คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : เกาหลีมาแล้วจ้า ตอน 2 ~ รถยนต์ในกรุงโซลลลลล ก๊อดดดดดแดม!
หายหน้าไปเป็นเดือน พอมีช่วงว่างอย่างเมาท์เลยมานั่งพิมพ์รีวิวอีกรอบ
ห่างไกลขนาดนี้แต่ความจำเรายังดีอยู่นะ ฮิฮิ จริงๆ ยังจำได้ทุกความรู้สึกเลย ตั้งใจว่ายังไงปลายปีนี้ก็จะไปอีกให้ได้!
ย้อนกลับมาถึงล่าสุดของตอนที่แล้ว ~ หลังจากขึ้นรถบัสมาได้ เราก็นั่งไปสบายใจเฉิบ มองวิว มองนู่นนี่ไปเรื่อยเพราะยังไม่มีตึกอะไรเลยนอกจากดิวตี้ฟรีใกล้ๆ สนามบิน คือสภาพเมื่อนั่งรถออกจากอินชอนนึกว่าตัวเองอยู่บนสันเขื่อนสักที่ มันมองแล้วเป็นแบบนั้นจริงๆ นะ คือคอนกรีตเทยาวๆ ไปเลย ขับไปแบบสบายๆ ไม่รีบร้อนแต่ค่อนข้างเร็วเหมือนกัน ที่โน่นเลนถนนก็จะต่างกับเราแบบตรงข้าม เพราะพวงมาลัยอยู่อีกซ้ายมือไม่ใช่ขวาแบบบ้านเรา
ช่วงแรกๆ ที่รถวิ่งไป เด็กบ้านนนอกนางนี้ก็ยิ้ม มองนั่นนี่เรื่อยเปื่อย พอสักพักเริ่มเข้าสู่ตัวเมืองโซลที่เริ่มมีตึกรามบ้านช่อง... อยากจะร้องเป็นภาษาต่างดาวมากกกกกกกกกกกกกค่า
รูปอาจจะไม่ค่อยชัดเพราะถ่ายจากในตัวรถนะคะ
คือต้องเข้าใจนิดนึงว่าบ้านเค้าไม่ค่อยมีพื้นที่ เวลาเราดูในหนังเกาหลีเราก็จะเห็นบ้านอยู่บนเนินเขาเยอะหน่อย แต่ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้ จะบอกว่าขับเข้าไปนี่นึกว่าหลุดเข้ามาในโลกอนาคต ตึกเค้าสูงทุกตึก กรุงเทพนี่ด้อยไปเลย มันดูแบบสูงๆ เรียงๆ กันไปเลย
ที่สำคัญ...แม้แต่เนินเขา ในพื้นที่ที่ดูเสี่ยง... เกาหลียังสามารถสร้างตึกหลายสิบชั้นได้ค่ะ เรามองจนเหลียวหลังเลยอ่ะ คือเค้าคงวางผังเมืองมาดีเพราะมันดูไม่รกแบบบ้านเราที่ข้างทางเต็มไปหมด แต่เค้าจะมีตึกสูงๆ เรียงๆๆๆๆ ยาวตามแนวถนนไปเลย ดูมันเป็นโลกอนาคตมากกกกก
และเมื่อมาถึงตัวเมือง...เราก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเหตุใดลุงคนขับถึงได้เดินมาเช็คให้รัดเข็มขัด - -
แม่เจ้า... หนูอยากจะบอกว่าลุงขา หนูไม่รีบ ไม่ต้องขับเร็วหวานเสียงแบบน๊านก็ได้!
