คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : JOKE - (8) คนระหว่างทาง 100%
ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผล
เมื่อความเป็นจริงคือเธอรักใครอีกคน......มากกว่
เราอาจเคยรักกัน ....แต่เธอคงไม่ได้รักกันมากพอ
“ช่วงสองสามวันนี้ คนไข้อาจจะมีอารมณ์แปรปรวน พูดโต้ตอบช้า เพราะสูญเสียความจำในบางช่วง แต่กรณีนี้ไม่รุนแรงครับ ประมาณ อาทิตย์นึงก็น่าจะจำได้มากขึ้นแล้วก็กลับสู่สภาวะปกติ”
เสียงแพทย์เจ้าของไข้ของพัคชานยอลเอ่ยกับคยองซูและเซฮุนที่เข้าไปรับฟังอาการของเพื่อน เซอุนจับมือคยองซูแน่นและบีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ สีหน้าของเพื่อนตัวเล็กไม่ดีเลยตั้งแต่เมื่อวานที่ชานยอลตื่นขึ้นมาแล้วนั่งมองคยองซูราวกับคนไม่รู้จัก
เซฮุนคิดว่ามันมีแค่ในหนังในละครที่คนประสบอุบัติเหตุจะสูญเสียความทรงจำไป เพียงแต่ชานยอลไม่ได้สูญสียความทรงจำทั้งหมด แค่บางส่วน และแค่ช่วงเวลาไม่กี่วันอย่างที่หมอบอก แต่ที่แน่ๆชานยอลจำเขากับจงอินได้ แต่เหมือนกับเป็นความทรงจำที่ไม่มีคยองซู....
มีคำกล่าวไว้ว่าสมองของคนเรามีกลไกหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดด้วยการลืม......
......................
มันเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงที่ดูเศร้าจนแทบไม่อยากตื่นจากความฝัน จงอินรู้สึกตัวขึ้นพร้อมกับอาการปวดตัวเล็กน้อยที่เกิดจากรอยฟกช้ำตามตัว เป็นครั้งแรกในรอยหลายปีที่ลืมตาตื่นขึ้นมาเพียงคนเดียว ไม่มีเซฮุน และไม่มีจื่อเทา
จงอินแอบได้ยินพ่อกับแม่คุยกับหมอตอนที่เขาแสร้งหลับ ทุกคนแปลกใจที่เขาไม่ร้องไห้คร่ำครวญ หรือตีอกชกหัวจะเป็นจะตายกับการจากไปของจื่อเทา มันมีบางอย่างที่ทำให้จงอินรู้ว่าจื่อเทาไม่เคยจากไปไหน
จงอินฝัน ฝันเห็นจื่อเทาทุกคืน แฟนของเขามายิ้มให้และบอกว่าไม่เป็นไร ตอนนี้สบายดี และอยากให้จงอินใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข มีความสุขโดยไม่มีจื่อเทาข้างกาย
ไม่ใช่ไม่เศร้าและไม่รู้สึกเสียใจเลย เพราะแต่เขาเลือกที่จะไม่ร้องไห้ออกมา ก่อนที่จื่อเทาจะจากไป คนรักของเขาได้ทำหน้าที่ของแฟนที่ดีที่สุดแล้ว ด้วยการปกป้องเขา โดยไม่ห่วงตัวเองแม้แต่น้อย
จงอินจำได้ว่าตอนที่จื่อเทาหักพวงมาลัยหลบแต่ไม่พ้น รถเริ่มหมุน จื่อเทาหันกลับมาปลดเข็มขัดนิรภัยของจงอินออกและเปิดประตูผลักเขาออกมา ชั่ววินาทีที่เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างเป็นภาพสโลโมชั่นที่ยังจำติดตาได้ดี
เขากระเด็นออกมาและมองเห็นรถกลิ้งกระเด็นลงไปจากไหล่ทางในขณะที่ตัวเขากระเด็นลงมาอยู่ที่พงหญ้า ขาขวาฟาดกับขอบไหล่ทางถนนจนรู้สึกปวดและชา
จื่อเทาเลือกที่จะหันมาช่วยจงอินทั้งที่ตอนที่รถพลิกจื่อเทาสามารถกระโจนออกไปได้หลังจากควบคุมรถไม่อยู่.....
