ตอนที่ 65 : EP.5 เพื่อนบ้านใจร้าย
Upside Down
Welcome To The Upside Down
5
เพื่อนบ้านใจร้าย
เวลา 20.09 น.
"โธ่เว้ย หกหมดเลย"
ร่างบางโวยวายออกมาหลังจากที่นมเปรี้ยวขวดเดียวที่เหลืออยู่ในตู้เย็นหกราดเลอะเต็มโต๊ะญี่ปุ่นหน้าโทรทัศน์ที่เขาใช้นั่งทำงาน เพราะขี้เกียจลงไปกินข้าวหลังจากที่แฟนหนุ่มมีไฟลต์บินไปมิลานตั้งแต่ตีสองครึ่ง ชีวิตของนักเขียนที่ดำรงอยู่ด้วยอาหารเซเว่นก็กลับมาอีกครั้ง
มือเล็กๆ กวาดเช็ดนมเปรี้ยวลงในถังขยะเล็กข้างตัวก่อนจะรวบถุงมัดแล้วเอามันไปทิ้งที่ช่องทิ้งขยะของคอนโดฯ แต่เมื่อเปิดประตูห้องออกมาก็พบบุคคลผู้มีชื่อเสียงข้างห้องเดินออกมาจากห้องเช่นกัน
จินตภัทรทำเพียงเหลือบมองอีกฝ่ายที่มือซ้ายถือขยะ มือขวาถือกุญแจเป็นพวงทั้งคีย์การ์ด กระเป๋าสตางค์ และกุญแจรถ สายตาของจอมพลมองมาที่เขาเหมือนกับมีอะไรอยากจะพูดแต่ก็เลือกที่จะเดินผ่านหน้าไปเฉยๆ
แกร๊ก ผลุบ!
ร่างเล็กหรี่ตามองเหมือนตัวเองตาฝาดไป เพราะวินาทีที่พ่อนักร้องหนุ่มเดินไปที่ช่องทิ้งขยะ
ทำไมถึงเหวี่ยงกุญแจรถรวมทั้งคีย์การ์ดทิ้งลงไปในช่องขยะ...แต่ขยะยังอยู่ในมือล่ะ?
"คุณ..."
จินตภัทรเรียกอีกฝ่ายพลางยกมือซ้ายที่มีขยะในมือขึ้น อีกฝ่ายขมวดคิ้วมองกลับมาอย่างไม่เข้าใจ แต่วินาทีต่อมาพ่อรูปหล่อก็สบถขึ้นทันทีที่สมองประมวลผลเสร็จ
"เชี่ย กุญแจรถ! แม่งเอ๊ย"
ชายหนุ่มผู้ไร้สติโยนขยะทิ้งผิดมือยืนทำท่าเหมือนไมเกรนจะแดกอยู่หน้าช่องทิ้งถังขยะ จินตภัทรเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ได้แต่ยืนงงไปด้วย พอเดินเข้าไปใกล้จินตภัทรก็เหวี่ยงขยะตัวเองทิ้งแล้วพูดปลอบใจอีกฝ่าย
"คุณลองไปติดต่อส่วนกลางพรุ่งนี้สิ คืนนี้ก็ไปนอนบ้านเพื่อนก่อนเนอะ..."
"จะไปยังไงเล่า กระเป๋าตังค์ก็โยนทิ้งไปแล้วอะ" ชายหนุ่มโวยวายใส่จินตภัทรเหมือนร่างเล็กเป็นต้นเหตุ
ซึ่งมันก็เป็นต้นเหตุจริงๆ
จอมพลรู้สึกอยากจะบ้าตาย เขาไม่เคยทำเรื่องโง่เง่าแบบนี้มาก่อนเลย แต่เพราะเปิดประตูมาเจอยัยแว่นนี่แหละที่ทำให้เขาสติหลุด ทั้งที่อุตส่าห์เก๊กหน้านิ่งไปแล้วทั้งที่ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปแล้ว หลังจากวันที่แอบเห็นภาพวาบหวิวในห้อง สุดท้ายอาการสติแตกมันก็ปิดไม่มิดเมื่อเขาเหวี่ยงข้าวของของตัวเองลงในช่องทิ้งขยะแทนถุงขยะสีดำในมือ...
"นี่คุณ!" เสียงทุ้มเรียกอีกฝ่ายที่ยืนสะดุ้งอยู่หน้าห้องตัวเองเพราะแอบย่องถอยออกมาจากคนหงุดหงิดเงียบๆ แล้วเชียว...
"อะไรอะ"
"ขอยืมโทรศัพท์คุณหน่อยสิ ผมจะโทรหาผู้จัดการ"
จินตภัทรฟังแล้วก็คิดอย่างชั่งใจเล็กน้อย แต่เพราะอีกฝ่ายเคยช่วยจ่ายเงินให้ที่เซเว่นก็เลยปฏิเสธยากหน่อย
"อืม ยืนรอนี่นะเดี๋ยวเรา..." แต่ยังพูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็พูดแทรกและเดินเข้ามาประชิดตัวจนจินตภัทรรีบถอยหนีเข้าไปในห้องที่เปิดประตูคาไว้
"ขอเข้าไปในห้องไม่ได้เหรอ? นี่ผมโทรหาผู้จัดการเสร็จก็ต้องรอให้เขามาอีกอะ ใจคอจะให้ผมยืนรอหน้าห้องเนี่ยนะ?"
ร่างสูงยืนเท้ากรอบประตูแล้วก้มลงพูดกับร่างเล็กที่เอาแต่ก้มหน้าหนี แล้วอ้อมๆ แอ้มๆ หาทางออกให้ตัวเอง
"งั้น..งั้น คุณก็...ไปนั่งรอล็อบบี้ไหมอะ?"
จอมพลหลับตาและถอนใจออกมา เขาไม่เคยเจอใครที่ทำท่าผลักไสเขาแบบนี้เลย อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่ตาสีตาสาแต่งตัวสกปรกมอมแมม นี่เขาเป็นถึงนักร้องชื่อดังเชียวนะ
"รังเกียจกันมากหรือไง?"
เสียงทุ้มขยับก้มลงไปถามใกล้ใบหน้าของคนตัวเล็กจนปลายจมูกเฉียดไปเฉียดมากับแก้มใส
"เปล่าอะ แต่ว่าเราอยู่คนเดียวก็เลย..."
