ตอนที่ 66 : EP.6 officially นอกใจ
Upside Down
Welcome To The Upside Down
6
officially นอกใจ
"บี! ไม่ไหวว่ะ ออกมามะ ไม่มีสติเลยมึง"
เสียงของโปรดิวเซอร์ตัวโตที่คุมเสียงอยู่ด้านนอกของตู้กระจกตะโกนใส่ไมค์อย่างหัวเสียก่อนจะถอนใจออกมาจนคนที่โดนตำหนิหน้าเสียไปเสี้ยววินาที
ชายหนุ่มล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์เดินก้มหน้าออกมาเหมือนไม่สำนึกผิดเท่าไร ทั้งที่มีคิวเข้าห้องอัดแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะไปขึ้นเวทีที่ผับดังแถวทองหล่อคืนนี้ แต่เขากลับไม่มีกะจิตกะใจอยู่กับงานที่ทำเลยแม้แต่น้อยเพราะยังติดอยู่กับความรู้สึกที่ยังเฟลไปกับการถูกคุณนักเขียนตัวเล็กปฏิเสธหน้าตาเฉยทั้งที่เขาเป็นบุคคลที่ไม่ควรจะถูกใครปฏิเสธทั้งนั้น แถมมีคนเสนอตัวมานอนด้วยฟรีๆ ด้วยซ้ำ
"มึงไม่มีสตินะ กูบอกว่าเพลงนี้อินเนอร์มันต้องแบบเฟรชๆ เหมือนตื่นมาตอนเช้าแล้ว..."
"ไม่เคยตื่นเช้า เคยแต่นอนเช้า" น้ำเสียงกวนๆ เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วถอนใจออกมา โปรดิวเซอร์หนุ่มส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ แต่ขณะที่กำลังจะกลับไปเคลียร์งานตัวเองต่อก็สะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงของจอมพล
"พี่! นั่นอะไรอะไร?" ร่างสูงถลามาที่หน้าจอโน้ตบุ๊กที่เปิดค้างไว้เป็นตารางงานของดีเจสถานีวิทยุออนไลน์ของค่าย
"อ่อ งานของยัยแจนไง พอดีมันมีสัมภาษณ์นักเขียนวันเสาร์นี้แต่ต้องย้ายมาที่สตูฯ เราแทน เพราะชั้น 38 วันเสาร์เขาจะเปลี่ยนพรมในห้องจัดรายการที่เหม็นเยี่ยวลูกพี่อ้อยไง แม่งเอาลูกมาที่ทำงานก็เสือกไม่สอนเยี่ยวให้เป็นที่เป็นทาง พรมซักไม่หายเหม็นสักที สุดท้ายพี่ฉอดให้เปลี่ยนใหม่หมด"
คำอธิบายที่สาธยายเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกโง่ๆ ของพนักงานบางคนไม่ได้เข้าหูนักร้องหนุ่มที่โฟกัสสายตาไปที่ตารางงานวันเสาร์ที่เขียนว่า "ดีเจแจน 16.30 น. สัมภาษณ์คุณจีน จินตภัทร เจ้าของนามปากกา PEPI JEAN" เจ้าของนิยายเรื่องดังที่ค่ายผู้ผลิตละครภายใต้สังกัดเดียวกันกับเขาเพิ่งซื้อลิขสิทธิ์มาและกลายเป็นกระแสในโซเชียลเกี่ยวกับศิลปินในสังกัดบางคนที่อาจจะได้รับเลือกมารับบทนำในเรื่อง
แถมรูปของจินตภัทรก็โชว์หราอยู่ที่หน้าจอยิ้มหวานจนตาหยี จนคนมองเผลออมยิ้มตามไปด้วย...
ไม่รู้ทำไม...อารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านเมื่อครู่ถึงกับเบาบางลงไปในทันทีที่เห็นรอยยิ้มนั้น
....................
