ตอนที่ 2 : CLOUDY 1
1
เสื้อโค้ทสีน้ำตาลเข้ม เส้นผมสีน้ำตาล และดวงตากลมโต
กับร่มคันนั้นที่ถูกแบ่งปัน
เราต่างสบตากันอย่างไม่มีคำพูดใดๆ…
รองเท้าผ้าใบสองคู่ย่ำเดินไปบนทางเท้าที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฝน ผู้คนเบาบางบนทางเท้าแต่ดันยัดเยียดกันในพาหนะบนท้องถนน เสียงแตรรถที่บีบด้วยความหัวเสียกับสภาพรถติดแต่ทุกๆอย่างกลับดูเงียบไปกว่าเดิม ชัดเจนเพียงแค่เสียงของสายฝนที่ตกกระทบเข้ากับร่มคันใหญ่ กลิ่นความชื้นกับละอองน้ำกระจายฟุ้งทั่วอณูอากาศความหนาวเย็นพัดไล้ผิวกายจนรู้สึกหนาว แต่น่าแปลกยามที่หัวไหล่ทับด้วยแจ็กเก็ตและเสื้อโค้ทสีน้ำตาลสัมผัสพาดผ่านกันอย่างอย่างไม่ได้จงใจ...ราวกับมีเปลวไฟที่แสนอบอุ่นอยู่บนผิวสัมผัสนั้น เรื่องน่าบังเอิญเกิดขึ้นในความรู้สึกแต่ก็ไร้ซึ่งน้ำเสียงเอื้อนเอ่ยใด นอกจากการย่ำเท้าไปอย่างเงียบๆเคล้าคลอเสียงของสายฝนที่โปรยปราย และดวงตาเหลือบมองหัวมุมของถนนบ่งบอกทางไป subway มันเหมือนเรื่องโง่ๆหากย้อนกลับไปเมื่อ 10 นาทีที่แล้วกับการเดินเคียงข้างกันกับคนแปลกหน้า...เพียงแค่คนแปลกหน้ากับคำถามเพียงไม่กี่ประโยค
“ไปโรงพยาบาลไหม?” น้ำเสียงนุ่มนวลแต่ดูจะเป็นเพียงคีย์เดียว มันถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากของคนดวงตากลมโต ความรู้สึกแปลกกระจายฟุ้งในสมองและรอยยิ้มที่มุมปากราวกับการกลั้นหัวเราะ หากว่าเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บตรงซี่โครงหลังซัดกับเพื่อนซี๊ที่ฟังอาจดูแปลกตรงที่เขาดันไปแอ้มแฟนเพื่อนซี๊มา จงอินอาจจะหัวเราะได้ดังกว่านี้ หรืออันที่จริงแล้วรอยยิ้มของเขามันอาจจะมีแค่เพียงรอยยิ้มประเภทเดียวด้วยการยกยิ้มที่มุมปาก พร้อมกับที่ในวินาทีนั้น..ที่พวกเขาต่างสบตากันยังคงเนินนาน
หนึ่งนาที
สองนาที
สามนาที
“ฮึ..” และสุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงเขาที่หัวเราะออกมา ทั้งที่คนดวงตากลมโตตรงหน้ายังกางร่มและยืนอยู่ตรงหน้าของเขา สายฝนยังคงตกลงมาความหนาวเย็นสาดกระเซ็นเข้ามาพร้อมกับเลือดที่คิ้วของเขายังคงไหล จงอินยกแขนเสื้อเช็ดมันอย่างลวกๆ
“ผมถามว่าคุณจะไปโรงพยาบาลไหม? ดูเหมือนว่าคำว่าฮึจะไม่ใช่คำตอบ” แต่เหมือนว่าคนดวงตากลมโตนั้นก็ยังคงถามคำถามที่ฟังดูยอกย้อนกลับมาซึ่งจงอินกำลังรู้สึกว่าแปลกประหลาดเป็นบ้า
“แผลเล็กแค่นี้ไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอก...” เขาพูดมันออกไปพร้อมกับคำตอบที่ทำให้คนดวงตากลมโตค่อยๆเอนร่มให้ตรงขึ้น พร้อมกับก้าวแรกที่เดินจากไป...แต่ไม่....เขาคิดว่ามันอาจะฟังดูบ้า และมันก็ดูเป็นบ้าจริงๆกับการกระทำของเขาเมื่อคำพูดรั้งคนแปลกหน้าเอาไว้ถูกเอ่ยออกไปอย่างไม่คาดหวัง “ผมขอติดร่มไปที่ subway ได้ไหม?”
