คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : SPECIAL REVIEW : พึงระวังบัตร T-Money และ Cash Bee ของคุณ
เตือน!!!
เรื่องเล่าเกี่ยวกับบัตร T-Money และCash Bee เตือนทุกท่านที่กำลังจะเดินทางไปเกาหลีและจะซื้อบัตรเดินทางสาธารณะที่ใช้จ่ายได้ทุกประเภทของเกาหลีค่ะ
เล่าก่อนนิดนึงนะคะ บัตร T-Money และ Cash Bee นั้นมีคุณสมบัติเหมือนกันทุกอย่าง
นั่นคือสามารถเติมเงินใส่บัตรและใช้จ่ายเวลาขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน รถเมล์ รถแท็กซี่
หรือแม้กระทั่งซื้อของของมินิมาร์ท ได้ทั้งหมดค่ะ แต่เดิมนั้นจะคุ้นๆ กันเฉพาะ T-Money
แต่หลังๆ มานี้มี Cash Bee มาด้วย
ซึ่งต่างกันตรงที่ออกมาจากคนละบริษัทเท่านั้นค่ะ
ส่วนใหญ่แล้ว ใครที่เดินทางไปเกาหลี แบบไปเที่ยวเองก็มักจะซื้อบัตรนี้ไว้ใช้กันทั้งนั้น
เพราะมันสะดวกสบาย เวลาเดินทางก็สามารถแตะบัตรผ่านเข้าออกได้เลย
ไม่ต้องไปเสียเวลาซื้อตั๋วรถแบบ single ticket ทุกครั้งที่เดินทาง เพราะการเดินทางหลักของเกาหลีก็คือรถไฟฟ้าใต้ดินนั่นเองค่ะ
มาเริ่มเข้าเรื่องกันเลย โดยส่วนตัวนั้นเราไปเที่ยวเกาหลีเองหลายครั้ง
ไปแบบเที่ยวเองตลอด และได้ซื้อบัตร T-Money ไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ไป
(เมื่อ 5 ปีที่แล้ว) ตอนนั้นซื้อบัตรที่ราคา 2500 วอนค่ะ (ส่วนใหญ่ราคาก็จะราวๆ นี้ ขึ้นอยู่กับลวดลายของบัตร
ถ้ามีลายของลิขสิทธิ์อย่าง LINE ราคาก็จะแพงขึ้นค่ะ)
เราใช้บัตรนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น ไปกี่ครั้งก็ใช้บัตรนี้ ไม่เคยมีปัญหา
แต่มันมาเกิดในทริปล่าสุดของเราค่ะ
ครั้งนี้เราไปเกาหลีกับเพื่อนอีก 3 คน ( รุ่นพี่หนึ่งคนให้ชื่อว่า A อีกสองคนเป็นเพื่อน) ซึ่งยังไม่เคยไปเกาหลีแบบเที่ยวเองมาก่อน (พี่ A
เคยไปมาแล้ว แต่ไม่มีบัตร T-money)
บัตรของเราเองที่ใช้มาเราซื้อที่ร้านมินิมาร์ทในสนามบินอินชอนค่ะ
เราก็กะจะพาเพื่อนไปซื้อที่นั่น แต่ว่าพนักงานบอกว่าบัตรหมด เราก็เลยซื้อ single
ticket จากสนามบินเข้าไปที่พักกันก่อน พอขึ้นจากรถไฟสถานีปลายทางมาได้
ก็เข้ามินิมาร์ทแรกที่เจอเลยนั่นคือ CU ในสถานีรถไฟฟ้ามหาวิทยาลัยฮงอิก
จำทางออกได้ไม่มาก แต่ว่าร้านอยู่ตรงข้ามกับ Information Center ค่ะ จะมีที่วางใบปลิวท่องเที่ยวเยอะหน่อย