"สัมภาษณ์อะไรอะ? งื้อ ไม่เอาไม่ไป"
เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มส่ายหัวไปมาพร้อมกับปฏิเสธความปราถนาดีจากคุณบรรณาธิการที่ตอบรับข้อเสนอของค่ายผู้จัดละครที่ซื้อลิขสิทธิ์นิยายของเขาไปในราคาที่เหลือเชื่อเพราะเหมือนทางผู้จัดละครเองเป็นแฟนนิยายด้วยจึงยินดีที่จะจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับทางจินตภัทรโดยไม่ขอต่อรองแม้แต่บาทเดียว แต่มีข้อแม้ว่าอยากได้ตัวเขาไปสัมภาษณ์รายการต่างๆ พร้อมกับทีมนักแสดงเพื่อดึงกลุ่มแฟนนิยายให้มาติดตามในส่วนของละครด้วย เรียกว่าลงทุนทีเดียวได้ทั้งแฟนละครของค่ายและแฟนนิยายของนักเขียนที่มีอยู่ทุกเพศทุกวัยด้วยเลย...
"ก็แค่ไปนั่งสัมภาษณ์ เริ่มแรกไม่อยากเปิดตัวมากก็ไปรายการวิทยุก่อน แต่สมัยนี้เขาก็มีเว็บแคมที่ไลฟ์สดอยู่ดี แกเป็นผู้ก่อการร้ายเหรอจินตภัทร ถึงไม่ยอมเปิดเผยหน้าตา?"
โฉมฉาย หัวหน้ากองบรรณาธิการร่างอวบเอ่ยด้วยสายตาที่เอ็นดูนักเขียนมือหนึ่งที่เธอปั้นมากับมือ จินตภัทรเหมือนกับลูกของเธอที่ตัวเธอเองมีความลำเอียงอย่างชัดเจนในการโปรโมตนักเขียนตัวเล็กคนนี้อย่างออกหน้าออกตาเพราะนอกจากจินตภัทรจะสามารถสร้างชื่อเสียงให้บริษัทแล้วยังเป็นนักเขียนที่ทำให้นิยายของสำนักพิมพ์ที่ไม่เป็นที่รู้จักสามารถขายได้ทุกเพศทุกวัยทำให้มีแฟนนิยายที่พร้อมจะจ่ายเงินเพื่อซื้อหนังสืออ่านอยู่ทั้งที่สำนักพิมพ์อื่นๆ พากันปิดตัวลงเพราะสู้ยอดขายอีบุ๊กไม่ได้ในยุคที่ทุกอย่างถูกแปรรูปมาอยู่ในหน้าจอโทรศัพท์มือถือไปหมดแม้แต่นิยาย
"ก็แกไม่ยอมไปงานแถลงข่าว ผู้จัดฯ เขาเลยขอให้แกไปทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยโปรโมต หนังสือก็จะได้ขายดีขึ้นด้วยไง"
"แต่ว่าจีนพูดไม่เป็นอะ ให้พูดอะไร? โปรโมตยังไง?" มือเล็กกำชายเสื้อตัวเองขณะที่นั่งหดคอเหมือนเด็กอยู่บนโซฟาตัวโตเหมือนเด็กงอแงที่แม่พูดอะไรก็ไม่ยอมฟัง
"เดี๋ยวเขาก็บรีฟแกก่อนแหละเรื่องคำถามอะ ดีเจที่สัมภาษณ์ก็เป็นดีเจสาวสวยคนดัง เรตติ้งต้องพุ่งกระฉูดแน่ๆ "
"ให้เอินไปด้วยได้ไหมอะ?"
"ไม่ได้ แกก็รู้ว่านังเอินมันทำงานค้างอยู่เป็นตั้ง นี่ถ้านายใหญ่รู้ว่ามันกล้าลางานไปเที่ยวยุโรปนะ เขาไล่มันออกไปแล้ว นี่ยังดีมีแกคุ้มกะลาหัวอยู่ถึงได้อยากลาไปไหนก็ไปแบบนี้..."
จินตภัทรถอนใจขณะที่ฟังคนอายุมากกว่าบ่นถึงเพื่อนของเขาที่โดนคาดโทษเอาไว้หลายเรื่องแล้วตั้งแต่เขามาทำงานที่สำนักพิมพ์เพราะติดเพื่อน อยากมาทำงานกับเพื่อน แต่ไม่ได้มีความสามารถอะไรเลยสุดท้ายก็ให้พ่อฝากเข้ามาทำงานเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการหน้าตาเฉย
"แต่พี่โฉม...จีนยังไม่รู้ว่าจะเลือกใคร ถ้าเขาถามเรื่องพระเอกจะทำไง?"