ไม่มีคำตอบสำหรับคนที่ถูกถาม
ไม่มีน้ำเสียงเอื้อนเอ่ยใดๆ
นอกจากฝ่ามือเล็กๆของคนที่ถือร่มอยู่ตรงหน้าของเขาถูกยื่นมาตรงหน้า
เขาไม่เคยคาดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในวันนี้จงอินพบว่าความแปลกประหลาดในโลกใบนี้มันมีจริง ยามที่ฝ่ามือของคนสองคนสัมผัสกัน คนดวงตากลมโตฉุดเขาขึ้นจากฟุตบาท ความอบอุ่นของมือเล็กๆภายใต้เสื้อโค้ทสีน้ำตาลกับฝ่ามือที่ชุ่มฉ่ำน้ำฝนจนเย็นจัดแผ่นซ่านความอบอุ่นให้กันและกันอย่างเติมเต็ม จงอินไม่เคยคิดว่าความรู้สึกของเขานับจากวันที่คำถามมากมายไม่มีเคยคำตอบ...และเขาเลือกที่จะไม่สนใจมัน แต่น่าแปลกยามเมื่อพวกเขาสัมผัสกัน ความรู้นี้นั้นมันคืออะไร...จงอินอยากที่จะพยายามหาคำตอบ
บางทีความรู้สึก...อาจเป็นเหมือนกลไกการกำเนิดของจักรวาล เวิ้งว้าง กว้างไกล และไร้ขีดจำกัด
รองเท้าผ้าใบสองคู่ย่ำเดินไปบนทางเท้าที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฝน เสียงของสายฝนที่ตกกระทบเข้ากับร่มคันใหญ่ ฝ่ามือของเขาสัมผัสที่คันร่มของดวงตากลมโตที่เมื่อการยืนอยู่เคียงข้างทำให้เห็นถึงระดับความสูงที่แตกต่าง ดวงตากลมโตเหลือบมองเขาซึ่งมันเหมือนเป็นคำถาม...คำถามที่ไร้ซึ่งการเอื้อนเอ่ยใดๆ
“…”
“เดี๋ยวผมถือให้...” น้ำเสียงแหบพร่าถูกเอ่ยบอกและเพียงแค่นั้นฝ่ามือเล็กๆที่จับคันร่มก็ค่อยๆปล่อยลง วินาทีนั้นทำให้เขารู้สึกว่าไหล่ของคนข้างๆเขานั้นเล็กเหลือเกิน
ดูเหมือนท้องฟ้ายังคงถูกปกคลุมไปด้วยเมฆฝน สายลมเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น มันพัดกลิ่นความชื้นกับละอองน้ำกระจายฟุ้งทั่วอณูอากาศ ความหนาวเย็นพัดไล้ผิวกายจนรู้สึกหนาวจนคนข้างกายของเขานั้นห่อไหล่ลงเพื่อหลบสายฝนที่พัดเข้ามา สายลมเริ่มแรงขึ้น และพวกเขาเริ่มย่ำฝีเท้าให้ไว้ขึ้นมากกว่าเก่า เสียงคำรามของท้องฟ้าก้องสะท้อนกับตึกสูงระฟ้า ราวกับว่าพวกมันอยู่ใกล้แค่เอื้อม จงอินกระชับคันร่มด้วยมือข้างถนัดเราต่างวิ่งไปข้างหน้าอย่างรีบเร่ง แต่ในวินาทีนั้นสายลมที่แรงมากเกินไปตีขึ้นมันพัดร่มที่กันสายฝนให้พวกเขากลับด้าน...พร้อมๆกับสายฝนโปรยปรายใส่ร่างกายของพวกเขาจนเริ่มเปียกปอน ต่างมองหน้ากันอย่างไม่มีความหมายและมันเหมือนกันเรื่องตลกร้าย ร่มโชคร้ายมีรูปทรงที่ผิดแปลกไป และสุดท้ายเราต่างวิ่งหลบสายฝนด้วยกันอย่างบ้าๆ มันเร็วขึ้น และเร็วขึ้น
