ตอนที่ 3 : CLOUDY 2
2
แสงแดดอ่อนๆสาดส่องลงมาบนพื้นหญ้า กลิ่นของดอกคาโมมายลอยฟุ้งจากสายลมพัดผ่าน เส้นผมสีอ่อนของผู้หญิงคนหนึ่งสะท้อนแสงแดดยามเช้า เธอกำลังมอบรอยยิ้มที่อบอุ่นแข่งกับพระอาทิตย์ให้กับเด็กชายเชิ้ตสายสก๊อตตัวโปรดและยีนส์ที่เพิ่งได้มาในวันคริสต์มาสอีฟที่ผ่านมา บริเวณสวนหน้าบ้านเด็กหนุ่มมอบรอยยิ้มให้กับผู้เป็นแม่และเขากำลังบังคับเครื่องร่อนบนอากาศ เป็นของขวัญอีกชิ้นที่เขากำลังติดมัน เครื่องบินลำน้อยโบยบินไปบนอากาศสีสันตัดกับผืนท้องฟ้ากว้างใหญ่ใน Pennsylvnia เขากำลังยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข แต่ไม่นานนักแว่วเสียงของเครื่องยนต์ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาผ่านทางที่ทำไว้ตัดสนามหญ้าใหญ่ก่อนที่มันหยุดการเคลื่อนที่ เมื่อบานประตูถูกเปิดออกชายใส่สูทท่าทางเคร่งเครียดลงมาจากรถ เขามีเน็คไทที่คลายออกจากคอที่เคยเป็นระเบียบและดูเนี๊ยบตลอดเวลารวมทั้งเอกสารเต็มสองฝ่ามือและไร้รอยยิ้มใดๆใบหน้า ‘พ่อครับ! ดูซิผมบังคับมันได้เก่งได้แล้วนะ....พ่อครับ’ คำเรียกถูกเอ่ยจากเด็กชายเสื้อลายสก็อต แต่ก็ไร้เสียงตอบรับจากผู้เป็นพ่อที่เดินผ่านไป เขาค่อยๆหายไปพร้อมควันขาวเจือจาง....ควันเจือจางที่พร้อมจะผลักเขาลงไปในน้ำด้วยความหมางเมิง...มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนหินถ่วงน้ำภายในใจมันค่อยๆเพิ่มขึ้นในทุกๆที ทั้งหนักอึ้งจนเขาแทบจะจมลงไปในน้ำที่มีแต่ความมืดมิดและเยือกเย็น
ความระบมตรงหางคิ้วกับกล้ามเนื้อในทุกๆส่วนล้วนหนักอึ้งมันเป็นความรู้สึกแรกที่เขารู้สึกได้ในตอนนี้ จงอินรู้ดีว่าใบหน้าของเขาเหมือนมันเกร็งไปทุกๆส่วนรวมถึงคิ้วที่ขมวดเข้าหากันผสมกับความเหนื่อยล้าไปทั้งร่างกาย ดวงตาสีเข้มค่อยๆลืมขึ้นอย่างเชื่องช้า เรติน่าค่อยปรับรับภาพเข้ามา เขาเห็นแสงแดดเอื่อยอ่อนที่ลอดเข้ามาผ่านผ้าม่านทำให้เห็นเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของใครบางคนช่างเลือนล่าง มันเลือนลางแต่มันก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นและเขาพบว่าคนดวงตากลมโตมองเขาอยู่ วอเปเปอร์สีมิ้นต์ทั้งห้องยังไม่มีแสงไฟใดนอกจากแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ฉาบฉายลงมาผ่านประตูและบานเกล็ดตรงระเบียง
“ฝันร้ายงั้นหรอ?” คนดวงตากลมโตว่าพลางเปิดตูเย็นและหยิบขวดน้ำออกมารินใส่แก้วพลางจิบและสะโพกภายใต้กางเกงขาสั้นนั้นพิงกับเคาน์เตอร์ครัว
“ไม่มีอะไร…ผมคงเผลอหลับไป” จงอินว่าพลางค่อยๆลุกขึ้นจากโซฟาสีเหลืองที่เขาเผลอหลับไปพลางเสยผมขึ้นอย่างลวกๆ
“3 ชั่วโมง”
“ใช่...ฟังดูเป็นการรบกวนคุณมากพอแล้ว อีกอย่างมันเย็นมากแล้ว....ขอบคุณสำหรับการทำแผลและพื้นที่หลบฝน” จงอินมองซ้ายขวาเขากำลังหาของบางอย่างอยู่ ดูเหมือนว่าคนดวงตากลมโตยังคงมองตามในทุกๆการกระทำของเขา
“....”