ตอนซื้อเราก็ถามคนขายด้วยภาษาเกาหลีแบบงูๆ ปลาๆ ถามหาบัตร T-Money คนขายก็หยิบตะกร้ายาวๆ
ออกมาที่มีบัตรหลายสีหลายใบอยู่กันเยอะ เพื่อนเราก็ถามภาษาอังกฤษว่ามันต่างกันมั้ย
คนขายก็ส่ายหน้า ความพีคมันอยู่ตรงนี้ค่ะ ...พอบอกว่าไม่ต่าง เราก็เลยขอดูบ้าง
แล้วบอกให้เพื่อนๆ เลือกเอาตามใจเลย อยากได้สีอะไร
พี่ A กับเพื่อนอีกคนเลือกบัตรสีเหลืองขาว (นี่แหละตัวปัญหา)
เพื่อนอีกคนเลือกสีดำ คนขายก็พยักหน้าคิดเงินตามปกติ โดยแยกจ่าย บัตรสีเหลืองขาวกับสีดำราคาเท่ากันคือ
2500 วอน จากนั้นเราก็ออกมาจากสถานี ไปหาตู้เติมเงิน
ก็เติมเงินกันตามปกติค่ะ
พวกเราทั้ง 4 คนเดินทางไปนั่นมานี่ด้วยรถไฟใต้ดิน รถเมล์มาเยอะมาก
(วันที่โดนเจ้าหน้าที่เรียกเค้าเช็คประวัติการใช้งานในบัตร นับได้ทั้งหมด 18
เที่ยว) ตอนที่เราสแกนบัตรเข้าออก
มันจะโชว์วงเงินที่ใช้ไปในครั้งนั้น และจะโชว์เงินคงเหลือค่ะ
ซึ่งเพื่อนสองคนของเราที่ใช้บัตรสีเหลืองขาว
เค้าไม่ค่อยได้ดูยอดเงินที่เหลือของตัวเอง ก็เติมๆ เงินกันไปไม่เท่ากัน
แล้วแต่ว่าอยากใช้เท่าไหร่ พอดีเราชอบซื้อโยเกิร์ตพร้อมดื่มในมินิมาร์ท
แล้วคร้านหยิบเงินออกมานับเพราะอากาศมันหนาว เลยเติมเงินในบัตรเยอะกว่าใคร
เอาไว้ซื้อของในมินิมาร์ท เวลาถามๆ ว่าเงินเหลือเท่าไหร่กัน มันเลยไม่เท่ากันสักที
วันที่เกิดเรื่องคือวันที่ 5 ของการเที่ยวของเราค่ะ
ซึ่งวันถัดมาเราจะกลับไทยกันแล้ว เลยตกลงกันว่าจะไปซื้อของเก็บตกพวกเครื่องสำอางต่างๆ
กันที่เมียงดง เพราะช็อปเครื่องสำอางที่นั่นมีเยอะที่สุด เรามาถึงเมียงดงเวลาสองทุ่มนิดๆ
เดินออกมาตรงทางออกอีกด้านที่ไม่ใช่ฝั่ง underground shopping ก็ติ๊ดบัตรออกจากสถานีตามปกติ
ด้วยความที่เราเป็นคนเดินเร็ว เดินนำแทบตลอดทริป
เราก็เดินเลยไปหาทางออก แต่เพื่อนด้านหลังเรียกเราไว้
พอเดินกลับไปก็เห็นเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากช่องขายตั๋ว คุยกับพี่ A บอกว่าคุณทำผิด
คุณต้องจ่ายค่าปรับ (คุยกันด้วยภาษาอังกฤษนะคะ) พวกเราทุกคนก็งงกัน งงจริงๆ ค่ะ
ไม่เคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อน เราก็ถามว่ามีอะไรหรอ เกิดอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่ ญ
คนนั้นบอกว่าพี่ A ใช้บัตรผิดประเภท เป็นบัตรของเยาวชน