"อ้าว แล้วดาราที่เขาเลือกไว้ล่ะ?"
"ยัง สรุปคุณพิมลเขาตามใจจีน เขาบอกถ้ายังไม่ชอบที่เลือกมาก็รอก่อนได้ แต่จีนไม่รู้เลยไงว่าค่ายเอ็กซิกต์มันมีพระเอกคนไหนบ้าง ก็เข้าใจนะว่าเขาทำละครดีแต่จีนเลือกไม่ถูก..."
"เอางี้ดิก็บอกให้คุณพิมลเขาเปิดแคสติ้งนักแสดงใหม่ แต่นางเอกก็เป็นแก้มยุ้ยใช่ไหม?"
"แก้มยุ้ยก็ตรงกับบทที่สุดแล้วนะ น้องเป็นนางแบบก็น่าจะปรับไม่ยาก โมเดลลิ่งน้องก็ให้ความร่วมมือดีด้วย"
จินตภัทรพูดถึงเด็กสาวที่เขาเลือกมากับมือและเห็นพ้องกับผู้จัดฯ ว่าเหมาะกับบทที่เขาเขียนมากที่สุด ก็ติดแค่พระเอกที่ดูเหมือนจะหาได้ไม่ตรงกับคาแรกเตอร์ที่ต้องการสักที แม้ว่าบางคนจะหน้าตาจะหล่อเหลาและมีแฟนคลับจำนวนมากที่เชียร์ให้รับบทนี้ถึงขั้นเขียนอีเมลมากดดันนักเขียนเลยทีเดียว
"เอางี้เดี๋ยวลองจัดแคสติ้งกันอีกรอบ แต่รอบนี้เป็นรอบสุดท้ายนะ เพราะเขาจะเปิดกล้องกันแล้วแก ถ้าจะต้องเอาคนที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ก็ต้องเอาแล้วนะ"
นักเขียนตัวเล็กพยักหน้าตอบพลางคิดถึงคาแรกเตอร์ของเด็กในสังกัดละครแต่ละคนที่มาแคสติ้งแล้ว มันก็มีบางคนที่ใกล้เคียงเพียงแต่ยังมีบางจุดที่ยังขาดๆ เกินๆ ไปหน่อย ถ้าไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ก็คงต้องหลับตาจิ้มเอา...
....................
"แจ็คคะ อันนี้ต่างหูของน้องแบมหรือเปล่าคะ แจนเห็นมันหล่นอยู่เบาะหน้า"
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเหลือบมองก่อนจะตอบด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งที่มองด้วยหางตาก็รู้ว่ามันไม่ใช่ของน้องสาวเขา
"ไม่แน่ใจ วันนั้นแบมกับลูกศรติดรถไปมหา’ลัยน่ะครับ แจนเอามานี่มาเดี๋ยวแจ็คเอาเก็บไว้ให้น้อง"
หญิงสาวส่งคืนให้อย่างไม่ติดใจสงสัยอะไร แม้ว่าต่างหูนั้นจะไม่ใช่แบบของผู้หญิงเลยก็ตาม มือหนารับมาแล้วรีบเก็บใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตเอาไว้และเอื้อมไปเกลี่ยหัวแม่มือกับแก้มนวลเนียนที่แดงเรื่อด้วยสีบลัชออน หญิงสาวอมยิ้มให้แฟนหนุ่มที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนนี้
"อ้อใช่ วันเสาร์นี้แจนมีสัมภาษณ์คุณจินตภัทรเจ้าของนิยายที่เอ็กซิกต์ซื้อมาทำละครที่จะเปิดกล้องเดือนหน้า แจนจำได้ว่าเคยเห็นหนังสือของคุณจินตภัทรที่บ้าน
แจ็คด้วย ให้แจนขอลายเซ็นเขามาให้ไหมคะ?"
ชายหนุ่มอมยิ้มแล้วส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยให้อีกฝ่าย
"ฝากสวัสดีคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะครับ เจอกันวันเสาร์"
"ค่ะ ตั้งใจทำงานนะคะ" หญิงสาวยิ้มกว้างก่อนจะกอดคอและประทับจูบลงที่แก้มของอีกฝ่ายเป็นการทิ้งท้าย
ดวงตาคมมองแฟนสาวเดินเข้าไปในบ้านจนลับสายตาก่อนจะกลับมาสนใจต่างหูที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ เพียงแค่มองราวกับใบหน้าของเจ้าของก็แวบเขามาในห้วงความคิด รวมทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นที่ทำให้ต่างหูของอีกฝ่ายหลุดออกมา...