เสียงของสายฝนกระทบเข้ากับกันสาด พื้นถนน หรือว่าใดๆมันดังเซ็งแซ่ไปหมด พวกเขาวิ่งฝ่าสายฝนไปด้วยกันผ่านหัวมุมถนนหลบหลีกท่อระบายที่ถูกเปิดทิ้งไว้รอการซ่อม กลิ่นไอความร้อนของพื้นดินผ่านท้อฟุ้งตะหลบอบอวน คนตัวเล็กข้างกายดูเหมือนจะเซแต่ในวินาทีนั้น พวกเขากลับสอดประสานมือแล้ววิ่งไปด้วยกันอย่างไม่มีคำพูดใดๆ อาจจะดูเป็นภาพที่แปลกประหลาดตาของคนในร้านคาเฟ่ของหัวมุมถนนฝั่งตรงข้ามเมื่อคนตัวสูงภายใต้แจ็คเก็ตหนังถือร่มกรังๆที่รูปมีรูปทรงประหลาด ในขณะที่มืออีกข้างของเขากลับกุมกระชับแน่นกับคนตัวเล็กกว่าภายใต้เสื้อโค้ทสีน้ำตาลที่เปียกปอน แต่ทุกๆอย่างมันกลับดูลงตัวอย่างน่าแปลกประหลาด เพียงแค่รอยยิ้ม...รอยยิ้มของพวกเขาสองคนที่วิ่งฝ่าสายฝนไปด้วยกัน
พวกเขายืนข้างๆกันหลังจากที่วิ่งฝ่าสายฝนมา 4 บล็อก เสียงหอบของลมหายใจดังเข้าออกพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวเร็วบีบอัดถึงความเหนื่อยล้า กลิ่นของขนมปังลอยมาเต็มไปด้วยกลิ่นของเนยและน้ำตาลที่หอมหวนจากร้านขนมปังชื่อดังในย่านนี้ สายฝนที่ชุ่มฉ่ำจนร่างกายพวกเขาต่างเปียกปอน เส้นผมที่เปียกชื้นจนแนบลู่เข้ากันหน้าผาก แก้มซีดๆเพราะสายฝนที่เย็นจัดกับหยดน้ำค่อยๆไหลลงจากเสื้อผ้า มันหยดลงบนพื้นเป็นหยดเรื่อยๆและเรื่อยๆ เคล้าลาคลอกับเสียงหอบของลมหายใจค่อยๆเบาลง ความร้อนจากการวิ่งค่อยๆจางหายแต่ดูเหมือนมีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่ได้เย็นชืดตามไป และเขาเลือกที่จะกระชับฝ่ามือนั้น ดูเหมือนว่าคนข้างกายไม่ได้สังเกตุสิ่งใดนอกจากการเหม่อมมองสายฝนที่หล่นลงมาจนหลังคาปรากฏเป็นรอยยิ้มจางๆจนพวงแก้มที่ยกขึ้น และเสียงหัวเราะราวกับการกลั้นมานานกลับดังขึ้น และดังขึ้น อย่างน่าหลงใหลในความเป็นธรรมชาติ น่าแปลกที่เขากลับคิดว่ามันเหมือนแรงผลักดันบางอย่างอุปทานหมู่หรืออย่างไรไม่มีใครรู้นอกจากพวกเขาก็แค่ค่อยๆเปล่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยกัน ดวงตากลมโตค่อยๆหันมองด้านข้าง จวบจนพวกเขาสบตากันท่ามกลางเสียงของสายฝน...น่าแปลกที่ระยะห่างที่พวกเขาไม่เคยได้สังเกตุมันใกล้เพียงแค่นี้ ดวงตากลมโตที่เหมือนจักรวาลในเอกพบ แพขนตาที่เปียกปอน พวงแก้มที่เจือสีเลือดฝาด ปลายจมูกเและริมฝีปากที่เป็นสีขมพูอ่อนๆ เสียงหัวเราะนั้นค่อยๆเบาลง เบาลงและเบาลง จนเสียงอัตราการเต้นของหัวใจกลับดังชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด และบนใบหน้านั้นเจือจางเพียงแค่รอยยิ้ม