"ผมดูเป็นคนน่ากลัวที่พร้อมจะข่มเหงคุณหรือทุบหัวคุณแล้วขโมยของในห้องได้หรือไง?" น้ำเสียงที่ถามออกไปเจือเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ทำเอาคนฟังเสียเซลฟ์ เขาไม่ได้กลัวขนาดนั้น แต่ไม่ชอบการพาคนแปลกหน้าเข้าห้อง
เพราะห้องของเขาก็เหมือนเป็นที่ส่วนตัว...
"หงึ ไม่ใช่นะ แต่...ก็ได้ เข้ามาสิ" ริมฝีปากอิ่มทำปากยื่นใส่อีกฝ่ายแล้วเดินนำเข้ามาในห้อง สายตาของจอมพลกวาดตาดูข้าวของที่ดูเหมือนจะตั้งใจซื้อแต่สีเขียวมาตกแต่งเต็มไปหมด
"ชอบสีเขียวเหรอ?" ร่างสูงถามคนตัวเล็กที่เดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือมาให้ แต่อีกฝ่ายไม่ได้ตอบคำถามอะไร
"อะ นี่โทรศัพท์"
จอมพลรับโทรศัพท์เอาไว้ในมือ ก่อนจะมองร่างเล็กที่เดินไปนั่งที่โต๊ะญี่ปุ่นแล้วเปิดโน้ตบุ๊กเพื่อทำงานต่อเงียบๆ ไม่หันมาสนใจเขาอีกเลย
แต่ปัญหามันไม่ได้จบแค่นั้น เหตุเพราะเทคโนโลยีฃทำให้การจดจำเบอร์โทรมันยากเกินไปสำหรับคนที่ใช้วิธีเมมเบอร์ด้วยชื่อมาตลอด แม้แต่เบอร์ของแฟนสาวจอมพลก็จำมันไม่ได้...
"คุณ คือผมจำเบอร์ใครไม่ได้เลยอะ..."
คนตัวสูงพยายามพูดด้วยท่าทางนอบน้อมที่สุดเพราะตอนนี้เขาต้องการความช่วยเหลือจริงๆ แต่อีกฝ่ายไม่หันกลับมามองหน้าเขาเลย จนกระทั่งจอมพลเดินอ้อมไปนั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะญี่ปุ่น ถึงได้เห็นว่าคุณเพื่อนบ้านกำลังร้องไห้และเริ่มพล่ามเหมือนคนสติแตกออกมาจนเขาตกใจ
"มันหายไปแล้วอะ ทำไงดี เราเขียนตั้งนาน แล้วเซฟไว้ตรงนี้ ฮึก ตอนที่ทำนมเปรี้ยวหกแน่เลย มือมันคงไปโดน ฮือออออ ทำไงดี พี่โฉมต้องด่าแน่เลย มันต้องส่งคืนนี้อะ"
ไม่รู้ทำไม...
น้ำตาของคนตัวเล็กถึงทำให้ใจสั่นไม่ต่างจากรอยยิ้มอันแสนหวานที่เขาเคยได้รับ ร่างสูงขยับกายอ้อมไปนั่งข้างๆ พลางลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างปลอบโยน ขณะที่
จินตภัทรเอาแต่พร่ำบ่นว่าทำอย่างไรดี
"ใจเย็นๆ เดี๋ยวผมช่วย ขอดูหน่อยเมื่อกี้คุณเซฟงานไว้ตรงไหน?" มือหนาโอบไหล่เด็กขี้แยเอาไว้ก่อนจะเลื่อนเคอร์เซอร์บนจอโน้ตบุ๊กไปตามนิ้วเล็กๆ ที่ชี้
"ตรงนี้เอาะ หงึ มันหายไปได้ไง"
"ชู่วๆ อย่าเพิ่งร้อง แล้วเมื่อกี้ปิดเวิร์ดไปยังไง?"
"ไม่รู้มันหายไปเอง"
คำพูดของจินตภัทรบ่งบอกถึงนิสัยของคนที่ 'ใช้เป็นอย่างเดียว' แต่ไม่รู้ว่าคอมพิวเตอร์ตัวเองทำงานหนักมานานจนโปรแกรมมันปิดตัวไปเอง สุดท้ายพอเปิดโปรแกรมเวิร์ดเพื่อเช็กดู งานเขียนที่คนตัวเล็กเขียนค้างเอาไว้ก็โชว์ขึ้นมาเป็นไฟล์อัปเดตล่าสุด
"ห๊ะ มาแล้วๆ คุณทำไงอะ?"
"ก็ไม่ทำไง กดเปิดโปรแกรมเฉยๆ เมื่อกี้มันคงดับไปเอง คุณเคยปิดคอมฯ บ้างไหม?"
"ก็ปิดฝาลงมันก็ปิดเองอ๊ะเปล่าง่ะ" น้ำเสียงที่ติดงอแงหันมาบอกสิ่งที่ตัวเองทำตลอดเวลาหลายปีที่ใช้โน้ตบุ๊กเครื่องนี้ ซึ่งไม่มีการชัตดาวน์เครื่องเลย ยกเว้นแต่มันจะรีสตาร์ตเองเพราะเครื่องทำงานหนักเกินไป
"ไม่ได้สิ ทุกครั้งที่คุณทำงานเสร็จ เซฟงานแล้วก็ต้องกดชัตดาวน์มันด้วย มันไม่ปิดเองหรอกแค่พับหน้าจอลงอะ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็พังพอดี" น้ำเสียงอบอุ่นที่ค่อยๆ อธิบายอย่างใจเย็นฟังแล้วก็ทำเอาจินตภัทรเผลอขยับตัวเข้าหาแล้วเงยหน้าถามอย่างไม่เข้าใจเทคโนโลยีเท่าไร
"จริงเหรอ แล้วมันจะพังยังอะ?"
