คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : นิยายที่เคยแต่งเมื่อนานมาแล้ว
ตัวละคร
มนุษย์หมาป่า(ทุกตัวมีร่างกายแข็งแรงมหาศาล หนังเหนียว สำหรับตัวที่ไม่มีคู่จะเจ้าชู้มากมีอายุยืนกว่ามนุษย์ สิบเท่าหรือแก่ลงทุกๆสิบปี แต่ลูกหมาป่าจะเติบโตเหมือนเด็กทั่วไปจนกระทั่งย่างเข้าสิบเจ็ด ไม่เป็นอมตะส่วนที่เหลือเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง สามารถรู้สึกถึงการมีตัวตนของมนุษย์หมาป่าอีกตัวได้ในระยะห้าไมล์)
1.คิวบา
2.สปาร์ค
3.มาร์ค
4.สกอร์ปา
5.ราสเนียร่า
6.วีน่า
7.เยเลมี่
แวมไพร์(ทุกตนมีร่างกายแข็งแรงมหาศาล รักษาบาดแผลได้ด้วยตนเองส่วนใหญ่จะรักเดียวใจเดียว เป็นอมตะหากถูกฉีกร่างออกเป็นสองท่อน หรือถูกตัดหัวจะตาย แต่ถ้าหากถูกฉีกแขนหรือขาร่างกายส่วนนั้นจะกลับมาสานกับลำตัวจนสามารถใช้ได้ปกติ เลือดของแวมไพร์มีสีขาวครีมขุ่นมัวๆหรือแดงอ่อนๆหากใช้ข้อมือแตะที่ท้ายทอยจะรู้อายุของคนๆนั้นแต่หากใช้มือทาบลงบนท้ายทอยจะรู้ทุกอย่างที่คนๆนั้นรู้แต่เป็นการกระทำที่หยาบคายมาก หากแวมไพร์กัดแวมไพร์ก็จะสามารถรู้เรื่องของชายคนนั้นในสามวันที่ผ่านมา แวมไพร์บางตัวจะมีพลังพิเศษแต่ในคืนจันทร์สีเลือดพลังทุกๆอย่างจะเสื่อมลง แวมไพร์บางตัวจะพรางหน้าตาที่แท้จริงที่น่าเกลียดไว้ใต้หน้ากากแสนสวย บางตนดื่มเลือดมนุษย์ บางตนดื่มเลือดสัตว์)แบ่งเป็นสองพวก
กรีเวอร์และพันธมิตร
1.อาร์ลฟองเซ เรเยส (พระเอก) (อาร์ล)
2.เพทริก ดิกซ์กอรี่ (เจ้าชาย)
3.ไบรอัน มิวราด (พระราชา)
ตระกูลคันนิ่งแฮม
4.เอ็ดเวิร์ด คันนิ่งแฮม (พี่น้องตระกูลคันนิ่งแฮม)
5.บิล คันนิ่งแฮม (พ่อบ้านตระกูลคันนิ่งแฮม)
6.อลิเซีย คันนิ่งแฮม (แม่บ้านตระกูลคันนิ่งแฮม
7.เวนซ์ คันนิ่งแฮม
8.แซม คันนิ่งแฮม
9.เซธ คันนิ่งแฮม
10.เบลล่าและเอลล่า คันนิ่งแฮม
11.ลูซี่ คันนิ่งแฮม
12.แทมลิน คันนิ่งแฮม
13.สตรองค์ คันนิ่งแฮม
14.ซูซาน คันนิ่งแฮม
ลินคอร์นและศัตรู
1.จาร์ต้าร์ แบล็ค
2.ลินคอร์น ชโนวา
3.แจ็ค ชโนวา
ลูกผสม (จะมีทุกอย่างเหมือเผ่าพันธุ์ที่ผสมมารวมกัน)
1.โฟล ดิกซ์กอรี่ (ผสมทุกสายพันธุ์ที่มี)
2.มอร์สพี (ผสม หมาป่ากับแวมไพร์)
3.สไมล์ เรเยส (ผสมทุกสายพันธ์รับเชื้อจาก โฟล ดิกซ์กอรี่ มารดา และอาร์ลฟองเซ เรเยส บิดา)
4.ทัช เรเยส (ผสมทุกสายพันธ์รับเชื้อจาก โฟล ดิกซ์กอรี่ มารดา และอาร์ลฟองเซ เรเยส บิดา)
แม่มด (ไม่มีรูปร่างทีแท้จริง ใช้เพียงร่างกายผู้คนที่ที่ตนฆ่า ทุกตนร้ายกาจไม่มีคนดี)
1.แม็กดาเลน สตาร์ก
พ่อมด (มีรูปร่างแน่นอนเพราะเป็นเผ่าพันธ์ที่กำเนิดขึ้นเองไม่มีผู้ใดสร้างขึ้น แต่ก่อนเคยเป็นมนุษย์แต่ทำสัญญากับหัวหน้าเผ่าและวัดเวทย์มนตร์ในตัวจะสามารถเข้าได้)
1.แอนดรู ดริว
2.ไรอัน วูฟล์
ซาตาน (มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการเป็นชายล้วน มีปีกสีดำเหมือนปีกนกที่กลางหลังกินแต่สัตว์เป็นพันธมิตรกับฝ่ายดี รูปร่างที่แท้จริงมีลักษณะเหมือนมนุษย์มีเขาแหลมเหมีอนมีดอยู่เหนือหูมีหูแหลมและยาวคล้ายเอลฟ์มีผ้าคลุมที่ขาดรุ่ยตั้งแต่เอวถึงปลายขาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมีเล็บแหลมน่ากลัวแต่มีความหลงใหลในมนุษย์)
ปีศาจ(มีรูปร่างอัปลักษณ์ฟันแหลมคมและน่าเกลียดเหม็นกลิ่นคาวเลือดหูแหลมลู่ลงแนบแก้มร่างกายสีเทามีโซ่พันรอบตัวมีปีกเหมือนค้างคาวมีพิษมือและเท้ามีกรงเล็บน่ากลัว)
เอลฟ์ (มีหูแหลมร่างกายเป็นประกายสว่างสวยงามในตัวมีกลิ่นผลไม้สามารถหายตัวได้สวมเสื้อผ้าสีเขียวมีกวางประจำตัว หน้าตาน่ารัก เหมือนเด็ก มีพลังในการใช้เวทมนตร์สร้างหรือเปลี่ยนสิ่งของ)
พิกกี (มีร่างกายเล็ก เพียงฝ่ามือมีปีกเหมือนแมลงปอ มีร่างกายเรืองแสงสีเหลืองอร่าม ส่วนใหญ่จะขี้เล่น ละขี้งอน)
