ตอนที่ 102 : EP.38 Date or Dead
Upside Down
Welcome To The Upside Down
EP.38
Jeen's Part
มันมักจะมีเพลงบางเพลงที่ไม่ว่าฟังเมื่อไหร่ก็เหมือนกับได้กลับไปสู่ช่วงเวลาใด ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต
บางเพลงมาพร้อมกับประสบการณ์ชีวิตที่จดจำไปจนวันตาย
บางเพลงมาพร้อมคนบางคนที่เราอาจจะจดจำไปชั่วชีวิต
จันทร์ยังเต็มดวง ของ Bodyslam บีบอกผมว่าเขาฟังเพลงนี้แล้วนึกถึงผม...
เขาบอกว่ามันเป็นเพลงของผมมาเนิ่นนานแล้ว เพราะเขาคิดถึงผม
เขาบอกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เขาเอาแต่จินตนาการว่าผมมีแฟนเป็นเด็กวิศวะจุฬาหน้าตาดี ผมจะมีชีวิตยังไง มันดีไหม? ผู้ชายคนนั้นช่างโชคดีเพียงเพราะเขาชนะบีไปเพียงก้าวเดียว...
เรานั่งเสียบหูฟังกันอยู่ในคาเฟ่เก่าๆ ที่ขายนมกับขนมให้เด็กๆ ที่มาเรียนพิเศษและมาเที่ยวสยาม ผมจำไม่ได้ว่าตอนเด็กๆ ตรงนี้เป็นร้านอะไร หรือว่าร้านนี้อาจจะไม่เคยเปลี่ยนไปเลยก็ได้ บีไปหาเครื่องเล่นซีดีโซนี่วอล์คแมนมาจากไหนไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ อายุมันคงมากกว่า 10 ปี เพราะดูจากสีและรุ่นแล้วเหมือนผมจะเคยเห็นเพื่อนๆ ใช้กันตอนมัธยม
ซีดีของ "เรา" เล่นเพลงที่เราต่างเคยฟัง เขาอยู่ในชุดพละสีเขียวที่ดูเข้ากับผู้ชายอายุ 25 ย่าง 26 ได้อย่างน่าประหลาด วันนี้บีลงทุนใส่แว่นกรอบหนาที่เขาบอกว่า "ดูโง่ๆ" และไม่น่ารักเหมือนที่ผมใส่ เขาสามารถแปลงร่างเป็นเด็กมัธยมตัวโตๆ โดยไม่มีสังเกตุเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ผมกังวลว่าหน้าตาเป็นที่จดจำของผู้คนเพราะเขาเป็นคนดัง แต่เปล่า เมื่อเราทั้งคู่อยู่ในชุดนักเรียนมันต่างไป ...
เพราะสิ่งที่น่าขบขันมากกว่ากลัวแฟนคลับจำได้ก็คือสารวัตรนักเรียน...
พวกเขาเดินเข้ามาทักเราสองสามครั้ง แต่แน่นอนว่าเราทั้งคู่รอดเพราะบัตรประชาชนที่ตราหน้าว่าแก่พอจะเป็นพ่อสารวัตรนักเรียนพวกนั้นได้ พวกเขาสับสนเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อจริงของบี แต่โชคดีที่คนส่วนมากไม่ค่อยรู้จัก "นายจอมพล" แต่รู้จักบีเดฟโซล
"ถ้าตอนนั้นบีขอเบอร์จีนไว้ก่อนก็ดี.."
เขาพึมพำออกมาขณะที่เอนศีรษะหนุนแขนตัวเองและเอียงคอมองผม ผมยิ้มตอบและส่ายหน้า เพราะมันเป็นไปไม่ได้หรอก ตอนนั้นผมอาจจะไม่ให้เบอร์เขาก็ได้ เพราะผมไม่รู้ว่ารุ่นพี่หน้าตาโฉดๆ ที่ยืนกางร่มให้นั่นเป็นคนแบบไหน สมัยนั้นมีคนเข้ามาจีบผมทีเล่นทีจริงมากมาย แน่นอนว่าผมก็ไม่ได้ให้เบอร์ใครง่ายๆ สำหรับพี่เบญมันต่างไป เขาเข้ามาในฐานะพี่ที่มองหารุ่นน้องที่จะเข้าไปเรียนในสถาบันเดียวกัน เขารู้ว่าผมจะสอบตรงเข้าจุฬา และเขามีภาษีดีกว่าบีเพราะเขาเป็นหนุ่มวิศวะจุฬาหน้าตาดี
"มันผ่านไปแล้ว..จะรู้ได้ไงว่าตอนนั้นเราจะรักกันมากเหมือนตอนนี้ บีอาจจะไม่ได้รักจีนเหมือนตอนนี้ก็ได้ เราทั้งคู่ยังเด็กมาก.."