"ยัง แต่ผมว่าเครื่องมันไม่ได้อัปเดตอะไรเลย นี่ยังใช้วินโดว์รุ่นเก่าอยู่เลยอะ ซื้อเครื่องใหม่ได้แล้วนะ"
จอมพลแนะนำด้วยรอยยิ้มก่อนจะสังเกตว่ามือเล็กๆ อยู่บนขาของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แถมตอนนี้ท่าทางของอีกฝ่ายมันล่อแหลมมากจนพานให้คิดถึงภาพบั้นท้ายขาวๆ กับริมฝีปากอิ่มที่กดจูบแฟนหนุ่ม สายตาของจอมพลจับจ้องที่ริมฝีปากแดงฉ่ำที่กำลังอธิบายว่าตัวเองใช้คอมฯ มายังไง แล้วซื้อมาตั้งแต่เมื่อไร
ทุกครั้งที่ขยับพูดจะมีจังหวะที่ลิ้นเล็กแลบเลียริมฝีปากตัวเองอย่างเคยตัว ราวกับแรงดึงดูดของโลกมันมารวมศูนย์อยู่ที่ใบหน้าของจินตภัทร มือเรียวดึงแว่นออกมาเช็ดเพราะน้ำตาทำเอาแว่นมัวไปหมด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาหาอีกฝ่าย
"แล้วคุณโทร..."
คำถามที่ตั้งใจจะเอ่ยขาดห้วงไปเพราะริมฝีปากหยักก้มลงมาประทับจูบลงอย่างแผ่วเบาละเลียดชิมริมฝีปากอิ่มสวยราวกับมาชแมลโลนุ่มๆ ที่หอมหวานจนอยากสัมผัสมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สัมผัสของมือเล็กที่ดันไหล่ของเขาออก ทำให้ชายหนุ่มค่อยๆ ผละจูบออกมาอย่างเสียดาย สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของร่างเล็กที่ดูสับสนไม่ต่างกัน
"ถือว่าเป็นค่าแรง...ที่ผมช่วยหาต้นฉบับให้คุณ"
เสียงทุ้มอธิบายราวกระซิบ ส่วนคนฟังก็ทำได้แค่พยักหน้าน้อยๆ และขยับกายถอยหนีไป...
....................
บางครั้งเราก็ไม่สามารถหาคำตอบได้จากการกระทำของตัวเราเองว่าทำไม เหตุใด ถึงปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เหมือนเวลาที่เราอยากได้ของบางชิ้นมากๆ อย่างไร้เหตุผล ทั้งที่มันอาจจะไม่เหมาะกับเราเลยสักนิด หรือเกินเอื้อม หากใจแข็งหน่อยก็อาจจะหมางเมินไป แต่ก็ไม่สามารถสลัด "ความอยากได้" ออกไปจากหัวอยู่ดี
เหมือนกับความรัก ความชอบ ที่บางครั้งก็ไม่สามารถตอบตัวเองได้เช่นกันว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น "ผิดที่ผิดเวลา" แบบนี้...
จอมพลรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำผิดมหันต์ที่ปล่อยให้ความต้องการในใจสั่งการร่างกายแทนสมอง หลังจากที่คิดทบทวนดูแล้วมันช่างไม่มีเหตุผลเลยในการกระทำเหล่านั้น แต่เพราะปล่อยให้จิตใจอ่อนแอไปกับความรู้สึกที่มั่นคงในใจ สิ่งที่เกิดขึ้นคือการเอื้อมมือไปขโมยของของคนอื่นอย่างหน้าด้านๆ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ขาดแคลนอะไรเลย...
โชคดีที่พิมพ์กลับมาตอนสี่ทุ่มครึ่งและพบว่าแฟนหนุ่มนั่งกอดเข่ารออยู่หน้าห้องท่าทางน่าสงสาร เธอถามเขาว่าทำไมถึงไม่โทรบอกใคร เขาตอบว่าจำเบอร์ใครไม่ได้เลย แต่คำถามต่อมากลับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกใจเต้นแรงราวกับคนมีความผิดก็คือ "แล้วทำไมบีไม่ไปขออยู่ห้องคุณจีนก่อน? เขาก็อยู่ห้องตลอดเวลามานั่งอยู่แบบนี้ทำไม"
ยิ่งแฟนสาวของเขาวางใจคนข้างห้องมากเท่าไร ก็เหมือนเปิดทางให้เขาทำความผิดมากเท่านั้น
หลังจากที่พิมพ์ชวนเขากินข้าวและบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะต้องไปหาเพื่อนแล้วจะเลยกลับไปค้างที่บ้าน วิถีชีวิตเดิมๆ ที่เขาเคยทำก็เป็นไปอย่างปกติสุขในทุกขณะที่อยู่กับแฟนสาว จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่ทั้งคู่พลอดรักกันอยู่บนเตียง ชายหนุ่มพบว่าในทุกครั้งที่หลับตาลงและขยับกายเข้าหาแฟนสาวที่กอดก่ายเขาอยู่ใต้ร่าง เขากลับคิดถึงใครอีกคนและสลัดมันไม่ออกสักที อาการของเขายิ่งแย่เมื่อความต้องการในกายพุ่งทะยานไปถึงจุดสุดยอดพร้อมกับภาพซ้อนทับของร่างเล็กที่อยู่ข้างห้องกับแฟนสาว จินตนาการถึงคนอื่นราวกับกับคนทรยศที่ชั่วร้าย ชายหนุ่มโอบกอดคนรักเอาไว้หลังจากเสร็จกิจบนเตียงด้วยหัวใจที่ยังเต้นรัวด้วยความผิดบาปในใจ
เวลา 00.09 น.
แฟนสาวของนักร้องหนุ่มหลับไปแล้วแต่ตัวเขาเองยังคงลืมตามองเพดานอยู่ในความมืดสลัวที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องผ่านม่านสีขาวจากหน้าต่างและระเบียง ร่างสูงลุกจากเตียงอย่างระวังและเข้าห้องน้ำชำระร่างกาย คิดว่ามันคงช่วยให้รู้สึกดีและหลับสบายขึ้น แต่เมื่อเปิดระเบียงออกไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ผึ่งไว้ หัวใจของเขากลับมาเต้นแรงอีกครั้งเพราะเจ้าของห้องข้างๆ ที่ยื่นจิบเบียร์เท้าแขนกินลมชมวิวอยู่เพียงลำพัง
ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องราวกับสปอตไลต์จากฟากฟ้า เพื่อนบ้านตัวเล็กสวมเพียงเสื้อยืดสีขาวตัวโตที่คอกว้างจนไหล่ตกมาข้างหนึ่ง คนมองไม่อาจจะห้ามสายตาของตัวเองให้ชะเง้อมองไม่ต่างจากยีราฟเพราะอยากรู้ว่าท่อนล่างของคุณนักเขียนสวมอะไรอยู่ และพบว่าแทนที่จะหาคำตอบตัวเองได้ กลับกลายเป็นยืนโง่ให้อีกฝ่ายหันมามองอย่างจับผิดว่าเขากำลังยืนทำบ้าอะไรอยู่ในสภาพที่สวมบ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียวและมีผ้าขนหนูพาดไหล่
"เอ่อ...ยังไม่นอนเหรอ?"