พวกเขาเจอกันท่ามกลางวันที่ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆฝน
เราต่างเปียกปอนและยิ้มโง่ๆให้กันทั้งที่เราเป็นเพียงคนแปลกหน้า
พวกเขาค่อยๆปล่อยมือที่ประสานกันอย่างเชื่องช้า...มันเชื่องช้าทั้งที่ยังคงอบอุ่นอยู่ในการสัมผัสนั้นและไร้การเอื้อนเอ่ย...ปลดปล่อยใจสมองหยัดพักการคิดเรื่องราวใดๆนอกจากฟังเสียงของหัวใจที่เต้นรัวอย่างไม่เป็นจังหวะอย่างเนิ่นนาน
“ดูเหมือนฝนตกอีกนาน” จงอินพูดพร้อมกับเก็บร่มให้เข้าที่ทั้งที่เขารู้สึกหนาวและความเจ็บแปลบไปทั้งตัวเริ่มชัดเจนขึ้นอีกครั้ง แต่มันก็ไม่...เขายังคงยืนอยู่แบบนี้ข้างๆคนดวงตากลมโต
“ใช่..คงอีกนาน” คนข้างกายตอบกลับพลางถอดเสื้อโค้ดเปียกๆนั้นพาดแขนเหลือสเวตเตอร์สีดำสนิท พวกเขาต่างไม่มีคำพูดใดๆนอกจากจ้องมองมหานครสีขาวที่ชุมฉ่ำไปด้วยสายฝน
แม้ว่ามันจะค่อยๆซาลง ซาลง...และมันหลงเหลือไว้เพียงละอองจางๆที่ยังคงตกลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบนและจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เสียงของการจราจรบนท้องถนนเริ่มเคลื่อนที่ ฝูงชนเริ่มเคลื่อนที่ กลไกลของมหานครถูกดำเนินอีกครั้ง เมฆฝนค่อยๆเคลื่อนย้ายออกไปจากท้องฟ้ากว้างไกลหลงเหลือไว้เพียงความเปียกชื้นและกลิ่นของชื้นยังคงคลุ้งอยู่ในอณูอากาศ น่าแปลกที่พวกเขายังคงยืนอยู่ข้างๆกันอย่างนั้น..
พวกเขาก็แค่ไม่อยากเปียกอีกแล้ว หรืออันที่จริง...พวกเขาก็แค่กำลังอยากหาข้ออ้างในการยืนโง่ๆด้วยกันแบบนี้
50 %
“ยังจะไปไป subway อยู่ไหม” น้ำเสียงเรียบนิ่งถูกเอ่ยออกมาจากคนข้างๆกับความสั่นเทาเล็กน้อยบนหัวไหล่ลู่ๆและริมฝีปากที่เคยเป็นสีชมพูจางเริ่มซีดลง จงอินจ้องมองเพียงริมฝีปากนั้นที่ยังคงขยับ แม้ว่าในความรู้สึกหนักอึ้งในสมองของเขามันเริ่มมากขึ้นจากบาดแผล
“...”
“ได้ยินที่ฉันพูดไหม”
“คุณดูเป็นคนที่ใจดีนะ แต่ไม่รบกวนคุณแล้วดีกว่า” ในคำถามล้วนถูกเอ่ยตอบท่ามกลางสายลมหลังเมฆฝนพัดผ่านจนเส้นผมสีน้ำตาลปลิวไปตามแรงลม ความมืดครึ้มเริ่มเจือจางทุกๆอย่างเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงของการจราจรเริ่มเคลื่อนที่ ทุกๆอย่างล้วนเคลื่อนที่มีเพียงแค่พวกเขาสำหรับการสนทนาที่ไม่เคยจะสบตา
“นี่” ท่ามกลางความเงียบนั้นคนข้างกายกลับเอ่ยเรียกอีกครั้ง และในวินาทีนั้นมันเป็นอีกครั้งใบหน้าของพวกเขาต่างค่อยๆหันมาสบตากันมันเหมือนเรื่องโง่ๆแค่เรื่องโง่ๆที่พยายามยื้อเวลาอยู่อย่างนั้น
“….”