“เอ่อ...” ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาต้องการจะไม่ได้ผล เขาจึงสบตาคนดวงตากลมโตอีกครั้ง
“?”
“ไหนๆผมก็รบกวนคุณมาทั้งวัน จะบอกผมได้ไหมว่าเสื้อของผมมันอยู่ไหน”
“ฉันเพิ่งเอาไปซักแห้งให้ มันตากอยู่ตรงระเบียง” ที่อยู่ของเสื้อถูกเปิดเผยและจงอินเลือกที่จะเดินไปหยิบมันที่ระเบียง กลิ่นหอมอ่อนๆจากน้ำยามปรับผ้านุ่มพัดมาตามสายลม ดวงตาคมเข้มเห็นว่ามีเพียงเสื้อยืดของเขาตัวเดียวที่ตากไว้บนสุดข้างกับราวที่ห้องต้นแอฟริกันไวโอเลต สายลมพัดโกรงจนมันแห้งและเขาหยิบมันออกจากไม้แขวนและสวมมันอีกครั้ง พลันสายตาของเขาก็เหลือบมองพื้นที่รอบๆอย่างไม่ได้สนใจนัก สำรวจคร่าวๆอย่างรวดเร็วเขาพบว่าตรงระเบียงนั้นมีเสื้อผ้าที่เดาว่าน่าจะเป็นของคนตัวเล็กที่ดูเหมือนจะซักมันอีกครั้ง แต่ที่น่าสนใจสุดคงเป็นอันเดอร์แวร์สีล้วนชั้นล่างสุดของราวแขวนที่เปียกปอนหยดน้ำที่ค่อยๆหยดลงมาทีละหยด ทีละหยดบนพื้นเหมือนว่าเพิ่งผ่านการซักมาเช่นกันและมันคงเป็นการซักมือ...และในวินาทีนั้นเขากลับยิ้มที่มุมอย่างนึกสนุก
“ทำไมใส่แต่สีดำละ”
“?”
“อันเดอร์แวร์ของคุณ ทำไมใส่แต่สีดำละ ผมว่าอย่างคุณสีขาวก็เซ็กซี่นะ”
จงอินไม่รอคำตอบใดๆจากคนตัวเล็ก เขารีบเดินไปหยิบแจ็คแก็ตหนังตัวโปรดพาดอยู่บนโซฟาสีเหลือง จงอินยกมันพาดไว้บนบ่าพลางใส่ผ้าใบที่ยังคงชุ่มฉ่ำจากน้ำฝนตรงประตูสีน้ำตาล เขาคิดว่ามันเพียงพอแล้วสำหรับวันนี้ สำหรับคนแปลกหน้าที่พบเจออย่างบังเอิญ เรื่องบังเอิญบนชีวิตเส็งเคร็งที่เหวี่ยงคนแปลกหน้าดีๆให้เขาได้พบเจอ...