คำถามที่ส่งออกไปติดขัดๆ จนจอมพลอยากตบปากตัวเอง เพราะมันเป็นคำถามที่ค่อนข้างโง่เมื่อถามไปยังคนที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงหน้า ถ้าหลับแล้วจะมายืนอยู่แบบนี้ได้ยังไง?
แต่อีกฝ่ายไม่ได้มองเขาเหมือนคนโง่หรือตำหนิออกมา ใบหน้าที่ปราศจากแว่นกรอบดำทำแค่เพียงอมยิ้มแล้วส่ายหน้าน้อยๆ ในตอนนั้นเองจอมพลถึงสังเกตเห็นแก้มแดงๆ ของคนตัวเล็ก และคิดว่ามันคงเกิดจากเบียร์กระป๋องในมือที่ไม่รู้ว่ามันคือกระป๋องที่เท่าไรแล้ว
ทั้งท่าทางและสีหน้าที่อมยิ้มให้ยิ่งทำให้ใจสั่นและมึนงงเหมือนถูกตีหัวด้วยของแข็ง ความรู้สึกมันตีกันไปหมดทั้งความรู้สึกผิดต่อแฟนสาวและความต้องการที่อยากได้อีกฝ่ายมาครอบครองโดยที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความต้องการเช่นนั้น ทั้งที่เขาเองยังไม่รู้จักจินตภัทรเลยแม้แต่น้อย...
คงเหมือนคนที่อยากได้โทรศัพท์เครื่องใหม่สักเครื่องแต่ไม่รู้ว่าสเปกเครื่องมันเหมาะกับเราหรือไม่
แต่ถ้าจะให้นิยามความรู้สึกที่เกิดขึ้นฉับพลันแบบนี้ คงมีคำตอบเดียวคือ "รักแรกพบ"...
"อื้อ!" จู่ๆ เสียงของคนที่ยืนอยู่บนระเบียงข้างๆ ก็ร้องออกมาเรียกให้ชายหนุ่มหันหลังไปมองทั้งที่กำลังจะเดินเข้าห้อง
ภาพที่เห็นคือคนตัวเล็กที่คงกระดกเบียร์แล้วยั้งมือไม่อยู่เลยไหลอาบเสื้อ จอมพลกลั้นหัวเราะเอาไว้ขณะที่มองท่าทางเหมือนเด็กที่ยกเสื้อตัวเองขึ้นเช็ดแขนที่เลอะ เดินเข้าไปหากะว่าจะแซ็วสักนิดก่อนเข้าห้อง แต่กลายเป็นว่าเดินมาติดบ่วงเข้าให้อย่างจัง
มือเล็กเลิกชายเสื้อขึ้นเช็ดริมฝีปากและคางที่เปียกโดยไม่สนใจเลยว่าท่อนล่างสวมเพียงกางเกงขาสั้นสีเขียวอ่อนที่สั้นมากจนเห็นมาถึงต้นขาขาวๆ แถมชายเสื้อยังเลิกขึ้นมาจนเห็นเอวคอดกิ่วที่ไม่อาจจะถอนสายตาไปได้เลย
แต่มันก็เพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้นที่จะเก็บเกี่ยวเรือนร่างของอีกฝ่ายและเมมไว้ในสมอง เพราะเมื่อร่างเล็กปล่อยมือจากเสื้อแล้วหยิบกระป๋องเบียร์เดินเข้าห้องไปไม่มีแม้แต่คำลา จอมพลก็ทำได้แค่ยืนนิ่งอยู่หลายนาที แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าเพื่อนบ้านใจร้ายที่ปล่อยให้เขายืนคอยจะออกมาให้เห็นหน้าอีกครั้ง...
แทนที่จะได้อาบน้ำชำระร่างกายก่อนนอน ชายหนุ่มกลับต้องมายืนปรนเปรอตัวเองใต้ฝักบัวอีกรอบเพราะภาพเรือนร่างของอีกฝ่ายที่ติดอยู่ในหัวจนสลัดไม่หลุด เสียเวลานอนเสียลูกนับล้านที่ไม่ได้เกิดไปหนึ่งน้ำถ้วน...ก่อนจะคลานกลับมาที่เตียงแล้วนอนอย่างหมดเรี่ยวแรง
....................
"คุณจีน! จะไปไหนเหรอคะ?"
เช้าตรู่ของวันต่อมา จอมพลรู้แล้วว่าปัญหามันไม่ได้เกิดแค่ตัวเขา แต่มันเกิดเพราะพิมพ์นี่แหละที่นำพาอีกฝ่ายให้ขึ้นมานั่งบนรถที่เขาเพิ่งให้ศูนย์วิ่งเอากุญแจใหม่มาให้ หลังจากที่นิติบุคคลบอกว่าถังขยะที่รับมาจากตัวอาคารมันถูกรถขยะมารับไปตอนตี3 นั่นหมายความว่าเขาต้องบอกลาข้าวของทั้งหมดที่โยนทิ้งไป กุญแจรถ คีย์การ์ด และกระเป๋าสตางค์...
"พิมพ์จะไปหาเพื่อนที่เอกซเชงจ์ทาวเวอร์พอดี เดี๋ยวพิมพ์ลงแล้วให้บีเขาแวะไปส่งก็ได้ค่ะ เพราะยังไงก็ต้องยูเทิร์นตรงนานาแล้วเข้าเส้นสุขุมวิทไปจอดรถที่เทอมินอล 21 อยู่ดี บีนัดแจ็คไว้ที่นั่นถูกปะ?"
