ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Special Part ~ Review Korea Trip!

    ลำดับตอนที่ #7 : Korea ปีสอง - ที่สุดของความสมบุสมบัน 1

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ย. 56









                 เกือบปีมาแล้วหลังจากการรีวิวครั้งล่าสุด กระทั่งไปเกาหลีอีกรอบเมื่อปลายปี 2012...
                 ก็ยังรีวิวทริปที่แล้วไม่จบ ฮ่า

    เอาเป็นว่าขอรวมยอดสองทริปไว้เลยแล้วกันนะคะ  เพราะรอบหลังนี่สมบุกสมบัน ไปกันเองกับเพื่อนสนิทสุดเวหาที่สนิทกันมาตั้งแต่ม.หนึ่ง เป็นอารมณ์เดียวกัน คือไปด้วยกันได้ทั้งทริปแบบไม่ทะเลาะกัน 55 เลยมันส์กว่าภาคแรกที่เป็นครั้งแรกของเราเยอะมากกกกกกกกกกกกกกก

    ตอนปี 2012 นี่ลงเรียนป.โทของม.รามคำแหงไป ก่อนไปก็นั่งคำนวณแล้วคำนวณอีก โดดเรียนได้กี่วันก็เอาให้เต็มที่เพราะอยากไปให้นานที่สุด ก็มาลงตัวช่วงปีใหม่ เดินทางคืนวันที่ 25 ถึงเช้า 26 ธันวา ส่วนวันกลับก็ 5 มกรา รวมทั้งทริป 11 วันถ้วน!

    คุยกันกับเพื่อน ตกลงกันว่าจะไปเคาท์ดาวน์ที่ไหน ตอนแรกก็แบบเอออยู่โซลเหอะน่าจะดี แต่คิดไปคิดมาไปที่ใหม่ๆ ดีกว่า เลยจองตั๋วรถไฟ KTX แบบเหมาจำนวนสามวัน เนื่องจากตอนนั้นอายุยังไม่ถึง 25 จะจองแบบ youth ได้ ก็ได้ราคามา 67700 วอน เป็นเงินไทยประมาณ 2 พันกว่า ก็โอเค จองกันไปสองคน สามวันคือ 30 31 และ 1

    บอกก่อนว่าตั๋วแบบนี้จะให้เราจองในเวบแล้วไปออกตั๋วเมื่อถึงเกาหลีค่ะ ต้องจ่ายบัตรเครดิต ตอนเราไปถึงสนามบินมันมีเคาน์เตอร์ให้ดำเนินการ แต่เค้าขอบัตรเครดิตด้วย เราใช้บัตรของพี่เลยต้องรอให้พี่ส่งรูปถ่ายมาให้ เลยคุยกับเค้าบอกว่าไปออกที่สถานีรถไฟ KTX ที่ Seoul station ก็ได้ เราก็เลยโอเค พอไปถึงที่นั่นก็ออกตั๋วให้ได้ปกติ ไม่ถามเอาอะไรสักอย่าง สงสัยขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่แฮะ

    หน้าตาตั๋วเป็นเหมือนบัตรเอทีเอมบ้านเรา แต่เคลือบพลาสติกนิดหน่อย มีชื่อเราอยู่บนนั้น เวลาจะใช้ก็ยื่นให้เค้าก็จะออกตั๋วให้เลยไม่ต้องเสียตังอีกแล้ว (ถ้าเดินทางภายในสามวันที่เราจองไว้น่ะนะ) ถ้าหากทำหล่นหายออกใหม่ไม่ได้นะคะ ต้องจองใหม่ จ่ายตังใหม่ ออกตั๋วใหม่เท่านั้นค่ะ