รถที่นี่จะมีแตรไว้บีบ...บีบกันจริงจัง ขวางทางนิดหน่อย เกิดเหตุอะไรนิดหน่อยนี่บีบแตรไล่กันเหมือนจะตีกันได้เลย คือเค้าคงชินกันแบบอารมณ์นี้ถ้าคนไทยได้ยินเสียงแตรแบบนี้มีโกรธต้องวิ่งลงจากรถมาต่อยกันแน่ๆ แต่บ้านเค้าไม่นะ คือคงชิน ลุงแกเล่นบีบแตร คันอื่นก็บีบ มีรถขวางทางหน่อยก็บีบเลย แบบโอยยยย นั่งไปด้วยความลุ้น ช่วงไหนรถว่างหน่อยก็พอหายใจโล่ง แต่ช่วงไหนรถติดยาวๆ เยอะๆ นี่บีบกันสนั่นหวั่นไหว แถมยังขับรถเหมือนเป้นรถคันเล็กเบยีดไปได้หมด เร่งสปีดไปทางนั้นทางนี้ เลี้ยวแต่ละทีตัวเหวี่ยงซ้ายขวาไปทั่วเลย
คือ...เรามองหน้ากับเพื่อนแล้วแอบถอนหายใจ บางครั้งต้องจับพนักเบาะหน้าไว้แน่นๆ เลยนะด้วยความกลัวไม่ถึงปลายทาง คันที่เรานั่งเค้าขับรถค่อนข้างกระชากค่ะ แบบออกตัว เบรก หรืออะไรก็กระชากไปหมด ทำให้เรากลัวความปลอดภัยในชีวิตตัวเองสุดๆๆ แถมสถานีปลายทางของเรานี่อยู่เกือบสุดเมือง เป็นปลายทางแบบไกลเลย นั่งรถเกือบสองชั่วโมง อยากจะบอกว่ามันเป็นช่วงเวลาหฤหรรษ์อัศจรรย์ใจมากกกกกกกกกกกก ฮ่าๆๆๆ ใครไปถึงต้องแนะนำว่าให้ลองนั่งดูเลยค่ะ รับรองว่าจะได้ความสนุกสนานและตื่นเต้นยิ่งกว่าไปลอตเต้เวิลด์อีกมั้ง 555555555
ต่อจากนั้นลุงก็มาส่งเราถึงปลายทางซึ่งไม่เหลือใครบนรถอีกแล้ว แกก็มองหน้าเหมือนจะถามว่าจะลงที่ไหนเราก็ยื่นตั๋วให้ดู แกเลยพยักหน้า ตอนนั้นเลื่อนไปนั่งตรงหน้าๆ แล้วกะว่าเมื่อถึงแล้วลุงแกคงจะบอกเอง ก็ไกลพอดู กว่าจะถึงเมียงดง ครั้งนี้ที่พักเราอยู่ติดสถานีของเมียงดงเลย ตรงทางออกที่ 3 เดินไปอีกร้อยกว่าเมตรก็ถึงหอพักแล้ว แต่เรื่องมันยากตรงที่เราต้องขนกระเป่าลงมาเองในสภาพอากาศหนาวๆ คือตอนแรกไม่รู้ว่าตัวเองจะเจออากาศแล้วน้ำมูกไหล ตอนนั้นไม่ได้เตรียมอะไรไปเท่าไหร่ มือข้างนึงต้องลากกระเป่าเดินทาง อีกข้างก็ต้องถือกระเป่าหิ้ว ดูลำบากมากๆ ลุงแกจอดรถให้ที่ป้ายทางออกเมียงดงที่ 10 แล้วเราต้องมาหาเอาเองว่าทางออกที่ 3 มันไปทางไหน