"อือ เจอกัน"
เพียงแค่อนิลพยักหน้าและเหลือบมองเขาเพียงนิด ใบหน้าสวยๆ ที่เคยหยิ่งยโสและโวยวายเหมือนเด็กเอาแต่กลับน่ารักในสายตาเขาในช่วงเวลานี้ มันน่ามันเขี้ยวจนเขาอดใจไม่ฟัดแก้มนุ่มไม่ไหว แล้วมันก็ลามเป็นจูบที่เขาเกือบลืมตัวไปแล้วว่าจอดรถอยู่หน้าบ้านอีกฝ่าย
คิดๆ ดูแล้วไม่ใช่อนิลที่ตกเป็นเหยื่อของเขา
แต่น่าจะเป็นตัวของเขาเองต่างหากที่หลงอีกฝ่ายจนควบคุมตัวเองแทบไม่ได้เลย...
....................
เสียงเรียกเข้าดังลอยมาจากโต๊ะทำงานขณะที่ตอนนี้ทั้งออฟฟิศทยอยกลับบ้านกันเกือบหมด จะมีก็แต่ทีมกราฟิกที่ยังปั่นงานกันจนวินาทีสุดท้าย ร่างผอมบางเดินมาหยิบเครื่องมือสื่อสารที่แผดเสียงพร้อมสั่นเป็นจังหวะขึ้นมาดูคนที่โทรเข้า วินาทีที่เห็นชื่อที่บันทึกไว้ว่า 'ไอ้โรคจิต' ก็ทำเอารีบกดรับสายแล้วเดินออกมานั่งคุยตรงทางหนีไฟ
(รับช้าจัง ทำไมยังไม่ออกมา?)
"งานยังไม่เสร็จ" อนิลตอบกลับไปพลางถอนใจ เขาจำได้แหละว่าวันนี้เป็นวันพฤหัสบดี แต่มันเป็นวันทำงานที่เขาต้องเคลียร์เรื่องเอกสารสัญญานักเขียนให้หมด
(ไหนบอกบ้านรวย มีครบแล้วขาดแต่ผัว)
คำพูดที่อนิลแกล้งพูดประชดใส่อีกฝ่ายจนตัวเองยังลืมไปแล้วถูกหยิบยกขึ้นมาแซ็วจนร่างบางหลุดยิ้มออกมา ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะจำคำพูดเล่นๆ นั้นได้
"ก็พูดเล่นบ้างได้ปะล่ะ"
(อยู่ตรงไหน? ขึ้นไปหาได้หรือเปล่า?)
"ขึ้นมาทำไม? กลับไปเถอะ งานเหลืออีกเยอะเลยไม่มีเวลาเจอหรอก มีเมียก็กลับไปหาเมียดิ"
อนิลพูดออกมาทั้งที่ลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นฝ่ายตอบรับกวินเองว่าจะมาเจอกันวันนี้ ความรู้สึกบางอย่างมันทำให้พูดเรื่องคู่หมั้นของอีกฝ่ายขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
(ไล่เหรอ?)
"อืม แค่นี้นะ..."
ขณะที่กำลังจะหมุนตัวเดินไปเปิดประตูหนีไฟเพื่อกลับเข้าไปในออฟฟิศ มือของคนที่พุ่งตัวมาจากด้านหลังก็มาคว้าต้นแขนเอาไว้ อนิลพยายามสะบัดออกเพราะตกใจที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จนกระทั่งหันกลับมาสบตากัน...
"ขึ้นมาได้ไง?" คำถามที่เอ่ยออกไปตะกุกตะกักไปหมดเพราะสายตาของอีกฝ่ายหรี่มองราวกับจับผิด
"ไหนงานอะไรเยอะ? ไปชี้สิ เดี๋ยวช่วย"
"เดี๋ยวสิ นี่คุณ จะบ้าเหรอเข้ามาได้ไง?"