    แล้วทีนี้โปรแกรมของเราในช่วงปีใหม่ก็คือตั้งใจจะไปไร่ชา ชมไฟแสงสีที่เค้าประทับที่เมืองกวางจู ก็ไปถึงสถานนีนนซาน (ไปกวางจูต้องไปที่นั่น) แล้วเหตุก็เกิดเมื่อเพื่อนเราทำตั๋วหาย! ต้องค้นต้องหากันอยู่นาน แต่หายังไงก็ไม่เจอ กว่าจะตัดสินใจไปออกตั๋วใหม่ก็ปาเข้าไปตอนค่ำแล้ว เสียดายมาก แต่ก็ยังรั้นจะไปกวางจูกันอยู่ดีเผื่อไปดูไฟทันเพราะไร่เค้าปิดเที่ยงคืน
     

    รถไฟจะมีสองแบบนะคะที่นั่งได้ฟรีกี่รอบก็ได้ (ไม่ได้หมายถึงซับเวย์นะ อันนั้นต้องจ่ายแยกโดยบัตร T-money) รถไฟ KTX จะวิ่งเร็วมาก อย่างที่รีวิวทั่วๆ ไปก็ประมาณ 300 กม.ต่อชั่วโมง แล้วก็ออกตรงเวลาแบบเป๊ะมากกกกกกกกกกกกกกก ถ้ามาไม่ทันก็คือไม่ทัน ไม่มีการรอนะคะ แล้วก็ถึงปลายทางตามเวลาที่บอก บวกลบไม่เกิน 2 นาที ที่ประทับใจอีกอย่างของ KTX คือมีฟรีไวไฟให้ใช้ด้วยค่า ไม่ใช่อันเดียวตลอดขบวนด้วยนะ จะแบ่งเป็นตัวละสองโบกี้ เวลาเปิดไวไฟค้นหาจะเจอของขบวนอื่นด้วย จะขึ้นว่า KTX 14-15  อะไรประมาณนั้นเราก็ต่อเนตเล่นสบายใจเลย


    หน้าตาตารางเดินรถ ถ้าพออ่านเกาหลีออกแบบไม่ต้องแปลอย่างเราก็พอเข้าใจได้ค่ะ







    ส่วนภาพนี้ก็ตั๋วรถ เป็นกระดาษธรรมดาค่ะ







    อันนี้ภายในรถไฟ KTX






     

    แต่ถ้ารถไฟธรรมดาก็จะใช้เวลาเกือบๆ สองเท่าของ KTX  แต่ตรงเวลาเหมือนกัน ตอนไปกวางจูเราก็ไป KTX ค่ะ ไปถึงเกือบๆ สามทุ่ม เราก็ไปติดต่อบอกว่าจะไปที่ไร่นี้ จะไปได้ยังไงบ้าง เค้าก็บอกว่าไม่มีรถไปแล้ว ถ้าจะไปจริงๆ ต้องนั่งแท็กซี่ แล้วมันก็ค่อนข้างไกล เลยอดเลย... เราก็เลยเดินเล่นแถวๆ นั้นแทน จนประมาณ 5 ทุ่มก็เลยคุยกับเพื่อนว่าเอาไงดี เพราะว่า..... เราไม่ได้จองที่พักเลยค่ะ คืนวันที่ 30 กับ 31 เราไม่จองที่พักที่ไหนเลย กะว่าไปตายเอาดาบหน้า

     

    วันก่อนหน้าเราพักที่ ciara920 ที่พักโอเคเลยค่ะ นอนแบบดอร์มก็ปลอดภัยเพราะเป็นหญิงล้วน (อันนี้เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังทีหลัง) จองถึงคืนวันที่ 29 แล้วก็ไปจองอีกทีวันที่ 1 มกรา แต่เป็นแบบห้องคู่ไม่ใช่ดอร์ม

    วันที่ 30 ที่เราออกจากที่พักมาก็มาพร้อมกระเป๋าเป้คนละใบ เอาเสื้อมาสองตัวกับของใช้จำเป็น พวกกระเป๋าก็ฝากไว้ที่ที่พักก่อนเพราะเราจะมาเช็คอินต่อวันที่ 1 เค้าให้ฝากได้สามสัปดาห์ค่ะ ไม่คิดค่าฝาก