เสียงดังสนั่นของรถบรรทุกที่พุ่งลงไปไหล่ทางอีกฝั่งและระเบิดขึ้น เรียกให้จงอินลุกขึ้นมาตอนที่ยังมีสติ รถกระเด็นออกไปไกลหลายช่วงตัว จงอินเดินลากขาที่ไม่รับรู้ความรู้สึกอะไรนอกจากชา
เขาเรียกหาจื่อเทาและเพื่อน จนกระทั่งเดินมาถึงตัวรถ จงอินจำได้ว่าภาพตอนนั้นมันน่ากลัวจนร้องไห้ไม่ออก วินาทีที่เห็นข้อมือที่สวมนาฬิกาสีทองยื่นออกมาจากรถที่พลิกตีลังกาและหน้ารถบุบจากแรงกระแทก ที่เขาจำมันได้ดีเพราะเป็นคนไปเลือกนาฬิกาเรือนนี้กับจื่อเทาเอง แขนของจื่อเทาที่เต็มไปด้วยเลือดและคราบดิน จงอินทรุดตัวลงและจับมือนั้นไว้ มือที่ยังอุ่นอยู่ของอีกฝ่าย
จงอินพยายามจะช่วยจื่อเทาออกมาแต่มือหนาที่ไร้เรี่ยวแรงฉุดเขาไว้พร้อมกับเสียงพูดราวกระซิบขาดๆหายๆ
“อย่า...พี่ไม่อยาก..ไม่อยากกลับไปแบบนี้ พี่ไม่อยาก เป็นภาระของใคร” จงอินมองอีกฝ่ายที่ร่างกายท่อนล่างติดอยู่ในซากรถผ่านม่านน้ำตาที่ไหลไม่หยุด เขาไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าจื่อเทาเจ็บแค่ไหนกับร่างกายที่ถูกอัดทับอยู่ในซากรถราวกับตุ๊กตา
ลมหายใจสุดท้ายของคนรักจากไปพร้อมกับรอยยิ้มที่จื่อเทามอบให้เขา แทนคำพูดบอกรักมากมายที่เขาเคยได้ยินจากปากอีกฝ่าย แทนความรู้สึกที่จงอินไม่อาจจะตอบแทนให้ได้เท่าเทียมที่จื่อเทามอบมันให้กับเขา
จงอินเคยสงสัยว่าเมื่อไหร่เขาถึงจะตัดใจและปล่อยเซฮุนไปได้แล้ว เขาคิดเสมอว่ามันเป็นไปได้ยากเพราะเขายังไม่รู้สึกรักใครมากพอที่จะรักได้โดยไม่ต้องมีเซฮุนอยู่ด้วยกันอีก
แต่ตอนนี้หลังจากที่แม่บอกเขาทั้งน้ำตาว่าจื่อเทาได้จากไปแล้ว จงอินทำได้แค่พยักหน้ารับรู้ และเข้าใจตัวเองตั้งแต่วินาทีนั้นว่า เขารักจื่อเทามากกว่าใครในโลก ถ้าไม่มีผู้ชายคนนั้น เขาคงไม่มีโอกาสได้เจอพ่อ แม่ และพี่สาวอีกต่อไปแล้ว
จงอินคิดว่าเขาพร้อมแล้วที่จะปล่อยเซฮุนไป.....เพื่อที่จะรักแค่จื่อเทาคนเดียวตลอดไป
.......................
“แบคฮยอน ลูกลืมโทรศัพม์ไว้ข้างล่างแหนะ มีคนโทรมา.... เอ๊ะ แบค....แบค!!!!!!!!!!!!!!!!”
เสียงของแม่เป็นเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน
หลังจากที่กินยานอนหลับเข้าไปจนหมดขวด
ผมค่อยๆกินมันทีละเม็ดสองเม็ด แล้วดื่มน้ำตาม ผมแค่อยากหลับ และอยากลืม... แต่มันไม่สำเร็จ
ผมไม่ได้อยากตาย....เพียงแต่ ผมอยากพัก ผมเหนื่อย
ผมเหนื่อยกับการต้องเสียใจซ้ำๆ และไม่มีค่าอะไร การคบกันที่เป็นเหมือนคนระหว่างทางที่เดินเป็นเพื่อนเขาในวันที่เขาถูกทิ้งให้เดินคนเดียว....และสุดท้ายผมก็ไม่ได้ถูกเลือกให้เดินไปด้วยกัน ก็แค่คนระหว่างทางสำหรับคยองซู
สัมผัสจากมือของคนที่นั่งมองหน้าผมอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยค่อยๆเกลี่ยน้ำตาผมออกจากแก้ม ผมเหลือบมองเขาและได้แต่สงสัยว่า โอเซฮุนมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกัน
“ทำไมทำแบบนี้ ฉันยังไม่บอกคยองซูหรอกนะและที่กำลังถามนี่ก็ไม่ได้กลัวว่าเพื่อนฉันจะเสียใจ แต่ว่านายไม่ควรทำร้ายตัวเองแบบนี้ แม่นายรับสายตอนฉันโทรหานาย เธอร้องไห้เหมือนคนเสียสติ นายทำร้ายคนที่เขารักนายขนาดนี้ได้ยังไง”
คิ้วหนาของเซฮุนขมวดเข้าหากันตอนที่กำลังบ่นผมอยู่ มันจริงอย่างที่เขาพูด ผมทำลงไปโดยไม่คิดถึงแม่เลย แต่ผมสาบานได้ว่าไม่ได้อยากตาย ผมแค่อยากนอน...