(อายุไม่เกิน 18 ปี)
ซึ่งบอกเลยว่าในทริปเราไม่มีใครอายุต่ำกว่า 18 แน่นอน
เค้าบอกว่าคุณใช้บัตรผิดนะ คุณต้องจ่ายค่าปรับ 30 เท่า
เอาแต่พูดแบบนี้อย่างเดียว แล้วก็ชี้ให้เราดูป้ายที่มีในสถานี
ซึ่งระบุเป็นภาษาอังกฤษและเกาหลีบอกว่าถ้าหากใช้บัตรผิด มีโทษต้องปรับ 30 เท่า
เขาถามเราว่าซื้อบัตรมาจากที่ไหน เราก็บอกว่าจากร้านมินิมาร์ทในสถานีม.ฮงอิก
มินิมาร์ทในเกาหลีจะมีสองร้านดังๆ ที่เห็นเยอะหน่อยคือ CU กับ GS25 เราจำไม่ได้ค่ะว่าซื้อจากร้านไหน แต่น่าจะเป็น CU
เราก็พยายามคุยกัน
อธิบายให้เข้าใจว่าเราไม่รู้ว่านี่เป็นบัตรของเยาวชน
บนบัตรไม่มีคำไหนที่บอกเลยว่าเป็นบัตรของเยาวชน มีแค่ตรงมุมซองใส ไม่ได้อยู่บนตัวบัตรด้วย
ซึ่งพี่เราไม่แกะซองใสออก ซื้อมายังไงก็ใช้แบบนั้นเลย (ปกติมันติ๊ดได้เลย
อยู่ในกระเป๋า ถ้าวางตรงจุด เครื่องก็หาเจอ ไม่ต้องหยิบออกมาทุกครั้ง)
นี่รูปประกอบค่ะ บัตรเหลืองขาว
คุยกันราวๆ ห้านาที เขาขอดูบัตรของทุกคนเลย ตอนดูเขาก็พลิกไปมา บอกว่าบัตรอื่นน่าจะเป็นบัตรของผู้ใหญ่ แต่บัตรนี้ (บัตรของพี่ A) เป็นบัตรของเยาวชน เจ้าหน้าที่ ญ สื่อสารได้ไม่เต็มร้อย จึงให้เราไปที่สถานี เราก็ถามว่าทำไมต้องไป พวกเราไม่ได้ตั้งใจผิดนะ เราไม่รู้ด้วยว่าเป็นบัตรเยาวชน แต่เขาไม่ยอม หยิบโทรศัพท์มาคุยภาษาเกาหลีกับใครสักคนแล้วก็บอกให้พวกเราไปที่สถานี สถานีกลางซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับทางออก 5-6 ตรงข้ามกับ underground shopping เลยค่ะ พอพวกเราเข้าไปก็มีเจ้าหน้าที่ผู้ชายหนึ่งคนมารับเรื่อง คนนี้พูดภาษาอังกฤษได้ดีและคล่องค่ะ
ในนั้นมีเจ้าหน้าที่สูงอายุอีกคนนั่งนับเงินอยู่ และเจ้าหน้าที่เด็กผู้ชายอีกคน คืออยากจะบอกว่าตอนนั้นเราหิวกันมาก ยังไม่ได้กินอะไรมาเลย แต่ก็มานั่งอยู่ เจ้าหน้าที่ ญ คุยกับเจ้าหน้าที่ ช ที่มารับเรื่องเหมือนจะอธิบายสถานการณ์ แล้วก็ขอดูบัตรของพวกเราทุกคน
เขาเอาบัตรไปทาบกันเครื่องอ่าน (เจ้าหน้าที่เองยังบอกไม่ได้เลยว่าบัตรไหนของเยาวชนของผู้ใหญ่ ต้องใช้เครื่องอ่าน)พร้อมกับบัตรเจ้าปัญหาที่เขาเห็นคือบัตรของพี่ A สักพักกลับมาพร้อมกระดาษใบยาวที่เป็น record ว่าเดินทางไปที่ไหนบ้าง แล้วก็บอกว่าบัตรสีเหลืองขาวสองใบนั่นเป็นบัตรเยาวชน แต่อีกสองคนไม่ใช่