อยากจะบอกว่ามันสุดยอดมากกก วันแรกก็แบบทรหดเลยค่า ดีนะที่เราติดยาสารพัดมาด้วย เดินไปดูป้ายทางออกดีดีแล้วก็จัดการลากกระเป๋า คือเราอยู๋ฝั่งเมียงดงแต่เราต้องข้ามไปอีกฝั่งเพราะที่พักอยู่ตรงข้ามกัน ตอนลากมันลงบันไดของสถานีซับวย์อ่ะมันไม่เท่าไหร่นะ ยังพอถูไถ ทั้งที่คิดว่าตัวเองก็รับของหนักได้สบายๆ แล้วนะ ตั้งแต่เริ่มขายฟิคมา รู้สึกว่างานหอบของหนักนี่จิ๊บๆ มาก แต่วันนั้นแทบตายคาสถานีซับเวย์ค่า
อย่างที่บอกว่าจังหวะขาลงไม่เท่าไหร่...แต่ตอนขาขึ้น...ที่ต้องหอบนน. 20 โลไปบนบันไดค่อนข้างชันนั้นมัน... สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด 555 ไม่ได้ร้องเกินไปเลยจริงๆ เราหอบแบบไม่มองข้างบนเพราะมันจะท้อ ก้มมองเท้าแล้วก็ยกกระเป๋าไป คือหน้าตาตรูคงดูไม่ได้สุดๆ ถึงมีผู้ชายใจดีคนนึงเดินมาจะช่วย น่าจะเป็นนักศึกษานะ อาจจะเป็นสตาฟของเกสต์เฮาส์ที่ไหนสักแห่ง เพราะดุท่าทางเป็นมิตร เดินมาถามภาษาอังกฤษเลยค่ะ แต่เราก็แบบเค้ามาคนเดียว เพื่อนเราก็ของหนัก ไม่รู้จะให้ถือของใครเลยบอกไปว่าไม่ it’s ok. Thank you TT
หารู้ไม่ว่าอารมณ์นั้นตรูจะตายแล้วจ้า 5555 ทั้งขำทั้งฮาตัวเองแบบบอกไม่ถูก สงสารตัวเองเล็กๆ ด้วยที่ขนของมาเยอะขนาดนี้ ตอนยืนด้านล่างอากาศมันอุ่นขึ้นหน่อย ยังดีนะ คือมันยังแบบอุ่นๆ แต่พอพ้นจากทางออกขึ้นมาเจอโลกภายนอกแล้วอยากจะบ้าอีกรอบ!
อากาศหนาววววววววมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก น่าจะอยู่ใกล้ๆ 0 แล้วเราก็ต้องลากกระเป๋าจากทางออก10 ไปหาทางออก 3 น้ำมูกก็จะไหล กระเป๋าอีกใบก็สะพายไม่ถนัด ขำตัวเองได้อีกค่า คิดไว้แล้วว่าขากลับจะเรียกแท็กซี่มารับหน้าที่พักเลย ให้เค้าขนขึ้นรถแล้วไปถึงสนามบินเลย แพงเท่าไหร่ก็ต้องยอมเสีย แบบนี้ไม่ไหวจริงๆ แขนมันล้าไปหมดเลย
พอเดินๆ มาถึงหน้าที่พักนี่แทบจะกราบไหว้ 555 กดกริ่งได้แป๊บนึง ก็มีสตาฟผู้ชายออกมา ที่พักของเราจะเป็นแบบเกสต์เฮาส์ที่มีสตาฟวัยรุ่นๆ มาคอยดูแล คือทุกคนพูดอิ๊งได้ในระดับโอเคค่ะ บางคนเป็นคนไทยก็มีนะ อย่างที่พักของเราก็มีคนนึง เจอกันบ้างไม่เจอกันบ้าง เราไปถึงก็ยื่นเมล์ที่ปริ๊นตอนจองห้องไว้ออกมาเค้าก็โอเค จากนั้นจ่ายเงินเรียบร้อยสำหรับค่าที่พัก 8 คืน