“ฉันไม่ได้อยากตาย แค่อยากนอน อยากพัก....มัน....มันเหนื่อยมากเลย” ผมพูดออกไปด้วยเสียงที่สั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ คำว่าเหนื่อยถูกพูดออกไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าเซฮุนเข้าใจไหม
แต่....เขาก็กอดผมไว้และลูบหลังปลอบ
“ไม่ควรมีใครตายเพราะอกหักนะแบคฮยอน” เซฮุนบอกขณะกอดผมไว้
เขารู้.....
มันเป็นเรื่องแปลกที่ผมไม่เคยบอกเขาเรื่องคยองซูเลย ผมเป็นแฟนของเพื่อนเขา และได้เรียนห้องเดียวกับเขา นั่นทำให้ผมรู้จักกับเซฮุนและเริ่มสนิทคุ้นเคยกันในเวลาไม่นาน
ในฐานะแฟนของเพื่อน และเพื่อนร่วมเอก ร่วมคลาสเดียวกัน....แค่นั้น
“นายตัวเล็กเท่าคยองซูเลย” เซฮุนบอกขำๆ นั่นไม่สบอารมณ์ผมเท่าไหร่ แต่เพราะเขาดีกับผม เลยปล่อยไปก่อน....
“ฉันสูงกว่าเพื่อนนาย”
“ความสูงที่ได้มาจากรองเท้าเสริมส้นสินะ”
“กวนประสาท....คนเกิดมาสูงจะไปเข้าใจอะไร”
“เวลานายโมโห มันดีกว่าเวลาที่นายทำหน้าเศร้านะแบคฮยอน ไปเถอะ แม่นายรอพานายกลับบ้านแล้ว เดี๋ยวเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า นายล้างท้องมาคงหิวมาก” คนตัวสูงกว่าผมพูดพลางถือวิสาสะตีพุงผมเบาๆ
ผมไม่รู้ว่าทำไมแต่เซฮุนดูใจดีกับผมมาก อาจจะเพราะมันคือครั้งแรกที่เราคุยเรื่องของตัวเองมากกว่ากว่าเรื่องของคยองซู ที่ผ่านมาในฐานะแฟนเพื่อน ผมก็จะคุยกับเขาแค่เรื่องเพื่อนเขา เรื่องผลบอล ไม่ก็เรื่องเกม
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำให้ผมรู้ว่าเขารู้เรื่องของผมมากกว่าที่ผมคิด.....
“จริงๆวันนี้ฉันโทรหานายเพราะจะบอกว่าคยองซูจะอยู่โรงพยาบาลต่อ จากกำหนดเดิมที่กลับบ้านวันนี้”
“ทำไมหละ เขาเป็นอะไรถึงต้องอยู่ต่อ” ผมหันไปถามขณะที่เขาพยุงตัวผมให้ลุกขึ้นนั่งบนรถเข็น
“คยองซูจะอยู่ดูแลชานยอลก่อนหนะ”
ผมเงียบไปอึดใจนึงเมื่อรู้สาเหตุที่แฟนผมไม่กลับบ้านสักที ตอนแรกก็ห่วงว่าเขาจะมีอาการแทรกซ้อนอะไนเสียอีก
“ชานยอลอาการเป็นไงมั่ง” ผมถามเสียงเรียบพยายามข่มใจตัวเองให้มากที่สุด อย่างน้อย....ชานยอลก็เป็นเพื่อนเซฮุนด้วย
“เป็นเอ๋อ มันจำคยองซูไม่ได้ แต่หมอบอกว่าคงเป็นแบบนี้สองสามวัน”
“แค่คยองซูคนเดียวหรอ?” แบคฮยอนเงยหน้ามองคนที่เข็นรถเข็นให้อย่างรอคำตอบ
“อืม....แต่มั่นใจว่ามันไม่แกล้งนะ ดูมันไม่ใช่แค่จำไม่ได้อ่ะ...อาการแย่กว่านั้นอีก” เซฮุนพูดแล้วถอนใจ เมื่อนึกถึงสภาพของคยองซูที่โดนไล่ตอนที่พยายามจะเดินเข้าไปหาชานยอล
ถ้าแกล้งชานยอลก็คงโหดมากๆ แต่ถ้าไม่ได้แกล้ง ก็ไม่รู้ว่าจิตใต้สำนึกของชานยอลมันสร้างปมอะไรในใจเกี่ยวกับคยองซูแบบนั้น
..............