"ก็เดินเข้ามาสิ ผมจอดรถอยู่ชั้นนี้ ได้ยินเสียงคุณลอยมาแต่ไกลเลย รู้ไหมตัวเองอะเสียงดังแค่ไหนเวลาโกรธ?"
"โกรธไร มั่วปะ" สีหน้าของอนิลที่กระเง้ากระงอดเหมือนเด็ก ทำให้คนมองรู้สึกมันเขี้ยวจนอยากจะบีบแก้มแรงๆ
"ไล่กลับไปหาเมียก็นับว่าโกรธแล้วละ เออใช่ คุณลืมต่างหูหล่นไว้ในรถผม แน่ใจนะว่ามันหล่นเองไม่ได้ตั้งใจโยนเอาไว้?"
มือหนาหยิบต่างหูเพชรเม็ดงามของเจ้าตัวขึ้นมา มองไปที่ใบหูข้างซ้ายที่ตอนนี้ใส่ต่างหูครบสองอันแล้ว ร่างหนาขยับมาใกล้ก่อนจะดึงแป้นต่างหูในมือออกแล้วกดปลายแหลมลงที่ใบหูแดงเรื่อของร่างบางที่ยืนพิงประตูบันไดหนีไฟอยู่
อนิลสะดุ้งเฮือกและเริ่มหายใจแรงขณะที่ใบหน้าของอีกฝ่ายก้มลงมาและเริ่มกดต่างหูแรงขึ้นเรื่อยๆ
"คุณ...มันไม่ได้เจาะ มันใส่ไม่..."
"ก็เดี๋ยวเจาะให้" น้ำเสียงและสีหน้าของอีกฝ่ายเหลือบมองดูไม่แยแสกับความเจ็บปวดของอนิลเลย
"อ๊ะ เจ็บ อ๊า"
มือเรียวจิกไหล่หนาเอาไว้และตั้งใจจะผลักออกพร้อมเสียงที่หวีดครางเบาๆ แต่กวินกลับใช้มืออีกข้างที่เคยโอบเอวบางไว้ขึ้นมากอบกุมอยู่ที่ลำคอของอนิลที่เล็กพอที่จะบีบมันด้วยมือเดียว จนเสียงของร่างบางครางออกมาด้วยความเจ็บปวดถูกกลืนหายลงไปในลำคอขณะที่ส่วนปลายแหลมของต่างหูค่อยๆ เจาะทะลุเนื้อนิ่มลงไปรวดเดียวจนได้ยินเสียง กึก! พร้อมกับความรู้สึกที่เจ็บจนน้ำตาไหลพรากและรู้สึกปวดตุ้บๆ ตามมา
มือหนาค่อยๆ เสียบแป้นต่างหูกลับเข้าไปขณะที่มองผลงานของตัวเองที่ตอนนี้มีเลือดซึมออกมา
เพชรเม็ดงามที่ล้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด ช่างสวยงามและทำให้นึกถึงเรียวขาขาวของอนิลยามที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตยามตื่นนอน ที่เขาอยากมองไม่รู้จักเบื่อ...
ใบหน้าหล่อเหลาขยับก้มลงไปก่อนจะแตะลิ้นร้อนแลบเลียใบหูที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ ขบเม้มต่างหูราคาแพงที่ถูกเจาะลงไปบนใบหูด้วยมือของเขาเอง ลิ้นหนาลากเลียลงมาจนถึงต้นคอขาวดูดดุนและขบฟันขาวลงเบาๆ ก่อนจะเอ่ยราวกระซิบย้ำให้รู้ว่าอนิลไม่ควรปฏิเสธอีกเป็นครั้งที่สอง
"คุณพ่อของคุณจะได้รูปในคอลเลกชันของผมภายในห้านาที...ถ้าคุณยังคิดจะเอาเรื่องงานมาอ้างอีกรอบ.."
ชายหนุ่มเว้นช่วงไปก่อนผละออกมามองใบหน้าแสนสวยที่ยืนน้ำตาคลอและกัดริมฝีปากล่างตัวเองไว้ นิ้วหัวแม่มือหนากดปลายคางมนและสั่งออกมาด้วยเสียงกระซิบ
"อย่ากัดปาก...เพราะเดี๋ยวผมจะอนทนรอจนถึงพัทยาไม่ไหว.."