เงือก (มนุษย์ครึ่งปลา ครึ่งล่างเป็นปลา ครึ่งบนเป็นมนุษย์ ดำน้ำเก่ง ผู้ชายจะมีร่างกายครึ่งร่างเหมือนตัวเมียของแต่ละชนชั้น เพียงแต่จะมีหางเป็นเส้นยาวเล็กสองสามเส้นออกมาจากครีบ)
ฮอลเลท (เป็นมนุษย์ที่ได้รับเลือกมาตั้งแต่เกิดมีพลังแทรกซึมที่ได้ทุกที่ไม่ว่าจะเป็นพื้น กำแพง เพดานสามารถผ่าไปได้เหมือนมันเป็นเพียงม่านน้ำบางๆ สามารถแทรกซึมได้กระทั่งเนื้อหนังมนุษย์)
กอยล์ (คือมนุษยที่มีผิวเป็นหิน แต่บางตัวจะมีผิวเป็น หยก หรือ ทับทิม ซึ่งหายากมาก)
ข้อมูลของตัวละคร
1.คิวบา
- หมาป่าหนุ่มไฟแรงมีผมสีดำสนิทสั้นเกรียนตาคมเหมือนเหยี่ยวมีน้องสาวชื่อวีน่า แข็งแรงมีผิวสีซีดขาวไม่เหมือนผิวหมาป่า ดุดันน่ากลัวเมื่อคราวต่อสู้ไม่เคยแพ้ แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเป็นไปได้ในร่างหมาป่ามีขนสีทองแดงด่างน้ำตาลอยู่ทั่วตัว
-อาศัยอยู่ในลอสแองเจอริสถูกล่าตั้งแต่ตอนที่ไปเจอกับราสเนียร่าถูกต้อนให้จนมุมทั้งสามคนโดนจับไปขังรวมกับสปาร์คที่มาอยู่ก่อนนานแล้วแล้วก็หนีออกมาได้
2.สปาร์ค
- หมาป่าขี้โมโหมีผมสีทองแดงสั้นชี้ไปทั้งหัว มีลูกชื่อเยเลมี่ ผิวสีแทน โมโหร้ายแข็งแกร่ง
-เกิดในวังเป็นเพื่อนกับอาร์ลฟองเซ ถูกไล่ฆ่าเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวก่อโรคระบาด หนีแล้วแต่จนมุมจึงถูจับต่อมาจึงหนี
.................................................................................................................................................................................................................
นิยาย
“บางคนคิดว่าการเริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นสิ่งที่ดี แต่ฉันคิดว่าการเริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นสิ่งเลวร้าย ถ้าการเริ่มใหม่นั้นไม่เป็นดังหวัง ถ้าจุดจบของการเริ่มต้นนั้นคือการตาย แต่ถ้าหากแลกเปลี่ยนมันกับความรักนิรันดร์ฉันก็ยอม”
“พ่อ!! อยู่ไหนเนี่ย”เสียงใสๆของสาวน้อยผมสีเพลิงที่ปนความโมโหอยู่นิดหน่อยเพราะเธอมองหาพ่อของเธอมาสักพักใหญ่ๆแต่ยังไม่เจอ เธอจึงไปเดินเล่นในสวนเหม่อมองดอกไม้หลากสีและท้องฟ้ากว้าง นึกถึงความฝันของเธอ เธอมีความฝันที่ไม่เหมือนใคร เธออยากเป็น สิ่งที่ไม่มีใครอยากเป็น เธออยากเป็น แวมไพร์
“เฮ้!!เหม่ออะไรอยู่ น่ะ”เสียงเด็กหนุ่มตะโกนอยู่ข้างหูเธอ
“นายจะพูดเสียงดังทำไมเดี๋ยวพ่อก็ได้ยินหรอก”เธอพูด
“ก็ฉันเรียกเธอแล้วตั้งหลายครั้งเธอก็มัวแต่เหม่อ”เขาเถียง
“ช่างฉันเหอะน่า แล้วนี่มาทำไม”
“ฉันไปเจอที่ๆหนึ่งอยากให้เธอไปดู”
“อ๋อได้เลยที่ไหนเมื่อไหร่ล่ะ”
“เอาเป็นพรุ่งนี้ละกันฉันยังไม่ว่าง”
“ได้สิ พรุ่งนี้ฉันว่างทั้งวัน”
“โอเคแล้วเจอกัน”
“เดี๋ยว!!!เห็นพ่อฉันไหม”
“ฉันเห็นพ่อเธอออกไปล่าสัตว์กับพ่อฉันนะ”
“อ๋อ โอเคงั้นก็ บาย”
“บาย พรุ่งนี้มาเช้าๆนะ”
ตอนมืด
ตอนที่เธอกินข้าวพ่อของเธอพูดขึ้นว่า “โฟล เดี๋ยวพรุ่งนี้บ่ายๆพ่อจะพาออกไปข้างนอกอย่าออกไปไหนนะ”เธอรู้ว่าพ่อต้องไม่ตอบเธอถ้าเธอถามว่าไปที่ไหน พอเธอกินข้าวเสร็จเธอจึงทำงานบ้านสารพัดเพื่อจะให้ตัวเองเหนื่อยจะได้หลับสบาย แต่ตรงกันข้ามคืนนั้นเธอแทบไม่ได้นอนมันเป็นอะไรไม่รู้ใจเธอมันรู้สึกกังวลโดยไม่รู้สาเหตุเธอข่มตาแล้วแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลับเลย เธอจึงลุกมาอาบน้ำเธอสังเกตเห็นตัวเองในกระจก แผลเป็นที่ต้นคอเธอมันแดงมากแต่กลับไม่มีอาการแสบใดๆ ‘พรุ่งนี้ต้องบอกพ่อ’เธอคิด เธอเดินไปหยิบยาทาแก้รอยฟกช้ำมาทากันไว้ก่อนเดี๋ยวมันจะออกเป็นรอยช้ำสีเขียววงกว้าง และถ้าเป็นอย่างนั้นพ่อของเธอต้องประสาทกินแน่ๆเพราะพ่อเป็นห่วงเรื่องแผลเป็นนี่มากพ่อบอกว่าเธอได้มันมาตอนเด็กแต่กลับไม่บอกว่าโดนอะไร เธอสวดมนต์แล้วนอนครั้งนี้เธอนอนหลับ