จงอินเดินไปตามฟุตบาทที่เริ่มแห้งแม้ว่าปลายจมูกยังคงได้กลิ่นไชื้นอยู่บางเบา ผู้คนขวักไขว่อย่างที่เป็นไปตามชื่อมหานครที่ไม่มีวันหลับใหล ดวงตาเหม่อมองท้องฟ้าด้วยหัวใจที่ว่างเปล่าพร้อมกับแสงตะวันที่ลาลับ มันค่อยๆตกลงจากฟากฟ้าไปตามกลไกของเวลาที่ไม่เคยรอใคร เหลือบมองสัญญาไฟเพื่อข้ามฝั่งไป subway การรอเวลาเพื่อข้ามไปอีกฝั่งพร้อมฝูงชนที่มากมายในเวลาค่ำ บรรดาตึกสูงมีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่แสดงแสงสีไฟอย่างน่าปวดหัว จนต้องละสายตามองผู้คนมากมาย มีมากมายแต่ก็ไร้ซึ่งการรู้จักกันเขามองมันอย่างไม่มีความหมายพลางล้วงมือซุกเข้าไปในกระเป๋ากางเกงราวกับการให้ความอบอุ่นกับมันจากอากาศที่เริ่มเย็นตัวลง เมื่อได้เหลือบมองพื้นที่ข้างกายของเขามันยังคงมีเพียงเขาเพียงคนเดียวเสมอมา ปลายนิ้วยกขึ้นพลางสำผัสพลาสเตอร์ยาตรงหางคิ้วและนึกขอบคุณอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง เมื่อขึ้นจากสถานีปลายทางที่ต้องการเขาเดินมาเรื่อยๆและมีเพียงจุดหมายเดียวหลังตะวันลาลับ บาร์เป็นเพียงที่เดียวที่เขาต้องกลับไปสิงมันที่นั้นอีกครั้ง เมื่อผืนฟ้าถูกม่านสีดำปกคลุม ไร้แสงดาวจากเอกพบที่ยืนอยู่มีเพียงแสงของดวงดาวจำลองจากไฟสีส้มตัดกับกลิ่นของแอลกอฮอล์ฟุ้งไปทั่วอณูอากาศพร้อมเสียงหัวเราะของผู้คนที่เริ่มเช้ามาในที่แห่งนี้ในบาร์เล็กๆชั้นใต้ดินที่ Williamsburg
แผ่นหลังบางภายใต้เสื้อยืดตัวใหญ่สีขาวกำลังนั่งเท้าคางและนั่งบนเก้าอี้ในส่วนของบาร์ เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนออกไปทางบลอนด์สะท้อนแสงภายในที่เป็นสีฟ้าและแดงดูน่าหลงใหล ปลายนิ้วเรียวยาวของคนผิวขาวอีกข้างกำลังคีบบุหรี่พลางวางทาบไว้บนโต๊ะและใบหน้าขาวเนียนนั้นถูกแว่นกลมอันใหญ่สวมไว้ จงอินเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ว่างข้างๆเพราะคนในส่วนบาร์ยังไม่เยอะเท่าไร ในเวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่นักท่องราตรียามค่ำคืนกำลังจะมา เขานั่งลงอย่างเงียบๆ พลันคนดวงตาเรียวเล็กภายใต้กรอบแว่นกลมๆก็หันมามอง พร้อมจรดนิโคตินบนริมฝีปากบางแล้วอัดพ่นควันขาวฟุ้งจางๆใส่ใบหน้าของเขา จงอินอยากที่จะหัวเราะเพราะเขากำลังนึกถึงสิ่งที่เขาเพิ่งเจอมาเมื่อกลางวันกับการกระทำแบบนี้ซ้ำกันถึง 2 ครั้ง
“ไง ดูท่าจะเจอหมาตัวใหญ่” คนดวงตาเรียวเอ่ยมันออกมา พลางยกมือข้างที่เท้าคางออกและปลายนิ้วชี้เรียวๆนั้นก็เขี่ยเส้นผมที่ตกลงมาบนหน้าของเขาออกไปจนเห็นพลาสเตอร์ยาแปะเอาไว้