และที่ทำให้เราซึ้งใจ อยากขอบคุณเพื่อนที่เลือกที่พักสักร้อยทีคือ... ที่นี่มีลิฟต์! 5555555 ดีใจโฮกๆๆๆ สตาฟเค้าก็ดีมากเลยนะ บอกกฎคร่าว ว่ารหัสผ่านประตูคืออะไร เผื่อเวลาเข้าดึกๆ ไม่มีคนเปิดให้ แจ้งเรื่องต่างๆ ว่าผ้าเช็ดตัวมีให้ที่นี่เอาของเก่ามาไว้ในตะกร้าแล้วเปลี่ยนเอาเอาใหม่ไปเองได้เลย
คือทุกอย่างค่อนข้างจะต้องบริการตัวเอง แต่ก็มีแม่บ้านทำความสะอาดให้นะคะ แต่เค้าจะมีขนมปังกับรามยอนให้กินฟรีได้ตลอด ชั้นใต้ดินลงไปจะมีห้องนั่งเล่น มีคอมกับเนตให้สองสามตัว โทรศัพท์เครื่องนึง และพวกเตา ไม่โครเวฟ เครื่องทำน้ำอุ่น(ดื่ม) แล้วก็จานชามตู้เย็นอะไรพวกนี้ คือสามารถลงมาหาอะไรกินได้ตลอด เอาเป็นว่าถ้าเกิดเหตุเงินหมดจริงๆ ก็ไม่อดตายเพราะจ่ายค่าที่พักไปแล้ว มีที่นอนและของฟรีอย่างน้อยก็รามยอนให้กินแน่ๆๆๆ ฮ่า
แต่ตอนนั้นอารมณ์เราไม่อยากลงไปไหน ขอขึ้นไปพักบนห้องก่อน
ในห้องนอน...ก็แคบมาก ตามสไตล์บ้านเกาหลีทั่วไป แต่เราว่ามันโอเคนะ มีทีวีเครื่องนึง ชั้นวาง แล้วก็ห้องน้ำในตัวที่แคบมากกกก (แต่ดีกว่าไม่มี) เข้าไปยืนกันสองคนก็เต็มห้องน้ำเลยอ่า แต่เอาเถอะ หนาวๆ ขนาดนี้เราคงไม่ได้ใช้บริการมันบ่อยเท่าไหร่หรอก กร๊ากกกกกกก
เชื่อมั้ย...เราหอบกระเป๋าเดินมา หอบแฮ่กแบบเหนื่อยกันแทบตาย แต่เหงื่อไม่ออกเลย - - ไม่ออกเลยจริงๆๆๆๆๆๆๆ เสื้อผ้าเนี่ยถ้าไม่ได้เอาไปติดกลิ่นอะไรแปลกๆ มา ก็สามารถใส่ได้เลยสักสามวันแบบไม่ต้องซัก คือเหงื่อไม่ออกเลยสักหยด เว้นแต่ตอนนั่งในห้องอุ่นๆ นะ แบบนั้นอาจจะมีบ้าง ในห้องสตาฟมาปรับแอร์ไว้ให้ที่ 30 องศา... อยากจะขอบคุณหลายๆ ทีเพราะมันอุ่นมากกก
เบาะนอนเค้าก็มีให้ตามจำนวนคน หมอนผ้าห่มแยกเป็นสองชุดเลย อันนี้ก็ดีไปอีกแบบ เพราะกลัวนอนดิ้นแล้วกวนเพื่อนข้างเคียง ภายในห้องก็อเริ่มอุ่น เราก็ชักจะยิ้มออก... เริ่มรู้สึกสนุกกับอากาศเย็นๆ มากขึ้น คือเราไปถึงที่พักค่อนข้างเย็นแล้ว ตั้งใจว่าจะนอนพักกัน แต่ด้วยการมาเที่ยวและอยากเจอเอสเจ ก็นั่งเช็คตารางเปิดกล้องของคิสกัน...