"อือฮึ" ชายหนุ่มตอบเพียงสั้นๆ ก่อนจะเหลือบมองกระจกมองหลังและสบตากับร่างเล็กที่ติดรถมาด้วย จินตภัทรยิ้มและพยักหน้ารับรู้สิ่งที่พิมพ์พูด
"เดี๋ยวเราลงพร้อมพิมพ์ก็ได้นะเดินไปนิดเดียวเอง" ท่าทางและน้ำเสียงของ
จินตภัทรติดเกรงใจ แต่หญิงสาวกลับไม่ยอมฟัง
"โหย ไม่นิดปะ ตั้งสองสถานี บีไปส่งจีนหน่อยแล้วกันเนอะ"
จอมพลพยักหน้าอีกครั้งสนับสนุนความต้องการของแฟนสาว จนกระทั่งขับรถมาจอดที่ตึกเอกซเชงจ์ทาวเวอร์จินตภัทรก็จำใจต้องย้ายไปนั่งข้างคนขับตามมารยาท
"อยู่ห้องช่วยซักผ้าด้วยนะบี อย่าหมักทิ้งไว้ละ" หญิงสาวตะโกนบอกก่อนจะเดินจากไป ผ่านกระจกรถที่กดลงครึ่งหนึ่งทางฝั่งที่จินตภัทรนั่ง
"จ้า"
ชายหนุ่มตอบก่อนจะโบกมือลาคนรักไป และเมื่อกระจกปิดลงความรู้สึกอึดอัดบางอย่างก็เกิดขึ้นชั่วอึดใจ จินตภัทรพบว่าตัวเองไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวหรือหายใจตามปกติ จนตัดสินใจจะลงมันตอนนี้แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันและเอื้อมมือมาดึงเข็มขัดนิรภัยคาดให้
"สำนักพิมพ์ของคุณอยู่ซอยไหน?" เสียงทุ้มถามก่อนจะกลับมาประจำตำแหน่งคนขับด้วยท่าทางที่พยายามจะทำตัวให้เป็นปกติ
"สามสิบเอ็ด..." เสียงเล็กๆ ตอบก่อนจะกระชับกระเป๋าเป้ที่วางบนตักเหมือนกลัวจะหาย
ทิ้งช่วงเวลาที่มีเพียงเสียงของรถยนต์คันหรูที่ติดฟิล์มดำ 60% ที่ดูก็รู้ว่าตั้งใจจะพลางตาคนภายนอกเหตุเพราะคนขับเป็นคนมีชื่อเสียง แล้วสุดท้ายทั้งคู่กลับเอ่ยคำถามเดียวกันเมื่อเปิดปากออกมา
"แฟนคุณไม่อยู่เหรอ?"
"พิมพ์ไปไหนเหรอ?"
หลังจากที่ถามออกมาพร้อมกันทั้งสองก็หันมาสบตากันขณะที่รถข้างหน้าไม่มีท่าทีจะขยับเขยื้อนเลย ดวงตากลมใสกะพริบตาปริบๆ เมื่อมองหน้าอีกฝ่ายที่ยังจ้องหน้าตัวเองเขม็งจนจินตภัทรต้องเป็นฝ่ายตอบออกมาก่อน
"พี่เบญบินไปมิลานเมื่อวาน..."
"อืม พิมพ์เขาไปหาเพื่อนแล้วก็คงไปธุระต่อมั้ง เห็นว่าจะกลับไปนอนที่บ้าน"
"อ่อเหรอ"
"คุณดูสนิทกับพิมพ์เร็วมากเลย"
จอมพลพยายามหาเรื่องแฟนตัวเองมาคุยเพื่อเตือนสติให้รู้เพียงปัจจุบันว่าตัวเองมีแฟนแล้ว และจะไม่ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สองเหมือนตอนที่เผลอจูบอีกฝ่ายแล้วอ้างว่าเป็นค่าตอบแทน เพราะหลังจากที่เขาผละออกมาก็เดินหนีออกจากห้องของจินตภัทรแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเพราะอายการกระทำของตัวเอง
"พิมพ์เขาเป็นคนน่ารักนะ เราคุยกันเรื่องหนังสือแล้วก็เรื่องไปเที่ยวต่างประเทศ ผมเลยให้ยืมหนังสือที่เอามาใช้อ้างอิงไปสองสามเล่ม เป็นหนังสือไกด์เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในยุโรป"
"เขาอยากเป็นแอร์โฮสเตส...แต่ผมไม่เห็นด้วย"
"ทำไมอะ?"
"พิมพ์เขาคิดง่ายๆ ว่าเขาอยากจะทำงานที่ชอบแต่เขาไม่รู้ว่ามันอันตรายแค่ไหนกับการไปทำงานต่างประเทศ แถมถ้าเกิดเจอผู้โดยสารหื่นๆ มาลวนลามเขาจะทำยังไง? ไปต่างประเทศเป็นอาทิตย์ คิดดูสิกัปตันอีก พวกนี้มันก็หาเศษหาเลยจากแอร์ฯ ทั้งนั้นแหละ"
คำพูดที่อาจจะแค่แสดงความห่วงใยแฟนสาวก็คงหลงลืมไปแล้วว่าแฟนหนุ่มของจินตภัทรทำอาชีพอะไรอยู่ แต่ร่างเล็กก็ไม่สามารถเปิดปากพูดโต้ตอบอะไรได้ จนกระทั่งเขาเงียบไปและจอมพลคงนึกขึ้นมาได้เอง...
"คือ ผมขอโทษ ผมไม่ได้หมายถึงแฟนคุณ คือ ผมหมายถึง..." จอมพลเริ่มหน้าเสียเพราะพูดออกไม่ทันคิด แต่สีหน้าของจินตภัทรที่ยิ้มเจื่อนและเลือกที่จะมองออกไปนอกหน้าต่างขณะที่รถเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ตามสภาพการจราจร แต่เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าเงาของตัวเองก็ยังคงสะท้อนกลับมาจากกระจกของประตูให้คนขับเห็นแววตาที่ดูเศร้าหมองจนรู้สึกปวดใจตามไปด้วย
"ไม่เป็นไร แต่รู้ไหมบางทีกัปตันก็ไม่ได้เลือกแอร์ฯ เสมอไปอะ" ร่างเล็กพูดพลางฝืนยิ้มออกมาเหมือปลอบใจตัวเอง
"ห๊ะ?" คิ้วหนาขมวดเข้าหากันก่อนจะหันไปมองสบตากับร่างเล็กที่หันกลับมาพร้อมกับดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอ
"เพราะกัปตันบางคนก็เลือกสจ๊วต..."