“นายควรกินให้หมดนะ”
“จงอินอยู่ไหน”
คยองซูก้มหน้ามองเพียงเท้าตัวเอง ตอนนี้เขาถอดเฝือกคอออกแล้วแต่เหลือแค่แขนที่ใส่เฝือกอ่อนอยู่
คนบนเตียงที่กำลังถามหาจงอินตอนนี้อยู่ในสภาพใส่เฝือกขาและดามหลังไว้ แต่โชคดีที่ยังสามารถช่วยเหลือตัวเองได้กินข้าวได้แต่ไปห้องน้ำลำบากหน่อย
“จงอินกลับไปตอนนายหลับ เขาบอกให้นายกินเยอะๆ” คยองซูโกหกเล็กน้อยเพราะหลายครั้งที่บอกว่าจงอินสั่ง ชานยอลจะทำตามโดยไม่เกี่ยงงอน และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่พิสูจน์ได้ พอบอกว่าจงอินให้กินเยอะๆ ชานยอลก็ตักข้าวใส่ปากคำโตก่อนจะเหลือบมองเขา
“จงอินไม่อยู่ ....ออกไป”
คำพูดไล่เขาอย่างไร้เยื่อใยเอ่ยพลางถอนใจเบื่อหน่ายออกมา คยองซูคิดว่ามันคงเป็นบททดสอบของพระเจ้าที่ให้เขามาอยู่ในจุดที่ชานยอลออกปากไล่ขนาดนี้ แต่มันก็แค่ไม่กี่วัน....ถ้าเป็นไปตามที่หมอบอก
ราวกับสิ่งที่เขาพูดกับชานยอลมันย้อนกลับมาทำร้ายตัวเขาเอง
ที่บอกว่าให้ชานยอลลืม....ตอนนี้ก็ลืมสมใจอยากแล้ว ลืมไปหมดแม้แต่ความรู้สึกแบบเพื่อน
“ฉันจะดูนายกินให้หมดก่อน” สรรพนามที่เคยพูดกูมึงกันอย่างสนิทสนมก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
“ฉันไม่ชอบ”
คยองซูได้แต่ลอบถอนใจนิดๆเขาไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากอดทน
อดทนให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปหวังว่าชานยอลจะหายเร็วๆและกลับมาเป็นคนเดิม
เขามีเรื่องมากมายอยากจะบอก และหนึ่งในนั้นคือ
อยากให้ชานยอลรู้ว่าตลอดเวลาเขาไม่เคยลืมอีกฝ่ายเลย ไม่เคยรักชานยอลน้อยลง
และรับรู้ว่าชานยอลเป็นแบบนั่นเพราะอะไร มันดีใจตอนที่อีกฝ่ายยอมรับว่าชอบ
แต่เขาแค่อยากจะแก้แค้นและอยากให้ชานยอลเจ็บบ้าง
การคบแบคฮยอน ความรู้สึกที่มีให้แบคฮยอนมันอาจจะไม่แฟร์ แบคฮยอนดีกับเขามาก
มากจนรู้สึกผิด
บางทีมันอาจจะถึงเวลาที่ต้องขอโทษแบคฮยอนแล้ว.......
………………….
“มึงกินน้อยนะมีอะไรรึเปล่า?”
เซฮุนถามพลางเอียงคอมองจงอินที่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย
“มึงไม่จำเป็นต้องมาเฝ้ากูขนาดนี้ก็ได้นะ
เดี๋ยวพ่อแม่กูก็มารับแล้ว”
“จะกลับไปอยู่บ้านหรอ?”
