คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Seoul Subway ตอน 3 - เกาะนามิจ๋า หนูมาแล้วววว -
ซับเวย์ที่รักตอนสาม
เกาะนามิ หิมะ และอากาศหนาวสุดๆๆๆ
เนื่องด้วยนางสาวเทียนเป็นเด็กบ้านนอกยังไม่เคยเห็นหิมะ อยากสัมผัสมันมากๆ ตอนไปก็ไม่ได้หวังว่าจะเจอหิมะเท่าไหร่เพราะเค้าบอกว่ายังไม่ใช่ช่วงหนาวสุดของเกาหลี แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็ส่งหิมะมาให้หนู เว่อร์! 555+
ส่งมาเมื่อวันท้ายๆ ที่ใกล้จะกลับแล้ว คือเราไป 14-22 แต่เค้าบอกว่าเกาหลีจะเริ่มหนาวจริงๆ ตั้งแต่วันที่ 23 เป็นต้นไป ได้ยินแบบนั้นใจนึงก็ดีใจว่าตรูไม่ต้องทนหนาวกว่านี้แล้ว แต่อีกใจก็เสียดายที่ไม่ได้เห็นหิมะ แต่ก็วางแผนว่าจะไปเกาะนามิอยู่ดี พอดูเวลาแล้วเลยคิดว่าไปวันที่ 21 ดีกว่า ก่อนกลับน่าจะโอ...
แล้วเช้าวันนั้นก็ทำให้เราแจ่มใส ฮิฮิ เรามองออกมาข้างนอก เห็นหิมะแรกลงมาบางๆ ตอนแรกตกใจมาก! ปลุกเพื่อนขึ้นมาดูเลยบอกว่าหิมะตก ฮ่าๆๆ แต่อารมณ์ในโซลถ้ามันยังไม่แบบหนาวจัดจริงๆ ก็ยังไม่เยอะ คือมันตกตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว มองไปตรงถนนเห็นชื้นๆ แบบเริ่มละลาย และตกลงมาปรอยๆ แบบจางมากๆ เราก็คิดแล้วว่าแถบนอกเมืองน่าจะโอเคกว่า
คือเกาะนามิอยู่ในเขตเมืองชุนชอนค่ะ แต่เราสามารถไปรถซับเวย์ได้เพราะรถมันออกนอกเมืองไปถึง แต่จะใช้เวลานานสักหน่อย ไอ้เราก็ไม่อยากไปเสี่ยงดวงขึ้นขนส่งทางอื่น เลยตกลงใจว่าเอาทางนี้แหละ มีคนเคยรีวิวไว้แล้วด้วยน่าจะไม่มีปัญหา เดินทางยาวหน่อย แต่คิดว่าไปกลับวันเดียวคงได้ เพราะมันคงไม่ได้ใช้เวลาบนเกาะนานนัก
วันนี้ไปเที่ยวแบบฉายเดี่ยวอะเกนเพราะเพื่อนที่ไปด้วยกันติดนัดกับเพื่อนเกา ไม่ว่างไปด้วย เราก็ไม่มีปัญหาไปคนเที่ยวคนเดียวสบายๆ เลยลุยเอง เตรียมตัวตั้งแต่เช้า ส่งของอะไรเรียบร้อยกว่าจะได้ออกจริงๆ ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง เราเตรียมแบบหมวกไหมพรม ที่ปิดหู โค้ทตัวโตที่เพิ่งซื้อ(หนักสองโลได้) ลองจอนข้างในหนึ่งชั้นทับด้วยกางเกงยีนส์ตัวเก่ง แถมบูทไปด้วย เอาแบบเตรียมพร้อมมาก
การเดินทางก็อย่างที่บอกค่ะ ซับเวย์ตลอดทางจนถึงปลายทางค่อยหารถแท็กซี่ไปท่าเรือ เส้นทางจะเป็นอย่างในรูปนี้นะคะ
จุดเริ่มต้นของเราคือ Myeongdong ปลายทางคือ Gapyeong
ซึ่งดูจากในรูป ถ้าเริ่มจากสายสีฟ้าเราต้องไปเปลี่ยนวานทั้งหมดสามที่ค่ะ