    ตัดกลับมาที่กวางจู เรามาถึงก็ดึกแล้ว จะเดินเล่นก็รอบหมดแล้ว เลยเดินไปซื้อคิมบับมาตุนไว้ อาหารหลักของเราเลยนะ อร่อยมากแล้วก็คุ้มค่ามาก ราคาถูกแบบฉันจะกินแต่เธอ 555






     ที่กวางจูค่ะ







    มืดไปหน่อยเพราะถ่ายกลางคืน (อย่าโฟกัสหน้านางแบบนะคะ เพื่อนเราเอง 555)






    นี่เค้าเรียกอะไรไม่รู้ ใช้แฟลชถ่าย ออกมาแบบนี้ มีเกล็ดหิมะเต็มเลย เราว่าสวยดี น่าจะเป็นพืชชนิดเดียวที่ขึ้นในหน้าหนาวแบบนี้ได้





                พอไปที่ไหนไม่ได้แล้วเลยคุยกันว่าเอาวะ ไหนๆ ก็จ่ายมาละเอาให้คุ้ม เลยจองตั๋วกลับไปโซลอีกครั้งด้วยรถไฟแบบธรรมดาค่ะ มันจะนานหน่อย ก็กะว่าจะนอนกันอยู่บนรถไฟนั่นเลย

     

    เรากลับมาถึงโซลประมาณตี 4 เกือบ ตี 5 ค่ะ หลับมาตลอดทางจริงๆๆๆๆๆ คือไม่ตื่น ไม่งัวเงียไม่อะไรเลย ไม่รู้ยังไงเวลาเจออากาศหนาวข้างนอกมามากๆ แล้วมานั่งที่อุ่นๆ แป๊บเดียวง่วงและหลับเลยค่ะ ต่อให้กลางคืนจะนอนมาเยอะแค่ไหน เป็นต้องหลับตลอดเลย ไม่เข้าใจเหมือนกัน ฮ่า

     

    มาถึงโซลก็นั่งรอซับเวย์ค่ะ จะเปิดใกล้ๆ หกโมงเป็นเที่ยวแรกของวัน กะว่าจะนั่งไป seoul station แล้วต่อไปปูซานเลย เราก็ไปออกตั๋ว KTX ที่ seoul station ค่ะ ไม่มีอะไรพลิกโผ บัตรไม่หาย ทุกอย่างปกติ อ้อ...ยกเว้นแต่หิว เลยไป story way เป็นร้านสะดวกซื้อที่มีเยอะมากกกก เหมือนเซเว่นบ้านเรา มีอยู่ในสถานีรถไฟทุกที่ค่ะ ตอนไปจองตั๋วก็ชิล เหมือนเดิมคือไม่ต้องจ่ายตังเลย สบายบรื๋อมาก ชอบจริงๆ เหมือนเป็นคนพิเศษ 5555
     

    จากโซลไปปูซาน ถ้านั่ง KTX ก็จะราวๆ 2 ชั่วโมง 15 นาทีค่ะ ไอ้เราก็ชิล ไปถึงปูซานเกือบแปดโมง คือวันก่อนออกมาเราเจอคนไทยคนนึงในที่พักเดียวกัน ได้คุยกันนิดหน่อย พอเราบอกว่าจะไปปูซาน เค้าก็บอกอื้อ ไปเลยๆ อากาศดี ไม่หนาวเท่าโซล เราก็ยิ้มกันเลย เพราะโซลหนาวมากกกก (จริงๆ ที่ไหนมันก็หนาวล่ะนะ เล่นเฉียดติดลบ แล้วก็ติดลบแบบนั้นทั้งวัน)

     