อันนี้ภาพบนโต๊ะ จะมีบัตรเหลืองขาว 2 ใบ และบัตรผู้ใหญ่ธรรมดา 1 ใบที่คว่ำอยู่ กับใบ Record ที่เค้าปริ๊นออกมาว่าใช้เดินทางไปไหนมาบ้าง
จะเห็นเครื่องอ่านบัตรตรงมุมขวา บัตรสีดำ POP ที่วางอยู่บนนั้นเป็นบัตรของผู้ใหญ่ที่เพื่อนอีกคนซื้อมาพร้อมกันค่ะ เขาต้องเอาไปอ่านกับเครื่อง จะรู้ยอดเงินคงเหลือ และรู้ว่าเป็นบัตรเด็กหรือผู้ใหญ่
ใบ Record ที่ปริ๊นออกมา
แล้วก็มาบอกเราว่า กฎต้องเป็นกฎ คือคุณต้องจ่ายค่าปรับนะ เพราะถือว่าคุณโกงค่าโดยสาร
คุณเดินทางไปทั้งหมด 18 เที่ยว มีค่าปรับเที่ยวละ 1350
x 31 = 41,850 วอน (คิดเป็นเงินไทยราวๆ 1255 บาท) ถ้าคิดตามจริงก็คือ 753,300 วอน (ราวๆ 22,590 บาท)
คราวนี้ก็เป็นเรื่องค่ะ พี่ A ที่โดนเรียก เขาก็ไม่ยอม
ให้ไปเอาเรื่องกับคนขายให้เราสิ เขาไม่ยอมบอกว่าเป็นบัตรเด็ก
ทำไมเราต้องมาจ่ายส่วนนี้ด้วย คือพวกเราเถียงกันขาดใจจริงๆ ว่าไม่รู้เลย
คุยกันให้ไปที่ร้านนั้นที่สถานีม.ฮงอิกด้วยกันเลยด้วยซ้ำ
ขอดูกล้องวงจรปิดในร้านได้เลยว่าเราไปซื้อบัตรและคนขายบอกอะไรรึเปล่าว่าเป็นบัตรเด็ก
แต่เจ้าหน้า ช บอกว่าต่อให้ไปถามไปเอาเรื่อง ก็เอาเรื่องกับร้านค้าไม่ได้
เพราะไม่มี connection ต่อกัน
พวกเราก็ไม่ยอมสิคะ แบบเฮ้ยย... คุณอนุญาตให้เขาขายได้ตามสะดวก
แต่พอเกิดเรื่องกลับเอาผิดไม่ได้ แล้วมาพูดกับเราว่า
เขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเราจะโกหกมั้ยเรื่องที่ไม่รู้ว่าเป็นบัตรเด็ก
พี่กับเพื่อนเราอีกคนก็ของขึ้นกันเลย เถียงกันยาวนานมาก เจ้าหน้าที่ ช คนนั้นบอกเองเลยนะว่าเกิดเหตุแบบนี้บ่อย
ก็ใช่...บ่อยแล้วไง คุณไม่มีมาตรการมารองรับเลยหรอ ต้องให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในประเทศของคุณเป็นคนรับผิดชอบหรอ
ในบัตรไม่มีภาษาอังกฤษระบุเลยว่าเป็นบัตรเด็ก direction use ที่เป็นภาษาอังกฤษก็ไม่มี
ประเทศคุณก็ world wide นะ คนมาท่องเที่ยวเยอะ
แต่การจัดการในเรื่องนี้แย่มาก คือบอกเลยว่าพวกเราฉุนกันสุดๆ พูดใส่เขาเลยว่านี่ไม่ใช่เราโกงคุณหรอก
แต่พวกคุณต่างหากที่โกงเรา โกงนักท่องเที่ยวคนอื่นด้วย คนอื่นอาจจะยอมจ่าย
แต่เราไม่ยอม
เจ้าหน้าที่ ช ก็ถอนใจ คือพูดอะไรไม่ได้ ได้แต่บอกว่าต้องทำตามกฎ เขาอนุโลมให้จ่ายค่าปรับแค่เที่ยวเดียวคือ