หนึ่งคือ เปลี่ยนไปสายสีน้ำเงิน ตรงนี้แล้วแต่จุดสตาร์ทของใครของมันนะคะ แต่เทียนออกมาจากสีฟ้าเลยต้องไปเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน แต่ถ้าเป็นน้ำเงินแล้วไม่ต้องเปลี่ยน ไปที่สถานี Hoegi ได้เลยค่ะ
จากนั้นพอไปถึง Hoegi ก็เดินตามไลน์เปลี่ยนสายไปเรื่อยๆ เพื่อออกไปทางสายจุงวัง (ในรูปคือสายสีฟ้าเขียนว่า J) เราต้องออกไปทาง Jungnang จากนั้นก็จะถึง Sangbong ให้ลงที่นี่ค่ะค่ะ เพราเราต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟบนดินสาย G (ในรูปคือสาย G ในแผนที่ภาษาเกาหลีจะเป็นสาย คยองจุน) คือตรงนี้มันจะไม่เหมือนสถานีอื่นๆ ในโซลเพราะเส้นทางต่อจากนี้จะเป็นรถไฟบนดินตลอดการเดินทางจนถึงปลายทางของเราเลยจ้า
พอมาถึง Sangbong เราก็เดินต่อเพื่อไปขึ้นรถไฟสาย G ที่บอกไว้ เค้าจะเขียนปลายทางว่า ชุนชอน นั่นคือเมืองอีกเมืองค่ะ Gapyeong ปลายทางของเราจะถึงก่อนชุนชอน 6 สถานี พอเราเดินไปเรื่อยก็จะเจอชานชาลารถไฟ ซึ่งมันมีให้ขึ้นสองทาง เป็นชานชาลาหมายเลข 4 กับ 5 ไม่รู้จะขึ้นทางไหน
คือจริงๆ มันก็ไปได้หมดเลยทั้งสองทาง แต่ชานชาลา 4 นั่นเป็นรถไฟธรรมดา อารมณ์แบบจอดทุกสถานี ส่วนชานชาลา 5 คือรถไฟด่วนค่ะ จะจอดบางสถานี แต่ในความคิดเรา...มันก็คล้ายๆ กันมั้งนะ เพราะตอนรถวิ่งออกไปก็เห็นรางรถไฟอันเดียวเองอ่ะ คือมันจะมาคนละเวลา แล้วแต่เราจะเจอ แต่รถไฟทั้งสองจอดที่สถานีกาพยองทั้งคู่ค่ะ ไปอันไหนก็ได้ (อารมณ์ประมาณไปยออิโอ)
อย่างที่บอกไว้แล้วว่าในรถไฟใต้ดินมันจะอุ่นใช่มั้ย คือพอเราออกไปเรื่อยๆ ชิลๆ กระทั่งถึงสถานี Hoegi นี่เริ่มจะไม่ชิลแล้ว เพราะสถานีนี้มันโผล่ขึ้นมาเหนือดิน ต้องออกมายืนรอรถไฟข้างนอก โอ้ยยยย พ่อแม่พี่น้อง หนาวจับใจเลยจ้า หาวจนสั่น สั่นและหาวอยู่แบบนั้นตลอดเลย
ไอ้เราก็ยังไม่ได้กินข้าวมาเพราะไม่อยากแวะที่ไหน ซื้อมาแค่น้ำขวดนึงกับช็อคโกแลตกล่องนึงก็กินไปเรื่อยๆ ระหว่างทางคือยิ่งออกนอกโซลไปไกลเท่าไหร่ หิมะยิ่งตกเยอะขึ้นค่ะ สถานีไหนที่ให้ยืนรอบนดินนี่ยิ้มเลยเพราะว่าเราจะได้สัมผัสหิมะ แต่มันก็หนาวมากๆ เหมือนกันนะ คือเพลินหิมะไปสั่นไปว่างั้น
ต่อจาก Hoegi ก็มาเจอด่านโหดที่ Sangbong อีกรอบจนอยากจะวิ่งกลับลงไปเลย คือรถไฟที่จะออกไป Gapyeong ไม่ได้มาบ่อยแบบรถไฟในเมืองนะคะ เราต้องรอจนมันมา แล้วแม่เจ้า...มันหนาวอ่ะ ไม่ค่อยมีคนขึ้นไปรอบนดินนะ คนจะยืนรอกันล่างๆ แต่เรากลัวตกรถแล้วไม่ชินทางเลยยอมยืนรอด้านบนกระทั่งมันมา
รถไฟทางชานชาลา 4 มาถึงก่อน เราเลยไม่รอแล้ว ก็ขึ้นไปเลย รถจอดนานมาก กะว่าจะรวมคนเยอะๆ คือจอดประมาณ 20 นาทีหรือครึ่งชั่วโมงได้ค่ะ นานมากจริงๆ แล้วเราไปคือคนเยอะมาแล้วเลยต้องยืน ก็มองนั่นนี่ไปเรื่อย