วันรุ่งขึ้นเธอออกไปหาฮันเตอร์ตามนัดเธอมาเช้ามากเพราะไม่อยากให้พ่อเห็นเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง เธอวิ่งฝ่าสายหมอกจนมาถึงสวนที่เขานัดไว้เขามารอเธออยู่ก่อนแล้ว “พร้อมรึยัง”เขาถาม “พร้อมตั้งแต่เกิดแล้ว”เธอตอบ จากนั้นเขาก็วิ่งนำหน้าเธอไปก่อน เธอจึงวิ่งตามอย่างรวดเร็วเขาวิ่งนำเธอจนมาถึงทะเลสาบแห่งหนึ่งมันเป็นทะเลสาบที่กว้างมากสีครามสวยงามมากมีแบคกราวเป็นพระอาทิตย์กำลังขึ้นจากน้ำ มันเป็นภาพที่สวยมาก เธอคิดว่าเธอจะต้องจำไปวาดให้ได้เธอนั่งเล่นที่นั่นสักพักจนเกือบจะหลับไป จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น “เฮ้นี่เธอจะลืมสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อของเธอหรอ Fy merch fach”คำสุดท้ายเธอไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรเพราะมันไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แต่ที่แปลกคือมันเป็นเสียงเด็ก แล้วมันก้องอยู่ในหัวเธอ จากนั้นเธอก็จำได้ว่านัดกับพ่อไว้เธอจึงวิ่งไปที่สวนรอพ่อของเธอที่นั่น นั่นไงพ่อเธอกำลังเดินมา
“พร้อมรึยัง พ่อหาเธอแทบตาย”
“หนูก็นั่งเล่นแถวนี้และจ๊ะ แล้วพ่อแต่งตัวอะไรเนี่ย!!”เธอถาม พ่อเธอใส่สูททักซิโดราคาแพงกับรองเท้าเงาวับ
“เถอะน่า วันนี้วันสำคัญนะ”พ่อพูดและยิ้มแก้เขินนิดหน่อย จากนั้นพ่อก็นำเธอเข้าไปในป่าลัดเลาะไปตามตลิ่งชันเธอคิดว่าพ่อใส่ทักซิโดเข้ามาในป่าเนี่ยนะ พอมาถึง โรงนาแห่งหนึ่งจากนั้นพ่อเธอก็เดินไปที่กองฟางกองหนึ่ง
“เอาล่ะ ที่นี่คือที่ที่พ่อเจอโฟล”
“พ่อหมายความว่าไง เจอหนู” เธอเป็นกังวลมาก พ่อเธอบอกว่าแม่ตายตั้งแต่เด็กแต่เธอไม่เคยเห็นแม่รูปตัวเองเลยเธอกลัวว่ามันเป็นอย่างที่เธอคิด
“ก็หมายความอย่างนั้นแหล่ะ” “โฟลลูกถูกทิ้งไว้ในตะกร้าที่วางอยูบนกองฟางนั้นพ่อเจอลูกตอนที่พ่อออกมาหาสมุนไพรกับลุงกัสน่ะ”แล้วมันก็เป็นอย่างที่เธอคิด ตาเธอเริ่มเอ่อไปด้วยน้ำใส
“ทำไมพ่อไม่เคยบอกหนู ปิดบังไว้ทำไม”เธอถามด้วยเสียงสั่นเครือ เธอเสียใจอยากจะวิ่งออกไปแต่ร่างกายกับไม่ทำตาม จิตใจเธอเองก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
“มันยังไม่ถึงเวลาแล้วพ่อไม่สมควรเป็นคนบอกลูกเดี๋ยวจะมีคนบอกลูกเอง”พอพ่อเธอพูดจบก็มีคนลงมาจากหลังคาโรงนา เป็นชายในชุดสีครีมมีผมหน้ายาวปิดตาข้างขวา ผมข้างหลังสั้นจนแปลกตา
“ใช่แล้วพาล์วสันฉันจะบอกเขาเองเลิกพูดพร่ำทำเพลงแล้วไปขึ้นรถเถอะ”ชายคนนั้นพูด เธอแทบจะร้องให้ออกมา นี่มันเรื่องอะไร แล้วนั่นใครเรากำลังจะไปไหน เธอควรวิ่งหนีไหม หรือจะอยู่ฟังคำตอบ สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะอยู่รอฟังคำตอบเดินตามเขาขึ้นรถไป
“เธอรู้แล้วใช่ไหมว่าเธอไม่ใช่เด็กธรรมดา”
“ใช่ฉันเป็นตัวประหลาดในสายตาคนอื่นไง”
“ไม่ใช่ เธอเป็นตัวของเธอ เธอปกติแล้ว นี่แหล่ะตัวเธอ ฉันรู้จักเธอดีกว่าตัวเธอเองซะอีก”
“แล้วคุณเป็นใคร รู้จักฉันดีกว่าตัวฉันเองได้ไง”
“เอาล่ะ..ฉันชื่อเครปสลีย์ ลาเทน เครปสลีย์ แล้วที่ฉันรู้จักเธอดีเดี๋ยวสักวันเธอก็จะรู้เอง”
“แล้วนี่มันเรื่องอะไร เรากำลังจะไปไหน”
“เรากำลังจะกลับบ้านกัน”
“บ้าน บ้านของฉันอยู่ที่นี้”
“ไม่ใช่ เรากำลังจะกลับบ้านที่เธอเกิด บ้านของเธอ”
“มันที่ไหนแล้วไกลไหม แล้วโรงเรียนฉันล่ะ”
“มันไกลมากเธออาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก ส่วนทางโรงเรียนเราจัดการย้ายเธอแล้วเมื่อเธออยู่ที่บ้านใหม่จะมีคนมาสอนเธอเป็นการส่วนตัว”
“นี่มันเรื่องอะไร”
“เข้าเรื่องเลยละกันนะ...เรามาเพื่อรับเธอกลับ เธอควรอยู่ให้ห่างจากโลกที่โสมมใบนี้ซะแล้วอย่าคิดที่จะกลับมายกเว้นเพื่อหลบซ่อนสิ่งชั่วร้ายเท่านั้น สัญญากับฉันสิ”
“ทำไมฉันต้องสัญญาด้วย”
“เพื่อความปลอดภัยไง”
“ก็ได้ฉันสัญญา เล่าต่อสิ”
“เราจะยังไม่บอกว่าเธอเป็นอะไรฟังฉันแล้วคิดเองว่าเธอเป็นอะไร”
“ก็ได้”
“เธอมีสัมผัสพิเศษหลายอย่างใช่ไหม สัมผัสเหล่านั้นพวกเราทุกคนมีกันเธอจึงไม่ดูแปลกในหมู่พวกเรา”