41,850 วอน
เพราะเชื่อจริงๆ ว่าพวกเราไม่รู้ว่าเป็นบัตรเด็ก คิดค่าปรับแค่บัตรเดียวด้วย
(จริงบัตรเหลืองขาวสองใบผิดทั้งคู่) เราก็ต่อรองกันว่า
เอาแบบนี้...เราไม่ได้ตั้งใจทำผิด คุณก็ต้องทำตามกฎ งั้นก็เจอกันครึ่งทางด้วยการจ่ายราคาค่าโดยสารส่วนเกิน
ซึ่งบัตรเด็กจะจ่ายเที่ยวละ 720 วอน (จากราคาเต็ม 1350
วอน) เราเลยขอจ่ายส่วนต่าง 630 วอน
คูณด้วยจำนวน 18 เที่ยวที่เราใช้ไป
ฟังดูมันก็แฟร์ดีใช่มั้ยคะ แต่เจ้าหน้าที่ ช ไม่ยอมค่ะ บอกว่ากฎต้องเป็นกฎ
ยังไงก็ต้องจ่ายอย่างน้อย 41,850 วอน พูดว่าจริงๆ ต้องจ่ายเจ็ดแสนกว่านะ
แต่นี่เขาเข้าใจว่าเราไม่รู้ เลยลดมาปรับแค่นี้ พวกเราก็ไม่ยอมกันค่ะ พี่ A
ขอคุยกับหัวหน้าของเขาด้วย แต่เจ้าหน้าที่ ช บอกว่าหัวหน้าไม่อยู่
ไปทานข้าว พักนึงก็มีเจ้าหน้าที่ ช สูงอายุ เหมือนจะเป็นหัวหน้าเดินมาคุยค่ะ
เจ้าหน้าที่ ช ก็อธิบายเหตุการณ์เป็นภาษาเกาหลี
แล้วก็กลับมาบอกเราว่าเขาพูดให้แล้ว แต่ว่าหัวหน้าไม่ยอม ต้องจ่าย
คือบอกเลยว่านั่งอยู่ในนั้นตั้งแต่สองทุ่มจนถึงสี่ทุ่ม
ก็เถียงกันอยู่ร่วมๆ สองชั่วโมงนั่นแหละ เจ้าหน้าที่เขาก็คุยๆ
แต่ก็ยังไม่ยอมกันอยู่ดี เราเลยติดต่อเจ้าของที่พักที่เป็นคนไทย
ซึ่งเขามีแฟนเป็นคนเกาหลี เล่าเรื่องให้ฟัง
เขาก็บอกว่าไม่เคยเจอเคสแบบนี้มาก่อนเลย เขาให้แฟนเขาที่เป็นคนเกาหลีโทรคุยกับเจ้าหน้าที่
ช คนนั้น คุยกันพักนึง ก็ยังไม่ลงตัว เจ้าหน้าที่ ช ยืนยันว่ายังไงก็ต้องจ่าย 41,850 วอนนี้ ไม่อย่างนั้นจะต้องไปที่สถานีตำรวจ
และอาจต้องจ่ายค่าปรับเต็มคือเจ็ดแสนกว่า
พวกเราคือหมดคำจะพูดเลย ต่อรองไม่ได้ ชี้แจงอะไรก็ไม่มีประโยชน์
พอถามว่าถ้าเราจ่ายแล้วเราจะไปเอาผิดกับร้านมินิมาร์ที่ขายบัตรให้เราได้มั้ย
เจ้าหน้าที่ ช ก็ยิ้มแหย บอกว่าอาจจะไม่ได้อะไร ตรงนี้บอกเลยว่าโกรธ
ทำไมนักท่องเที่ยวจะต้องมาเป็นผู้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากการขายบัตรที่สะเพร่าของพนักงาน
พนักงานไม่ได้พูดได้เตือนเลยสักคำ
นักท่องเที่ยวจะต้องเป็นผู้ตรัสรู้เองหรอว่านี่มันบัตรเด็ก ฉันใช้แล้วจะผิด
อย่างน้อยถ้ามีประโยคภาษาอังกฤษบอกสักนิด เราก็จะยอมรับได้นะคะ แต่นี่ไม่มีเลย
ถ่ายรูปบัตรส่งให้เจ้าของที่พักดู เขาบอกว่ามีภาษาเกาหลีเขียนตรงหัวมุมค่ะ ซึ่งคือตรงนี้