"ไม่มีเสื้อผ้าอะ จะไปยังไง..." ดวงตากลมโตช้อนตามองขณะที่ถาม ปลายจมูกรั้นแดงเรื่อกับขอบตาช้ำที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาทำให้อนิลยิ่งดูเหมือนลูกกระต่ายที่กำลังตัวสั่นไปด้วยความกลัว
ริมฝีปากหยักยกยิ้มที่มุมปากและก้มลงกดปลายจมูกโด่งลงบนแก้มนุ่มพร้อมคำตอบ
"ไม่ต้องห่วงหรอก...คุณจะได้สวมเสื้อผ้าแค่ตอนไป กับตอนกลับเท่านั้น"
....................
"น้องครับ ไอ้บอดี้สเปรย์ที่อยู่มุมลดราคาอะ เมื่อวานพี่ซื้อไปแล้วมันฉีดทีเดียวก็หมดกระป๋องเลยอะ"
พนักงานร้านสะดวกซื้อยิ้มเจื่อนๆ มองลูกค้าตัวเล็กที่ยืนบ่นเรื่องสินค้ามุมลดราคาที่เจ้าตัวซื้อไปเมื่อวาน ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันใกล้หมดอายุหรือสเปรย์มันระเหยไปหมดแล้วถึงได้ฉีดฟืดเดียวแล้วหมดกระป๋อง...
"ขอโทษด้วยนะคะ สินค้าในมุมลดราคาบางทีหนูก็ไม่รู้ว่ามันจะ..."
"ขอเงินคืนได้ไหม?"
"ไม่ได้จริงๆ ค่ะพี่..."
"บอดี้สเปรย์ฉีดได้ครั้งเดียวกระป๋องละยี่สิบห้าบาทเนี่ยนะ?"
ทุกสายตามองตรงมาที่ชายร่างเล็กสวมเสื้อตราห่านตัวใหญ่ กางเกงขาสั้น คีบแตะช้างดาว ยืนถือถุงบะหมี่เกี๊ยวยืนเรียกร้องเงิน 25 บาท คืนจากพนักงานเซเว่นด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง จนสุดท้ายผู้จัดการร้านต้องมาประนีประนอมและยอมเปลี่ยนสเปรย์กระป๋องใหม่ให้แต่โดยดี...
นอกจากคนในร้านที่ชะเง้อมองกันอย่างประหลาดใจในความพยายามเรียกร้องสิทธิ์ของผู้บริโภคที่ไม่มีใครทำกันเท่าไร ก็มีสายตาของชายรูปร่างสูงใหญ่สวมหมวกสแน็ปแบ็กสีดำ ยืนหลบมุมอยู่ข้างตู้ไอศกรีมกางหนังสือคู่สร้างคู่สมอ่านดวงประจำสัปดาห์หันมามองลูกค้าขาวีนเป็นพักๆ
ไม่รู้ทำไม...พอฟังน้ำเสียงและคำพูดคำจาของจินตภัทรในช่วงเวลาที่เหวี่ยงสุดขีด มันทำให้เขาคิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา...
สีหน้าและท่าทางที่ไม่เชิงเหวี่ยง แต่เพราะริมปากล่างที่ยื่นออกมาเหมือนเด็กเอาแต่ใจ มันทำให้จินตภัทรดูตลกมากกว่าน่ากลัว เพราะแบบนั้นพนักงานเซเว่นก็เลยทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรเจรจาหรือควรจะโอ๋คุณลูกค้าดี
จอมพลยืนมองจนอีกฝ่ายเดินออกไปจากร้านจนลับตา ถึงออกมาจากมุมหนังสือแล้วเดินไปหยิบของของตัวเองมาจ่ายเงินที่แคชเชียร์ มันเป็นความรู้สึกที่เขินนิดๆ หลังจากที่ถูกปฏิเสธไป ทำให้หลบลี้หนีหน้าไม่กล้าเจอจังๆ ไม่กล้าสู้หน้าคุณนักเขียนได้อีก
"ทั้งหมดสองร้อยสิบสี่บาทค่ะ ได้แสตมป์เก้าดวง สะสมเป็นเอ็มแสตมป์หรือว่า..."
"เอ่อ...คือผมไม่...เฮือก!"
"นี่ๆ ขอแสตมป์ได้มะอะ?"
