถ้าไม่มีก็ลดลงมาก่อนในช่วงที่ไม่มีงานเข้า แต่สุดท้ายจอมพลก็ดื้อดึงที่จะทำให้ได้ตามที่เอ่ยปากบอกพ่อแม่ไปแล้วว่าต่อไปนี้จะรับผิดชอบทุกอย่างเอง
เหมือนกับที่เจ้าตัวเคยบอกว่าสามารถหาเลี้ยงพิมพ์ได้โดยที่ฝ่ายหญิงขอร้องว่าจะออกไปทำงาน เพื่อนเขามันเป็นผู้ชายโง่ๆ ที่คิดว่าสามารถแบกภาระได้ทุกอย่าง แบกภาระคนที่ตัวเองรักทุกคนเอาไว้คนเดียว เพื่อนเขามันบ้า...
.......50%......
"ออกไปทักแฟนคลับก่อนแล้วค่อยมาขึ้นรถก็ได้ เดี๋ยวฉันไปรอที่รถนะ"
คำพูดของร่างบางเรียกให้จอมพลหันไปมองอย่างแปลกใจ ขณะที่ทกำลังเก็บเสื้อผ้าใส่ถุงกระดาษให้พร้อมทั้งหยิบกระเป๋าของชายหนุ่มรวบไปไว้ในมือคน อนิลกลับเข้ามาหาเขาเมื่อถึงเวลาเลิกกองแต่ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้หายไปไหนนานสองนาน
"เดี๋ยวก่อน..." เสียงทุ้มเรียกอีกฝ่ายที่กำลังจะเดินไปจากห้องพักแล้วลุกขึ้นเดินไปดักหน้าไว้ สีหน้าของอนิลมันเห็นชัดว่ามีบางอย่างในใจ
"อะไร" เสียงที่เอ่ยแผ่วเบาแถมยังหลบตา จอมพลไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย อนิลที่เกรี้ยวกราดและชอบด่าจิกเขามันยังทำให้รู้สึกสบายใจเสียกว่าตอนนี้ร่างบางเอาแต่เงียบ
"คือ.. เป็นอะไรรึเปล่า? เมื่อกี้ไปไหนมา?"
"อยู่ร้านกาแฟ ก็..ไม่มีอะไรนะ"
"มันมีดิ ก็เห็นอยู่ว่ามัน.."
ขณะที่กำลังก้มลงไปมองใบหน้าสวยของคุณผู้จัดการชัดๆ ริมฝีปากอิ่มแดงก็เอ่ยออกมาในที่สุด
"เธอมีชีวิตที่น่าอิจฉานะ มีคนที่พร้อมจะรักเธอไม่ว่าเธอจะเป็นยังไง แฟนคลับพวกนั้นรักเธอมาก"
"ไปคุยกับแฟนคลับมาเหรอ?"
"อืม ฉันไม่เคยเป็นแฟนคลับใครเพราะไม่เคยชอบดารานักร้องเหมือนเด็กพวกนั้น แต่เธอรู้ไหมว่าเธอมีชีวิตที่น่าอิจฉามากเลย ฉันน่ะนอกจากจีนแล้วก็ไม่มีเพื่อนเยอะนักหรอกนะ...ไม่ใช่คนที่..จะมีคนรักอย่างจริงใจแบบที่เธอมีตอนนี้"
"นี่กำลังจะสื่ออะไรเนี่ย?" คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตา ไม่รู้ทำไมสายตาของอนิลที่มองมาที่เขามันถึงเต็มไปด้วยความเศร้าราวกับเขาทำผิดอะไรนักหนา
"ทำตัวดีๆ โอกาสที่จะมีคนรักมากมายแบบนี้ มันไม่นานหรอกนะ วันหนึ่งแฟนคลับของเธอก็ต้องมีชีวิตของตัวเอง พวกเขาจะอยู่กับเธอไปอีกนานแค่ไหนกัน.."