“ค่ะ”
“แต่ทุกคนต่างมีพลังพิเศษที่ไม่เหมือนใครอยู่หนึ่งอย่าง ฉันต้องการรู้เธอต้องบอกมาถ้าเธอไม่บอก เราจะแยกเธอกับศัตรูไม่ออก”
“ยังไงที่แยกไม่ออก”
“พวกเรามีอยู่สองประเภทประเภทที่หนึ่ง กรีเวอร์เป็นพวกที่มีพลังพิเศษหนึ่งอย่าง คือพวกเราเอง ประเภทที่สอง ลินคอร์นเป็นพวกที่ไม่มีพลังพิเศษมากมาย แต่ชอบประดิษฐ์อาวุธต่างๆนา พวกนี้เป็นศัตรู แต่ในพวก กรีเวอร์ ก็อาจจะมีคนที่ไม่ดีอยู่ และพวก ลินคอร์น ก็อาจจะมีคนดีอยู่”
“อ่าฮะ”
“แล้วเธอมีพลังพิเศษอะไร”
“เอ่อ...ฉันคุยกับสัตว์ได้”
“เรามีกันทุกคน”
“งั้น...อ่านใจคน”
“ใช่เลย ..นั้นเลย”
“พวกคุณไม่มีหรอกหรอ”
“ใช่ไม่มี พวกเราอ่านใจคนไม่ออกดูได้แต่สีหน้า ถ้าเก่งๆก็จะเก็บสีหน้าจนเราไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร”
“อ๋อหรอ”
“เธอมีพลัง 1 ใน พลังแห่งในตำนาน 3 อย่าง”
“3 อย่างมีอะไรบ้าง”
“อืม ตาทิพย์ อ่านใจ และสั่งโลก”
“ตาทิพย์กับอ่านใจพอเข้าใจอยู่ แต่ สั่งโลก มันคืออะไร”
“อ๋อ สั่งอะไรก็ได้สักได้กระทั่งโลกไง”
“สั่งได้ทุกอย่างเลยหรอ”
“ใช่ พวกเรายังหาวิธีที่จะป้องกันได้เลย”
“ทำไมต้องป้องกันด้วย”
“มันอยู่ในกลุ่มทหารเอกของ ลินคอร์น น่ะเราถึงไม่เคยชนะพวกมันเลย”
“แต่คุณบอกว่าพวกลินคอร์นไม่มีพลังนี่”
“ก็เมื่อก่อนเคยเป็นกรีเวอร์ไง”
“แล้วคุณต้องเอาชนะด้วยหรอ”
“ต้องสิ อ้อเอาล่ะถึงแล้ว”
เขาพูดจบแล้วประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นราชวังทรงโดมขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยอาคารสูงเสียดฟ้าที่ต่างจากบ้านเธอลิบลับบ้านเธอมีแต่ป่า ต้นไม้ และกระท่อมเล็กๆ
“เข้าไปข้างในซิ”เขาพูดแล้วดันไหล่เธอเบาๆ
เธอเดินเข้ามาด้านในของโดมขนาดยักษ์มันถูกตกแต่งด้วยบรรยากาศแบบถ้ำดึกดำบรรพ์กลิ่นชื้นคละคลุ้งอยู่กลิ่นธรรมชาติที่สดชื่น เธอชอบกลิ่นแบบนี้ ทางเดินนั้นเป็นแบบทางยาวสุดลูกหูลูกตามีประตูอยู่ทั้งซ้ายและขวามีอักษรติดอยู่แต่เธออ่านไม่ออก เธอเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งสุดทางเดิน
“เราจะไปที่ไหน นี่สุดทางเดินแล้วนะ”เธอพูดเมื่อเห็นว่าไม่มีทางไปต่อ
“เราจะไปเข้าเฝ้าเจ้าชายกัน”
“แล้วห้องไหนล่ะ”
“เธอคิดเอาแล้วกันเป็นห้องที่มีประตูใหญ่ที่สุด และประดับประดาด้วยแก้วแหวนเงินทองมากมาย”
เธอพยายามนึกตามทางที่ผ่านมา เธอผ่านมาครึ่งทางแล้วนี่
“เราเดินผ่านมาตั้งเยอะแล้วนี่”
“ใช่”
“ทำไมคุณไม่เตือนฉันล่ะ”
“ก็เห็นว่าเธอกำลังทัศนศึกษาบ้านอยู่ เลยไม่อยากกวน”
“อย่างน้อยน่าจะบอกกันหน่อย”
“ช่างเถอะไปได้หรือยังเจ้าชายรออยู่”
“ไปแล้วจ้า....ฉันว่าเรามาแข่งกันดีไหม”
“แข่งอะไร”
“ใครถึงประตูก่อนชนะ”
“ฉันไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ ถึงจะได้มาวิ่งเล่นกับเธอ”
“กลัวแพ้ก็ว่ามาเถอะ”
“ฉันไม่ได้กลัวแพ้”
“ก็เข้าใจคนมันอาจจะแก่ร่างกายก็สึกกร่อนจนวิ่งไม่ได้บ้างเป็นธรรมดา”
“ฉันไม่ได้แก่นะฉันแค่ 17 เอง”หน้าเขาเริ่มแดงด้วยความโกรธ
“ฉันไม่เชื่อน่าจะ 53 มากกว่ามั้ง!!”เธอยั่วเขา
“ฉันแค่ 17 จริงๆนะ!!”
“ยังไงฉันก็ไม่เชื่อ ถ้าอายุแค่นั้นจริงมาแข่งกันสิ”
“ก็ได้!!ถ้าเธอแพ้ฉันแล้วอย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งก็แล้วกัน” ‘เสร็จกันลืมตัวจนได้ เผลอรับคำถ้าไปแล้ว’เขาคิด
“อย่าทำเกินตัวละ เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งฉันไม่ช่วยนะ”
“เข้าที่ ระวัง ....ไป!!”
เขาเห็นเธอวิ่งออกก่อนคำว่า ไป อีก
เธอวิ่งสุดแรง เธอยังไม่เห็นเขาออกตัวเลยเขายังนั่งอยู่ที่เดิมกำลังหาวด้วย อีกแค่500เมตรเธอจะถึงแล้วเขาลุกขึ้นบัดขี้เกียจนิดหน่อยจากนั้นเตรียมพร้อมวิ่ง ‘ไม่ทันหรอกอีกแค่10เมตรฉันก็ถึงแล้ว’เธอคิดแล้วหันหน้ากลับมามองทางข้างหน้า เธอเห็นเขานั่งอยู่หน้าประตูแล้ว!!