    แต่พี่น้องคะ...พี่น้องคะ... ขอย้ำอีกครั้งค่ะว่า... ใครบอกว่าปูซานไม่หนาว (วะ) แค่เราเดินออกมาจากรถไฟก็ไม่ไหวแล้ววววววว นึกภาพนะ ปกติพวกสถานีรถไฟมันจะค่อนข้างอุ่นเพราะมีตึกบังลมนู่นนั่นนี่ แถมถ้าเปิดฮีตเตอร์อีกนิดก็สบายแฮ แต่นี่ไม่เลยค่ะ ตึกนี้นางต้อนรับอากาศเย็นเต็มที่ ตึกอะไรพวกนี้ไม่ช่วยเลย แค่เดินออกมาก็หนาว เรามองหน้ากับเพื่อนแล้วบึ่งไปห้องน้ำทันที (ความลับมันอยู่ตรงนี้ เราพบว่าห้องน้ำที่นี่มีฮีตเตอร์!!!!)

     

    ก่อนอื่นค่ะ ตามประสาคนเดินทางแบบจรจัด อุปกรณ์อิเลิคทรอนิกส์ทุกอย่างในตัวพร้อมใจกันร้องเตือนว่าไม่มีข้าวจะกิน 5555 แบตมันโลว์หมดทุกเครื่องเลย มีแต่กล้องที่ยังอยู่ได้เพราะก่อนไปซื้อแบตสำรองไปอีกก้อน แต่มือถือ แท็บเลต ไม่มีแบตเลย เราก็เตรียมไปครบนะคะ ตัวแปลงและที่ชาร์จพร้อมเลย กะว่าเจอปลั๊กที่ไหนจะเสียบแน่นอน

     

    แล้วมันก็มีในห้องน้ำค่ะ คิคิคิ รู้แล้วใช่ไหมว่าจะเกิดอะไร บังเอิ๊ญญญญญ ห้องน้ำที่นี่ใหญ่มีประมาณ 20 ห้อง แล้วมันจะมีมุมติดกระจกด้านหลังเล็กๆ วางต้นไม้ และมีปลั๊ก! เราก็จัดกันเลยวางของไว้ตรงนั้นให้ดูเหมือนฝากวาง แต่แอบเอาปลั๊กมาเสียบ ชาร์จกันใหญ่ แล้วก็ผลัดกันนั่งเฝ้า ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เอาทิชชู่เปียกมาเช็ดตัวเล็กน้อย ทาแป้งก็รอดละ เพราะเหงื่อมันไม่ออกเลย ไม่มีกลิ่นตัว (อันนี้คอนเฟิร์มจริงๆ นะ)
     

    นั่งชาร์จได้แป๊บเดียวก็สงสัยว่าทำไมมันไม่อุ่นเลย (ฟะ) เพราะตอนมานั่งก็เหลือบเห็นฮีตเตอร์ตัวเบ้อเริ่มอยู่ข้างตัวแล้ว แต่พี่น้องคะ... มันไม่ได้เปิดอยู่ค่ะ คือเค้าคงปิดเพราะว่ายังเช้าอยู่ ไม่ค่อยมีคนเข้ามาอะไรประมาณนั้น และด้วยความฉลาดส่วนบุคคล เราก็มองตากับเพื่อนอย่างรู้ใจ ก๊ากกกกก เอาปลั๊กมาเสียบและเปิดระดับแรงสุด! เอามือไปอังแล้วแบบ โอ่ยยย สวรรค์ของฉ๊านนนน

     

    และด้วยความกลัว... แหม ถ้าเจออาจุมม่าแม่บ้านเดินเข้ามาเจอแล้วด่าก็คงเหวอไป เราก็เลยต้องผลัดกันไปดูต้นทางระหว่างล้างหน้าแปรงฟันแต่งหน้าใหม่ ก็ทำนั่นนี่กันไปจนเก้าโมงกว่าก็เดินออกจากห้องน้ำสักที 5555 พอเดินออกมาก็พบว่าคนเยอะพอดูค่ะ ที่นั่งรับรองใหญ่และกว้างมาก เหมือนเป็นฮอลล์นึงที่มีเก้าอี้ไม้แบบไม่มีพนักวางเรียงกันประมาณ 100 ที่นั่งได้ มันจะเป็นตัวยาวๆ ตัวนึงนั่งได้สามคน ส่วนอีกครึ่งก็เป็นลานโล่งงงงงงงงง มีทีวียักษ์หนึ่งตัวไว้รายงานข่าวนั่นนี่ แล้วเราก็เจอช็อตเด็ดอีกอย่าง...