....................
flashback
บางครั้งบททดสอบที่ยากที่สุดของชีวิตก็คือการยอมปล่อยมือจากใครคนหนึ่ง...ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าคนที่เจ็บปวดที่สุดก็คือตัวเราเอง
"ถ้ารู้แล้วทำไมไม่พูดวะ? แกก็ถามไปตรงๆ ดีไหม? ว่าตกลงพี่เขาจะเอายังไง"
คำพูดของอนิลในตอนนั้นยังคงวนเวียนและทำให้คิดไม่ตกว่าควรจะเคลียร์กับพี่เบญเรื่องที่เขารู้มาหรือเปล่า...
จริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในหมู่คนที่ทำงานประเภทนี้ เพราะน้อยคนนักที่จะสามารถอดทนและซื่อสัตย์ได้เสมอต้นเสมอปลายในยามที่ห่างไกลกัน
อาจจะด้วยตัวเบญเองก็เป็นผู้ชายที่หน้าตาดีและอยู่ในตัวเลือกที่ทั้งสาวและหนุ่มลูกเรือเล็งกันตาเป็นมัน สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายเข้าหาใครก่อนจนกระทั่งมีเรื่องเมาท์กันสนุกปากเกี่ยวกับเบญและสจ๊วตคนหนึ่งในสายการบินเดียวกัน จนกระทั่งมันมาถึงหูอนิลที่คุณพ่อมีหุ้นอยู่ในสายการบินระหว่างประเทศที่มีคนคาบข่าวมาบอกพร้อมรูปที่แอบถ่ายตอนไปกินเบรกฟาสต์ด้วยกันมาเสร็จสรรพพร้อมบอกว่าทั้งสองคนเช็กอินห้องเดียวกันตอนที่บินไปญี่ปุ่น
จินตภัทรพยายามปลอบใจตัวเองว่าในบรรดาลูกเรือมันก็ต้องมีรูมเมต เพียงแต่ปกติกัปตันก็จะได้สิทธิพิเศษอยู่แล้วไม่ก็อยู่กับนักบินผู้ช่วย แต่เรื่องมันไปกันใหญ่และเริ่มสนุกปากจนมาเข้าหูเพื่อนเขาก็เพราะคุณกัปตันไม่สบายแต่สจ๊วตหนุ่มกลับเป็นคนคอยดูแลไม่ห่างตลอดช่วงเวลาก่อนบินกลับ
พอกลับมาถึงกรุงเทพฯ สิ่งที่ทำให้จินตภัทรรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรก็เพราะแฟนหนุ่มไม่เอ่ยถึงเลยว่าเป็นไข้ไม่สบายตอนที่ไปญี่ปุ่น แต่กลับทำตัวปกติแล้วพอถามว่าไปญี่ปุ่นเป็นยังไงบ้างก็เลี่ยงไปพูดเรื่องอื่นเหมือนไม่ได้ยิน แต่สิ่งที่ทำให้ความรู้สึกมันดิ่งลงกว่าเดิมคือนักบินรุ่นพี่ที่โทรมาหาเขาแล้วถามว่าทำไมเบญปิดโทรศัพท์ จินตภัทรเองก็ไม่รู้แต่ก็ตอบไปซื่อๆ ว่าแฟนไปบินตั้งแต่คืนก่อนแล้วแต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าเบญได้วันหยุดตั้งสามวันก่อนไปมิลาน ซึ่งนั่นหมายความว่าวันบินจริงๆ คือวันอาทิตย์ แต่เบญกลับลากกระเป๋าออกไปตั้งแต่วันเสาร์
มันร้องไห้ไม่ออกเพราะไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้กระวนกระวาย เพราะรู้สึกไม่มั่นคงกับอีกฝ่าย
หรือเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าที่ผ่านมาเบญไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวกันแน่
ทุกความอึดอัดถูกระบายออกด้วยการดื่มเบียร์เป็นโหลที่หอบหิ้วมาจากเซเว่น ความรู้สึกตอนนั้นมันก้ำกึ่งกับความเศร้าและความรู้สึกโกรธ มันเป็นเพราะเขาเองไม่ยอมรับและเข้าใจว่าน้อยคู่นักที่จะเอาชนะความห่างไกลได้ เบญก็คงเหงาไม่ต่างจากคนทั่วไปที่เลือกที่จะแบ่งใจให้ใครที่สามารถอยู่เคียงข้างกันได้ในช่วงเวลานั้น
จินตภัทรเข้าใจดีว่าความเหงานั้นรู้สึกแบบไหนและมีกระบวนการอย่างไรเมื่อไม่สามารถต่อสู้กับมัน...
การพ่ายแพ้ต่อความเหงามันทำให้คนเหงาสามารถปล่อยตัวปล่อยใจไปกับคนแปลกหน้าได้ง่ายๆ
เหมือนกับที่เขาโดนคนข้างห้องขโมยจูบในวันนี้ แต่กลับทำได้แค่เพียงขยับถอยออกมาช้าๆ ทั้งที่มันคือการลวนลามที่น่าขยะแขยงจากใครก็ไม่รู้ที่เขาไม่ได้รักไม่ได้ชอบ ปรากฏว่าสัมผัสของริมฝีปากคุณนักร้องกลับทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับความอ่อนโยนที่จินตภัทรไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไง...