“อะไร..ทำไม..เมื่อกี้...คุณยัง...อยู่นั้น”
“ฉันชนะแล้ว”เขาพูดแล้วเปิดประตูบานใหญ่ออกด้วยมือ เธอทั้งสับสน ทั้งงงงวย ทำไมเขามาถึงก่อนละเขาอยู่ไกลขนาดนั้นแท้ๆ ขณะที่เธอสับสนอยู่ก็เกิดความรู้สึกน่าพิศวงในอกเธอมันวาบๆหวิวๆแปลกๆชอบกล เธอมองเห็นภายในห้องมีเก้าอี้เป็นร้อยตัวแต่มีตัวหนึ่งที่อยู่ตรงกลางเป็นแนวยาวสัก 12 คนนั่ง หันหน้าทางตรงข้ามกับตัวอื่นแถมมีขนาดใหญ่กว่าตัวอื่นตั้งเยอะบนนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่เขาหน้าตาอ่อนกว่าไอ้คุณเครปสลีย์ตั้งเยอะเขาอาจจะอายุน้อยกว่าเธอด้วยซ้ำ
“อ้าว..มาแล้วหรือน้องข้าไปพักผ่อนก่อนนะเดี๋ยวข้าจะไปคุยด้วย ฝากด้วยนะอาร์ล”พูดจบชายคนนั้นก็กลับไปง่วนอยู่กับเอกสารกองเท่าภูเขา
“ตามมา”เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไม่ใช่ขี้เล่นแบบเมื่อกี้ เธองงอีกแล้วเกิดอะไรขึ้นเนี่ย เขาพาเธอเดินมา(เรียกว่าฉุดกระชากลากถูน่าจะดีกว่า) ถึงหน้าประตูห้องที่มีคำว่า THE FATE OF THE WORLD เขากระชากประตูออกผลักเธอเข้าไปอย่างแรง กระแทกประตูปิดดังปัง!!
เขาเอนกายพิงประตูแล้วนั่งลงหัวเราะอย่างเริงร่า
“คุณหัวเราะอะไร”
“ก็เห็นหน้าเธอแล้วมันตลก ตอนทำหน้าเหมือนจะร้องให้”เขาพูดแล้วก็ยังหัวเราะต่อไป แถมเลียนหน้าตาเด็กร้องไห้
“ทำไมในห้องนั้นกับทางเดินที่มานี่คุณทำยังกับฉันเป็นนักโทษอย่างนั้น”
“อ๋อที่ฉันพาเธอมาฉันก็แค่จับมือเธอปกติแล้วก็เดินให้เร็วขึ้นแค่นั้น”
“แล้วน้ำเสียงกับอาการเฉยเมยอย่างนั้นมันอะไร”
“.....จำที่ฉันบอกเธอได้ไหมว่าในพวกเราอาจจะมีคนที่ไม่ดีน่ะ....”เขาพูดน้ำเสียงจริงจังขึ้น
“จำได้สิ”
“บางทีถ้าพวกนั้นรู้ว่าเธอมาในตอนที่เจ้าชายยังไม่ได้คุยกับเธอ ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอันตราย”
“อันตราย จากอะไร?”
“เอ่อ....คือ.....เอ่อ.....จาก...จาก...”
“จากอะไร”
“จากข้อหาบุกรุกใช่จากข้อหาบุกรุก”
“คุณโกหกใช่ไหม”
“เปล่านะ ผมเปล่า”
“มันเป็นคำโกหกที่ไม่น่าเชื่อสักนิด”
“ฉันไม่ได้โกหกนะไม่เชื่ออ่านใจฉันก็ได้”
“ได้”เธอเริ่มอ่านใจเขาพยายามเพ่งสมาธิเข้าไปในดวงตาสีดำทมึนคู่นั้น เธอกำลังเข้าไปในจิตเขาเธอพยายามหาประตูที่เขียนคำว่า จากอันตราย 55364 เธอจะรู้เองตามสัญชาติญาณว่าต้องหาอะไร
เธอเจอแล้วเธอกำลังจะเอื้อมมือไปแต่จู่ๆอากาศก็บิดเบี้ยวตอนนี้เธออยู่ท่ามกลางแสงสีดำขุ่นมัวเผยให้เห็นร่างหญิงเปลือยหลบอยู่ในกอหญ้า พลางครางเสียงต่ำๆเธอฟังได้คำว่า “อดัม อดัม อดัม คุณอยู่ไหนฉันได้กลิ่นคุณนะ คุณอยู่ไหนฉันอ่อนแอเกินไป ฉันไปหาคุณไม่ได้”
เมื่อเธอพยายามเข้าใกล้เขา เธอก็รู้สึกว่าบางอย่างในตัวเธอกำลังจะกระโจนไปหาหญิงสาวคนนั้นมันมีเสียงก้องในหัวเธอเป็นเสียงผู้ชาย
“อีฟ ผมมาแล้ว โอ้ อีฟ ผมรักคุณผมยังออกไปไม่ได้รอผมนะรอผม”เธอไม่เข้าใจตอนนี้เธอกำลังดูหนังเหรอใครคือ อดัม ใครคือ อีฟ เธอต้องออกไปเธอต้องออกจากจิตใต้สำนึกนี้เธอมาลึกจนห็นสิ่งที่ซ่อนในตัวเขาแล้วไม่ได้เธอต้องออกไปไม่งั้นเธอจะไม่ได้กลับไปอีก
เธอตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงโดยมี เครปสลีย์เดินเป็นวงกลมอยู่รอบเตียงมือกุมขมับเหมือนกำลังเจอปัญหาระดับชาติ เธอขยับนิดหน่อยเมื่อคุณเครปสลีย์เห็นก็รีบมาพยุงให้เธอนั่ง
“เป็นไงบ้าง โอเคไหม ปวดตรงไหนรึเปล่า”นี่เป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึกวาบๆหวิวๆในช่องอก
“ฉันเป็นอะไรไป”
“จะรู้เธอหรอจู่ๆก็เป็นลมพับไปซะอย่างนั้น”
“ฉันคงเหนื่อย”
“แล้วเป็นไงรู้รึยังว่า ฉันโกหกรึเปล่า”
“ไม่รู้”
“ดีแล้ว”
“ฉันมีอะไรจะถามหลายอย่างเลย”
“ว่ามา”
“ทำไมเจ้าชาย ถึงเรียกฉันว่าน้อง”
“ก็เธอเป็นน้องเจ้าชายไง”
“งั้นพ่อฉันก็เป็นพระราชา แม่ฉันก็เป็นราชินีน่ะสิ”
“ใช่และก็ไม่ใช่”
“หมายความว่าไง??”