ผมบอกเขาและยกมือขึ้นเท้าศีรษะกับโต๊ะ มองสายตาที่เจ็บปวดของเขา
แน่นอนว่าผมทำให้แผน "หื่น" ของเขาผิดโผไปหมด เพียงเพราะประโยคสั้นๆ ประโยคเดียวของผมเมื่อเรานั่งรถแท็กซี่มาถึงใจกลางสยามสแควร์
"ดีใจจัง ที่ได้กลับมายืนด้วยกันกับบีที่นี่อีก.."
เขาจับมือผมแน่น ขอบตารื้นไปด้วยน้ำตา เขาเองก็เจ็บปวดไม่น้อยที่ตอนนั้นเราพรากจากกันไป
เกือบ 10 ปีที่ทั้งผมและเขาต่างได้เจอกับประสบการณ์ชีวิตจากคนรักที่ทำให้เราต่างมีบาดแผลในใจจนกระทั่งตอนนี้
แน่นอนว่าเมื่อกลับมาเจอกัน ผมอยากร้องไห้ที่เขาคือรักแรกของผม และผมคือรักแรกของเขา
เกือบ10 ปีที่ผ่านมาเรามัวแต่ไปทำบ้าอะไรอยู่? ผมถามตัวเองในวันหนึ่งขณะที่มองแฟนหนุ่มของผมนอนหลับสนิทอยู่ข้างกาย บีไม่เคยรู้เลยว่าผมร้องไห้ทุกคืน... ร้องไห้ให้กับเวลาที่เสียไปเหล่านั้น ผมคิดว่ามันคงดีถ้าเราคบกันตั้งแต่ตอนนั้น
"อยากอยู่แบบนี้ไปทั้งวันเลย"
บีพูดกับผมขณะที่เขาเอื้อมมือข้างหนึ่งมาแตะที่แก้มผม เราเอาแต่นั่งสบตาและมองหน้ากันอยู่ในร้านขายนมที่มีวัวตัวโตเป็นสัญลักษณ์ของร้านที่ใครๆ ก็รู้จัก โต๊ะที่เราเลื้อยกันอยู่นี่มันก็ไม่ได้สะอาดเลย แถมมีแก้วนมเย็นที่ละลายอยู่ข้างกันผมกับบีแค่จิบเล็กน้อยเพราะมันเป็นวิถีของเด็กมัธยมที่เรามีเงินจำกัดในการมาเดท เราจ่ายเงินซื้อนมเย็นวางที่โต๊ะเป็นค่าแอร์และสถานที่นั่งจีบกัน...
"ไปดูหนังกันไหม"
บีพูดหลังจากที่เรานั่งแช่อยู่ในร้านนมหลายชั่วโมง เราไม่ได้คุยอะไรกันเยอะ เพราะเอาแต่มองหน้ากันและยิ้มเวลาที่นั่งฟังเพลงแล้วบีก็ร้องคลอไปกับเพลงเก่าๆ ที่เขาฟังมามากกว่าร้อยพันครั้งในชีวิต ผมชอบเสียงของเขา เสียงที่ไม่ได้ทุ้มและนุ่มเหมือนพี่โย่งอาร์มแชร์นักร้องคนโปรดของผม มันเป็นเสียงแปร่งๆ ที่ออกโทนแหลมเล็กน้อย แต่มันเป็นเสียงที่เพราะและหวานมากสำหรับผม ยามที่เขาร้องเพลงเบาๆ และจับมือผมเอาไว้ เหมือนกับคำสารภาพรักที่เขาเอ่ยมันออกมาผ่านเสียงเพลง
เขาปล่อยให้ผมนั่งกดโทรศัพท์มือถือเชครอบหนังขณะที่เขาร้องเพลงเบาๆ และจับมือของผมเอาไว้ แรกๆ ผมอายพนักงานที่เหลือบมองมาทางเรา ในสายตาพวกเขาเราเป็นแค่เด็กมัธยมที่มีทรงผมผิดระเบียบสองคน พนักงานสาวในร้านเดินผ่านเราแล้วหัวเราะคิกคัก แต่บีบอกผมว่าไม่ต้องสนใจ แล้วพอผมกลับมาสบตาเขา ผมก็ไม่สนใจพนักงานพวกนั้นอีก เพราะสายตาของผมมีไว้มองบีคนเดียว
"เธอ.. ขอให้เธอจำเอาไว้... จากนี้ทุกลมหายใจ มีแค่เธอแค่เธอเท่านั้น
ฉันขอให้เธอได้รู้ ว่าชีวิตที่ฉันเหลืออยู่ จงมั่นใจฉันจะให้เธอ...."
ผมเหลือบมองหน้าบีขณะที่กำลังอ่านเรื่องย่อหนังที่ผมสนใจ เขาร้องท่อนฮุคเพลง 'ชีวิตฉันที่เหลืออยู่' ของ Bodyslam อย่างตั้งใจเน้นประโยคนั้นก่อนจะดึงมือผมไปแนบแก้มตัวเอง มีเสียงกรี๊ดเบาๆ จากพนักงานที่ชะเง้อมองเราสองคนจากเค้าน์เตอร์ ผมคิดว่าเราควรเปลี่ยนสถานที่เดทกันได้แล้ว...
มันอาจจะไม่ใช่ความโรแมนติกในแบบที่คนสมัยนี้จะเข้าใจ ทั้งผมและบีราวกับยืนอยู่ในยุคสมัยของพวกเรา เราอยู่คนละมุมของร้านการ์ตูนที่ยังหลงเหลืออยู่ในแถบสยามสแควร์ มันเริ่มหายากแม้แต่ร้านหนังสือที่ผมเคยเข้าประจำก็หายไป บีซื้อการ์ตูนสองสามเล่มพร้อมบอกผมว่า "ทำไมมันเล่มละ 85 แล้ววะ" เพราะพวกเราเคยซื้อการ์ตูนอ่านกันตั้งแต่เล่มละ 35-45 บาท แต่ตอนนี้ทุกอย่างแพงไปหมด ผมเข้าใจดีเพราะผมเองก็เป็นนักเขียน และหนังสือนิยายของผมก็ราคาแพงขึ้นในทุกๆ ปี
ผมชอบอ่านนิยายเป็นเล่มๆ ตั้งแต่เด็กแต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่อ่านการ์ตูน เพียงแต่การ์ตูนที่ผมอ่านมันเป็นการ์ตูนในหมวดผู้หญิงทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้ระบุเพศเอาไว้... ผมชอบอ่านงานของอาจารย์ เคย์โกะ ซึเอโนบุ เจ้าของการ์ตูนเรื่อง Life ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคมของเด็กมัธยมที่โดนกลั่นแกล้ง มันอาจจะเป็นเรื่องของเด็กผุ้หญิงแต่ผมอ่านแล้วอึดอัดจนร้องไห้ ผมติดตามผลงานของอาจารย์มาเรื่อยๆ และกวาดตามองหาการ์ตูนเรื่องใหม่ๆ ของอาจารย์ทุกครั้งที่มีโอกาส
"การ์ตูนเก่าๆ ที่บ้าน แม่เอาไปชั่งกิโลขายหมดแล้วตอนย้ายบ้าน บีมีวันพีชทุกเล่มเลย..."
เขาเหมือนเด็กผู้ชายธรรมดาๆ ทั่วๆ ไปที่กำลังนั่งบ่นคนในครอบครัว ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับสิ่งที่เรียกว่าหนังสือการ์ตูน ผมอมยิ้มและไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะครอบครัวผมทุกคนเป็นอาจารย์ เป็นครอบครัวครูที่ไม่ได้บังคับให้ลูกอ่านแต่หนังสือเรียน อย่างคุณยายผม แต่เป็นครูที่ติดนิยายของคุณทมยันตรี และมีนิยายที่แกชอบอ่านทุกเล่ม ที่บ้านเราจะมีชั้นหนังสือของตัวเองคนละตู้ ผมคิดว่าผมโชคดีที่แม่เองก็ช่วยผมเก็บหนังสือการ์ตูนเอาไว้จนป่านนี้และแม่จะถามเสมอว่ามีเล่มไหนบริจาคได้ไหม ผมก็จะบอกชื่อเรื่องแม่ไปแล้วแม่ก็จะจัดการเอาไปบริจาคให้เอง
"เลือกที่นั่งไกลๆ หน่อยดิ..เผื่อช่วงไหนหนังน่าเบื่อจะได้ทำอย่างอื่น"
บีบอกขณะที่เรากำลังยืนจิ้มซื้อตั๋วหนังกับอยู่ที่เครื่องซื้อตั๋วอัตโนมัติ ผมชอบที่มีตู้แบบนี้ไม่งั้นผมคงอายมากถ้าเขาพูดแบบนี้ต่อหน้าพนักงานขายตั๋ว คำพูดที่บ่งบอกถึง "ภารกิจ" ที่เขาคงเตรียมตัวมาเป็นอย่างเพื่อเผด็จศึกผมในชุดนักเรียนให้ได้ ไม่บอกก็รู้ว่าเขามองผมตอนนี้แล้วคิดอะไร ทุกสัมผัสที่เขาแตะต้องเนื้อตัวของผมมันบอก สองครั้งที่เราเดินเข้าห้องน้ำแล้วบีแกล้งผลักประตูห้องที่ผมเข้าแล้วเบียดตัวเข้ามาจูบผม เราจูบกันในที่สาธารณะครั้งแรกและผมอายเกินกว่าจะปล่อยให้มันเกินเลย แม้ว่าบีจะบอกกับผมว่า "ไม่เป็นไรหรอกน่า" แต่ผมไม่มีทางถอดกางเกงนักเรียนแล้วปล่อยให้เขาทำตามใจชอบอยู่แล้ว มันไม่ถูกต้อง