"เอิน..." ชายหนุ่มได้แต่เรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปแต่กลับเถียงไม่ออกสักคำ เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแย่ขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนหน้าทัศนคติที่เขามีต่อแฟนคลับมันก็แค่คนที่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน ก็ไม่ได้รู้สึกว่าถ้าหายไปสักคนสองคนแล้วเขาจะเดือดร้อนอะไร
จอมพบเดินออกไปหาแฟนคลับที่รออยู่ตามที่อนิลบอก ทุกคนดูเหนื่อยมากแต่กลับมีรอยยิ้มมอบให้เขา ทั้งของขวัญและจดหมายที่ส่งมาเขารับมันเอาไว้ทั้งหมดก่อนจะขอตัวกลับพวกเธอก็เดินมาส่งเขาที่รถ ก่อนจะปิดประตูเสียงหนึ่งตะโกนบอกขอบคุณอนิลเรื่องที่เลี้ยงเค้กกับกาแฟ จอมพลหันไปมองรอยยิ้มของอนิลและมือเรียวที่โบกตอบกลับ แต่เมื่อประตูปิดลง ร่างบางก็เอาแต่นั่งกอดอกหันหน้าเข้าหน้าต่าง
ร่างสูงขยับมานั่งข่างคุณผู้จัดการที่เอาแต่เงียบสภาพการจราจรมันช่างน่าเบื่อ เขาทั้งเหนื่อยและหิวแต่จะเรียกร้องหาของกินตอนนี้ก็เกรงใจคนขับที่คงอยากกลับบ้านเช่นกัน
"ฉันซื้อแซนวิชมาให้นะ อยู่เบาะหลัง กินไหม?"
เสียงของอนิลเอ่ยขึ้นมาก่อนจะเอี้ยวตัวข้ามเบาะไปและพยายามเอื้อมหยิบให้จนก้นโด่ง ความทะเล้นของคนมองที่เห็นแล้วมันอดไม่ได้ที่จะฟาดมือกับบั้นท้ายกลมเสียงดังลั่น แต่พออนิลหยิบถุงแซนวิชได้ก็ตบหัวพ่อนักร้องดังกลับเสียงดังจนคนขับสะดุ้งไปด้วย
"ลามปาม จะกินดีๆ หรือจะกินทั้งน้ำตา" เสียงดุๆ เอ่ยพลางยัดถุงกระดาษใส่มือคนที่นั่งคลำหัวตัวเองป้อยๆ เพราะอนิลมือหนักมาก
"กินๆ แล้วเอินกินยัง?" จอมพลเหลือบมองพลางถามด้วยความเกรงใจขณะที่ยัดแซนวิชเข้าปาก
"ไม่กินมื้อเย็นอะ พี่คนขับก็กินเรียบร้อยแล้วเหลือแต่เธอนั่นแหละ"
มันเป็นการดูแลที่ไม่ได้พิเศษไปกว่าที่กวินเคยทำ แต่ก็ดูจะใส่ใจกว่าเล็กน้อยตรงที่รู้จักเตรียมของกินมาให้ ขณะที่กวินคงถามว่ากินอะไรไหมแล้วก็หาร้านนั่งกินข้างทางกันไป คงไม่ได้มีขนมนมเนยเตรียมไว้แบบนี้
พอกินอิ่มก็รู้สึกง่วงขึ้นมา หันกลับไปมองคนที่เคยตบกบาลชาวบ้านอย่างเกรี้ยวกราดตอนนี้กลับหลับตานิ่งศีรษะพิงกระจก อนิลเองก็คงเหนื่อยเหมือนกัน แม้จะแค่รอเฉยๆ แต่เขาคิดว่าการจัดการแฟนคลับมันคงไม่ง่ายสำหรับมือใหม่
