ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Special Part ~ Review Korea Trip!

    ลำดับตอนที่ #2 : Seoul Subway กับความงงและวุ่นวายตอน 2

    • อัปเดตล่าสุด 11 ม.ค. 55





    ซับเวย์ที่รัก ตอน
    2

     



    ต่อจากตอนที่แล้ว... หลังจากการเดินรถในสายสีเดียวกันจบลงไปเราก็จะเข้าใจมากขึ้นว่ารถไฟฟ้าบ้านเค้าเป็นแบบนี้ๆๆ ปกติก่อนเราจะไปเทียนก็หาข้อมูลก่อนแล้วนะ ว่ามันเป็นยังไงบ้าง มันอะไรยังไงตรงไหน อ่านที่คนเค้าเคยไปมาก็แล้ว แต่พอไปเจอเองเราก็จะนึกได้บางอัน ซึ่งที่เทียนยืนยันและบอกได้เลยว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ คือทางออกของแต่ละสถานีค่ะ - -

    แต่ละสถานีจะมีทางออกซึ่งจะไปโผล่ส่วนของมุมเมืองได้ต่างกัน ปกติแล้วเวลาแผนที่บอกว่าจะให้ไปที่ไหนเค้าจะระบุเสมอว่าต้องขึ้นรถซับเวย์สายอะไร ลงสถานีอะไรและเน้นย้ำว่าทางออกที่เท่าไหร่!  เพราะว่าแต่ละทางออกมันไกลกันเอาเรื่อง แบบเดินจนขาลากก็มี แถมบางที่ยังเป็นอุโมงค์ข้ามถนนไปในตัว ถ้าเดินหลงออกไปอีกด้านแล้วต้องเดินกลับมานี่ก็ไม่ใช่เด็กๆ นะ ใครไม่ถนัดเดินงานนี้อาจจะมีหอบม่อล่อกม่อแลกได้เลยค่ะ ยิ่งถ้าไปช่วงหน้าหนาว...เผชิญสภาวะอากาศติดลบแล้วต้องเดินหาทางออกไปด้วยนี่มันสุดยอดเล้ยยยยยยย (เจอมากับตัว รู้ซึ้งเลยทีเดียว 555)

     

    สถานีรถไฟฟ้าส่วนใหญ่จะซ่อนอยู่ใต้ดิน ลึกลงไปประมาณสองชั้น... โดยเราจะต้องเดินลงซะส่วนมาก บางที่ก็ทำสวยหรูดูดี เป็นบันไดเลื่อนขึ้นลงตลอดการเดินทาง บางที่ก็จะมีลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นบนเพื่อให้บริการแก่คนที่มีรถเข็น ไม่ต้องเดินขึ้นลงบันไดให้ลำบาก


    และเนื่องด้วยเราไปตอนหน้าหนาว อากาศยังไม่หนาวถึงขั้นที่เรียกว่าหนาวจัดของเกาหลี แต่เทียบกับประเทศไทยนี่มันสุดสุดไปเลยยยยยยยย อากาศปกติไม่เคยเจอที่จะเป็นเลขสองตัว วนแถวๆ 3-6 องศาตลอด แต่พอตกกลางคืน แม่เจ้าช่วยกล้วยต้ม! ติดลบมาจากไหน... คือแบบความหนาวพัดกรูจนสั่นสะท้าน (บรรยายเป็นนิยายได้เลยอ่ะ ฮ่า) มันหนาวจริงๆ นะ เวลาเดินซื้อของตอนกลางคืนถ้าชุดไม่อุ่นจริงๆ อะไรจริงแบบชุดแหนมนี่อย่าท้าอากาศเลย เจอร้านไหนก็อยากจะเดินเข้าไปทั้งนั้นเพราะทุกร้านจะมีฮีตเตอร์ภายใน

     

    และสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ใต้ดินด็จะดีตรงนี้... คือมันอุ่น เอาแค่อยู่กลางถนนหนาวสั่นๆ แล้วเดินลงบันไดไปหาทางเข้ารถไฟฟ้านี่ก็โอเคแล้วค่ะ มันจะเริ่มอุ่นขึ้นมานิดนึง และจะอุ่นแบบกำลังดีเลยในรถไฟเพราะเค้าจะมีเครื่องทำความร้อนอยู่ตรงใต้ที่นั่ง เวลานั่งจะรู้สึกอุ่นๆ แถวขามาก่อน อากาศภายในก็ค่อนข้างจะโอเค จนบางทีถึงกับร้อน เคยมีนะ... วันนั้นใส่เสื้อผ้าไปแบบจัดเต็มเพราะข้างนอกหนาวมาก แต่ในรถไฟวันนั้นคนเยอะแล้วยังต้องไปไกลเลยอยู่ในรถไฟนาน... ถึงขั้นต้องถอดเสื้อคลุมและรื้อแขนเสื้อกันหนาวตัวในขึ้นเลยทีเดียว