ดวงตาคมเบิกกว้างมองร่างเล็กที่มุดเข้ามาอยู่ระหว่างเคาน์เตอร์จ่ายเงินกับตัวเขาแล้วยิ้มหวานให้จนจอมพลทำได้แค่พยักหน้าหงึกหงักเหมือนคนโดนยาป้ายที่ไม่ว่าอีกฝ่ายให้ถอดสร้อยถอดแหวนอะไรก็ทำตามไปหมด...
"ค...คุณลูกค้ากดเบอร์เลยค่ะ" พนักงานคนเดิมเพิ่มเติมคืองงมากๆ ผายมือไปทางเครื่องคิดเงินที่มีแป้นสำหรับให้ลูกค้าแจ้งเลขโทรศัพท์ที่ลงทะเบียนแอปฯ เอาไว้ สลับกับมองหน้าจอมพลที่ตอนนี้เริ่มจำเค้าโครงหน้าได้ลางๆ ว่า...
"พี่บี! พี่บีใช่ไหมคะ?"
นั่นไงละมึง...กูก็อุตส่าห์จะรีบมารีบไปมัวแต่รอยัยแว่นจิ้มเบอร์โทรจนพนักงานแม่งสแกนหน้ากูได้เนี่ย!
ชายหนุ่มตัดพ้ออยู่ในใจแต่สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็คือยิ้มให้น้องพนักงานตรงหน้า
"พี่บีอยู่คอนโดฯ นี้เหรอคะ?"
"เอ่อ...คิดเงินเสร็จแล้วใช่ไหมค..." นักร้องหนุ่มพยายามจะหยิบของแล้วเฟดตัวออกมาก่อนที่จะโดนเรียกร้องขอถ่ายรูป ขอลายเซ็น และอีกมากมายที่เขาต้องเซอร์วิสประมาณล้านแปด แต่ดูเหมือนเวรกรรมจะมาในรูปแบบคนข้างห้อง...
"ใช่ๆ เค้าอยู่ข้างห้องเราล่ะ" คนตัวเล็กรีบตอบแทน
อืม...พรีเซนต์ห้องกูไปอี๊กกกกกกกกกกกกกกกก
ไม่บอกเลขห้องกูไปเลยวะ เอาเลขบัตรประชาชนกูด้วยไหม!
ถ้าไม่ติดว่าชอบนี่จะตบให้หัวหลุดเลย!
มือหนาคว้าถุงหิ้วในมือของจินตภัทรแล้วรวบไว้กับของในมือตัวเองก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างเอื้อมไปจับมือ 'เวรกรรมที่มาในรูปแบบคนข้างห้อง' ให้เดินตามออกมา พาเดินลากพ้นร้านสะดวกซื้ออ้อมมาทางลานกว้างหน้าคอนโดฯ ก่อนจะนึกได้ว่าจูงมืออีกฝ่ายเดินมาไกลแค่ไหน...
พอนึกได้ก็เพิ่งรับรู้ว่ามือของร่างเล็กทั้งนุ่มนิ่มและเล็กมาก...
คิดได้เพียงเท่านั้นหัวใจก็เริ่มเต้นแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ทว่าถึงจะเป็นอย่างนั้นจอมพลกลับกระชับมือแน่นขึ้นและพาอีกฝ่ายเดินอ้อมมาทางลานจอดรถด้านหลังแทน...
"ไปไหนอะ...หิว เอาหนมจีบมากินคำนึงก่อน"
เสียงติดงอแงเอ่ยพลางเดินอ้อมมาดักข้างหน้าแล้วดึงมือออกจากพันธนาการของร่างสูงก่อนจะเอื้อมไปดึงถุงขนมจีบกุ้งสี่ไม้ค่อยๆ รูดออกใส่ถุงก่อนจะจิ้มใส่ปากตัวเองเคี้ยวหงุบหงับไม่สนใจสายตาของจอมพลที่ก้มลงมองแก้มป่องๆ ที่ขยับตุ้ยๆ ตามจังหวะการเคี้ยว
มันเป็นความรู้สึกที่ทำใจยอมรับยากจริงๆ
ยิ่งใกล้กันก็ยิ่งชัดเจนในความรู้สึกมากเท่านั้น
ชัดเจนว่าตัวเขากำลังนอกใจคนรัก และกำลังตกหลุมรักคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
ไม่มีคำอธิบายให้ตัวเองว่าทำไมถึงชอบ...