“ใหญ่พอตัว แต่มาเยอะไปหน่อย” เขาตอบกลับอย่างเนือยๆพลางมองไปบนเวทีกับการแสดงที่กำลังเริ่มขึ้น ดนตรีสดแนว Alternative Rock กำลังถูกบรรเลงด้วยฝีมือของเพื่อนผมเทาของเขา
“ถ้าเอาเวลาไปฟัดกับหมาจนหน้าแหกเพราะชอบไปนอนกับแฟนชาวบ้าน ฉันว่านายควรมาเตรียมร้านบ้าง”
“ฉันรู้ว่าถ้าฉันไม่มา ยังไงนายก็ต้องมาอยู่ดี” จงอินตอบพลางหันไปมองหน้าคู่สนทนา คนดวงตาเรียวเล็กภายใต้กรอบแว่นดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ พลางส่งเสียง จึ๊ ในลำคอออกมาราวกับเรื่องที่ฟังเป็นอะไรที่น่าขัดใจเสียเหลือเกิน
“มันไม่ทุกครั้งแน่ ที่นี่พวกเราทุกคนต้องมาช่วยกันดู” ในขณะที่คนดวงตาเรียวกำลังจะพูดอะไรมากไปกว่านั้น จงอินส่ายหน้าเล็กน้อยดวงตาคมเข้มจ้องมองริมฝีปากปากๆที่กำลังขยับก่อนที่เขาจะใช้ปลายนิ้วชี้แตะลงไปที่ริมฝีปากนั้นอย่างแผ่วเบา ยามที่ความอบอุ่นของปลายนิ้วสัมผัสกับริมฝีปากนิ่มๆส่งผลให้เกิดความเงียบขึ้นในห้วงเวลานั้น ดวงตาของเขาจ้องมองคนตรงหน้าภายใต้กรอบแว่น ควันขาวฟุ้งกระจายอย่างเอื่อยอ่อนด้วยปลายนิ้วเรียวที่ยังคงคีบมันเอาไว้และเขาเอ่ยมันออกมา
“พูดมากจัง”
“….”
“ทะเลาะกับมันมารึไง” ท่ามกลางความเงียบในบทสนทนากับเสียงเพลงที่ยังคงเล่นสดอยู่ จงอินถามคำถามคนตรงหน้าทั้งที่ปลายนิ้วของเขายังคงสัมผัสริมฝีปากบางที่นุ่มอยู่อย่างนั้นก่อนที่เขาจะเลื่อนปลายนิ้วลงจากริมฝีปากคนแว่นกลมอย่างเชื่องช้า
“เขามักขี้หึง” คำตอบที่ได้กลับมาทำให้จงอินเหลือบตาไปมองมุมบนเวที ที่กำลังมีสายตาอีกคู่กำลังจดจ้องมาบริเวณที่พวกเขานั่งอยู่เสมอ หรืออันที่จริงก็มองมาตลอดเวลา จงอินรู้สึกว่ามันน่าขำและน่าแกล้งเสมอกับสิ่งที่เขาสัมผัสได้จนต้องโน้มตัวลงเข้าไปใกล้คนแว่นกลมผิวข้าวอย่างเชื่องช้า คนตัวเล็กกว่ายังคงนิ่งเฉยและจงอินกระซิบลงที่ข้างหูนั้นอย่างแผ่วเบา
“กับนาย...อะไรๆก็น่าหึงไปหมดนั่นแหละแบคฮยอน”
เสียงหวีดหอนของไมโครโฟนขึ้นจนแสบแก้วหู้ ผู้คนในร้านต่างให้ความสนใจบนเวทีนักร้องหนุ่มร่างสูงสวมเชิ้ตดำพับแขนโชวรอยสักเล็กๆบริเวณข้อมือ สวมยีนส์ตัวเก่งที่ขาดบริเวณเข่ากับเส้นผมสีเทากำลังมองมาที่พวกเขา และชูนิ้วที่เต็มไปด้วยแหวนเพียงนิ้วกลางนิ้วเดียว และริมฝีที่ขยับจนสามารถอ่านได้ชัดเจนว่า F_CK ให้กับพวกเขาหรืออันที่จริงอาจจะแค่จงอินคนเดียว เพียงแต่ว่าเพื่อนผมเทายังติดการแสดงอยู่ด้านบน จึงไม่ได้ลงมาบริเวณที่พวกเขาอยู่จนจงอินถึงกลับต้องกลั้นขำอย่างสุดกำลัง และแบคฮยอนก็ขมวดคิ้วอย่างหัวเสีย คนตัวเล็กสวมยีนส์สกินนี่สีดำตัวเก่งเดินเข้าไปภายในหลังร้านพลางสบทอย่างหัวเสียว่า ‘พวกนายมันโคตรห่วยแตกเลย!’ การแสดงยังคงดำเนินไปและจงอินยังคงคิดในใจได้แค่เพียงว่า ‘ให้ตายเถอะ ชานยอล...หมอนี่มันขี้หึงจริงๆ’
Brooklyn ในเวลาเกือบเที่ยงคืนบาร์และผับต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้คนไม่เว้นแต่บาร์ชั้นใต้ดินในย่าน Williamsburg ก็เช่นกัน เมื่อ 2 ชั่วโมงที่แล้วจงอินขึ้นไปในอาพาร์ทเม้นท์ชั้นด้านบนที่เป็นแกลเลอรี่และรวมถึงที่พักของเขา แน่นอนว่ามันดูเส็งเคร็งไปหมดทุกๆอย่างถ้าไม่รวมถึงเงินในบัญชีที่มากพอประมาณของเขาที่ได้มาเสมอจากผู้เป็นพ่อ เขาจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ายกเว้นพลาสเตอร์ยาอันเดิมมันยังคงอยู่บนหางคิ้วของเขา จงอินกลับลงมาที่ชั้นใต้ดินอีกครั้ง รวมถึงการเห็นภาพสุดเด็ดอย่างคาดไม่ถึง ร่างสูงของเพื่อนผมเทากำลังนั่งอยู่บนโซฟาสีดำฝ่ามือใหญ่ประคองสะโพกสวมกินนี่สีดำเช่นเดียวกันของคนแว่นกลม พวกเขาต่างกำลังจูบกันอย่างได้ที จนเกิดเสียงอึ้งอึงในลำคอเล็ดลอดออกมา เพียงแต่คิวการแสดงต่อไปยังคงต้องเริ่มและจงอินเลือกที่จะกระแอมเบาๆอย่างมีมารยาท? ไปหนึ่งครั้งจนทั้งสองผละออกจากกันอย่างเชื่องช้า
“ได้เวลาแล้วพวก” จงอินหยิบเบียร์ติดมือมาหนึ่งขวดเขากระดกมันพลางนั่งลงบนโซฟาอีกตัวและมองเพื่อนทั้งสองที่กำลังผละออกจากกันรวมถึงจัดเสื้อผ้าให้มันดี
“มึงหยุดพูดไปเลยจงอิน เก็บหน้าง่วงๆมึงไป” ชานยอลเป็นฝ่ายเดินมาหาเขาพลางแย่งเบียร์ในมือที่จงอินกำลังจะยกดื่มอีกรอบไปใส่ปากตัวเองซะอย่างนั้น
“เออเดี๋ยวไปนอนแล้ว”
“กวนตีน” เพื่อนผมเทาว่าพลางยื่นเบียร์คืนให้กับเขา จนจงอินส่ายหน้าอย่างเนือยๆพวกเขาเหมือนจะได้เถียงกันไปมาแต่ก็มีคนห้ามเอาไว้
“เลิกเถียงกันได้แล้ว พวกนายเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ” แน่นอนว่ายังคงเป็นแบคฮยอนที่ต้องคอยห้ามพวกเขาเอาไว้และพวกเขาก็แค่ต้องแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง
จงอินมานั่งที่บาร์ตามเดิมแต่เปลี่ยนเป็นด้านในเพื่อทำหน้าที่ช่วยบาร์เทนเดอร์ การแสดงในรอบดึกวันนี้พวกเขาตกลงกันว่ามันจะเป็นเพลงแนว Electronics ในขณะที่บนเวที turntable ถูกวางแทนที่กลองกับกีตาร์ที่ถูกเลื่อนไปในส่วนหลังของเวที มันเป็นร้านของพวกเขาที่ช่วยกันหุ้นกับกลุ่มเพื่อนที่สนิทมันคงเป็นเรื่องที่ยากที่จะอธิบายพวกเขาได้รู้จักตอนไหนหรืออันที่จริงจงอินก็แค่ลืมไปแล้ว เขาจัดการเสริฟวอดก้าใส่ลงไปในเบียร์สดแก้วใหญ่ให้กันออเดอร์ ชาวยุโรปร่างบึกตรงหน้า มือใหญ่ยกมันกระดกอย่างรวดเร็วไม่ได้สนว่าฟองเบียร์จะติดที่หนวด ด้วยความใส่ใจลูกค้าเขาจึงเลื่อนกล่องทิชชู่ให้กับคอเคซอย์ตรงหน้าหลังจากนั้นเขาได้จึงรับคำขอบคุณและทริปเล็กน้อยกลับมา จวบจนเพลงเด็ดในค่ำคืนนี้ที่ชานยอลเป็นคนเลือกจากวงโปรด พร้อมกับคนเส้นผมสีน้ำตาลภายใต้สเวตเตอร์สีเทานั่งเก้าอี้บาร์ตรงหน้าของเขา แน่นอนว่าการแสดงบนเวทีก็จะเริ่มขึ้นเช่นกันจากการเล่น turntable ของชานยอลและร้องโดยแบคฮยอนเพื่อนของเขา
“ขอเบียร์แก้วนึง” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยออกมาและในแววตาของพวกเขาไม่ได้สบกัน
“รู้อะไรไหม มันเหมือนเรื่องบังเอิญ” จงอินมองคนตรงหน้าอย่างไม่ละสายตาและเขารู้สึกอยากที่พูดจริงๆกับเรื่องบังเอิญที่รู้สึกดี พลางหยิบแก้วเบียร์เปิดมันลงจากทาวเวอร์ก่อนที่จะวางข้าวบาร์เลย์หมักสีเหลืองพร้อมฟองนวลนุ่มสีขาวตรงหน้าคนดวงตากลมโต
“ฉันคิดว่าเรื่องบังเอิญไม่มีบนโลก” และคนตัวเล็กกว่ากลับตอบกลับมาอย่างนิ่งเฉย น่าแปลกที่จงอินกลับรู้สึกคนดวงตากลมโตกลับมีอะไรที่น่าดึงดูดเข้าไปอีกเมื่อกลิ่นเบียร์สดเจือกลิ่นอาย ยามเมื่อริมฝีปากสีชมพูของตรงหน้ายกดื่มมันกลับหอมจนน่าหลงใหล จงอินเดินอ้อมบาร์ออกมาและเขานั่งลงข้างๆเก้าอี้คนตัวเล็กอย่างถือวิสาสะที่ยังจิบเบียร์ไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อยพลางยิ้มที่มุมปาก
“งั้นแสดงว่าคุณตั้งใจมาหาผม”
“หึ อะไรที่ทำให้นายคิดแบบนั้น” คนฟังรู้สึกน่าขันกับสิ่งที่เขาพูดเสียง หึ ที่ออกมาจากลำคอคนตัวเล็กเหมือนจะดูเป็นเรื่องที่ตลกไม่น้อย และที่น่าดีใจที่สุดคงเป็นเพราะว่าเขา...สามารถเรียกให้คนดวงตากลมโตกลับมามามองที่เขาได้อีกครั้ง
“ผับและบาร์ใน Brooklyn มีตั้งเยอะแยะ ” จงอินว่าพลางเท้าแขนและเอียงคนมองคนด้านข้าง กลิ่นเบียร์สดหอมอ่อนๆเขาจ้องมองยามที่ริมฝีปากสีชมพูจรดที่ขอบแก้ว เลียฟองขาวนุ่มออกจากขอบปากอย่างเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์มันทำให้อันตราการเต้นในหัวใจของจงอินแทบเป็นจังหวะอิเล็กทริกส์ตามที่ชานยอลกำลังมิกส์อยู่บนเวที
“.....”