“อืม”
“.......แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่”
“คงไม่...กูให้แม่ไปลาออกแล้ว
ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกมึงก่อน กูจะไปหาพ่อแม่พี่จื่อเทาที่จีนแล้วค่อยคิดว่าจะทำอะไรต่อหลังจากนั้น
ตอนที่พวกเขามารับพี่จื่อเทากูก็ไม่ได้สติ ไม่ได้เจอพ่อแม่พี่เขาเลย
กูอยากไปหาพ่อแม่เขา ไปขอโทษพวกเขาที่กูช่วยพี่เขาไม่ได้ แล้วก็......เรื่องของเรา”
เสียงสั่นเครือของจงอินขาดหายไป
น้ำตาไหลอาบแก้มใสและสะอื้นน้อยๆ เซฮุนเม้มปากแน่นขณะยกถาดอาหารออก
ข่มใจไม่พูดอะไรออกไป เขาไม่อยากรับฟังอะไรมากไปกว่านี้
เขารู้สึกเสียใจเรื่องพี่จื่อเทา แต่เขาไม่คิดว่าจงอินจะทิ้งเขาไปแบบนี้....อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กจนเข้ามหาลัย
ถึงจะหมั่นไส้จงอินมากแค่ไหนเขาก็ไม่คิดว่าจะต้องจากกันแบบนี้
จงอินยื่นมือมารั้งข้อมือหนาของเซฮุนไว้ไม่ให้เจ้าตัวเดินหนี
“ตอนนี้กูรู้แล้วว่ากูรักเขามากแค่ไหน
กูมารู้เอาตอนที่กูไม่มีเขาแล้วอ่ะมึง ฮือออออออ กูขอโทษนะ กูขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้
ฮึก ขอโทษที่ทำเหมือนล้อเล่นกับความรู้สึกของมึง
แต่กู...ตอนนี้กูคงกลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว กูรู้สึกผิดกับพี่เขา แล้วก็คิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่กูจะปล่อยมึงไป”
จงอินจับมือเซฮุนและบีบเบาๆเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปล่อยมืออีกฝ่าย
เซฮุนมองหน้าคนที่เป็นทั้งคนรักและเพื่อนสนิทของตัวเอง
เซฮุนยิ้มออกมาน้อยๆและยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย
เขาคิดว่าตอนนี้มันคงหมดหน้าที่ของเขาแล้ว
หน้าที่ของคนระหว่างทางของจงอิน
แม้ว่าพี่จื่อเทาจะไม่อยู่แล้ว
แต่จงอินยังคงรักพี่จื่อเทามากจนสามารถปล่อยเขาไปได้
ก็ไม่มีอะไรต้องอธิบายซ้ำ
ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ใครคือคนในใจของจงอิน
ถึงตอนนี้จะไม่ใช่เขา...แต่อย่างน้อยก็ยังมีช่วงเวลานึงที่จงอินเคยชอบเขา
“กูรักมึงนะ...ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา”
เซฮุนเอ่ยออกมาพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลอ จงอินยิ้มให้เซฮุนและเอ่ยขอบคุรอย่างแผ่วเบา
ก่อนที่มือทั้งคู่จะปล่อยจากกันไป
เซฮุนเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามองจงอินอีก
นั่นคือสิ่งที่จงอินต้องการ
และเซฮุนรู้ รู้ดีกว่าใครๆ.......
........................
“แบคฮยอนไม่มาเมื่อวาน
เป็นอะไรรึเปล่า เราโทรไปก็ไม่รับ” คยองซูถามอีกฝ่ายขณะที่มานั่งที่คอฟฟี่ชอปในโรงพยาบาล
แบคฮยอนจิบกาแฟก่อนจะยิ้มให้
คำโกหกที่คิดเอาไว้แล้วถูกถ่ายทอดออกมาด้วยรอยยิ้มที่เสแสร้ง
“อ้อ
พอดีเมื่อวานโทรศัพท์เสียหนะเอาไปซ่อมพอดี กว่าจะเสร็จก็เลยเวลาเยี่ยมแล้ว
นี่คยองซูจะออกจากโรงพยาบาลวันไหนหรอ?”
“เอ่อ..คือเราจะอยู่ต่ออีกสักพักหนะ”
พอโดยถามกลับไม่ทันตั้งตัวคยองซูก็ได้แต่ตอบอ้อมๆแอ้มๆ
“คยองซูไม่สบายตรงไหนอีกหรอ?
จงอินจะออกจากโรงพยาบาลแล้วนะ คยองซูยังเจ็บตรงไหนอยู่หรอ?”
คำพูดที่ดูราวกับประชดประชันทำให้คยองซูถึงกับไปต่อไม่ถูก
คำว่า คยองซูยังเจ็บตรงไหนหรอ? เหมือนเน้นย้ำและบีบให้อีกฝ่ายพูดความจริงออกมา
ความจริงที่คยองซูไม่คิดจะพูดมันตอนนี้
“เรา....”