เราก็โวยด้วยค่ะ ว่าการออกแบบบัตรของบริษัทมันห่วยนะ ในฐานะเจ้าหน้าที่ที่คุณเจอเรื่องแบบนี้บ่อยๆ
คุณไม่คิดจะแก้ปัญหาเลยหรอ หรือคิดจะเรียกเงินจากนักท่องเที่ยวแบบนี้ทุกครั้ง
ต่อรองอะไรก็ยังไม่ได้ ทุกคนจะต้องยอมจ่ายคุณงั้นหรอ พอพี่ A บอกว่าไม่มีตังแล้ว
พรุ่งนี้จะกลับไทย ใช้เงินหมดแล้ว เขาก็เอาบัตรทุกใบที่วางอยู่ไปเช็คยอดเงิน
บอกว่าในบัตรคุณมีเงินเหลือ ขอหักเงินในบัตรแทน
คือแบบ... เมิงจะเอาทุกทางเลยใช่มั้ย ยังไงก็จะเอาให้ได้ ต่อรองไม่ได้
บอกว่าเป็นกฎ แต่ลดค่าปรับจาก 18 เที่ยวให้จ่ายเที่ยวเดียวได้
จนสุดท้ายคุยยังไงก็ไม่ลงตัว พี่ A เลยบอกว่า ก็ได้
ฉันยอมจ่ายก็ได้ เพราะฉันเสียเวลากับที่นี่มามากพอแล้ว เปลืองเวลา
เงินที่คุณได้ไปจากฉันเนี่ย บอกได้เลยว่าพวกคุณโกงจากฉันไป โกงจากนักท่องเที่ยวทุกคนที่โดนแบบนี้
คือตอนโดนว่า เขาก็หน้าเจื่อนนะ แต่ก็ไม่พูดอะไร ยิ้มแห้งๆ ใส่
เราบอกให้เขาช่วยพูด ช่วยต่อรองกับหัวหน้าให้หน่อย ขอจ่ายส่วนต่างที่เราใช้ไปด้วยความไม่ตั้งใจ
ด้วยความไม่รู้ แต่หัวหน้าก็ไม่ยอม เขาก็เอาแต่พูดว่าเป็นกฎ
คือตอนนั้นหิวกันจะตาย เพื่อนอีกคนก็บ่นหิวๆ
เค้าก็ถามว่าเอาเครื่องดื่มอะไรไหม กาแฟมั้ย คืออารมณ์นี้ไม่นึกอยากกินอะไรแล้ว
แต่เจ้าหน้าที่ ญ ก็เอาน้ำเปล่ามาให้ค่ะ
แล้วเราก็ถามว่าแล้วจะทำยังไงต่อเรื่องบัตร เพราะเราต้องใช้บัตรต่อนะ
พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางอีกอยู่ เขาเลยไปหาบัตรของผู้ใหญ่มาให้สองใบ (ให้ฟรี)
ส่วนเงินในบัตรเดิมเขาบอกว่าให้ไปเอาเงินคืนจากมินิมาร์ทร้านไหนก็ได้
เขาจะมีระบบหักเงินจากบัตรและจ่ายเงินสดให้เรา (อันนี้เราก็เพิ่งรู้ค่ะ
ว่าถ้าเงินในบัตรเหลือเยอะ ต้องการเอาเงินสดออกมา ก็ไปที่ร้านมินิมาร์ทร้านไหนก็ได้
เพียงแต่จะมีค่าธรรมเนียม 500 วอนต่อการเอาเงินออกมา 1 ครั้ง แต่ถ้าเงินต่ำกว่า 1000 วอนไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมค่ะ)
พี่ A ยืมตังเราจ่ายค่าปรับ 41,850 วอน
เขามีใบเสร็จออกมาให้ เราเลยบอกว่าให้เขียนใส่กระดาษเป็นภาษาเกาหลีให้หน่อย
เพราะเราไม่ยอม จะไปเอาเรื่องกับมินิมาร์ท บอกว่าคุณทำผิดที่ขายบัตรเด็ก
คือให้เขียนอธิบายทุกอย่างลงไปเลย เขาก็เขียนให้ค่ะ แปลให้ด้วยว่าเขียนอะไรไปบ้าง