เจอแจ็คพอตค่า วันที่เราไปถึงนั่นเป็นวันสุดท้ายของการเปิดกล้องในอาทิตย์นี้ ถ้าพลาดวันนั้นจะไม่ได้ไปอีกเลยสามวัน เราก็แบบ...โอยยยย อยากไปมากๆ ไม่อยากพลาดโอกาสนี้ แต่อีกใจก็แบบอยากพักนะ
แต่สุดท้าย...ด้วยเลือดบ้าผู้ชายในตัวก็ผลักดันให้เราลุกขึ้นแต่งตัวไปหาเอสเจกันจนได้ ฮ่า
ที่พักที่นี่ดีค่ะ มีไวไฟฟรีให้ใช้ด้วย เค้าจะให้รหัสผ่านมา ความเร็วก็โอเค ใช้ได้เลย เราก็ลองเสิชเวบซับเวย์หาทางไปตึกเคบีเอสด้วยทางที่ใกล้ที่สุด
เพราะว่าเส้นทางซับเวย์มีหลายีอยสถานี ถ้าเราไปแบบชิลๆ คาดว่าอาจจะกินเวลาหลายชม.กว่าจะถึง พอได้เส้นทางก็เตรียมกล้องเตรียมของกันไป เราก็ออกมากันเลย
ลองนึกสภาพนะ... เราก็คลำทางกันไป เรื่องการเดินทางอย่างที่เราได้อธิบายไปในตอนแรกๆ การเดินรถซับเวย์ไม่ยากมาก แต่ถ้ามาแรกๆ ก็จะงงอยู่บ้าง แต่เพื่อนที่ไปด้วยกันเค้าเคยไปมาก่อนแล้ว เลยไม่ติดขัดเท่าไหร่ เค้าก็จะอธิบายนั่นนี่ให้ฟัง เราก็อาศัยการจำทาง จำอะไรรอบตัวไปด้วย
แต่...สิ่งที่ไม่ทันได้คาดคิดมากนักคือสภาพอากาศค่ะ เราออกมาก็ช่วงเย็นๆ คิดว่าคงไปถึงคิสสักสองสามทุ่ม กำลังดีๆ ไปรอก่อนนิดหน่อยก็พอ เราก็ออกเดินทางในชุดลองจอนหนึ่งตัว กระโปรงสั้น(เข่า)ใส่ทับไปอีกตัว ข้างในเป็นไหมพรมแบบบางแนบตัว กับเสื้อขนทับอีกชั้น ตามด้วยหมวก ผ้าพันคอ ถุงมือ ถุงเท้าและบูธ
จากสภาพด้านบนคิดว่าเราคงจะไม่หนาวเท่าไหร่ใช่มั้ย คือเราก็ป้องกันตัวเองโอเคในระดับนึง แต่ขอร้องเถอะค่า.... อยากจะบอกว่าที่ติดๆ ตัวไปไม่ช่วยคลายความหนาวเลยยยยยยยยยยยยยยยยยย มันหนาวมากมากมากมากมาก แบบโฮ้ยยย หาวทีสั่นไปทั้งอก แบบหนาวเกิน หนาวจนไม่รู้จะอยู่ยังไง ถุงมือก็เอาไม่อยู่นะเพราะมันเย็นมาก ไม่อุ่นเลย ไปถึงก็เดินๆ ไป คืออยู๋ที่เกาหลีนี่เดินจนผอมได้เลย เพราะไม่รู้จะต่อรถอะไรจากซับเวย์ เลยอาศัยเดินจากทางออกไปเรื่อยๆ ผ่านร้านพี่เย่ (แต่ยังไม่ได้แวะในวันแรกเพราะกลัวไม่ทันคิส) เลยเดินไปกันก่อน
คาดว่าระยะทางจากทางออกซับเวย์ไปถึงคิสนี่น่าจะครึ่งกิโลได้มั้งคะ ในความคิดตอนนั้นคือมันไกลมากกกก เราก็เดินไปแบบไม่รู้ว่าตึกไหนเพราะมันมีป้ายไฟเคบีเอสเกือบทุกที่ สุดท้ายเลยแวะถามลุงยามตรงลานจอด คือยังไม่ทันพูดอะไรสักคำ...แกพูดมาก่อนเลย ซูพอจูนีออ ไอ้เราก็พยักหน้าๆๆๆ กัน แกเลยชี้นิ้วไปทางขวาแล้วบอกว่าเลี้ยวอีกที