“รู้อะไรไหม ตั้งแต่ผมก้าวออกมาจากห้องของคุณ ผมว่าจะไม่สนใจคุณแล้ว...”
“....”
“แต่การที่ได้เจอคุณที่นี่อีกครั้ง...มันทำให้ผมอยากรู้ชื่อของคุณ”
เพียงแค่เอ่ยสิ่งที่ต้องการตามที่เขาคิด เกิดความเงียบระหว่างพวกเขาในขณะที่การสบตายังคงเป็นไปอย่างเนิ่นนาน พร้อมๆกับเสียงของแบคฮยอนที่ร้องท่อน Now that we can hear that sound , Now that you can hold me down…. ริมฝีปากสีชมพูที่มีฟองเบียร์เกาะที่มุมปาก ปลายลิ้นเล็กนั้นเลียมันอีกครั้งพลางกัดริมฝีปากอย่างเชื่องช้า ดวงตากลมโตหลบสายตาพลันเอ่ยถึงการเปลี่ยนบทสนทนาอย่างน่าแปลกใจ จงอินคิดว่าทุกๆการกระทำที่อยู่ในสายตาของเขานั้นมันน่าดึงดูด
“ฉันชอบเพลงนี้”
“ไว้วันหลังผมจะจ้างออลลี่มาเล่นที่นี่” จงอินว่าพลางยิ้มที่มุมปากและเบียร์สองแก้วบนโต๊ะของพวกเขามันวางใกล้กันมากขึ้น
“จะพยายามเชื่อนาย” ใบหน้าขาวเนียนเจือจางด้วยสีแดงอ่อนจากแอลกอลฮอลล์ที่แทรกซึมเข้าไปในระบบหมุนเวียนเลือด ริมฝีปากที่เคยไร้รอยยิ้มนั้นกลับซ่อนมันไว้อย่างพยายามแต่สุดท้ายก็เผยมันออกมาที่มุมปาก และพวกเขาก็แค่ต่างยิ้มที่มุมปากด้วยกันทั้งคู่พร้อมกับดวงตาทั้งสองต่างสบตากันอยู่อย่างนั้นท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มและเบียร์ที่ฟุ้งในโพรงปาก
“ผมชื่อจงอิน.... คิมจงอิน”
“คยองซู ” พวกเขาต่างบอกชื่อกันและกันอย่างเชื่อช้าและชัดเจน จากคนแปลกหน้ากำลังก้าวข้ามผ่านเป็นคนรู้จักชื่อในค่ำคืนนี้ ค่ำคืนหลังเมฆฝนโปรยปรายใน Williamsburg แก้วเบียร์ของคนสองคนถูกยกขึ้นพวกเขาชนแก้วกันพร้อมดื่มทำความรู้จักจนหมดแก้วปล่อยให้รสชาติซาบซ่านผ่านลำคอไปอย่างรู้สึกดี
“ดูเหมือนว่าเราจะเป็นคนเกาหลีเหมือนกัน ดูจากชื่อและผมเกิดปี 93” จงอินเอ่ยบอกและแค่เพียงปีเกิดถูกบอกไป คนตัวเล็กกลับหัวเราะออกมา จงอินเริ่มสงสัยถึงเสียงหัวเราะนั้นแต่ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจมากกว่าคำพูดที่จะเอ่ยต่อจากคนข้างๆ
“ฉัน 90...” เจ้าของเสียงหัวเราะเอ่ยบอก ในขณะที่จงอินยังรู้สึกว่าทึ่ง เขาไม่คิดว่าคนดวงตากลมโตจะแก่กว่าเขาด้วยซ้ำไป เพียงแต่ความรู้สึกที่หลากหลากดูเหมืนจะถูกพับเก็บลงไปเมื่อ คยองซูเขยิบใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา และใบหน้าขาวกับแก้มแดงระเรือเจือกลิ่นเบียร์เล็กน้อยยามอยู่เพียงชิดใกล้ ริมฝีปากคลอเคลียใกล้กับใบหู ไอร้อนจากร่างกายแผ่ซ่านจนรู้สึกถึงความเต้นถี่ของหัวใจและ เกิดความเงียบมากมายและมีเพียงแค่สิ่งเดียวที่จงอินได้
“….”