คยองซูเอ่ยอย่างลำบากใจ เขาไม่รู้จะเริ่มมันตรงไหนดี
ไม่รู้จะพูดยังไงให้ทุกอย่างมันไม่เลวร้าย
“ไม่ต้องรู้สึกแย่ขนาดนั้นก็ได้นะ”
แบคฮยอนพูดออกมา น้ำเสียงที่เริ่มแหบพร่าบอกให้คยองซูรู้ว่ามันหมดเวลายื้อแล้ว...ที่คิดว่าจะแค่ขอโทษและขอเวลามันคงไม่ใช่ในสถานกาณณ์นี้แล้ว
“ขอโทษนะแบคฮยอน”
“เราบอกแล้วไงไม่ต้องรู้สึกแย่ขนาดนั้น
เราเป็นคนขอคบคยองซูเอง คิดเอง เออเองว่าคยองซูอยากกลับมาคบกับเรา
คิดว่าคยองซูอาจจะหันมาชอบเราบ้าง มันไม่ใช่ความผิดคยองซูเลยนะ”
คยองซูได้แต่นั่งเงียบและก้มหน้ามองเพียงแค่จานรองแก้วตรงหน้า
เขาไม่กล้ามองหน้าแบคฮยอนตอนนี้ เสียงของอีกฝ่ายทำให้รู้ว่าแบคฮยอนคงกำลังร้องไห้อยู่
มันเป็นความผิดเขาเอง....
“เราไม่น่าขอคยองซูคบเลย
ก็รู้อยู่แล้วว่าตอนนั้นคยองซูมีปัญหาแต่เราก็แกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรแล้วก็ขอคบไปแบบนั้น...ฉะนั้นไม่ต้องรู้สึกผิดกับเราหรอกนะ
เราต่างหากที่ต้องขอโทษที่ยื้อเวลามาจนป่านนี้”
“แบค....”
“ถ้ารักชานยอลก็ควรคบกับชานยอลนะ
อย่าพยายามแก้แค้นเขาทั้งที่ตัวเองก็เจ็บแบบนี้ ไม่ต้องห่วงเรา เราไม่ตายเพราะแค่อกหักจากคยองซูหรอก”
แบคฮยอนฝืนยิ้มออกมาหลังจากพูดจบ
เขาเอื้อมมือไปแตะหลังมือคยองซูเบาๆก่อนจะลุกไปจ่ายเงินและเดินออกจากร้านไป ทิ้งคยองซูไว้ตรงที่เดิม
เขารู้ดีว่าคนแบบคยองซูคงไม่มีคำพูดอะไรมาโต้แย้ง
แต่การกระทำมันเด่นชัดอยู่แล้วว่าคยองซูคิดอะไรและอยากทำอะไร
แบคฮยอนคิดว่าสู้เป็นคนลุกขึ้นและเดินจากไปก่อน
มันจะเจ็บน้อยกว่ารอให้คยองซูเป็นฝ่ายบอกเลิกตรงๆ
เขาโดนคยองซูทำแบบนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว
มันไม่ต่างจากเดิมที่เขาเป็นคนบอกให้คยองซูไป เป็นอีกครั้งที่เขาต้องเป็นฝ่ายตัดสินใจให้
เป็นอีกครั้งที่ความรักของเขากับโดคยองซูไปไม่รอด..........
แต่มันคงไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว
......................
“ผมเห็นเบอร์คุณเป็นเบอร์สุดท้ายที่เขาโทรออกหนะครับ”
เจ้าของเต้นท์ขายอาหารบอกด้วยท่าทางเกรงใจ
เซฮุนงงมากที่มันเป็นอีกครั้งที่เขาต้องมารับแบคฮยอน ครั้งแรกก็ตอนแม่แบคฮยอนรับสายเขาแล้วบอกว่าแบคฮยอนพยายามกินยาเพื่อฆ่าตัวตาย
และตอนนี้ก็โดนโทรเรียกเพราะอีกฝ่ายเมาเละจนพูดไม่รู้เรื่องอยู่ในเต้นท์ขายอาหารข้างทาง
เซฮุนก้มหัวให้เจ้าของร้านอย่างมีมารยาทก่อนจะย่อตัวลงไปช้อนตัวแบคฮยอนที่นอนขดอยู่กับพื้นร้านอย่างกับลูกหมา
เสียงงึมงำดังออกมาฟังไม่ได้ศัพท์
พอจับแบคฮยอนใส่รถได้เขาก็สตาร์ทรถแล้วมองไปที่คนหลับไม่รู้เรื่อง
เขาไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ที่อีกฝ่ายเมาเละขนาดนี้....เพราะก่อนหน้านี้แบคฮยอนโทรมาหาเขาและบอกว่าจะบอกเลิกคยองซูด้วยตัวเอง
นั่นคือสาเหตุว่าทำไมเบอร์ของเซฮุนจึงเป็นเบอร์ล่าสุดที่แบคฮยอนโทรหา