     

    เวลาอากาศมันหนาวๆ เราใส่โค้ทตัวใหญ่ ผ้าพันคอผืนหนาๆ ห่มๆ เข้ามามันไม่รู้สึกหรอกว่ารำคาญ มีแต่จะหาอะไรอุ่นๆ มาพันตัว แต่พอลงมาข้างล่าง เจอความอุ่นเข้าไป ทีนี้ล่ะ... จะหายใจไม่ออกเอา เทียนเป็นบ่อยมากเวลาเดินข้างนอกแล้วต้องขึ้นรถซับเวย์แบบปุบปับ นั่งได้แป๊บเดียวรู้สึกร้อนและอึดอัดมากเหมือนจะหายใจไม่ออก พอเดินลงจากรถ ค่อยโล่งขึ้นนิดเพราะมันจะเย็นกว่า บางทีถึงกับรู้สึกดีเลยทีเดียวเมื่อได้ขึ้นมายืนบนพื้นดินแล้วสัมผัสความหนาวข้างนอก

     

    ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอความหนาวเข้าขั้นแบบนั้นมาก่อน มากสุดที่เคยสัมผัสก็คือ 7 องศาตอนไปภูกระดึง ตอนนั้นเราโอเคนะเพราะอากาศบนเขามันหนาวชื้น ผิวไม่แห้งมากเท่าไหร่ แต่ที่เกาหลี มันจะหนาวแห้ง... ถ้าหนาวแบบติดลบไม่เกินสององศามันยังพอทำใจค่ะ ใส่เสื้อผ้าหนาๆ หมวก ถุงมือให้พร้อมแล้วก็พอจะเดินชิลได้


    แต่ถ้ามากกว่านั้นมันจะมีอาการนึงที่เราไม่ชอบเอามากๆ คือหายใจแสบ เพราะมันหนาวมากและแห้งมาก หายใจเข้าไม่กี่ครั้งก็จะรู้สึกแสบจมูก แล้วก็จะกลายเป็นเจ็บตรงปลายจมูก ถึงขั้นจมูกลอกเลยทีเดียว แบบนั้นมันทนไม่ไหวจริงๆ นะ หนาวกายยังพอทนแต่หายใจแล้วแสบ มันหายใจไม่ออกเอา ต้องยกผ้าพันคอมาปิดตรงจมูกไว้ ให้อากาศมันอุ่นขึ้นจากลมหายใจเรา แบบนั้นถึงพอจะทนไหว คนเกาหลีบางคนเค้าก็ชินแบบนี้ เอาผ้าปิดปากแบบใช้แล้วทิ้งมาปิดเลยก็มี เดินไปวันแรกเจอแล้วก็สงสัยเหมือนกันว่าเค้าใส่ทำไม พอเราเดินต่อสักพักเริ่มหายใจแสบถึงรู้ว่าเค้าใส่ผ้าปิดปากเพื่อการนี้นี่เอง - -

     

    เวิ่นนอกโลกอีกแล้ว กลับมาที่สถานีรถไฟฟ้า นอกจากจะอยู่ใต้ดินแล้ว... รถไฟที่นี่ดีค่ะ ไปทั่วถึงแล้วก็จะมีทั้งสถานีบนดินและใต้ดิน มันจะขึ้นลงของมันเองแหละ ถ้านั่งรถไปนานๆ ผ่านสถานีที่ต้องผ่านแม่น้ำฮันมันก็จะขึ้นมาวิ่งบนดิน ตรงนั้นเราจะเห็นวิวสวยของแม่น้ำฮันได้ เหมือนนั่งรถข้ามสะพานอะไรแบบนั้น แต่มันจะไม่สนุกก็ตอนที่เดินออกมาเจออากาศข้างนอกทันทีนั่นแหละ... แล้วถ้าต้องไปยืนรอรถไฟในสถานีที่มันอยู่บนดินนะ โอ้ยยยย แม่เจ้า... ถ้าเค้าไม่สร้างโครงหลังคาครอบไว้นี่ตายเด็ดๆ ค่ะ มันหนาวมาก!  แล้วบางทีรถมันก็ยังไม่มาสักที เรายืนสั่นแบบ ปากสั่นโดยไม่ได้ตั้งใจเลยนะ มันจะกระทบกันเองเลย ขาก็สั่นเพราะใส่ไปแค่สองชั้น