“ก็หมายความตามนั้นแหล่ะ”
“หมายความตามนั้นมันอะไรล่ะ”
“ก็หมายความตามนั้นไง พอเหอะแล้วอีกคำถามล่ะ”
“คุณต้องตอบมาก่อนไม่งั้นฉันไม่ถามคำถามต่อไป”
“ก็แล้วแต่เธอไม่ถามฉันก็ไม่ต้องตอบ”เขาพูดแล้วทำท่าว่าจะเดินออกไป
“เดี๋ยวๆๆ”เธอพูดแต่เขาก็ไม่ยอมหยุดเดิน ทำไงนะให้เขาหยุด....นึกออกแล้ว เธอกลิ้งตัวลงจากเตียงทำเหมือนว่าตกเตียง
“โอ๊ยๆๆๆ”เธอร้องพร้อมกุมศีรษะตัวเอง มือไปฟาดจานผลไม้แถวๆนั้นแตก
“เธอจะลุกขึ้นมาทำไมเร็ว น่าจะค่อยๆลุก”ตามคาดเขาพูดแล้วพยุงร่างเธอขึ้นมาวางบนเตียง เก็บกวาดเศษแก้วจากจานเธอเห็นมาเขาโดนบาดตั้ง 2-3 รอบแน่ะพอเขาเก็บเสร็จเขาก็เอากล่องยาออกมาแล้วพันปาสเตอร์แปะแต่เธอรู้ได้เลยว่าเขาคงทำอะไรแบบนี้ไม่เป็น
“อย่าลุกสิ”เขาพูดเมื่อเห็นว่าเธอกำลังลงจากเตียง
“ฉันจะทำแผลให้”
“ไม่ ฉันทำเป็นนี่ไงเสร็จแล้ว”แล้วเขาก็ชูนิ้วที่มีก้อนปาสเตอร์พันกันเป็นเนื้องอกออกมาให้เธอดู
“มันใช่อย่างนี้ซะที่ไหนกันล่ะ”เธอพูดแล้วหัวเราะคิกๆพร้อมกับดึงมือเขามาแกะปาสเธอออกเบาๆ
“ไม่ต้องหรอกแผลแค่นี้ ไม่ตายหรอก”เขาพยายามชักมือออกแต่เธอไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยให้ฉันทำเหอะน่า”สุดท้ายเขาก็ยอมปล่อยให้เธอทำแผลให้ เธอเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์มาทาเพื่อฆ่าเชื้อโรค ตามด้วยยาแดง แล้วบรรจงปิดปาสเตอร์ลงบนแผลอย่างเบามือ เธอหารู้ไม่ว่าตอนนี้หัวใจเขาเต้นแทบไม่เป็นจังหวะในขณะที่เธอทำอย่างนั้น
“เสร็จแล้ว”เธอพูดแล้วขึ้นไปนั่งบนเตียง
“เมื่อกี้เธอจะถามฉันว่าอะไรนะ”เขาถามเมื่อเห็นว่าเธอต้องการ
“อ๋อ ฉันจะถามเจ้าชายอายุเท่าไหร่”เธอทำท่าทางสงสัย
“ถ้ารวมปีนี้ก็ประมาณสองร้อยสามสิบเจ็ดปีมั้ง”เขาคิดว่าน่าจะมากกว่านี้แต่เขาจำไม่ได้
“สองร้อยสามสิบเจ็ดปี!!”เธอตกใจอุทานไม่ได้ศัพท์
“ใช่”เขาตอบแล้วทำหน้าตาเฉยเมย
“หน้าตายังดูหนุ่มอยู่เลยนะ”
“ใช่ในราชวงศ์เป็นแบบนี้แทบทุกคน ถ้าเธอเจอพระราชาคงงงเป็นไก่ตาแตกเลย”
“ขนาดนั้นเชียว”
“ใช่”
“แล้ว..คุณเป็นอะไรกับเจ้าชายล่ะ”
“ถ้าเอาตามหน้าที่ฉันเป็นคนดูแลเธอ ถ้าเอาตามเชื้อสายก็ ฉันมีศักดิ์เป็นอาของเจ้าชาย”
“เป็นอาเลยหรอ คุณอายุเท่าไหร่เนี่ย”
“ ยี่สิบสาม”
“ทำไมคุณถึงเป็นอาได้ล่ะถ้าอายุแค่นั้น”เขาไม่ยอมตอบแต่ เขาหยุดกึกก่อนยิ้มให้เธอมันเป็นยิ้มที่ซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้เขาพยายามปิดบังมันอยู่ ตัวเธอรู้เพราะในดวงตาเขามันเศร้าเสียเหลือเกินเธอคิดจะอ่านใจเขาแต่ก็มีบางสิ่งห้ามเธอไว้
“ฉันไม่ถามแล้วก็ได้ ที่คุณว่าฉันจะมีครูพิเศษน่ะคนไหนหรอ”
“เดี๋ยวเธอก็ได้เจอเองแหล่ะ ฉันขอออกไปข้างนอกหน่อยนะ”
เขาออกมานอกห้องเดินอย่างไร้จุดหมายไปเรื่อย ในใจเขามันวาบๆหวิวๆยังไงๆชอบกลเวลาอยู่ใกล้เธอ
“เป็นไงอาร์ล รักเธอเข้าให้แล้วสิ”เสียงนึงเอ่ยขึ้นจากความมืดเรียกชื่อของเขา
“เจ้าชาย ครับไม่....”