     

    ตรงริมๆ ขอบๆ ลานมีฮีตเตอร์ตัวเท่าตู้เย็นสามตู้วางเรียงกันเป็นวงกลมค่ะ คือใหญ่มากจริงๆ และคิดว่าคงจะเพิ่งเปิดเพราะอากาศตรงนั้นก็ยังไม่อุ่นเท่าไหร่ แถวๆ นั้นมีปลั๊กด้วย มีคนเสียบอยู่

     

    ว๊ายยยย แล้วสองนารีผู้หิวโซ (พลังงาน) มีหรือจะพลาด 55555 เราก็จัดกันเลยค่ะ นั่งชาร์จอยู่ตรงนั้น คนอื่นก็ชาร์จกันโต้งๆ ไม่มีใครเดินมาว่า เราก็นั่งเนียน คุยกันไปเพื่อให้พลังงานเต็มที่อีกนิด แล้วก็มีผู้ชายคนนึงค่ะ เดินมาชาร์จแบตกล้อง เค้าก็มองเราสองคน สักพักก็ถามว่า...คนเกาหลีรึเปล่า (หน้าอิฉันเหมือนหรอคะ ก่อนนี้ก็มีคนเดินมาถามทาง)

     

    เราก็บอกค่ะว่าไม่ใช่ มาจากประเทศไทย เค้าก็ร้องโอ้วววว เค้าไปบ่อยเลย เค้าชอบๆ ทักทายเป็นภาษาไทยได้ด้วย ก็นั่งคุยกันด้วยภาษาอังกฤษครู่หนึ่ง เค้าบอกว่าเค้าไปทำธุรกิจที่ไทยด้วย เค้าก็เอาการ์ดปีใหม่ออกมาให้ แล้วก็เขียนอวยพรเราสองคนตรงนั้น ให้เรามาคนละใบ การ์ดสวยมากด้วยนะ ไม่ใช่อันเล็กๆ ไก่กา พอเราบอกว่าเกรงใจเค้าก็บอกว่าเอาไปเถอะ เค้ายินดีให้ แล้วก็ถ่ายรูปกัน

     

    จากนั้นก็ได้เวลาไปหาอะไรกินแล้วค่ะ เราก็เดินลงมาจากสถานีปูซาน แล้วก็พบความจริงอีกครั้งหนึ่งว่า... มันไม่ได้หนาวน้อยกว่าโซลที่ตรงไหนเลยยยยยยยยยยยยยยยยยย เลยยยยยยยยยยยยย

    หน้าสถานีปูซาน









              ดิฉันก็จ้วงฝีเท้าเร่งรีบเดินลงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน คือที่ปูซานก็มีซับเวย์นะคะ ชอบมากก็ตรงนี้ แต่ค่าเดินทางแพงกว่าในโซลนะ ไปแค่ใกล้ๆ สองสามสถานีก็เท่ากับไปมาในโซลได้ 10 สถานีแล้ว เราก็ตกลงกันว่าไปเดินตลาดปลาก่อน เห็นเค้าว่ามีชื่อเสียง



    ที่ตลาดปลา...แต่ประทับใจเจ้าตัวนี้มาก เบ้อเริ่มเลย!








     

    ก็เดินๆ ๆ กันไป ดูปลานิดหน่อยแล้วก็ข้ามไปทางปูซานทาวเวอร์ มาถึงแล้วมีหรือจะพลาดก็เดินขึ้นเขากันไปค่ะ แต่พระเจ้าจอร์จจจ อยากบอกว่าเห็นทาวเวอร์สูงๆ ไกลๆ แบบนี้หาทางขึ้นยากเหลือเกินค่ะ


             เราก็งมกันไปเองไม่ได้ถามทางเพราะว่าแถบนั้นยังไม่ค่อยมีร้านอาหารหรือร้านขายของเปิดเลย

    เจอร้านนี้ แดงได้ใจเลยแวะถ่ายมา เงียบมากค่ะ...