     

    แต่ที่เด็ดสุด... ถ้าท่อนบนใส่เสื้อผ้าไม่หนาพอ อกเราจะสั่น แบบนั้นนะสุดยอดดดดดดด... เวลาอากาศหนาวมากๆ เราก็จะหายใจลำบาก ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยจะเกิดอาการหาวบ่อยๆ เพื่อรับเอาอากาศเข้าปอดให้มากขึ้น มันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกาย แล้วถ้าท่อนบนคือช่วงอกมันอุ่นไม่พอ เวลาหาวตรงไหล่และอกมันจะสั่นรนๆ ไปพร้อมกันเลย เป็นอะไรที่บรรยายไม่ถูก ต้องเจอด้วยตัวเองเลยทีเดียว

    ยิ่งหนาวมากยิ่งหายใจไม่ออก ก็ยิ่งหาวบ่อย หาวนาทีละครั้งก็มี สั่นไปทั้งตัวจนบางทีนั่งขำตัวเอง แต่ขำแบบรันทดเพราะทำอย่างอื่นไม่ได้ ต้องทนรอจนรถไฟมาถึง

     

    ไปเกาหลีรอบนี้ผ่านประสบการณ์ความหนาวมาแบบรากเลือด สองวันแรกมองหน้ากับเพื่อนแบบ... โอยจะตายให้ได้ มันหนาวมาก แต่พอวันหลังๆ เริ่มปรับตัวได้ก็มองหน้ากันอีก เพราะแค่คิดว่าจะต้องกลับเมืองไทยไปเจออากาศร้อน... มันก็เหนื่อยแล้ว

    ปกติเทียนชอบอากาศร้อนมากกว่าหนาวนะคะ เพราะว่าร้อนมันไม่ปวดกระดูก บางทีถ้าหนาวมากๆ มันจะปวดกระดูก เพราะแถวบ้านเรามันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรับอากาศหนาว มีปีใหม่บางปีไปบ้านญาติที่อยู่ติดเขา แล้วมันหนาวมากกกกกก ปวดกระดูก แบบทำยังไงก็นอนไม่หลับเพราะเค้าไม่มีฮีตเตอร์ (แหงล่ะ - -  ใครจะมี มันไม่ได้หนาวทุกวันแบบในเกาหลีนี่นา) ตอนนั้นทรมานมาก ห่มผ้ายังไงก็ไม่อุ่น มันแบบหนาวๆ เย็นๆ ตลอดเวลา ไม่ชอบเลย

    แต่ที่เกาหลีรอบนี้แปลก เพราะถึงมันจะหนาวมากขนาดไหนเทียนก็ไม่เคยเจออาการปวดกระดูกเลย อย่างมากก็มือชาเท้าชา หน้าชา แสบจมูก แต่ไม่ถึงขั้นปวดกระดูกเลย อันนี้โอเคมากๆ  อาจจะเป็นเพราะที่นั่น ขอแค่เป็นร้าน... ร้านอะไรก็ได้จะมีฮีตเตอร์หมดเลย ถ้าเดินๆ อยู่แล้วทนหนาวไม่ไหวก็เดินชะแว๊บเข้าไปขอไออุ่นสักนิด ค่อยออกมาเดินต่อก็ได้ค่ะ (แต่อย่าอยู่นานนักนะ ไม่งั้นเจ้าของร้านอาจจะค้อนใส่เอาได้ ข้อหาเข้าไปแล้วไม่ซื้อ)

     

     

    เวิ่นข้ามชาติไปเยอะแล้ว มาที่การเดินทางแบบเปลี่ยนสายรถไฟดีกว่าเนอะ (กว่าจะวนกลับมาได้ ออกไปถึงระบบสุริยะอื่นแล้ว 555+) 

    การเดินทางเปลี่ยนสายรถก็ไม่ยากหรือลำบากมากเท่าไหร่ ต้องอาศัยการสังเกตและการเข้าใจ เพราะบางที...ลูกศรมันก็จะทำให้เรางง