จอมพลอมยิ้มก่อนจะค่อยๆ แตะศีรษะของอนิลให้เอนมาพิงไหล่ของตัวเองแทน กลิ่นหอมๆ บนเรือนผมสีแดงเพลิงคล้ายกับกลิ่นกุหลาบ มันหอมมากจนอดที่จะหันไปดมซ้ำไม่ได้ จอมพลเหลือบมองคนขับที่นั่งเปิดรายการเพลงในโทรศัพท์ดูระหว่างรถติดอย่างเพลิดเพลินก่อนจะก้มลงมองใบหน้าสวยที่หลับสนิท ริมฝีปากอิ่มแดงเผยอออกน้อยๆ ขนตางอนยาวราวกับหญิงสาวรับกับจมูกโด่งรั้น ไม่แปลกใจแม้แต่น้อยว่าทำไมกวินถึงหลงอนิลมากจนสามารถขอเลิกกับยรดาได้
เพราะนอกจากรูปร่างและนิสัยแล้ว อนิลก็เป็นคนหนึ่งที่มีหน้าตาดึงดูดให้มองไม่รู้เบื่อ เป็นคนสวยและเซ็กซี่ไปหมดทั้งตัวทั้งที่ไม่ใช่ผู้หญิง ต่างจากจินตภัทรที่เป็นคนน่ารักและดูบอบบางเหมือนเด็กเล็กๆ จนคิดว่าไม่น่าจะเป็นเพื่อนกันได้เลยจริงๆ
"อือ.." เสียงละเมอเบาๆ ของคนที่หลับอยู่เรียกรอยยิ้มของคนมองออกมาจนเกือบหลุดขำ อนิลขยับกายเข้าหาไออุ่นอีกฝ่ายขณะที่แขนแกร่งสอดรอบเอวบางและรั้งตัวคนที่หลับสนิทให้ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น จนรู้สึกว่าร่างบางสั่นน้อยๆ น่าจะหนาวเพราะแอร์บนรถแต่กลับไม่บอกสักคำ
"พี่ครับช่วยเบาแอร์หน่อย" จอมพลบอกคนขับที่มองเขาผ่านกระจกมองหลับและพยักหน้ายิ้มให้ก่อนจะชวนคุย
"คุณเอินแกน่ารักนะครับ ตอนแรกคิดว่าจะดุ เห็นตอนเย็นเลี้ยงขนมเด็กไปตั้งสองสามพันบาท แถมให้เงินผมไปกินข้าวอีก ทำงานแบบนี้จะคุ้มค่าแรงเหรอครับ?"
จอมพลฟังลุงคนขับรถบอกแล้วก็ได้แต่ยิ้มให้ อนิลคงตั้งใจจะมาเฝ้าเขาแทนเพื่อนเฉยๆ เพราะดูท่าทางไม่ใช่คนเดือดร้อนเรื่องเงินเท่าไหร่ ตามจริงเขาไม่เห็นด้วยกับยลรดาที่จะให้อนิลมาช่วยทำงานตรงนี้ ยิ่งถ้าไปคุยกับแฟนคลับด้วยแล้ว ไม่รู้ว่าเรื่องไพลินจะถึงหูอนิลเมื่อไหร่ เด็กคนนั้นคงไม่ชอบใจแน่ถ้ารู้ว่าอนิลมาอยู่ข้างๆ เขา แต่เขายังมั่นใจอยู่ดีว่าอนิลจะไม่มีทางประนีประนอมกับเด็กนั่น เหมือนที่กวินทำมาตลอด
พอได้คิดทบทวนดูก็คิดว่ามันน่าจะมีแต่เรื่องดีๆ ที่มีอนิลเป็นผู้จัดการ เพราะอย่างน้อยถ้ากวินจะนัดเขาให้ไปเจอแฟนคลับคนไหนก็คงลำบากหน่อย เพราะอนิลไม่มีทางเห็นด้วย แถมถ้าได้อนิลมาเป็นพวกอีกคน เรื่องเงินค่าตัวที่เขาเคยสงสัยว่ากวินบอกกับเขาว่ามันมี "ค่าดำเนินการ" บางอย่าง ถ้าเป็นอนิลมาดูแลทั้งหมดเขาแน่ใจว่าไอ้ "ค่าดำเนินการ" ที่หายไปเกือบครึ่งของเงินรายรับที่ควรได้ มันน่าจะไม่มี
กวินน่ะคิดผิดแล้วที่ให้ยลรดามาดูแลเขา ต่อให้รักแค่ไหน คนที่ถูกบอกเลิกอย่างน่าสงสารแบบนั้น ไม่มีทางที่จะลืมความแค้นจากการโดนทิ้งขว้างไปได้หรอก....