“อาพาร์ตเม้นท์...ไปอาพาร์ตเม้นท์ฉันไหม...” เพียงคำเอ่ยถามจากคนตรงหน้า จงอินพบว่าภายในดวงตากลมโตคู่นั้นเหมือนหลุมดำที่ดึงดูดเขาลงไปและไร้การปฏิเสธ
จงอินไม่รู้ว่าคนตรงหน้านั้นแปลกประหลาดมากแค่ไหนกับความไว้ใจที่มีต่อเขา ที่ทั้งพวกเขานั้นล้วนมีคำว่าคนแปลกหน้าแปะไว้กลางหน้าผาก...แต่จงอินก็คงต้องรับว่ามันฟังดูบ้าไปหมด เมื่อรองเท้าผ้าใบสองคู่ต่างเดินเคียงข้างกันไปบนฟุตบาทที่ทอดตัวยาวออกไป ความเงียบกับเสียงของรองเท้าผ้าใบกระทบกับพื้นย่ำผ่านเส้นทางของน้ำที่เจิ่งนองเลี้ยวผ่านถนนที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนเข้าซอยเล็กๆที่ดูสงบกว่า มีสวนสาธารณะกับชิงช้าที่ดัง เอี๊ยดอ๊าด ยามเมื่อมันเคลื่อนไหวไปตามแรงลมพัด หยดน้ำพร่างพราวบนเครื่องเล่นที่ร้างผู้คนหลังฝนตก มีเพียงความสงบเงียบระหว่างทางที่เคยคิดว่ามันเหมือนจะไกลน่าแปลกที่มันไม่ได้ไกลจากย่านวุ่นวายซักเท่าไร เพียงแต่ในบล็อกนี้กลับดูสงบเงียบและดูน่าอยู่กว่าที่คิด มันดูดีพร้อมกับกลิ่นพาสต้าหอมฟุ้งของร้านอาหารอินตาลี่เล็กๆ ด้วยระยะการเดินเท้าที่ไม่นานมากนักดวงตาคมเข้มเหลือบเห็นตึกที่ไม่ได้สูงมากนัก แน่นอนว่ามันเป็นที่หมายที่คนแปลกหน้าชวนเขามา ตึกสีส้มอิฐมันถูกปลกคลุมไปด้วยต้น Ficus pumila ไปจนถึงชั้นสามตัดกับกรอบหน้าต่างสีขาวบานใหญ่ ความเขียวชอุ่มตัดกับตัวตึกอย่างน่าประทับใจและมีบันได้เล็กๆสีน้ำตาลกับประตูทางเข้าบานใหญ่ก่อนที่เขาจะเดินตามคนใจดีที่สวมสเวตเตอร์สีดำขึ้นด้านบน
ทางเดินแคบๆระหว่างห้องมันทำจากไม้และดูจะเก่าๆไปตามกาลเวลามันดัง เอี้ยดอ๊าด ยามเหยียบลงไป ภายในตึกไม่ได้มีกลิ่นอับมีเพียงกลิ่นความชุ่มชื้นที่พัดมาจากหน้าต่างบานเล็กที่ถูกเปิดทิ้งไว้เพื่อให้แสงสว่างจากธรรมชาติ ดูเหมือนจะมีกลิ่นซุปฟักทองหอมกรุ่นจากห้องข้างๆลอยมา พร้อมกับประตูสีน้ำตาลอยู่ตรงหน้าพวกเขามันเป็นหมายเลขห้องชั้น 3 อยู่ริมสุดทางเดินติดกับหน้าต่าง เขาเหม่อมองอย่างสำรวจและพวงกุญแจถูกหยิบจากฝ่ามือเล็กๆที่ไขมันอย่างเคยชินพลางเปิดออก ภายในไม่ได้เป็นสีสว่างอย่างที่คิดมันเป็นเพียงวอเปเปอร์สีมิ้นต์เก่าๆที่มีคราบน้ำฝนเล็กน้อยจากการรั่วซึมของผนัง กับโซฟาสีเหลืองอ๋อยที่เหมือนจะเป็นสีเด่นที่สุดภายในห้องนี้ กองเสื้อผ้าถูกวางไว้มุมห้องมันล้นออกมาอยู่ในบริเวณนั้นที่ปลายเตียงซึ่งดูเหมือนว่าคนดวงตากลมโตจะไม่ได้สนใจมันมากนักรวมถึงกองหนังสือสองถึงสามเล่มถูกกางทิ้งไว้ ในทุกๆมุมหนึ่งของห้องราวกับโซนที่แบ่งไว้อย่างตั้งใจชัดเจน ครัวเล็กๆสีครีมมุมหนึ่งและห้องน้ำข้างๆกันแต่ที่สะดุดตาที่สุดคงเป็นระเบียงเล็กๆที่ถูกเปิดเอาไว้กับราวตาผ้าที่ชุมฉ่ำไปด้วยน้ำ คนดวงตากลมโตจะหัวเสียเพราะผ้าที่ตากเอาไว้กลับดูเหมือนว่ามันเพิ่งถูกซักถึงอย่างนั้นและจงอินก็ยังคงเงียบอยู่อย่างนั้น แต่ทุกๆอย่างกลับดึงสายตาของเขากลับมาที่เดิมเมื่อคนแผ่นหลังเล็กๆเดินไปที่ระเบียงพลางถอดเสื้อที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนออกมาอย่างไม่สนใจอะไรท่ามกลางความเงียบ จงอินมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายยามเมื่อแผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของคนผิวขาวตรงหน้า ไม่มีความเขินอายใดๆสำหรับพวกเขาก่อนที่จงอินเดินไปนั่งที่โซฟาอย่างเงียบๆพลางถอดแจ็กเก็ตหนังตัวโปรดไว้กับที่วางแขน มันดูเหมือนเป็นภาพที่ชินตาแต่จงอินยอมรับว่ามันกลับดูน่าหลงใหลในแผ่นหลังนั้น
มวลบุหรี่ยี่ห้อถูกๆมันถูกซองพลาสติคห่อกันความชื้นไว้อย่างดีพลางเคาะออกจากซอง หนึ่งมวลจรดด้วยริมฝีปากและเปลวไฟอบอุ่นเบาบางถูกจุดอย่างเคยชิน ยามเมื่อสมุนไพรอบแห้งเกิดการเผาไหม้ควันสีขาวฟุ้งกระจายถูกสูดอัดเข้าไปในโพรงปากพลางซึมซัมรสชาติภายในลำคอจนชุ่มไปทั่วปอด ดวงตาคมเข้มจ้องมองแผ่นหลังขาวเนียนอย่างครุ่นคิดและในวินาทีนั้นคนดวงตากลมโตก็หันกลับมาที่เขา พวกเขาสบตากันอย่างไม่มีคำพูดใดยามเมื่อเท้าเปลือยเปล่าก้าวเดินใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาและมันใกล้ขึ้นกว่าเดิมพื้นไม้ดังลั่นเล็กน้อยตามการก้าวเดิน ควันขาวฟุ้งกระจายถูกปล่อยออกมาจากริมฝีปากรสชาติที่ติดปลายจมูกและหอมหวาน เขาหลับตาซึมซับรสชาติที่ยังคงน่าหลงใหลอีกครั้ง และทันใดนั้นยามเมื่อเปลือกตาค่อยๆลืมขึ้นอย่างเชื่องช้าพร้อมกับคนแผ่นหลังขาวเนียนค่อยๆโน้มตัวลงมา จงอินพบว่าเอกภพถูกค้นพบอยู่ตรงหน้า...ภายใต้ดวงตากกลมโตคู่นั้น
แพขนตา
ปลายจมูก
และริมฝีปาก
กับระยะที่ใกล้ชิดเพียงลมหายใจผิวแก้มเนียนใสกับไฝเล็กบนต้นคอ ผิวกายที่ไร้เสื้อผ้าใดๆราวกับมีเปลวไฟอบอุ่นอยู่ใกล้ชิด บุหรี่มวลน้อยถูกชกชิงจากริมฝีปากด้วยฝ่ามือเล็กๆที่ยังคงเย็นจัดจากสายฝนที่ชุ่มฉ่ำ ริมฝีปากสีชมพูดจรดมันไว้พลางสูดอัดรสชาติและปลดปล่อยมันออกมาให้ฟุ้งกระจายอยู่ในมวลอากาศราวกับอัดใส่หน้าของเขา ควันขาวฟุ้งทำให้การมองดูพร่าเบลอแต่มันไม่สิ่งใดเลยที่บดบังดวงตากลมโตนั้นที่น่าหลงใหล แรงดึงดูดกันและกันเป็นไปอย่างเชื่องช้าพร้อมๆกับที่ฝ่ามือเย็นชืดจะคีบบุหรี่มวลเดิมกลับมาจรดที่ริมฝีปากของเขามันเป็นมวลเดียวกันที่พวกเขาล้วนเบ่งปันกันและกันโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ยามเมื่อควันขาวฟุ้งค่อยๆเจือจางในมวลอากาศฝ่ามือเย็นชื่นค่อยๆยกขึ้นและไกล่เส้นผมที่เปียกชื้นปลายนิ้วสัมผัสที่หน้าผากของเขาอย่างแผ่วเบาแต่มันราวกับมีประจุไฟพาดผ่านดวงตาต่างจ้องมองคนตรงข้ามจนรู้สึกถึงความแห้งผากบนริมฝีปากแต่สุดท้ายแล้วกลับมีประโยคสั้นๆถูกเอ่ยออกมา