    ถ้าดูในแผนที่รวม เราจะเจอบางสถานีที่มีสายรถหลายสีมาตัดกัน ตรงนั้นคือสถานีที่สามารถเปลี่ยนไปอีกสายได้ ถ้าเราเดินวนๆ ดูในสถานีก็จะเจอป้ายมากมายค่ะ มันจะบอกทางไปสายสีอื่นๆ ก็เดินตามลูกศรไปได้เลย ซึ่งก็ตามเดิมว่าอาศัยสังเกตที่สีของป้ายเป็นหลัก 

     

    ดูตัวอย่างกันนะ  การสาธิตรอบนี้คือการเดินทางไปตึก KBS  ไปตามหาหัวใจที่หน้าตู้คิสเรดิโอ 555++  
    สถานีต้นทางคือที่เดิม สาย
    4 สีฟ้า มยองดง >>>>  และสถานีปลายทางคือสาย 9 สีเขียวขี้ม้า
    สถานี
    National Assembly    (คือสาย 9 นี้เป็นสายที่เปิดใหม่ ถ้าเรามีแผนที่เดิมจะยังไม่เห็นมันเพราะฉะนั้นอย่าลืมอัพเดทแผนที่นะคะ แล้วก็ในคู่มือมันจะบอกว่าสายนี้เป็นสีเขียวขี้ม้า
    แต่ในสายตาเรา... มองยังไงมันก็สีน้ำตาลอ่ะ - - )

     

     


    ถ้าเรามองแผนที่ ศึกษาทางไปด้วยตัวเอง คุณอาจจะเลือกไปทางซ้ายมือ คือเปลี่ยนเป็นสาย 2 สีเขียวก่อน แล้วถึงเปลี่ยนเป็นสาย 9 ก็นั่งย้อนกลับมาหนึ่งสถานีอะไรแบบนั้นเพราะมันดูใกล้ ถึงเปลี่ยนสองสายแต่ก็นั่งไม่กี่สถานี แต่จริงๆ แล้ว... ถ้าลองเอาสถานีต้นทางกับปลายทางนี้ไปเสิชในเวบเค้า เค้าจะแนะนำให้เราไปเปลี่ยนเป็นสาย 9 ที่สถานี Dongjak ค่ะ มันจะเปลี่ยนได้เลย แต่ออกมาค่อนข้างไกลกว่า

     

    และด้วยอารมณ์ต่างด้าว เราก็ไม่อยากจะไปยุ่งยากเปลี่ยนหลายสาย
    แถมเวบเค้ายังแนะนำทางนี้มาเราก็เลยโอเค... ไปมันทางนี้แหละ ออกไปไกลหน่อยแต่นั่งยาว เปลี่ยนสายรถไฟแค่ครั้งเดียวน่าจะโอเค

    เริ่มต้นก็ไปเลยค่ะ ซื้อตั๋วเที่ยวเดียว จิ้มสถานีปลายทางเป็น National Assembly ได้เลย
    ถ้ามีทีมันนี่แล้วก็แตะได้เลยจ้า

    เข้าไปแล้วเราก็ดู... คราวนี้เราต้องลงด้านล่างที่สถานี Dongjak ก่อน ต้องผ่านออกไปทาง Hoehyeon ก็เดินเข้าไปรอ ซึ่งด้านในมันจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับทางไปชุงมูโรค่ะ


    พอขึ้นรถไฟมาแล้วเราก็จะเจอแผนที่ขนาดใหญ่แบบขยายเฉพาะสาย 4 สีฟ้าเหมือนกัน แต่แค่ไปทางตรงข้ามกับชุงมูโร ก็นั่งรถไปเรื่อยๆ จนถึงสถานี Dongjak ที่เราต้องลงมาเปลี่ยนสาย

    โดยปกติแล้วเสียงประกาศและจอที่ขึ้นในรถไฟฟ้าจะบอกตลอดนะคะ ว่าสถานีต่อไปที่จะลงสามารถเปลี่ยนสายไปสายสีไหนได้บ้าง ถ้ามาถึง Dongjak ก็จะเห็นว่ามันเปลี่ยนไปสาย 9 สีเขียวขี้ม้าได้ ถ้าสถานีอื่นเปลี่ยนได้หลายสายก็จะบอกหมดเลยค่ะ ทำให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้นด้วย

     