เวลาแห่งการดื่มมาจบลงที่กระป๋องสุดท้าย ริมระเบียงที่จินตภัทรออกมายืนรับลมทั้งที่ยามปกติเขาไม่มีทางสวมแค่ชุดนอนบางๆ ออกมายืนไม่ต่างจากเปลือยริมระเบียงแบบนี้ เสียงของประตูระเบียงข้างๆ ค่อยๆ เลื่อนช้าๆ พร้อมกับร่างสูงโปร่งที่เดินออกมาหยิบผ้าเช็ดตัวทั้งที่สวมบ็อกเซอร์แค่ชิ้นเดียว
เหมือนว่าอีกฝ่ายจะถามอะไรสักอย่างแต่ตอนนี้จินตภัทรไม่ค่อยมีสติเท่าไร จู่ๆ ก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาเมื่อมองใบหน้าหล่อเหลาของคนถามและไล่สายตาลงมาจนถึงแผงอกแกร่งที่ทำให้ใจสั่น มือเรียวยกกระป๋องเบียร์ขึ้นกระดกด้วยอาการเลิ่กลั่กเล็กน้อยแต่กะจังหวะผิดเครื่องดื่มในกระป๋องก็เลยกระฉอกออกมาราดตั้งแค่ปลายคางไหลลงไปจนเปียกเสื้อไปหมด
ความรู้สึกตอนนั้นทั้งตกใจและอายแต่ก็ทำพลาดอีกรอบเพราะดันเลิกเสื้อขึ้นมาเช็ดคางเช็ดคอโดยลืมสนิทเลยว่าท่อนล่างสวมกางเกงนอนที่บางและสั้นมาก กว่าจะเฉลียวใจก็เห็นคนตัวสูงที่อยู่ระเบียงข้างๆ ยืนหน้าแดงอ้าปากค้าง ร่างเล็กก็เลยเนียนเดินเข้าห้องไปไม่บอกไม่กล่าวแต่ความรู้สึกบางอย่างมันไม่ได้จบเพียงแค่นั้น...
จินตภัทรไม่สามารถจะโทษฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ได้เต็มปาก เพราะถามว่าสติยังมีอยู่ไหมก็อาจจะ 70/30 แต่ความต้องการที่มันเกิดขึ้นยามที่ทิ้งตัวลงนอนเพียงลำพังคือโจทย์ที่ยากจะหาคำตอบได้ว่า ทำไมเมื่อหลับตาลงถึงยังเห็นหน้าคนข้างห้องและยังจดจำสัมผัสที่ริมฝีปากได้จนเอาไปจินตนาการยามที่ดำดิ่งลงไปในห้วงความรู้สึกที่ต้องการใครสักคนมาเติมเต็ม มันเป็นเรื่องน่าอายในยามที่มีสติแต่กลับไร้ความกระดากในยามที่ร่างกายมาถึงจุดที่ทำอะไรก็ได้เพื่อปลดเปลื้องอารมณ์ทางเพศที่พุ่งทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ จนยอมละความอายและปรนเปรอตัวเองด้วยนิ้วเรียวที่สอดใส่เป็นจังหวะจนร่างกายบิดเร่าและครวญครางราวกับแมวติดสัด
พอตื่นเช้ามาก็ต้องดึงลากผ้าห่มไปซักอย่างหงุดหงิด ไม่รู้ว่าเซ็งที่ผ้าห่มเละเทะไปหมด หรือเพราะโกรธที่ตัวเองยังจำเสียงที่ครางชื่ออีกฝ่ายออกมาตอนที่ปลดปล่อยความต้องการออกมาได้ขึ้นใจ จนรู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก...
มันก็ต้องอายอยู่แล้วในเมื่อครางออกมาเป็นชื่อผัวชาวบ้าน...
ไม่ว่าจะด้วยพรหมลิขิตหรือ "พิมพ์ลิขิต" แต่คนที่เขาพยายามจะหลบลี้หนีหน้ามากที่สุดกลับคอยเหลือบมองเขาผ่านกระจกมองหลังทุกๆ สามนาทีตั้งแต่ออกจากคอนโดฯ จนมาจอดแช่รถติดอยู่ที่แยกอโศก มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลยว่าหัวใจของเขามันเต้นแรงเพราะกลัวอีกฝ่ายจะมองหน้าแล้วล่วงรู้ความลับ ซึ่งเป็นเรื่องปัญญาอ่อนที่สุดเท่าที่ร่างเล็กจินตนาการถึง
ทั้งที่คิดว่าทุกอย่างมันคงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ เพียงแค่เราเก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจและตายไปกับตัว เรื่องชั่วร้ายที่เก็บผัวชาวบ้านไปช่วยตัวเองเป็นเรื่องเขาจะรูดซิปปากไม่เอ่ยกับใครเด็ดขาดแม้แต่เพื่อนสนิทที่สุดอย่างอนิล แต่กลับมาตบะแตกตอนที่อีกฝ่ายเริ่มถามคำถามที่ทดสอบจิตใจพอสมควร..."แฟนคุณไม่อยู่เหรอ?" แต่สิ่งที่ทำให้ใจหล่นไปถึงตาตุ่มก็คือตัวจินตภัทรเองก็ดันถามคำถามแนวเดียวกันออกไปโดยไม่ตั้งใจ
พอนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นคำถามที่คิดได้หลายแง่และเริ่มอาย คุณนักร้องก็เหมือนจะเดาทางออกก็เลยทำเป็นชวนคุยเรื่องแฟนตัวเองขึ้นมา ทุกอย่างเกือบจะไปได้ดีแล้วด้วยระยะทางอีกสองซอยจะถึงสำนักพิมพ์ แต่สิ่งที่จอมพลเอ่ยขึ้นมามันกลับแทงใจดำคนฟังอย่างไม่ตั้งใจ...
....................
flashcome
ทั้งที่รถควรจะจอดหน้าสำนักพิมพ์นกน้อยที่จินตภัทรควรจะเดินลงไปและบอกลาคนขับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่จินตภัทรแสดงความอ่อนแอออกมาอย่างไม่ตั้งใจเพราะคำพูดที่ทำให้หวนคิดถึงเรื่องแฟนของตัวเอง รถ BMW คันหรูเลยขับเลยไปแล้วหักเข้าไปจอดในลานจอดรถ Office Building ที่อยู่เยื้องๆ และจอดเอาไว้ที่ชั้นใต้ดินที่มีรถจอดห่างกันและมีเพียงไม่กี่คัน
"ผมไม่ได้ตั้งใจพูดให้คุณเสียใจ ผมขอโทษ.."
เสียงของจอมพลเอ่ยด้วยสีหน้าที่เห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายที่ปล่อยให้ตัวเองแสดงความอ่อนแอออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
จินตภัทรไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้ใส่คนแปลกหน้าแบบนี้ แต่จอมพลกลับเป็นคนแปลกหน้าที่เขาร้องไห้ใส่เป็นครั้งที่สองแถมยังร้องติดกันสองวันด้วย
"ไม่เลย คุณไม่ได้ทำ เราทำตัวเอง เราแค่..."