มาดีใจก็ตอนที่ดูแผนที่แบบขยายในรถไฟแล้วเจอป้ายเขียนแยกตรงสถานี Gapyeong ว่า Nami Island นั่นแหละ อารมณ์แบบมาคนเดียวถูกทางด้วยโว้ยยยย ตรูไม่หลงเว้ยยยย อะไรแบบนั้น 555
ตรงนี้ล่ะค่ะ ที่จะทำคุณง่วงแสนสาหัส เพราะมันนานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แต่เราก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งรอนะคะ เทียนหลับไปหลายรอบอ่ะ พอหลังคนลงเยอะขึ้นเราก็ได้นั่ง ก็หลับกันไปสิคะ แต่จะตื่นบ่อยเพราะกลัวเลยสถานีที่เราจะลง ฮ่าๆ
จากสถานี sangbong ไปถึง Gapyeong ใช้เวลาเกือบๆ สองชั่วโมงเลยค่ะ นานมากพอสมควร เราดูวิวข้างทางไปบ้าง เห็นหิมะตกหนักแล้วยิ้มอยู่คนเดียวเป็นอิบ้า แบบเราจะได้เจอหิมะเยอะๆ แล้ว คือยิ่งออกไปเท่าไหร่มันยิ่งตกหนักจริงๆ นะ หล่นลงมาเป็นฝนจนมัวไปหมด แบบนั้นเลย ผ่านป่าผ่านเขา เขตก่อสร้างอะไรไม่รู้มากมายจนมาถึงสถานีที่รัก Gapyeong
เรายิ้มแก้มปริเลยค่ะ มองออกไปที่สถานีหิมะกำลังโปรยลงเลย เยอะด้วย สวยมากๆๆ รางรถไฟมีหิมะพรมเต็มไปหมดอย่างในรูปนั้นเลย ไอ้เราก็ตื่นเต้น แต่พอประตูรถเปิดเท่านั้นแหละ
โว๊ะ! แม่เจ้า อร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก หนูขออยู่ในนี้ตลอดไปได้ม๊ายยย
คือลมมันหนาวมาก! มัวแต่บ้านนอกตื่นเต้นหิมะจนลืมว่ามันหนาววววววว อุณหภูมิเท่าไหร่ไม่รู้อ่ะ ตอนเดินออกมานี่รีบวิ่งลงข้างล่างเลยค่ะ 555 ถ่ายรูปนิดเดียวมือจะแข็งเอา เลยลงไปข้างล่างพอแตะบัตรออกเสร็จ เห็นป้ายทางออกบอกทุกอย่างเสร็จสรรพเลยมีทั้งภาษาอังกฤษและเกาหลีกำกับ แผนที่ สถานีจอดรถบัสและแท็กซี่ก็มีหมดเลย แต่เราสงสัยว่า...ทำไมคนไม่เดินออกไปรอรถข้างนอกกัน คือคิดว่าจุดมุ่งหมายที่มาเนี่ยก็คือไปเกาะนามิกันหมดแหละ แต่ทำไมเค้าไม่เดินไปกันหว่า?
เราก็เลยเดินออกไป... แล้วก็พบความจริง
มันหนาวอ่ะ...คนเลยไม่เดินออกมา อารมณ์ว่าถ้ายังไม่ชัวร์ว่าจะไปทางไหนยังไงอย่าเดินออกมาเลย ยืนอยู่ในนั้นแหละ มันอุ่นกว่ากันเยอะ คืออากาศไม่หนาวแบบติดลบนะ แต่ทำไมเราถึงสั่นแบบหนาวมากๆ ไม่รู้ ที่ฝั่งตรงข้ามเค้าจะมีป้ายไฟบอกอุณหภูมิอันใหญ่ๆ เลยค่ะ มันแค่ 3 องศาเองอ่ะ แต่เรารู้สึกหนาวมาก! เลยวิ่งไปขึ้นรถแท็กซี่เลย
ป้ายรอรถบัสไปท่าเรือค่ะ
บอกเค้าว่านามิเค้าก็รู้เลยจ้า นั่งๆๆไป จ่ายไปทั้งสิ้น 2400 วอน ปกติเรทก็ไม่เกินนั้น ประมาณ 70- 80 บาทค่ะ ถ้ามีคนหารไปด้วยจะเยี่ยมมาก ก่อนจะลงคนขับเค้าก็ใจดีบอกว่า ticketๆ แล้วก็ชี้ไปตรงที่ขาย เราก็ขอบคุณเค้า เดินกึ่งวิ่งไปซื้อตั๋ว