ถามว่าจะให้เขียนอะไรอีก พวกเราก็ให้ระบุตำแหน่งร้าน บอกไปเลย
แล้วก็บอกเจ้าหน้าที่ ช เพิ่มเติมไปว่าถ้ามีประชุม
ให้เอาเรื่องนี้เป็นประเด็นหลักด้วย เพราะคุณโกงนักท่องเที่ยวไปเยอะมากแล้ว
ไปบอกให้บริษัทที่ทำบัตรออกมาระบุไปเลยว่าอันไหนบัตรเด็ก
ภาพของใบที่เขาเขียนให้และใบเสร็จค่ะ
เราพูดกันเลยว่าประเทศไทย อาจไม่เจริญเท่าบ้านคุณ
แต่ก็มีการแบ่งแยกให้ชัดเจนว่าบัตรไหนของเด็ก ของผู้ใหญ่ ของคนชรา
จะได้ไม่มีการเข้าใจผิด แต่การทำบัตรของประเทศคุณมันทำให้งงและสับสนมาก
เพราะเหมือนกันหมด ราคาเท่ากัน ภาษาที่ระบุในบัตรก็มีแต่ภาษาเกาหลี มันแย่มาก
คือพูดกันหลายรอบมากว่าคุณโกงนักท่องเที่ยวไปเยอะมาก
ไม่มีใครอยากมาประเทศคุณหรอกถ้าต้องมาเจอแบบนี้ เขาก็ถามว่าคุณจะกลับมาอีกไหม
พูดเหมือนห่วงว่าประเทศตัวเองจะได้รับความเสียหาย คือมันเสียหายไปแล้ว มันถูกมองในแง่ลบไปแล้วล่ะ
เพื่อนเราที่เจอแบบนี้ไม่มีใครแฮปปี้สักคน
แล้วคือเราไม่รู้ว่าเราจะเอาเงินออกจากบัตรได้จริงมั้ย
เราก็เลยให้เจ้าหน้าที่พาเราไปที่มินิมาร์ทค่ะ ร้านมินิมาร์ทอยู่ข้างบน
ต้องเดินออกจากสถานีขึ้นมา มันช่างเป็นอะไรที่อยากจะยิ้มอยากจะร้องไห้
เราอยู่ในสถานีกันสองชั่วโมง ไม่รู้เลยว่าข้างนอกหิมะตก
ซึ่งเราลุ้นมากว่าอยากให้หิมะตกตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง
ตอนเดินออกมาแล้วเจอหิมะนี่ร้องในใจเลย มันอะไรกันวะเนี่ยยยย ประเทศนี้แม่ม
ตบหัวแล้วลูบหลัง (พาลด่าไปหมดเลย ทั้งโมโหทั้งดีใจ บรรยากาศโคตรโรแมนติก
แต่ต้องมาเดินกับโอป้าที่เรียกเก็บเงินจากความผิดที่เราไม่ได้ตั้งใจทำ
ฟีลขัดกันสุดกำลัง 555)
เขาเห็นเรากับพี่วี๊ดว๊ายกับหิมะ ก็หันมาถามว่าประเทศคุณไม่มีหิมะหรอ
คือถามอะไรแทงใจดำมาก ประเทศฉันร้อนตลอดเวลา ร้อนตลอดปีตลอดชาติย่ะ!
คือสองชั่วโมงเนี่ย แรกๆ คุยกันด้วยความโกรธ โมโห
จนกระทั่งอ่อนอกอ่อนใจ พอตอนท้ายก็ยิ้มให้แล้วบอกลา... เฮ้อออออ ทำอะไรไม่ได้จริงๆ
โดนแบบนี้เข้าไป เพลียจิต
พอเดินไปรับเงินคืนเรียบร้อย เขาก็คืนบัตรเด็กมาให้เราด้วย คือสรุปว่าเสียตัง
41,850 วอน
ได้บัตรผู้ใหญ่มาฟรีสองใบ คืนบัตรเด็กมาให้ด้วย แต่จะเอาไปใช้ทำอะไรยังไม่รู้เลย
สงสัยต้องเอาไปใส่กรอบโชว์ไว้ที่บ้านว่าบัตรมีมูลค่า 1,255 บาท
แพงจนจำได้ขึ้นใจ!