“เรียกฉันว่าพี่ซิ…จงอินนา”
ท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม ใบหน้าของคยองซูค่อยๆเคลื่อนออกไปอย่างเชื่องช้า แพขนตาที่ยาวและปลายจมูกที่จงอินเคยจ้องมองยามเมื่อเจอกันครั้งแรก กับริมฝีปากที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยฟองเบียร์ยังคงอยู่ ลมหายใจที่อุ่นเคล้าคลออยู่ใกล้ชิดได้กลิ่นของเบียร์เจือจางและมันค่อยๆห่างออกไปพร้อมกับท่อนฮุคของเพลงที่แบคฮยอนเป็นคนร้องมันอยู่บนเวที พวกเขาสบตากันอย่างไม่มีคำพูดใด จวบจนจงอินเอ่ยมันออกมาแค่คนสองคนที่จะได้ยินมัน
“ครับ...พี่คยองซู”
I wanna be the one you steal
I wanna be the one you shield
I wanna be the one
That you'll love, that you'll love
กับเสียงเพลงที่ดังสนั่นดังก้องในหูท่อนที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากอย่างน่าหลงใหล ไม่มีคำพูดใดต่อจากนั้นยามเมื่อพวกเขาหลับตาลงอย่างเชื่องช้าพร้อมกับริมฝีปากเจือกลิ่นไอเบียร์สดทั้งสองต่างสัมผัสกัน ความอบอุ่นถูกเติมเต็มบนริมฝีปากแต่มันไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น...มันไม่อะไรที่มากไปกว่านั้น นอกจากหัวใจที่สั่นเต้นแรงไม่เป็นจังหวะภายในอกอย่างไม่มีคำไหนสามารถจำกัดความมันได้ มันซาบซ่าราวกับการเติมเบียร์เข้าไปในโพรงปากอย่างไม่รู้จบปล่อยให้หัวใจโบยบินลอยฟุ้งไปกับรสชาติ ยังคงเป็นจูบที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบาซ้ำๆอยู่อย่างนั้น จวบจนบทเพลงสุดท้ายในคืนนี้จบลง
มีคนกล่าวว่า New York เป็นเมืองแห่งแสงสีและน่าหลงใหล ตึกสูงระฟ้าและเทพีสันติภาพ แฟนชั่นที่ล้ำสมัยและวอลล์สตรีท แต่จงอินพบว่าไม่มีที่ไหนน่าสนใจไปมากกว่าย่าน Williamsburg ใน Brooklyn ที่มีคนชื่อคยองซูอยู่
#CLOUDYkd
Dread reader : เราก็แค่หวังว่าทุกคนจะชอบและสนุกไปกับเรา กำลังใจที่มอบให้เรารู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่วิเศษ ขอบคุณที่ยังคงโคจรรอบๆกัน เรื่อยๆไปด้วยกันนะ ที่สำคัญตอนนี้มีเพลง เป็นเพลงโปรดเราอีกเพลง ไม่มีคำพูดอะไรมากมายแค่เปิดใจให้โบยบิน บาย
ลง 150705 แก้ไขคำผิด 150706.
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โอ๊ยชอบบบ คยองซูดูน่าค้นหามาก~