    คือย่านนั้นจะคึกคักสุดๆ ในตอนกลางคืนค่ะ เราก็เดินผ่านเทศกาลต้นไม้คริสมาสต์นะ ที่เค้าประดับไฟกันเยอะๆ แต่ยังไม่ได้เปิดไฟเพราะตอนกลางวัน ก็คิดกันว่าน่าจะสวยใช้ได้ ตอนกลางคืนค่อยมาเดิน เราก็เลยขึ้นไปปูซานทาวเวอร์ก่อน ระหว่างทางนั้นหาร้านของกินไม่ได้เลย มันแบบ...ยังไม่เปิด ยังไม่พร้อมให้บริการทั้งนั้นเลย ทั้งที่ตอนนั้นก็เกือบเที่ยงแล้วนะคะ

     

    กว่าจะเดินหาทางเข้ามาถึงตีนเขารูปนี้ได้ก็หอบแฮ่กเลยค่ะ





     

    ก็เดินขึ้นมา เดินขึ้นมา ลากเท้าขึ้นมา แล้วก็...หิวจัดค่ะ จำได้ว่ายังมีคิมบับกวางจูสองแท่งจากที่ซื้อไว้เมื่อคืนเหลืออยู่ ก็เลยหาที่นั่งแถวนั้นโซ๊ยก่อน คนเดินผ่านไปผ่านมาก็มองค่ะ แต่ไม่แคร์ค่ะ นั่งกินอย่างเรียบร้อย? ไม่ทิ้งขว้างอะไรข้างทาง เอาลงถังขยะทั้งหมด แถมยังแยกประเภทให้ด้วยนะเออ







           พอกินหมดก็เดินต่อค่ะ คราวนี้ก็ไปเห็นเค้าต่อแถวอะไรกันสักอย่างตรงตีนเขา แถวยาวมากด้วยนะ มีแต่คนรุ่นลุงๆ ป้าๆ ต่อแถว เราก็เดินๆๆๆ ไปดูตรงหัวแถว เป็นเหมือนบ้านหลังนึงค่ะ หลังไม่ใหญ่ ข้างในทำอะไรกันไม่รู้ แต่คนเห็นที่ต่อแถวได้ชามที่มีควันฉุยออกมากันทุกคนเลย เราก็เลยคิดว่า อ่อ...คงเป็นเหมือนโจ๊ก ข้าวต้มอะไรที่แจกฟรีประมาณนั้น ก็ดีเหมือนกันนะ






     

    จากนั้นเราก็เดินไปดูข้างบน ที่นี่ก็มีแม่กุญแจเต็มเลยค่ะ เหมือนอย่างที่โซลทาวเวอร์เลย แขวนเรียงๆๆๆ เต็มไปหมด



     


    วิวด้านบนนะคะ













    แล้วทุกท่านก็ต้องเข้าใจนะคะว่า...ยิ่งสูงยิ่งหนาว แดดเดิดอะไรไม่ช่วยเลยยยยยยยย มันหนาวไปหมดแบบ ฮ่อลลลล หนาวจริงๆ ถ่ายรูปได้นิดหน่อย นิ้วก็จะแข็งร๊าววว ก็เลยลงมา กะว่าถ้าไงจะย้อนกลับมาเคาท์ดาวน์ที่นี่แหละ

    พอตอนลงมาก็แป๊บเดียวนะ เพราะรู้ทางแล้ว 5555 จากนั้นก็ตกลงกันว่าจะไปหาดแฮอึนแดค่ะ

    ขอสต็อปไว้ตรงนี้ก่อน... แล้วจะมาเล่าต่อถึงวีรกรรมคืนเคาท์ดาวน์ที่ไม่มีที่นอนค่ะ 555555555











     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×