ตอนที่ยลรดาโทรมาบอกเขาว่าจะให้อนิลมาทำงานแทน เขาต้องแอบหลบมานั่งคุยในห้องน้ำแล้วเปิดฝักบัวเสียงดังๆ เพราะกลัวจินตภัทรจะได้ยิน
(ฉันจะให้เอินไปดูแลแก แล้วพอรู้งานสักพักฉันจะเฟดตัวออกเงียบๆ แล้วให้แจ็ครู้ทีหลังว่าแฟนมันกำลังทำงานอยู่ตรงนั้น)
"เจ๊แม่งร้าย...ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย เอาเอินมาทำตรงนี้เพราะอยากให้เอินรู้เรื่องไพลินกับไอ้แจ็คใช่มะ แถมยังได้แก้แค้นให้เขาทะเลาะกันเองเรื่องนัดเด็กVIPมาเจอบีอีก"
(ฉันถามความสมัครใจเขาแล้วนะ ว่าอยากรู้เรื่องแฟนตัวเองไหม? หรืออยากจะฟังแต่คำพูดของแจ็ค เขาก็สมัครใจจะรับรู้เองนี่ คนขี้เสือกก็เสี้ยมง่ายแบบนี้แหละ)
น่าสงสารเหมือนกันที่อนิลกลายเป็นคนขี้เสือกที่ถูกยลรดาหลอกให้มารู้พฤติกรรมของแฟนตัวเอง แต่สุดท้ายมันก็เป็นความสมัครใจของเจ้าตัวที่จะมาอยู่ตรงนี้ ถ้าจินตภัทรรู้ก็อาจจะโกรธเขาก็ได้ แต่เขาเชื่อว่าคนรักของเขาพร้อมจะเข้าใจในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าเรื่องนั้นมันจะใหญ่แค่ไหน...
นอกจากพ่อแม่แล้ว ก็คงมีจินตภัทรนี่แหละที่เขามั่นใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่มีวันทิ้งเขาไป มันพิสูจน์แล้วหลังจากที่เขา 'โกหก' เรื่องหนี้ยี่สิบล้านออกไป
"เธอไม่รู้จักฉันดีขนาดนั้นหรอก"
ใช่ คำพูดที่เขาบอกแก้มยุ้ยในวันนั้นคือความจริงที่เด็กสาวปักใจเชื่อว่าตัวเองรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา
เพราะความจริงเรื่องหนี้อะไรนั่นมันเป็นแค่ข่าวลือที่เขาสร้างเพื่อหลอกให้ยลรดาหางานให้เขามากขึ้นทดแทนกับรายได้ที่เคยเสียไปเพราะส่วนแบ่งที่ไม่เป็นธรรมจากผู้จัดการอย่างกวิน
ทั้งที่ความจริงหนี้ก้อนนี้มันถูกใช้หมดไปตั้งแต่สามปีแรกที่เขามาทำงานแล้วและเขาก็ไม่ได้ยืมเงินก้อนนั้นมาจากพี่พริม
เขาให้พี่พริมเป็นผู้ค้ำประกันให้ตอนที่ทำเอกสารกู้เงินจากธนาคารมาซื้อบ้านแล้วผ่อนกับธนาคารทุกเดือน และเงินที่เอาไปโปะบ้านจนหมดคือส่วนแบ่งรายได้ค่าลิขสิทธิ์เพลงที่เขาแต่งตลอดสามปี เป็นงานเดียวที่กวินไม่มีสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องและเขาก็ได้ค่าจ้างเต็มเม็ดเต็มหน่วยที่สุด
พี่พริมเป็นถึงผู้บริหารต่อให้บ้าผู้ชายแค่ไหนใครมันจะหยิบยื่นเงินยี่สิบล้านให้เด็กในสังกัดเปล่าๆ กันล่ะ?