“ไม่ต้องพูดอะไรหรอก ข้าไปหาเอลซาผู้รอบรู้มา นางบอกว่า เจ้าจะรักนางตั้งแต่เห็นหน้า เจ้าจะบอกรักนางไม่เกินเที่ยงคืนวันนี้ จะบอกรักด้วยใจไม่ด้วยวาจานางก็รักเจ้านางจะรับรักด้วยการ.....อุว้าว ข้าว่าข้าไม่พูดดีกว่า”จากนั้นเจ้าชายก็หัวเราะแล้วเดินจากไป ‘ในวังนี้มีเพียงไม่กี่คนที่ยอมรับว่าฉันมีความรักได้ หนึ่งในนั้นก็เจ้าชายก็นะใครจะมารัก สัตว์! อย่างฉันได้ถ้าเธอรู้เธอก็คงหนีฉันไปเหมือนกัน’ เขาคิดพลางลูบไล้รอยสักรูปมังกรที่ต้นแขนขวาแล้วเดินกลับห้องตัวเอง
เจ้าชายมาคุยกับเธอตอบคำถามที่เธออยากรู้หลายอย่างทั้งๆที่เธอยังไม่ได้ถามด้วย พอเธอถามว่าคุณเครปสลีย์ไปไหนเจ้าชายก็หัวเราะใหญ่แล้วบอกว่า เขากลับห้องตัวเองไปแล้วล่ะ เจ้าชายพาเธอเดินทัวร์รอบวัง(เจ้าชายเรียกอย่างงั้นน่ะนะ)ก่อนไปเจ้าชายบอกว่าเดี๋ยวเธอต้องเข้าพิธีที่สำคัญอย่างหนึ่งแต่เจ้าชายบอกว่าห้ามบอกใครเด็ดขาด เธอเป็นคนซื่อสัตย์และเกลียดการโกหก “ถ้าไม่ถามฉันจะไม่ตอบใคร” เธอตอบเจ้าชายไป
เอี๊ยดดดดด.... “ฉันว่าประตูมันไม่ค่อยดีนะ สงสัยไม่ได้เปิดนาน ก็ตั้ง สองร้อยปี”เธอจำเสียงนี้ได้
“คุณไม่ไปพักผ่อนก่อนหรอ”
“ฉันพักผ่อนนานแล้ว”สีหน้าเขาดีขึ้นแต่ตาและจมูกเขายังแดงเธอรู้ว่าคงจะสะเทือนใจเรื่องอะไรสักอย่าง
“ก็แล้วแต่ละกัน ที่นี้มีงานเทศกาลอะไรไหม”
“มีสิพวกเราน่ะนักจัดเลี้ยงตัวยงกันอยู่แล้ว”
“ที่ใกล้ที่สุดงานอะไรหรอ”
“มันจะมีพิธีของเธอหลังจากจบพิธีเราจะฉลองกัน”
“ว้าว...ฉันอยากให้วันนั้นมาถึงเร็วๆจัง แล้วคุณรู้ได้ไงว่าฉันจะเข้าพิธีนั่นนะ”
“ก็ฉันเป็นคนจัดการทุกอย่างในปราสาท ถ้ามีงาน มีพิธีอะไรฉันรู้หมดแหล่ะ”
“ในงานมีอะไรบ้างหรอ”
“ก็พวกเราจะมีลานดิสโก้เทค กับแอลกอฮอล์มากมาย ขนมหวานคู่รักและก็....”
“อะไรหรอ”
“อย่าไปบอกใครเชียวนะ”เขาพูดแล้วมากระซิบข้างหูเธอเบาๆมันรู้สึกจักจี้มากแต่อาการวาบๆหวิวนี้มันอะไรกัน มันเป็นถี่ขึ้นตอนอยู่ใกล้เขา แต่ตรงนั้นยังไม่ค่อยสำคัญมันสำคัญตรงที่สิ่งที่เขาพูดทำให้เธอตะลึงไปเลย
“หรอฉันอยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆจังเลย”
“หึๆ ถึงจะถึงวันนั้นยังไงเธอก็ไม่ได้ร่วมงานหรอก”
“ทำไมล่ะเขาไม่ให้ผู้หญิงเข้าหรอ”
“เปล่ามีเธอกับคนอีกสองสามคนที่อาจจะไม่ได้ไปร่วมงาน”
“ทำไมล่ะ”
“เดี๋ยวถึงวันนั้นเธอก็รู้เอง”
“แต่ฉันอยากรู้เดี๋ยวนี้”
“เธออยากรู้แต่ฉันไม่อยากบอกนี่”
“ได้โปรด”เธอทำหน้าอ้อนวอนเหมือนที่เธอทำกับพ่อเวลาต้องการอะไร เธอกังวลอยู่ว่าจะใช้กับเขาได้ไหม
“โอย...ให้ตายเหอะ ก็ได้ ก็ได้ฉันจะบอก”
“ขอบคุณ”
“เธอจะถูกดูดเลือดจากเจ้าชาย 12 พระองค์เธอคิดว่าจะมางานเลี้ยงไหวเหรอ”เขาพูดไปแต่มีแววเป็นห่วงเธอไม่น้อย
“ดูดเลือดหรอ น่ากลัวจัง คนอื่นเคยทำไหม”สีหน้าเธอบ่งบอกชัดเจนอยู่แล้ว
“เคยสิ”
“แล้วคุณล่ะเคยไหม”
“ฉัน...ไม่เคยหรอก เลือดฉันมันสกปรกเกินไป”เขาพูดทั้งในใจยังหวั่นๆ
“อะไรที่ว่าสกปรก”
“เธออย่าเพิ่งรู้เลยดีกว่า”เขาหันหน้าหนีเธอแต่เธอมองผ่านกระจกเลยรู้ว่าเขาร้องให้ อะไรกันน่ะเธอพูดอะไรผิดไปหรอ เธอจึงหาทางปลอบเขา ปลอบเขาเหมือนเด็กเลยแล้วกัน
เขารู้สึกแย่เป็นบ้าเพราะว่าตอนนี้เขากำลังร้องให้ต่อหน้าผู้หญิง เขาได้ยินเสียงโฟลเดินลงมาจากเตียง เขาเช็ดน้ำตาแล้วหันหน้าไปเพื่อคุยกับเธอต่อ เกือบจะทันทีที่เขาหันไปเธอก็เข้ามากอดเขาและจูบเบาที่หน้าผาก การทำอย่างนั้นมันทำให้หัวใจเขาเต้นแรง รู้สึกโหวงๆที่ช่วงอก แต่เขามีความสุข
“เธอทำอะไรน่ะ”เขาพูดอย่างใจเย็นทั้งๆที่เธอยังไม่ยอมปล่อยเขาออกจากอ้อมแขนอันบอบบาง
“ก็ปลอบคุณไง”
“มันไม่จำเป็น”
“คุณพูดอยู่ได้ว่าไม่จำเป็นไม่จำเป็นแต่ทุกอย่างรอบตัวคุณจำเป็นหมด และฉันทนไม่ได้ที่เห็นคุณร้องให้ ทนไม่ได้ที่เห็นคุณเจ็บปวด เพราะมันทำให้ฉันเจ็บปวดไปด้วย”เธอตวาดเขาแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อย
“เธอจะรู้สึกได้ยังไง เธอจะรู้สึกที่ไหน”
“มันเจ็บที่ตรงนี้” เธอพูดแล้วเอามือเขาวางที่ระหว่างอก และให้เขานั่งลงบนโซฟา
“โฟล..ฉัน....ฉัน ... คือ..เอ่อ...ฉัน”เขาอยากพูดคำนั้นอออกไปแต่มันพูดไม่ออก
ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรเธอก็ชิงปิดปากเขาซะก่อน ด้วยปากของเธอ
“คุณอยากพูดอะไรก็พูด ฉันฟังอยู่”
“ฉัน.......รักเธอนะ”พอเขาพูดจบเธอก็ยิ้มพร้อมพูดว่า
“ฉันก็รักคุณ”จากนั้นเขาก็บรรจงจูบเธอเบาๆแต่เนิ่นนานมือของเขาโอบอยู่รอบเอวของเธอแต่ก่อนที่อารมณ์จะพาไปก็มีเสียงมาขัดจังหวะซะก่อน
“เฮ้..อาร์ลข้าว่าตรงนี้มันน่าจะเปลี่ยนเป็น.....อุ๊บส์”เสียงของผู้ชายผมสีเงินหน้าตาหล่อเหลาที่สวมชุดคาวบอยพร้อมดอกกุหลาบเต็มกระเป๋าตลอดเวลา จากนั้นเขากับโฟลก็ผละกันอย่างรวดเร็ว
“มอร์สพี”เขาพูดเสียงดุๆ
“ขอโทดทีนะคุณผู้หญิงแต่อาร์ลมานี่ด่วนเลย”
เขาเดินตามชายคนนั้นไปถึงหน้าห้องพอปิดประตู เขาก็พูดขึ้นว่า
“นายคิดจะทำอะไรอาร์ล”
“ฉันเปล่า”
“นายลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเองเป็นใคร”
“ฉันยังไม่ลืม”
“งั้นก็ตัดใจซะ นายมีความรักไม่ได้อาร์ล”
“ทำไมจะมีไม่ได้”
“ก็นายเป็น...”