    พอมาถึง Dongjak  เราก็ออกมา... มันจะเข้าใจง่ายตรงที่เราจะเจอป้ายที่บอกทางเปลี่ยนสายได้ทันที อย่างที่นี่เปลี่ยนไปสาย 9 ได้ ออกจากรถไฟมาเราจะเห็นป้ายบอกทางไปต่อสาย 9 ทันทีเลย เราก็เดินตามป้ายต่อไป ซึ่งป้ายสาย 9 ก็จะเป็นสีเขียวขี้ม้าออกน้ำตาลแบบที่เห็นในตัวแผนที่เลยค่ะ มันดีก็ตรงนี้ เพราะแยกสีกันอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดและหาง่าย เวลาคนเยอะๆ ก็เงยหน้าขึ้น ดูตามสีแล้วก็เดินไปได้เลย

     


    และพอเปลี่ยนสถานี... เราก็คล้ายว่ามาเริ่มต้นใหม่ที่สถานีนั้นๆ ทุกครั้ง ตอนนี้เราก็เทียบว่าเราอยู่ Dongjak จะไปสาย 9 สีเขียวขี้ม้า ทางซ้ายมือในแผนที่ สถานีปลายทางคือ National Assembly โดยมีสถานีปลายทางของสายนั้นคือ Gaehwa   และสถานีต่อจาก Dongjak ที่ออกไปทาง Gaehwa คือ Heuksoek  เราก็จะเจอป้ายไปทาง Gaehwa ก่อน พอเดินไปเรื่อยๆ ถึงจะเจอป้ายแยกที่บอกว่าไป Heuksoek  ก็เดินไปหารถไฟที่ไปทางนั้น









    อย่างรูปนี้ ดูลูกศรสีเหลือง เห็นคำว่า Gaehwa  ใช่มั้ย นั่นแหละค่า... เราก็เดินไปเลย ตามป้ายนี้ไป
    ข้างๆ กันนั้นมันคือสถานีที่เราจะไป คือผ่านไปทาง Heuksoek ก่อน




    เราก็ไปยืนรอรถไฟตามปกติ รอรถไฟที่มุ่งไปทาง Gaehwa...แต่สาย 9 นี้มันจะแปลกกว่าเพื่อนสักหน่อย ตรงที่รถไฟที่วิ่งจะมีสองแบบคือ แบบด่วน (Express) และแบบธรรมดา (Ordinary)

    แบบด่วนที่หมายถึงคือจะวิ่งรวดเดียว จอดแค่สถานีหลักๆ ไม่กี่สถานี และแบบธรรมดาจะแวะทุกสถานี  ทั้งที่ไปทางเดียวกัน เราต้องศึกษาดีดีว่าเราจะลงสถานีไหน ถ้าปลายทางของเรามันเป็นสถานีย่อยๆ ที่รถแบบด่วนไม่จอด เราก็ต้องขึ้นรถธรรมดา ซึ่งเราจะเห็นจากจอทีวีในสถานีรถไฟ เค้าจะบอกว่ารถที่กำลังวิ่งมานั้นเป็นรถแบบไหน

     

    แต่ในแผนที่จะไม่มีบอกนะคะ ว่าสายไหนเป็นสายหลัก พอเราขึ้นรถไฟที่เป็นรถด่วน มันจะบอกเองว่ารถด่วนขบวนนี้จอดสถานีไหนบ้าง  ถ้าอยากเร็วหน่อยก็นั่งรถด่วนไปลงสถานีที่ใกล้ที่สุดแล้วรอรถไฟธรรมดาเพื่อต่อไปยังสถานีย่อยที่เราต้องการ

    แต่ถ้าไม่อยากเปลี่ยนรถบ่อยๆ ก็ขึ้นรถธรรมดาไปเลย นั่งยาวๆ ไปรวดเดียวเพราะมันจอดทุกสถานีอยู่แล้ว แต่อาจจะใช้เวลานานนิดนึงเพราะผ่านหลายสถานี

     

    ซึ่งหากจะไป KTR รถด่วนจะไม่จอดที่สถานี National Assembly ของเรา  มันจะจอดแค่ Yeouido และวิ่งยาวออกไปเลย ฉะนั้นหากอยากเร็วก็ต้องขึ้นรถด่วนไป yeouido ก่อน จากนั้นค่อยต่อรถไฟแบบธรรมดาไปลงสถานีถัดไป