“ดูเหมือนเลือดจะหยุดไหลแล้ว ถอดเสื้อซิจะได้ทำแผล” ร่างขาวเนียนพูดจบก็ผละตัวออกไปอย่างไม่รีบเร่งหลงเหลือไว้เพียงบุรี่ที่ถูกคาบไว้บนริมฝีปากของเขาท่ามกลางความเงียบ
มวลบุหรี่ถูกดับลงด้วยส้นรองเท้ากับพื้นห้องที่ไม่ได้สนใจว่าเจ้าของห้องจะพอใจหรือไม่ จงอินค่อยๆถอดเสื้อยืดของเขาออกพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อความรู้สึกปวดจากบาดแผลเริ่มชัดเจนขึ้นกว่าเขา และเมื่อเขาถอดเสื้อพาดไว้กับโซฟาเสร็จเขาพบว่าคนแปลกหน้าภายใต้เสื้อยืดสีขาวกับกล่องยาใบเล็กๆเดินมาและนั่งลงพื้นที่โซฟาข้างๆ ทุกๆอย่างเหมือนมันช้าลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในแววตาของคนดวงตากลมโตนั้นล้วนมีแรงดึงดูดบางอย่าง ท่ามกลางกลิ่นของแอลกอฮอล์ที่ฟุ้งจนน่าอาเจียนจงอินกลับสนใจแค่เพียงกลิ่นกายของคนตรงหน้าที่ยังคงทำแผลให้เขา มันไม่ใช่กลิ่นของน้ำหอมหรือว่าใดๆมันมีแค่เพียงกลิ่นกายหลังเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน และพลาสเตอร์ถูกแปะลงมาบนหางคิ้วอย่างแผ่วเบาพร้อมๆกับเสียงสั่นเครือของโทรศัพท์มือถือที่ถูกวางไว้บนเคาน์เตอร์ครัว มันยังคงแผดเสียงดังน่าอย่างน่ารำคาญแต่สุดท้ายแล้วก็เป็นคนดวงตากลมโตที่เลือกจะเดินไปหยิบพลางเดินไปที่ระเบียงและกดรับสาย
ห้องทั้งห้องยังคงมีเพียงความเงียบกับเสียงของลมหายใจ กลิ่นของความชื้นยังคงฟุ้งอยู่ในอากาศผ้าม่านสีขาวปลิวไปตามแรงลมและดอกแอฟริกันไวโอเล็ตบนราวเล็กๆตรงระเบียงไหวเล็กน้อย ทุกๆอย่างดูน่าสงบเงียบไปหมดหลงเหลือไว้เพียงคำถามและตะกอนความว้าวุ่นภายในหัวใจของเขา จงอินเสยเส้นผมที่ตกลงบนหน้าเล็กน้อยพลางเหลือบมองคนตัวเล็กที่ยังคงยืนคุยโทรศัพท์ เสื้อยืดสีขาวที่ถูกสวมใส่กับกางเกงขาสั้นที่ถูกเปลี่ยนจงอินมองอย่างครุ่นคิด คนแปลกหน้าที่พบเจอกลับเปลี่ยนแปลงหลากหลายอย่างในชีวิตของวันที่ควรที่เป็น ความรู้สึกที่เริ่มก่อเกิดมันเหมือนกับเอกภพที่ถูกค้นพบแต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยคำถาม
“ครับ ผมเจอแล้ว” เป็นเพียงประโยคสั้นๆที่ฟังดูเรียบง่ายพร้อมกับสายลมพัดผ่านระเบียงเข้ามาในห้องและจงอินเลือกที่จะไม่สนใจอะไร
มันเหมือนว่าทุกๆอย่างเริ่มต้นขึ้นกับความทรงจำฤดูฝนที่เราต่างพบเจอกันปี 2012 พร้อมกับน้ำฝนหยดลงบนต้นแอฟริกันไวโอเล็ต
#CLOUDYkd
- Ficus pumila : ต้นตีนตุ๊กแก
- Subway : รถไฟใต้ดิน อังกฤษใช้ Tube
100% 150628 แก้ไขคำผิด 150629
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ถอดเสื้อเลยหรอคะเธอ จงอืนนี่ต้องอดทนนะ
อย่าเพิ่งรักกันนะ หน่วงไปแบบนี้ก่อน 5555555555555
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 25 มิถุนายน 2558 / 22:54