คงมีคนถามแกมาเยอะมากแล้ว ถ้าเจอหน้าตาต่างด้าวๆ หน่อยนี่ใช่เลย 555 เราก็เดินไปตามทางที่แกบอก เดินไปเรื่อย ผ่านตรงลานจอดรถก็มองหาฮอนด้าซีวิคสีขาวในดงรถฮุนไดเผื่อจะเจอ แต่ก็ไม่รู้ว่าใช่รถของซองมินมั้ยหรอกนะ ก๊ากกกก
พอมาถึง...ก็เจอบรรยากาศเหมือนกำลังจะเดินเข้าพิพิธภัณฑ์ ส่วนของวิทยุจะอยู่หน้าตึกเลยค่ะ มีอยู่ประมาณสามสี่คลื่น แล้วก็ไม่ต้องถามว่าช่องไหนที่คนจะเยอะสุด ก็ต้องเป็นของคิสเรดีโอแน่นอน เราเดินไปดูเค้าอาศัยการเขียนชื่อจองแล้ววางกระดาษไว้บนพื้น คือมันหนาวมากอ่ะ เดินไปก็สั่นไป คนคงเข้าไปหลบในตึกกันหมด
นึกสภาพน่าอนาถของตัวเองแล้วอยากจะบ้า เกิดมายังไม่เคยเจออะไรที่หนาวขนาดนี้ ตอนนั้นคิดว่าอากาศคงเข้าติดลบแล้วเพราะมันหนาวมากกกกกกก สั่นไปทั้งตัวเลยแต่ก็ยังมีหน้าไปยืนถ่ายรูปให้รู้ว่าตรูมาถึงแล้ว
หน้าตรูกลมมากกก TT TT
อากาศในตึกกับข้างนอกต่างกันลิบลับเลยค่ะ ข้างในอุ่นสบายมาก ส่วนใหญ่คนจะเข้าไปรอข้างในก่อนเพราะมินกะอุคจะขึ้นลิงฟต์มาในนั้นแล้วถึงเดินเข้าห้องจัดรายการมาตรงหน้ากระจก
กระจกที่กั้นก็มีสองชั้นคือกระจกของห้องจัดรายการ และกระจกของตึกที่กั้นด้านนอกอีกที เค้าคงขัดทุกวันนะ เพราะมันใสมากกก แบบสามารถมองเห็นด้านในได้หมดเลย
วันนั้นเราก็เดินเข้าไปแป๊บเดียวแล้วมายืนรอข้างนอกเพราะกลัวไม่มีที่ รอไปเรื่อยๆ ก็เจอสองหนุ่มออกมา ณ ตอนนั้นเราเหมือนคนบ้าเลย... คือดีใจมากกกที่ได้เห็นสักที แบบคุ้มเลยอ่ะมาถึงนี่ แล้ววันนั้นคนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ด้วย ยืนกันสบาย น่าจะไม่ถึง 20 คนดี
มีคนมารอแค่นี้เอง เวลาประมาณทุ่มครึ่งนะตอนนั้น
เพื่อนเราที่ไปด้วยกันเค้าเมนโจ แต่ก็เอากล้องไปถ่ายซองมินด้วยนะ เป็นกล้องกึ่งโปร จะค่อนข้างซูมได้เยอะ แต่ของเรากล้องดิจิตอลธรรมดา (ยืมป้ามา) คือจุดมุ่งหมายไม่ได้คิดว่าจะมาถ่ายรูปอะไรเลยไม่ได้หาเตรียม เลยปล่อยให้เพื่อนถ่ายไปเรื่อยๆ แฟนเบสบ้านอื่นๆ ก็มีมากันประปราย แล้วมันจะฮาตรงที่เวลาสองคนเดินออกมาตรงห้องควบคุม มินอุคก็จะโบกมือให้อะไรให้ เวลาเข้าไปนั่งจัดก็มีแฟนๆ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ไอ้เราก็ยืนส่อง ยืนมองอย่างเดียว เพราะถ้าเข้าไปด้านในก็ถ่ายไม่ชัดแล้ว