    หรือจะนั่งรถธรรมดายาวๆ ไปเลยก็ได้เช่นกัน

    (แต่ขอบอกนิดนึง จากประสบการณ์ของเราที่นั่งมา... ให้นั่งยาวไปเลยก็ได้ค่ะ เพราะว่ารถด่วนคนจะเยอะมากกกก แล้วพอเราลงที่ Yeouido เราก็ต้องรอรถธรรมดาอยู่ดี ซึ่งรถธรรมดาคันนั้นก็เป็นคันเดียวกับที่มันผ่านหน้าเรามาสถานีแรก เหมือนเรานั่งแบบด่วนมารอมันที่ Yeouido เฉยๆ ค่าเท่าเดิม ก็ไม่ได้ถึงเร็วกว่าเดิมเลย - - )

     

    และขอแนะนำอีกว่าอย่าคิดจะนั่งรถด่วนมาลง Yeouido แล้วเดินต่อนะ บางคนอาจจะคิดว่าแค่ป้ายเดียวเอง เดินเอาก็ได้... แต่มันไม่ใช่แบบนั้นค่ะ รถไฟบ้านเค้าไม่เหมือนรถไฟฟ้าหรือรถเมล์บ้านเราที่มันวิ่งตามไลน์ถนนเส้นหลักอย่างชิดลมกับสยามนะ แบบนั้นสถานีเดียวเราเดินเอาก็ได้ แต่ที่เกาหลีมันจะวิ่งไปทางไหนไม่รู้ แล้วมันก็เดินไกลมากกกกกกกก เอาแค่ออกจากสถานีมาบนถนนปกติก็เหนื่อยแล้ว ยังต้องเดินต่ออีก แล้วมันไม่ใช่แค่ป้ายสองป้ายรถเมล์แบบชิลๆ เลยค่ะ ยิ่งถ้าอากาศหนาวๆ ด้วยแล้ว โอ้! แม่เจ้า ไม่อยากจะออกมาสัมผัสด้านนอกเลยล่ะ

    ฉะนั้นไม่ว่าจะไปที่ไหน ให้ไปถึงสถานีปลายทางแล้วออกไปตามทางออกที่เค้าบอกไว้จะดีที่สุด แบบนั้นจะได้ไม่หลงทางด้วยนะ

     

    เอาล่ะ... พอมาถึงสถานีปลายทางที่เราหมายตา มันก็จะขึ้นเป็นทางออกให้เราออกไปตามปกติ แตะบัตรออกแล้วก็ออกไปที่ทางออกที่ 2 นะคะ จะเห็นป้ายเขียนว่า Korea broadcast นั่นแหละ KBS ของเราล่ะ

     

    อันนี้แบบง่ายๆ หน่อย เดินทางเปลี่ยนแค่สองสาย จากสีนั้นไปสีนี้... แต่ถ้าเจอสถานีหลักๆ ที่เปลี่ยนไปสายรถไฟได้สามสี่สาย เราก็จะเกิดอาการงงเล็กๆ แต่เราต้องมั่นใจให้ไปตามป้าย แต่อย่าดูป้ายผิดนะ  คือป้ายมันจะบอกทางขึ้นทางลง ทางเบี่ยง ทางตรงอะไรแบบนั้น แต่มันไม่ใช่รูปแบบสามมิติถูกมั้ย ป้ายมันบอกให้ไปตรง แต่ดูลูกศรมันเหมือนชี้ขึ้น ไอ้เราก็พาซื่อเดินขึ้นบันไดไป  เอ่า...สรุปว่าไม่ใช่ ที่ชี้ไปแบบนั้นคือมันบอกให้ตรงไป 

    เรื่องนี้เราเจอหลายรอบมาก จนหลังๆ เริ่มคุ้นก็พอจะเข้าใจ ก็มองเลยไปข้างหน้า สังเกตที่สีป้ายค่ะ ถ้าบริเวณไหนมีป้ายสีนั้นๆ ของสายที่เราอยากไปก็เดินไปทางนั้นเลย ถูกต้องแน่นอน ค่อยไปหาอีกทีว่าสายรถไฟที่เราจะไปมันหันหัวไปทางไหน

    ตัวอย่างเช่นสถานี Dongdaemun History   เปลี่ยนรถได้สามสาย คือสายสีฟ้า สีม่วง และสีเขียว จะไปทางไหนก็เดินตามป้ายสีนั้น เน้นและย้ำว่าอย่าดูป้ายผิดนะคะ ไม่งั้นจะออกทะเลไปไกลเลย