เราถามเจ้าหน้าที่ ช ว่าที่บอกว่าบ่อยเนี่ย
คุณเคยเจอเคสแบบนี้มาแล้วกี่ครั้ง เดือนนี้มีกี่คนแล้ว เขาบอกว่าสำหรับเขา
นี่เป็นเคสแรกเลยที่เจอ เพราะเขาเข้ากะกลางคืน
เราก็เลยไม่รู้ว่าที่บอกว่าเจอเคสแบบนี้บ่อย นี่มันบ่อยแค่ไหน
เรื่องก็จบลงที่ตรงนี้ค่ะ เราไม่รู้ว่าเคสอื่นๆ นักท่องเที่ยวชาติอื่นที่เขาบอกว่าเคยเจอเคสแบบนี้
จะต้องจ่ายเงินที่เท่าไหร่ เขาคงดูที่เจตนาประกอบ ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็คงโดนค่าปรับเที่ยวเดียวแบบกรุ๊ปเรา
แต่ถ้ามีเจตนาก็คงโดนไปเต็มๆ
เอาเป็นว่าเตือนนักท่องเที่ยวอายุเกิน 18 ปีแบบเที่ยวเองทุกคนที่จะไปเที่ยวเกาหลีนะคะ
ถ้าหากเจอตัวอักษรแบบนี้ที่มุมบัตร ขอให้ระลึกไว้ว่าคุณใช้บัตรผิดประเภทอยู่
ถ้าไม่โดนจับ ไม่มีพนักงานเห็นก็คงรอดได้ แต่ถ้าหากดวงมันจะโดน...
มันก็จะโดนแบบพี่เราค่ะ
ที่เขียนมาอาจจะยาวไปหน่อย แต่อยากให้รู้รายละเอียดกันจริงๆ ใครมีอะไรสงสัยอยากถามเพิ่มเติม ถามได้นะคะ ส่วนตัวเราอ่านภาษาเกาหลีออก แต่แปลไม่ได้ทั้งหมด ได้เฉพาะศัพท์ง่ายๆ สื่อสารได้นิ๊ดเดียว ไม่สามารถเข้าใจศัพท์ที่เกินกว่าพื้นฐานได้ และไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าบัตรมันจะเป็นบัตรของเยาวชน
พวกเราออกมาจากสถานีขึ้นมาก็สี่ทุ่มเกือบครึ่ง
วิ่งไปช๊อปร้านที่เหลือในเมียงดงที่ยังเปิดอยู่ แข่งกับเวลากันสุดฤทธิ์
บางร้านปิดไปแล้ว บางร้านก็ยังไม่ปิด วิ่งฝ่าหิมะไปช๊อปกัน สนุกได้อีก 555
(โกรธง่ายหายเร็วกันเหลือเกิน แต่จำฝังใจนะขอบอก)
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตอนนี้นะคะ จะบอกว่าทริปนี้ โหด มัน ฮา
ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมาของเราจริงๆ มีหลายเรื่องมากกก ถ้าหากว่างจะมาเขียนรีวิวนะคะ
ค้างไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปยังเขียนไม่จบเลย 555
ขอขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทั้งสามคนมากมายที่อยู่ร่วมกัน
เพื่อนคนนึงยังพูดติดตลกเลยว่าต้องขอบคุณพี่ A ที่จ่ายค่าเสียหายให้กับเวลาสองชั่วโมงที่อยู่ในนั้น
เพราะว่าถ้าเราได้ขึ้นมาช๊อปกันตั้งแต่สองทุ่ม คาดว่าป่านนี้คงล้มละลาย หมดตัวกันไปแล้ว
นี่ยังดีที่มีเวลาไม่มากเลยไม่เสียตังเยอะ
วันรุ่งขึ้นก็ช๊อปไม่ทันเพราะร้านเครื่องสำอางเปิดช้า
เราต้องจัดของและรีบไปขึ้นเครื่องกัน ฮ่ะๆ ๆ
ความคิดเห็น