ขณะที่ผมกำลังคิดหาวิธีเลี่ยงเมื่อสุดท้ายเราจบการเลือกที่นั่งดูหนังของเราด้วยที่นั่งฮันนีมูนซีทที่ยกที่วางแขนขึ้นได้ในแถวK ที่ห่างจากผู้คนอย่างจงใจและต้องเงยหน้าดูหนังจนคอเคล็ดเพราะมันอยู่เกือบหน้าสุด ผมว่ามันเสี่ยงเกินไปกับความคิดแผลงๆ ของบีที่บอกว่าเราไม่จำเป็นต้อง "ทำ" แบบเต็มรูปแบบ แต่ขณะที่พูดอยู่เขาจ้องริมฝีปากผมแล้วยิ้มกริ่มออกมาอย่างไม่ปิดบัง ผมก็เริ่มหน้าร้อนและไม่อยากสบตาเขา ผมจินตนาการออกว่าเขาอยากให้ผมใช้ปาก "ทำ" อะไร...
เราทั้งคู่ยืนอยู่หน้าโรงหนัง ขณะที่โรงหนังรอบเช้ามีคนดูทยอยเดินออกมา ผมเหลือบเห็นว่ามันมีประชุมสัมมนาอะไรสักอย่างที่ไม่ได้ให้คนไปดูหนัง แต่ใช้โรงหนังเป็นที่สัมมนา ผมเคยมีงานแจกลานเซ็นและพบกับแฟนนิยายในโรงหนังเล็กๆ เหมือนกัน เราก็แค่ใช้พื้นที่ในโรงหนัง และมีเวทีเล็กๆ ที่เอาไว้วางโต๊ะเก้าอี้สำหรับเจ้าหน้าที่ ส่วนคนที่เข้างานก็นั่งตามที่นั่งสโลปในโรงหนัง
เราสองคนเดินไปซื้อน้ำและป๊อปคอร์นกล่องเล็กๆ ที่ผมอยากกิน แต่บีไม่เห็นด้วยเพราะเขายืนยันว่าผมควรกินอย่างอื่น(ของเขา)มากกว่าป๊อปคอร์น ผมถอนใจและอายจนอยากจะวิ่งหนีแต่เขาก็ลากผมมาโอบเอวเหมือนเดิมราวกับรู้ว่าผมอยากหนีเขา
ขณะที่ผมงอแงใส่แฟนหนุ่มในชุดพละโรงเรียนมัธยม ท่ามกลางสายตาของคนที่มองเราด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย บางคนมองแล้วขมวดคิ้วไม่ชอบใจ บางคนมองแล้วยิ้มเขินตาม เพราะท่าทางของเราสองที่แสดงออกความรักประเจิดประเจ้อ สายตาของผมที่มองหน้าบีอยู่เบือนหนีสายตาเจ้าชู้ของเขาก่อนจะเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ทำเอาผมหัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะเป็นลมไปเสียตรงนั้น และทันทีที่ชายวัยกลางคนคนนั้นเดินเข้ามาหาผม พร้อมกับเสียงที่เอ่ยทัก ผมรีบดึงมือของตัวเองออกจากมือของบี และเขาหันมามองผมอย่างตกใจ เสียงกล่องป๊อปคอร์นหล่นและกระจายบนพื้น
ผมยืนกลั้นหายใจ...
มองหน้าพ่อเหมือนถูกจับได้ว่าโดดเรียน
"น้องจีน? มาหย่ะอะหยังเนี่ย ละหยังมาแต่งตัวจะอี๊"
(น้องจีน? มาทำอะไรเนี่ย แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้)
มันทำให้ผมรู้ว่า...ต่อให้เราปลอมตัวเป็นเด็กมัธยมในวัย24 ปี
พ่อแม่เราก็ยังจำเราได้ เพราะเรายังคงเป็นเด็กในสายตาพวกท่านเสมอ....
...........TBC..........
ชิหายแล้ว!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สงสัยบีคงอดแล้ว ไปต่อที่บ้านนะ 555555555