     

    อ้อ... ลืมบอกไป ทุกสถานีของรถซับเวย์ในเกาหลี จะมีป้ายทางออกเป็นสีเหลือง มาควบคู่กับคำว่า Exit หรือ Way out เสมอค่ะ  ถ้าจะออกจากสถานีก็เดินตามป้ายเหลืองได้เลย แต่อย่าไปสับสนเมื่อเดินอยู่ในสถานีของรถไฟสาย Bundang line สีเหลืองนะ สีมันจะต่างกันนิดนึงค่ะ

     

    เอกลักษณ์อย่างนึงของสถานีรถไฟ Dongjak ที่เราอยากนำเสนอคือบันไดเลื่อนค่ะ... บันไดเลื่อนของสถานีนี้สูงชันได้ใจมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

     

    เจอครั้งแรกแล้วยังตกใจแบบ เฮ้ย!  เดินไปปุ๊บต้องเกาะราวไว้เลยเพราะมันสูงมาก!  ชันมาก! เหมือนขึ้นบันไดเลื่อนสองอันต่อกันโดยที่ระดับความชันเท่าเดิมเลยอ่ะ

    ถ่ายรูปมาให้ดูด้วย... ตอนยืนนี่ไม่มองลงไปเลย มองรอบข้างเอาแล้วก็เกาะราวไว้แน่นๆ

    ปกติระเบียบของการขึ้นลงบันไดก็คือการชิดขวา เพื่อให้คนที่รีบเค้าไปก่อนทางด้านซ้ายใช่มั้ยคะ  ที่อื่นๆ ก็จะมีบ้าง ใครรีบก็จะออกซ้ายแล้ววิ่งลงบันไดไปก่อน แต่ที่บันไดเลื่อนนี้... ไม่มีคนรีบเลย ใครมาก่อนมาหลัง ต่างคนต่างสมัครใจจะปักหลักที่ฝั่งขวาของขั้นนั้นๆ กันหมด น้อยมากที่จะหาคนใจกล้าเดินลงบันไดแบบเร็วๆ บนบันไดเลื่อนที่สูงขนาดนี้  ถ้าตกลงไปนี่เลี้ยงไม่โตแน่นอน ฟันธง!

     







    และอย่างที่บอกไปในตอนที่แล้ว... ว่ารถไฟในแต่ละสถานีจะมีทางขึ้นสองแบบ แบบแรกคือไปในทิศสวนทางแต่หันหน้าเข้าหากัน ถ้าเราเดินไปผิดทางเราก็ยังพอจะกลับหลังหันแล้วเดินมาทางตรงข้ามได้

    สถานี Dongjak ที่จะออกจากสาย 4 ไปสาย 9   ยังเป็นแบบนั้นอยู่ค่ะ คือมันหันหน้าเข้าหากัน 

    แต่ Dongjak ที่จะออกจากสาย 9 ไปสาย 4  (ขากลับ) มันจะเป็นอีกแบบ คือตั้งคนละฝั่ง เพราะมีรางรถไฟคันอื่นคั่นกลาง ถ้ามาผิดทางต้องเดินย้อนกลับไปตรงทางแยกเพื่อเดินออกไปอีกด้าน ตามรูป




    รูปนี้ถ่ายจากสถานี Dongjak นะคะ  คือขากลับนี่จะกลับไปมยองดง

    จะเห็นเส้นสีฟ้าบนกำแพงลางๆ นั่นล่ะตัวบอกว่ารถสายนี้คือสาย 4 สีฟ้าค่ะ






    ดูตรงนี้จะเห็นชัดหน่อย ลูกศรที่ชี้บนรถไฟคือมันไปทางนั้น











     



    การเดินทางสองสายก็จะประมาณนี้ อธิบายแบบนี้อาจไม่เข้าใจถ่องแท้เท่าไหร่ แต่ถ้าได้ไปเองแล้วอ่านประกอบจะเข้าใจมากขึ้นค่ะ
    ส่วนการเดินทางแบบเปลี่ยนรถไฟมากกว่าสองสายก็ต้องใช้ความรอบคอบและจดจำนิดนึงนะ เพราะเราต้องรู้ว่าเราจะไปลงสถานีไหน ทางไหนของสายรถไฟนั้นๆ ถ้าจะให้ดีก็เปิดแผนที่ควบไปด้วยตลอดการเดินทางนะคะ จะได้ไม่งงและไม่หลงทาง