ตอนแรกก็คิดว่าโง่ที่สุดก็แก้มยุ้ยนี่แหละ แต่พอเห็นท่าทางของจินตภัทรแล้วก็แอบใจหายเหมือนกันที่แฟนเขาดันไปเชื่อคำพูดอีเด็กนั่นมากกว่าเขา พอเห็นท่าทางฟูมฟายของจินตภัทรที่จะเอาเงินให้เขาไปใช้หนี้ เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่ไม่ยอมบอกความจริง ออกไป แต่ถ้าแฟนเขารู้ เดี๋ยวอนิลก็ต้องรู้ และเรื่องมันก็จะวนกลับมาที่ยลรดาและกวิน ซึ่งเขาให้สองคนนี้รู้ไม่ได้ว่าหนี้ก้อนนั้นมันไม่มีจริง
เขายอมเป็นไอ้นักร้องตกอับมีหนี้ท่วมหัว เพื่อลองใจเพื่อนอย่างกวินจะดีกว่า
ป่านนี้จินตภัทรคงเอาเรื่องไปปรึกษากวินแล้ว...เขารู้ดีว่าจินตภัทรรักเขามากและจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ
ก็เดี๋ยวจะคอยดูว่ากวินจะหยิบยื่นความช่วยเหลืออะไรมาให้เขาไหม ถ้ารู้ว่าเขากำลังมีหนี้ขนาดนี้
เพื่อนบางคนก็เกิดมาเพื่อเป็นทั้งคนที่เรารัก และเกลียดในเวลาเดียวกัน
แม้ว่าจะซื้อความเชื่อใจด้วยการมอบบัญชีรายรับทั้งหมดให้กวินดูแล
แต่เขากลับได้สิ่งตอบแทนความไว้ใจเป็นค่าตัวหลักหมื่นมาตลอดทั้งที่บางงานเขารู้ว่ามันได้มากกว่านั้น
อย่างที่เคยได้ยินคำโบราณท่านสอนไว้ "เรื่องเงิน มันไม่เข้าใครออกใคร"
...........TBC..........
กลับมาแล้วค่ะ เราหวังว่าคนที่เม้นว่า "ตามอ่านตลอดแต่ไม่เคยเม้นท์"
ตอนนี้คุณจะเข้าใจแล้วนะคะว่าต้องทำยังไงถึงจะได้ "อ่านจนจบ"
การบอกว่าอ่านตลอดติดตามตลอดมันไม่ช่วยอะไรค่ะ
มันไม่มีกดไลค์หรือให้คะแนนกับการอ่านเฉยๆแล้วกดปิดไป
เราไม่สามารถรับรู้ถึง "กำลังใจ" ผ่านกระแสจิตของใครได้ค่ะ
เรารู้ก็ต่อเมื่อมีคนเม้นท์นะคะ
ส่วนคนที่เม้นท์เป็นประจำไม่ต้องน้อยใจค่ะ เรารับรู้และขอโทษจริงๆ ที่คุณต้องเสียความรู้สึก
แต่เราอยากให้คนที่ไม่เคยทำ ลงมือทำด้วย
ให้เค้ารู้ว่าอย่าเอาเปรียบคนที่เม้นท์ตลอดด้วยความคิดที่ว่า
"ถึงฉันไม่เม้น คนอื่นก็เม้นท์" หรือ "ไม่รู้จะเม้นท์อะไร"
ฟิคหนึ่งเรื่องเราไม่ได้ให้อ่านฟรีค่ะ คุณต้องลงทุนบ้าง แค่ส่งกำลังใจเล็กๆน้อยๆ
เราแลกเปลี่ยนกัน คุณได้อ่านสนุก เราได้อ่านเม้นท์และมีกำลังใจต่อไป
หวังว่าจะเข้าใจนะคะ และขอโทษคนที่ไม่เข้าใจด้วย แต่เราคงไม่สามารถทำให้ใครเข้าใจเราได้ทุกคน
ถ้าอคติที่ Talk ของเราว่าอีนักเขียนนี่เรื่องมากชิบหาย แล้วไม่อยากอ่านต่อก็ไม่เป็นไรค่ะ
ขอบคุณที่เคยติดตามนะคะ ^^ ขอให้คุณเจอนักเขียนที่คุณชอบค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตอนนี้เดาไม่ถูกแล้วว่า จอมพลกับกวิน มันอะไรยังไงกันแน่ คือจอมพลใช้หนี้หมดไปแล้ว แต่กวินอุบอิบเงินจริงไหมเนี่ยสิ โอ้ยยยย เนื้อเรื่องชวนคิดมากๆ งื้อออ