ตอนเดินออกมาในห้องควบคุม มายืนคุยกับสตาฟ น่ารักโฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
(นี่แคบมาจากคลิปอีกทีค่า)
ได้อาศัยเวลาเบรกที่สองคนจะมาในห้องควบคุม มายืนดู... โอยยยย ณ ตอนนั้นเราจะละลาย ซองมินยืนใกล้มากกกกก แล้วเราก็ก้มหน้าให้เห็นหมวก 101 ที่เราใส่ไปด้วย เหมือนเค้าก็เห็นแหละเพราะเราอยู่หน้าสุดเลย มุมตรงนี้จะมองไม่เห็นเวลาสองคนไปนั่งจัดรายการข้างใน แต่จะฟินเวลาเดินออกมา เข้าออกหน้าประตูคือจะเห็นหมด
แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่ซองมินกำลังอวบ...ใหม่ๆ วันนั้นใส่เชิ๊ตทับกับกั๊กไหมพรม มองด้านหลังแล้วแอบตันนะคะพซม.ขา 5555 จะโดนเมนซองมินคนอื่นตบมั้ยไม่รู้ แต่แบบ...เออ ตันจริงอะไรจริง ไหล่บึกเลยอ่า เรามองหน้ากับเพื่อนแล้วก็หัวเราะกันอยู่สองคน
ช่วงเวลานั้นมันหนาวมากกก แต่ตอนสองคนออกมาในห้องควบคุม เราลืมไปหมดเลย ยืนมองยืนยิ้ม ตามถ่ายรูป มารู้สึกว่าจะตายอีกทีก็ตอนที่เค้าไปนั่งจัดรายการต่อกันแล้วเรามองไม่เห็น โอ้ยยยยย ใจอ่ะอยากกลับแล้วนะ เพราะมันหนาวมาก หนาวเกินไป หนาวแบบสุดๆ ขาสั่น ปากสั่น ฟันกระทบกันกึกๆ หาวทีก็สั่นไปทั้งไหล่ แบบโอ้ยยยยย เตรียมตัวมาน้อยไป ลองจอนที่ใส่มานี่ไม่ช่วยอะไรเลย อาจเพราะเรายังไม่ได้ปรับตัวกับสภาพอากาศบ้านเค้าด้วย น้ำมูกก็ไหลตลอด แสบจมูกไปหมด ฮรือออออออออออ ทรมานมากกกกก
สักพักเราคิดว่าไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็ถอยออกมาวิ่งเข้าไปในตึก รับอากาศอุ่นสักนิด เจอฮีตเตอร์นี่รู้สึกเหมือนเป็นสวรรค์อยากจะอยู่ในนั้นอย่างเดียวเลย รองเท้าบูธที่ซื้อไปตอนลองที่ไทยเรามันมันหลวมๆ นะ แต่มันก็ยังแอบกัดตรงหัวเท้า เลยเข้าไปนั่งผ่อนให้ตัวอุ่นแล้วก็ออกมาอีกรอบ พอมารอบนี้เลยไปยืนข้างหลังที่มีม้านั่ง แต่ส่วนใหญ่คนจะยืนกันหมด
แล้วก็มีสิ่งที่ไม่คาดคิดมาหนึ่งอย่างคือลุงยามที่ยืนหน้าตึกเดินมายื่นกระติกน้ำร้อนให้ค่ะ TT TT ซาบซึ้งมากๆ แกใจดีมากอ่ะ คือแกคงชินกับการที่มีเด็กมาส่องแบบนี้ตลอด แกมีกระติกน้ำแบบเหล็กๆ ที่มันจะร้อนมากเลยนะ แต่พอเอากระดาษพันสักทบแล้วก็จับได้เลย มันจะอุ่นพอดีๆ เป็นตัวช่วยท่ามกลางอากาศหนาวๆ ได้ดีมากกกก
เราคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่เราก็โค้งขอบคุณแกไม่ขาดปากเลย แกก็กลัวเราจะร้อนเกิน ยื่นมาให้ชี้ตรงกระดาษประมาณว่าให้จับตรงนี้ๆ แล้วโบกมือแบบเอาไปเลยเอาไปใช้ คือเค้าใจดีมากกกกกกกกกกกกกกก อยากจะกราบขอบคุณเลยวินาทีนั้น แกมีหลายอันนะคะ แกก็เอาไปให้คนอื่นด้วย เพื่อนข้างเราก็ชมแก เค้าเป็นญี่ปุ่น ก็เลยคุยกันนิดหน่อย เค้าบอกว่าเมนซองมิน นู่นนั่นนี่ อิ๊งคนญี่ปุ่นคนนี้ค่อนข้างโอเค คุยกันรู้เรื่อง แต่ที่น่าแปลกใจคือชีบอกว่า ชีมาสามวันโดยไม่มีที่พัก คือไม่นอนที่ไหนเลย กะมาแบบเที่ยวเดินไปเรื่อย หาที่นอนไปเรื่อยๆ เลยมั้ง แบบว่ามั่นมากอ่ะ! เรานี่ตะลึงไปเลย
ปกติแล้วคิสจะจบตอนเที่ยงคืนพอดี แล้วจะมีคนเยอะมากที่รอส่ง คือพอจัดเสร็จ จะวิ่งเข้าไปด้านในเพื่อรอส่งที่หน้าลิฟต์ แต่เราอยู่ถึงตอนนั้นไม่ได้เพราะไม่งั้นซับเวย์จะหมดก่อน ต้องนั่งแท็กซี่กลับ ซึ่งคิดว่าน่าจะแพงเอาการอยู่ (400-500 บาทโดยประมาณ) เลยกลับตอนห้าทุ่มครึ่ง ก่อนกลับก็เอากระติกน้ำไปคืนลุงยาม พยายามจะพูดอิ๊งนิดหน่อยเผื่อแกเข้าใจ แต่แกยิ้มแล้วก็โบกมือบอกว่าไม่เข้าใจหรอกๆ แต่หน้าตาเป็นมิตรมากกกกกกกก ประทับใจสุดๆ เลย
ตอนกลับนี่ก็ต้องเร่งสปีดเล็กน้อยเพราะรถไฟแต่ละสถานีจะหมดเวลาไม่เท่ากัน คือถ้าดวงดีอาจจะมีเที่ยวสุดท้ายที่ผ่านมารับเราไปบ้าง เราไปอยู่แปดวันเจอประสบการณ์กับซับเวย์แบบนับไม่ถ้วนเลยค่า
สรุปว่าวันนั้นก็ขึ้นรถกลับทัน มาถึงที่พักเกือบตีหนึ่ง เพ้อซองมินไปทั้งคืนนนนน คือเค้าน่ารักมาก แต่ที่ติดใจคือสตาฟที่ควบคุม เหมือนเค้าจะพยายามยืนบัง แบบกันไม่ให้ถ่ายรูปเยอะเกินไปอะไรแบบนั้น เราก็ขัดใจมากกก คือจงใจมายืนบังหน้ากล้องเลยนะ วันแรกเราโดนไปหลายชอต แต่ก็พอจะได้โมเมนท์ซองมินมาอยู่บ้าง
คืนนั้น...นั่งเล่นทวิตเตอร์แทบไม่ง่วงนอนทั้งที่ได้นอนบนเครื่องไม่เท่าไหร่ วันทั้งวันก็เดินทาง แต่ด้วยความตื่นเต้นมันก็ทำให้ลืมๆ ไปหมด กว่าจะได้นอนก็ตีสองตีสาม วันรุ่งขึ้นก็ไม่ได้มีแพลนจะไปไหน คิดว่าคงเดินเที่ยวแถวๆ เมียงดง ซื้อของที่เพื่อนฝากมาไปก่อน (เดี๋ยวตังหมดก่อน เพื่อนจะฆ่าเอา 555)
จบวันแรกด้วยประการฉะนี้ ส่งท้ายด้วยคลิปซองมินที่ถ่ายมา คือตัวจริงภาพมันชัดค่ะ แต่พอเอาลงเครดิตแปลงไฟล์ไปมาหลายๆ รอบก็ออกมาเหลือแค่นี้เอง ~
วันที่สองเดี๋ยวมาต่อน้า ~
ความคิดเห็น