เหมือนตอนนี้เขาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องคยองซูดีที่สุด
และแบคฮยอนไว้ใจที่จะปรึกษาเรื่องนี้ด้วย
เขาไม่ได้บอกแบคฮยอนเลยว่าวันนี้ตัวเองก็โดนทิ้งเหมือนกัน มันตลกดีที่วันนี้มันเป็นวันที่พวกเขาทั้งคู่โดนบอกเลิก
(ถึงแบคฮยอนจะชิงบอกเลิกก่อนก็ไม่ต่างกัน)
เซฮุนขับรถไปเรื่อย
จุดหมายคือบ้านของแบคฮยอน แต่เสียงแปลกๆของคนที่นั่งข้างก็ดังเรียกความสนใจ
แบคฮยอนทำท่าเหมือนจะอ้วก เซฮุนรีบจอดข้างทางแล้วคว้ากล่องทิชชู่ที่จงอินเป็นคนซื้อให้มารองไว้แทบไม่ทัน
แบคฮยอนสำรอกของที่กินเข้าไปออกมาจนหมด เซฮุนถึงกับจะอ้วกตาม
หันหน้าหนีไปก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นโรงแรมเล็กๆที่อยู่ทางขวามือ
“ขอโทษนะ
เดี๋ยวฉันซักเสื้อให้” แบคฮยอนที่ตอนนี้สติกลับมาเกือบ100เปอร์เซนต์แล้วนั่งทำหน้าแหยๆเมื่อเซฮุนเดินถือเสื้อที่เละเทะไปด้วยของเก่าที่แบคฮยอนฝากไว้เตรียมเดินเข้าไปซักในห้องน้ำหลังจากรอแบคฮยนอาบน้ำเสร็จและนุ่งเสื้อคลุมอาบน้ำออกมา
“ค่าล้างเบาะรถด้วยนะ เห้อ กินอีท่าไหนวะ
เมาหัวทิ่มขนาดนี้ ไม่เคยกินเหล้าหรอ?”
“เคย....แต่ไม่เยอะ”
“โวะ บ้าจริง
นี่ถ้าที่ร้านไม่โทรมาหาฉัน นายคงโดนปล้นไปแล้ว นอนเละเทะอยู่ข้างทางเลย
วันหลังจะดื่มก็โทรบอกสิเดี๋ยวไปเป็นเพื่อน” เซฮุนเอ่ยอย่างไม่คิดอะไรพลางถอดเสื้อกล้ามออกแล้วเดินไปอาบน้ำ
แบคฮยอนนั่งเช็ดผมอยู่ที่เตียงข้างห้องน้ำพอดี
หลังจากสร่างก็มีอาการปวดหัวนิดหน่อย คนตัวเล็กกดปิดมือถือที่แบตใกล้หมดแล้วเสียบชาร์จไว้หัวเตียงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองกระจกข้างเตียงด้วยท่าทางตกใจสุดขีด
กระจกตรงหน้าเป็นกระจกที่พอคนในห้องน้ำเปิดไฟก็กลายเป็นกระจกเงาที่มองได้สองทาง
คือคนด้านนอกสามารถเห็นคนในห้องน้ำได้อย่างชัดเจน
ถ้าเรามองเห็นเซฮุนอาบน้ำ....เขาก็เห็นเราอาบน้ำเมื่อกี๊สิ
แบคฮยอนนั่งตัวแข็งท่อและก้มหน้าก้มตา
แม้จะเห็นจากหางตาว่าเซฮุนหุ่นดีจนใจเต้นแรงก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
เขาไม่เคยรู้สึกเขินกับผู้ชายคนไหนมาก่อนเพราะตัวเองก็เป็นรุกมาตลอดชีวิต
ทำไมต้องอายวะ....
แบคฮยอนคิดแล้วก็ลุกลี้ลุกลนไปหมด ลุกๆนั่งๆ
พยายามหันหนีแต่พอหันมาอีกฝั่งก็มีกระจกบานใหญ่สะท้อนเงาคนในห้องน้ำที่กำลัง.........
หันมามองสบตาเขาแล้วยิ้มกวนใส่
แบคฮยอนยืนหน้าแดงอย่างเขินอาย
เขารู้ว่าเซฮุนมองไม่เห็นเขาแน่ๆ
แต่อีกฝ่ายรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ากระจกมันมองเห็นจากด้านนอก ถึงได้หันมายิ้มล้อเลียนเขา
ไอ้บ้าเอ้ย....
“นอนเอาผ้าห่มคลุมโปงขนาดนั้นเดี๋ยวก็หายใจไม่ออกตายหรอก”
เสียงเซฮุนดุพลางดึงผ้าห่มออก แต่แบคฮยอนกลับยื้อมันไว้
“ไม่เอา
หนาว....” คำโกหกคำโตพูดออกมาเพื่อปิดบังความรู้สึกแปลกๆในใจ
“เดี๋ยวลดแอร์ให้อ่ะ”
“มะ ไม่ต้อง....”