ปกติราคาตั๋วมันจะ 10000 วอน ตั๋วขึ้นเรือไปกลับและค่าเข้าเกาะนะคะ แต่ตอนเราไปเป็นช่วงลดพอดี เหลือ 8000 วอน ก็จ่ายไปแล้วเดินไปขึ้นเรือเลยจ้า เรือวิ่งไม่ถึงห้านาทีก็มาถึงแล้วววววว เจอทั้งคนไทย คนจีน คนเกาหลีเอง มากันครบเซต เดินๆ ไปเราแบบว่าไม่อยากคุยกับใคร 555 ทำตัวเป็นบุคคลไม่ระบุสัญชาติ หน้าตาอาจจะออกจีนไปมั่งแต่เค้าก็ไม่ได้อะไร พอผ่านไปเจอคนไทยพูดอะไรฮาๆ ก็แอบอมยิ้มแต่ไม่บอกเค้าหรอกว่าเราก็ไทย กร้ากกกกกก
ตอนเราไปถึงเกาะนามิ หิมะไม่ตกแล้ว แต่ที่พื้นยังมีเยอะเลยค่ะ อินี่ก็บ้านนอกอีก ถอดถุงมือกอบหิมะเข้ามาเลยเต็มกำแต่ปรากฏว่า...โดนหิมะกัด TT ฮรือออออออออ มือแดงมาก สะบัดมันออกหมดเลย เลยได้แค่รูปมือเหี่ยวๆ กับกระจุกหิมะถ่ายรูปกลับมาเท่านั้น - - พอหมดตรงนี้เราก็เดินชม ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ระหว่างทางเดินเค้าจะมีกองไฟใหญ่ๆ ให้ตลอดทางเผื่อเข้าไปผิงได้ แต่...ควันเยอะค่ะ เข้าไปแป๊บเดียวก็เดินออกเพราะมันติดเสื้อผ้า (ยิ่งไม่ค่อยได้ซักอยู่ 5555) เลยอาศัยยัดมือลงกระเป๋าอย่างเดียวเพราะถุงมือไม่ช่วยอะไรแล้ว
เราชอบเข้าไปตรงที่คนอื่นเค้าไม่ไปอ่ะ แบบตรงไหนคนเยอะๆ เราไม่ชอบ โดยเฉพาะตรงรูปปั้นและป้ายพี่เบยองจุนนี่ไม่เข้าใกล้ไม่ถ่ายรูปเลย ออกไปโน่นตรงทะเลสาบเล็กๆ ที่เป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว ไปนั่งถ่ายเซลก้าตัวเองประหนึ่งนางแบบ ฮ่าๆๆๆ
กล้องที่เอาไปก็มีทั้งดิจิตอลกับมือถือ มือจะแข็งก็ไม่สนใจถ่ายรูปไปเรื่อยๆ จนแบตมือถือร้องเตือน คือจะบอกว่า...เกาะทั้งเกาะมันใหญ่มาก เราเดินอยู๋สองชั่วโมงยังไม่ทั่วเลย ตรงโซนร้านค้าก็ไม่เข้าไป ตรงไหนคนเยอะก็ไม่ผ่าน ชอบเดินออกไปทางที่ไม่มีคน ย่ำบนทะเลสาบน้ำแข็งเล่นๆ จนกระทั่งสี่โมงห้าโมงเย็นถึงได้ขึ้นเรือกลับ ก็กลับตามเส้นทางเดิมค่ะ ถึงที่พักทุ่มกว่าๆ ก็แฮปปี้มีความสุขได้ไปเจอหิมะมาแล้ว ฮิฮิ
เอารูปมาฝากไว้ด้วย อยากบอกว่าสนุกดีค่ะ ถึงไม่ค่อยมีอะไรให้เที่ยวมากแต่ก็เป็นอีกที่ที่ไม่ควรพลาดนะ ช่วงฤดูใบไม้ผลิใบไม้ร่วงคงจะสวยน่าดู ถ้าได้ไปก็อย่าลืมแวะไปนะคะ ^ ^
ภาพสุดท้ายนี่คืออาหารประทังชีวิตในวันนั้น ฮ่าๆ
มันคือแป้งทอดแบบมีไส้ ข้างในจะเป็นน้ำเชื่อมข้นๆ กับเมล็ดทานตะวัน ถั่วแดง ผสมกัน อร่อยไปอีกแบบค่ะ แต่ไม่อิ่มนะ
ชิ้นนึง 1000 วอน ราคาก็พอไหว
ความคิดเห็น