    เวลานัดกันจะต้องระบุสาย สี และสถานีให้แน่นอน เพราะสถานีมันเยอะ บางที่ก็มีชื่อซ้ำกันแต่อยู่คนละสุดขั้วโลกเลย

    อ้อ... การกดซื้อตั๋วให้เรากดสถานีปลายทางที่เราต้องการออกไปเลยนะคะ ไม่ว่าการเดินทางมันจะซับซ้อนแบบเปลี่ยนสายมากขนาดไหนก็ตาม ให้เรากดสถานีปลายทางได้เลย พอตอนเดินทางก็ขึ้นรถไฟไปเปลี่ยนสายเรื่อยๆ เมื่อถึงปลายทางก็แตะบัตรออกทีเดียว



    ในซับเวย์ ถ้ายังไม่มีการเดินออกไปข้างนอก (แตะบัตรออก) เราก็เหมือนยังเดินทางอยู่ค่ะ แม้จะเปลี่ยนสายรถสักร้อยสาย เราก็เดินตามป้ายไปได้เรื่อยๆ จะไม่พบที่ให้แตะบัตรออกไปสักครั้ง

    ยกเว้น!!!!  บางสถานีจะมีข้อจำกัด เช่นที่ Dongjak  ก่อนที่เราจะออกไปทางสาย 9 สีเขียวขี้ม้า มันจะให้เราแตะบัตรผ่านเครื่องก่อนไปลงบันไดเลื่อนสูงชันที่เล่าเมื่อครู่ อันนั้นก็แตะไปตามปกติค่ะ ระบบจะไม่หักเงินเรา เหมือนจะให้ผ่านเฉยๆ แต่แบบนี้ไม่มีเยอะมั้งนะ ตั้งแต่เดินทางมาเทียนก็เจอที่นี่ที่เดียวที่ให้แตะบัตรอีกรอบทั้งที่เรายังไม่เดินออกจากสถานี

     



    ตอนไปเกาะนามิเดินทางยาวนานข้ามชาติสุดๆ ยังแตะบัตรแค่สองครั้งตอนเข้าสถานีมยองดง กับตอนออกที่สถานีกาพยองเท่านั้นเอง

    เดี๋ยวเทียนจะรีวิวการเดินทางไปเกาะนามิเองโดยใช้รถซับเวย์ให้ที่ตอนต่อไปน้า ~

     

    ตอนเราไปเกาหลี ซับเวย์คือรถหากินของเรา อยากไปไหนเราก็อาศัยมันไป ขนาดวันที่ต้องไปเที่ยวคนเดียว ไปที่อยากไปหมดแล้วไม่รู้จะไปไหนต่อก็หาที่ตั้งต้นในซับเวย์แล้วก็ไปดูสถานที่เที่ยวในรถไฟเอา อย่างที่บอกว่าในรถไฟแต่ละสายจะมีไลน์สถานีให้ดูทั้งหมดแบบชัดๆ ซึ่งจะบอกไว้ด้วยว่าที่ไหนมีที่เที่ยวอะไรน่าสนใจ ก็สุ่มไปเลยค่ะ ...ง่ายดี  แค่ดูเวลาบ่อยๆ ให้กลับมาขึ้นซับเวย์ทันเท่านั้นเอง


    ซับเวย์จะเปิดตอนตีห้าและปิดเที่ยงคืน เวลาไปเที่ยวเราก็ไปทันตลอดนะ แบบกลับมาทันทุกครั้ง แต่พอดึกๆ จะว่าง... เอสเจก็จะมีตารางงานกันตอนนั้น เราก็ไปกันนนนนนน แล้วก็ตกซับเวย์กันเป็นว่าเล่น ฮ่ะๆ

    กลับมาพูดตอนนี้แล้วรู้สึกขำ แต่เวลานั้นจริงๆ มันขำไม่ออกนะ การเดินบนเส้นทางที่ไม่รู้จักในเกาหลีตอนตีหนึ่งตีสอง กับสภาพอากาศแบบหนาวติดลบ โอ้ยยยยยยยยย! จำได้ไม่ลืมเลือน 5555++  ที่ไปเการอบนี้ 8 วัน สนนแล้วทั้งหมดเราตกซับเวย์สามวันเน้นๆ เป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงเลยทีเดียว เอาไว้เล่าในตอนต่อๆ ไปนะคะ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×