เสียงอู้อี้ตอบแล้วค่อยๆดึงผ้าห่มออกเห็นแต่ตา
เซฮุนสวมบ๊อกเซอร์ตัวเดียวนอนเพราะว่าชุดคลุมอาบน้ำในห้องที่มีตัวเดียวแบคฮยอนเอาไปสวมแล้ว
“เป็นไร?
ไม่สบายตัวหรอ? เอายาแก้แฮงค์ป่ะ? ฉันมีนะ”
เซฮุนเป้นคนรอบคอบแล้วก็พบของใช้จำเป็นเสมอ
เพราะเวลาที่อยู่กับจงอินเขาต้องเตรียมพร้อมไว้
เพราะจงอินก็เป็นพวกคออ่อนเหมือนกัน
“เปล่า....นอนขยับไปอีกหน่อยได้ไหม”
“โห ขยับอีกก็ตกเตียงแล้ว ฉันตัวโตกว่านายสามเท่านะ” เซฮุนเอ่ยแล้วแกล้งขยับไปเบียดแบคฮยอนมากกว่าเดิม
“ทำไมเมื่อกี๊ถึงไม่บอกเรื่องกระจกห้องน้ำ”
แบคฮยอนถามออกมาอย่างหงุดหงิดกับการกระทำของอีกฝ่าย
เซฮุนหัวเราะจนตาหยีแล้วนอนตะแคงมองแบคฮยอนด้วยรอยยิ้มขี้เล่น
“นายก็หุ่นดีนะ
ถึงจะไม่มีกล้ามเลยก็เถอะ”
เซฮุนแซวออกมาทั้งที่ความจริงเขาเห็นแบคฮยอนเปลือยเปล่าเพียงแว่บเดียวแล้วรีบก้มหน้าก้มตาเล่นเกมมือถือจนกระทั่งอีกฝ่ายดินออกมาจากห้องน้ำ
“เป็นโรคจิตหรอ
แอบดูคนอื่นอาบน้ำหนะ” มือของแบคฮยอนเอื้อมไปชกไหล่เซฮุนแรงๆ
“แล้วตอนฉันอาบนายไม่ได้ดูหรอ?
แหนะหน้าแดง ก็แสดงว่าแอบดูเหมือนกันหนิ ก็เจ๊ากันดิต่างคนต่างดู”
คำพูดของเซฮุนทำเอาแบคฮยอนเขินแทบบ้า แบคฮยอนไม่รู้ตัวเลยว่ามันเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่ที่เขารู้สึกว่าเซฮุนไม่เหมือนคนอื่น และไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมยามที่อยู่กับเซฮุน ความรู้สึกแย่ๆที่เจอมาก็มลายหายไปจนหมด
ทั้งที่วันนี้เขาเสียใจเรื่องคยองซูมากจนไปนั่งดื่มคนเดียว
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เซฮุนอยู่ข้างๆเขาในวันที่มืดมน
แล้วก็ทำให้ทุกอย่างมันดีราวกับมีเวทมนต์
“นายเป็นพ่อมดหรอ....”
จู่ๆแบคอยอนก็พูดออกมาขณะจ้องหน้ากวนๆของอีกฝ่าย
“หืม?”
คิ้วเรียวเลิกขึ้นงงๆ
“เวลาอยู่กับนาย
ฉัน...สบายใจ ทั้งที่วันนี้ฉันเสียใจจนอยากจะตายอีกรอบ....”
แบคฮยอนเสียงสั่นมากจนเซฮุนสงสาร แขนแกร่งขยับมาโอบกอดอีกฝ่ายไว้
เซฮุนติดนิสัยชอบโอ๋มาจากการอยู่กับจงอิน เขาเทคแคร์จงอินจนติดเป็นนิสัย ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำแบบนี้กับใคร...จนกระทั่งเริ่มสนิทกับแบคฮยอน
“บอกแล้วไงไม่มีใครตายเพราะอกหักหรอก”เซฮุนเอ่ยและลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ
แบคฮยอนก้มหน้างุดอย่างทำตัวไม่ถูกเสียงพูดที่สั่นเล็กน้อยเอ่ยออกมาด้วยท่าทีขัดเขิน
“แล้ว มีใครเคยตายเพราะเขินรึเปล่า....”
เซฮุนหลุบตามองอีกฝ่ายยิ้มๆ
ก่อนจะก้มลงไปกระซิบเบาๆข้างหูแบคฮยอน
“น่าจะนาย
คนแรก ”
TBC #chansooตลกร้าย
เขินกันยัง?
เดี๋ยวมาแก้คำผิดพรุ่งนี้นะคะ คืนนี้ง่วงแล้ว บะบัย
ความคิดเห็น