ไม่รู้ว่าอะไรทำให้รู้สึกว่าชอบมากขึ้นเรื่อยๆ ขนาดนี้
เหมือนกับที่เคยมีคนกว่าวไว้ว่า
"ความรักไม่ต้องการเหตุผล...และเป็นสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใดแวดล้อมเพื่อทำให้เกิดขึ้น"
ทำให้นึกถึงเพลงของศาสดาผู้เป็นที่เคารพบูชาของวงเดฟโซลมาตั้งแต่เป็นเด็กหัวเกรียนสวมรองเท้าเหยียบส้น...
มันอาจจะถูกที่ใครบอกไว้...
ความรักมันทำให้ตาบอด
จนมองไม่เห็นความจริง
ว่าฉันเป็นใคร...ทำให้ไม่เข้าใจ
ทำไมยังรักแต่เธอ
ความรักทำให้คนตาบอด
(บอดี้สแลม)
คนที่ก้มหน้านับขนมจีบในถุงเงยหน้าขึ้นมามองสบตาร่างสูงที่ยืนมองเงียบๆ มีแต่เพียงศาสดาวนเวียนอยู่ในหัว
"กินไหม? อันนี้เราชวนตามมารยาทนะเราซื้อมาน้อย แต่ถ้า..."
คำพูดที่ขัดแย้งตัวเองเหมือนเด็กๆ ถูกขัดจังหวะด้วยนิ้วหัวแม่มือที่เอื้อมมาเช็ดมุมปากให้ พร้อมกับสายตาของร่างสูงที่หลุบลงมองริมฝีปากอิ่มและพึมพำออกมาราวกับตัดพ้ออีกฝ่ายทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของจินตภัทรแม้แต่น้อย...
"คุณมีแฟนอยู่แล้วแท้ๆ แต่ยังจะมาทำแบบนี้อีก..."
"เราทำไรอะ?" คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ ริมฝีปากอิ่มยื่นออกมาอย่างติดนิสัย
ดวงตาคมเหลือบขึ้นมาสบตามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของร่างเล็กเพียงครู่ ก่อนจะตอบในสิ่งที่อยู่ภายในใจออกมาราวกับคำสารภาพผิด...
"คุณทำให้ผมชอบคุณ ทั้งที่เราทั้งคู่ก็มีแฟนอยู่แล้ว นั่นแหละความผิดคุณ..."
จอมพลเอ่ยก่อนจะดึงถุงใส่ขนมจีบกุ้งสี่ไม้มาจากอีกฝ่าย พร้อมกับเสียงเจ้าของที่อุทานออกมาหน้าเหวอ
"อ้าว เฮ้ย"
"ตอนนี้ชดใช้มาด้วยขนมจีบกุ้งก่อน...เดี๋ยวถ้าคิดออกว่าควรทำยังไงต่อ ผมจะบอกคุณอีกที"
สิ้นคำสุดท้ายนักร้องหนุ่มก็จากไปพร้อมขนมจีบกุ้งสี่ไม้ที่แลกซื้อมาในราคาไม้ละ 15 บาท
ทิ้งให้คุณนักเขียนร่างเล็กยืนท้องร้องด้วยความหิวและความสับสนเพียงลำพัง
..........TBC.........
EP.นี้ แด่แฟนฟิคผู้รักขนมจีบกุ้งทุกคน....
ด้วยรัก และ หิวโหย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พูดตรงๆ แอบกลัวกวินตอนเจาะหูให้เอิน ฮืออออออ คืออินี่กลัวการเจาะหูค่ะ พอเจอซีนนี้ไปแบบขนลุกเกรียว กรี๊ดดดด
ส่วนคุณจินตภัทรก็ดูนุ่มนิ่มน่ารักมากค่ะ>_<
ปล.การชดใช้ด้วยขนมจีบกุ้ง ทำให้เราหิวตามเลย555
ไม่สามารถโทษจีนได้นะคะพี่บี เพราะคุณไปชอบเองไหมละ 555555 จีนก็ทำตัวน่านีกเป็นเรื่องปกติอ่ะ 55555