"คุณรู้ไหม จริงๆ ผมไม่ใช่คนที่ความจำดีเท่าไรหรอกนะ บางทีเวลามีเพื่อนมาระบายอะไรให้ฟังพอข้ามวันผมก็ลืมแล้ว"
ชายหนุ่มเอนศีรษะพิงพวงมาลัยและหันมามองพร้อมรอยยิ้มปลอบใจอีกฝ่าย ทั้งที่อยากจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะปลอบแต่จอมพลก็เลือกที่จะยับยั้งช่างใจไม่ถึงเนื้อถึงตัวอีกฝ่ายก่อนเพราะกลัวว่ามันจะไม่จบแค่ปลอบแน่ๆ มันเป็นช่วงเวลาที่สุ่มเสี่ยงพอสมควรกับสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงตั้งแต่เก็บภาพคนตัวเล็กไปยืนช่วยตัวเองอยู่ใต้ฝักบัวตอนตีหนึ่ง
"จริงเหรอ?"
"อืม ผมขี้ลืมจะตาย คุณระบายให้ฟังตอนนี้พรุ่งนี้ผมตื่นมาก็ลืมแล้ว"
ใบหน้าที่ครุ่นคิดใต้แว่นสายตากรอบดำมองสบตาเพื่อนบ้านที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มใจ
แล้วจู่ๆ ความคิดบางอย่างก็ทำให้จินตภัทรเลือกที่จะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วถามย้ำถึงข้อเสนอของอีกฝ่าย
"ถ้าทำอะไรมากกว่าระบายให้ฟัง พรุ่งนี้เช้าคุณก็จะลืมด้วยใช่ไหม?"
คำถามที่ไม่ใช่เชิงท้าทายอย่างก๋ากั่น แต่เป็นน้ำเสียงงอแงที่เหมือนเด็กที่อยากให้โอ๋แต่ก็กลัวจะโดนดุมากกว่า
ความหมายของจินตภัทรที่คิดไว้คืออยากจะ "ขอกอด" อีกฝ่ายเพราะมันคงทำให้สบายใจขึ้นหากได้กอดใครสักคนในช่วงเวลาที่ไม่สบายใจ แต่สิ่งที่สื่อสารออกไปกลับทำให้คนฟังเข้าใจไปคนละทาง...
เพราะทันทีที่ร่างเล็กหันไปอ้าแขนขอกอด ร่างสูงกลับปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วยื่นหน้ามาจู่โจมริมฝีปากอิ่มจนจินตภัทรตกใจ มันไม่ใช่แค่จูบปลอบหรือจูบเก็บค่าแรงเหมือนตอนนั้น แต่สัมผัสที่รุกไล่เข้ามาพร้อมกับลิ้นร้อนที่เกี่ยวกระหวัดอย่างจาบจ้วงเหมือนกับเฉลยความต้องการที่ตรงไปตรงมาจนจินตภัทรประมวลผลไม่ทันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย
ทำไมคนที่มีแฟนสาวแสนสวยและมีชื่อเสียงโด่งดังและคงหาคนนอนด้วยไม่ยากถึงแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาว่าอยากจะมีอะไรกับเขา? หรือว่าเขาดูง่ายไป? หรือบางทีอาจจะมีคนมาเสนอตัวบ่อยจนเจ้าตัวเข้าใจผิด
"ไม่...ไม่ใช่แบบนี้ คุณเข้าใจผิด" มือเรียวพยายามผลักไหล่หนาของคนที่กำลังซุกไซ้จมูกโด่งและริมฝีปากที่ดูดดุนผิวเนียนละเอียดที่ลำคอราวกับกระหาย
"เข้าใจผิด?" ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมาเลิกคิ้วถามอย่างงุนงง
"ร...เรา ค...แค่จะขอกอด คือ...โอ๋เฉยๆ ไม่ใช่..."
"ถามจริง?"
เสียงทุ้มถามย้ำด้วยสีหน้าเหมือนคนโง่ๆ ที่โดนปาหัวด้วยคำว่า "เข้าใจผิด" จนสมองเบลอ แต่พอใบหน้าของอีกฝ่ายพยักหน้าหงึกๆ จอมพลก็ถึงกับสบถในใจอย่างเกรี้ยวกราด...
เอ๊า อีเหี้ย ทำหน้าเหมือนสมยอมแล้วบอกให้กูกอดเฉยๆ คือไรวะ?
ก่นด่าในใจขณะที่ค่อยๆ ถอยออกมามองคนตัวเล็กจัดเสื้อผ้าให้ตัวเองอย่างเขินๆ ส่วนตัวเองก็นั่งโง่ครึ่งตัวถลำมาอยู่บนกระปุกเกียร์แล้วด้วย
"ขอบคุณนะบี เราสบายใจขึ้นมากเลย แล้วก็ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิดนะ"
น้ำเสียงที่ดูสดชื่นขึ้นเอ่ยพลางขยับมากอดคนฟังหลวมๆ ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถไปหน้าตาเฉย...
ชายหนุ่มหลับตาลงก่อนจะหันไปเอาหัวโขกพวงมาลัยรถพลางก่นด่าอีกฝ่ายในใจด้วยอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่าน
อ้อ...สบายใจแล้ว จากไปแล้ว... แต่กูยังไม่สบายจู๋ไง
แล้วใครจะรับผิดชอบลูกนับล้านของกูที่กำลังค้างเติ่งอยู่ในลำกล้องวะ?
.........TBC........
จอมพลไม่ได้แปลว่านก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตอนแรกว่าจะไม่อ่านภาคนี้ แต่พอมาอ่านแล้วสนุกอ่ะ อ่านต่อยาวไป ได้คนละฟิล สนุกมั่ก
พี่เบญมีชู้ ส่วนพิมพ์นี่สอบแอร์ติดแล้วเหรอ?
บีกับจีนก็กำลังจะแอบนอกใจแฟนตัวเอง
เหมือนจะพอๆกันเลยแฮะ ^^!!
แต่ถ้าพิมพ์ไม่ได้มีคนอื่น มีแค่เรื่องโกหกบี
พิมพ์ก็ดูน่าสงสารอยู่คนเดียวสิ แต่ต้องรอดู
เรื่องนี้ชอบหักมุม 555555