“ฉันก็เป็นคนนะถึงจะไม่ใช่ทั้งหมดก็ตามฉันก็มีแขนมีขามีหน้าตาเหมือนพวกนาย ฉันไม่มีเขา ฉันไม่มีหาง ถึงฉันไม่เคยมีแม่มีพ่อแต่ฉันก็อยู่ได้พูดได้ฉันเป็นคน!!”
“โอเคฉันไม่อยากเถียงนายเพื่อน แต่ฉันเป็นห่วงถ้านายยืนยันอย่างนั้น ก็ได้ แต่นายต้องบอกเธอ ก่อนที่ทุกอย่างจะยุ่งยาก ก่อนที่นายและเธอจะถอนตัวไม่ขึ้นถ้าถึงวันนั้นเธอปฏิเสธตัวนาย นายจะเจ็บปวดจนอาจไม่เหลือความเป็นคนอยู่อีกเลย”
“ฉันรู้น่า แล้วเมื่อกี้มีอะไร”
“ฉันว่าแท่นบูชามันจืดชืดเกินไป สกปรกด้วย”
“ไม่ต้องสนใจหรอกยังไงมันก็ไม่ได้ใช้”เขาพูดและเดินเข้าห้องไปทิ้งเพื่อนผู้งุนงงไว้ข้างหลัง
ข้างในห้อง
“นี่เครปสลีย์ ฉันไม่ร่วมพิธีได้ไหมฉันกลัว”
“ทำไมล่ะ”
“ฉันไม่อยากโดนสูบเลือดจนหมดตัวหรอกนะ”
“โอเค ความจริงเราทุกคนต้องผ่านพิธีนี้แต่ฉันทำให้เธอไม่ต้องเข้าพิธีได้นะ”
“จริงเหรอ ยังไง”
“เอาเป็นว่าฉันจะไปช่วยเธอในงานอย่างเฉียดฉิวเลยล่ะ”
“แล้วงานจะมีเมื่อไหร่เหรอ”
“ก็พรุ่งนี้ หาชุดที่คล่องๆตัวใส่หน่อยนะ เป็นกระโปรงยิ่งดีแต่อย่ายาวนะ”
“ค่า แล้วเสื้อผ้าฉันล่ะ”
“อยู่ในตู้ทางซ้ายนู่นห้องน้ำอยู่ตรงข้ามกับห้องนอน”
“โอเค”
“......”
“.............”
“......”
“คุณจะออกไปได้หรือยัง ฉันจะอาบน้ำ”
“อ๋อ...โทดที โทดที ฉันไปแล้วนะ...บาย”
เขาเดินออกมา เขารู้สึกแปลกๆและสงสัยว่าตอนนี้เขาและเธอกำลังเป็นอะไรกันเป็นคนรักกันอย่างนั้นหรอ แล้วเขาต้องทำอย่างไรเวลาอยู่ใกล้เธอและที่สำคัญที่สุดคนอื่นจะยอมรับได้ไหมที่เขามีความรักกับคนที่สำคัญขนาดนี้เขาต้องไปคุยกับเจ้าชายซะหน่อย
“เข้ามาก่อนสิอาร์ล เรารู้ว่าเจ้าต้องมีเรื่องคุยกับเรา”เจ้าชายพูด เจ้าชายรู้แปลว่าเจ้าชายไปหาเอลซามาอีกแล้ว
“ครับเจ้าชาย ผมว่าเจ้าชายควรเลิกไปหาเอลซาได้แล้วนะครับเอลซาเป็นหญิงสามัญชน แต่เจ้าชายเป็นชายผู้สูงศักดิ์ใครเห็นเขาจะว่าเอาได้”
“ทำไมเจ้าจะเป็นพ่อเราหรืออาร์ล เราไปหานางใช่ว่าจะไปทำมิดีมิร้ายนางซะหน่อย เราแค่ไปนั่งคุยกับนางเฉยๆ”
“แต่ว่าเจ้าชายครับ”
“เจ้าอย่าสนใจเรื่องของเรามากเลยเอาเรื่องของเจ้าก่อนเถอะไม่ค่อยต่างกับเราเท่าไหร่เลยนะ”
“เจ้าชายครับคือผมไม่คู่ควรกับเธอใช่ไหมครับ ผม...ผม...ผม...”
“เจ้าจะเหมาะหรือไม่มันก็อยู่ที่ตัวเจ้าว่าเจ้าทำตัวเช่นไรทำตัวเข้ากับนางหรือเปล่า เจ้าจะทำให้นางมีความสุขได้หรือเปล่า”
“แต่ผมเป็นอย่างนี้ เธอเป็นคนทุกระเบียบนิ้ว แต่ผมคนผสม...”
“แล้วไงล่ะ เจ้ามีหางรึเปล่า เจ้ามีเขารึเปล่า เจ้ามีขนยาวเป็นวารึเปล่า”
“ไม่ครับ”
“ใช่เจ้ามีหน้าตา มีแขนมีขามีทุกอย่างเหมือนเราเจ้าก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน เจ้าคิดว่าตัวเจ้าเป็นอะไร”
“ผมคิดว่าผมเป็น...โคล....”
“หยุดเลยอย่าพูดคำดูหมิ่นตัวเองอย่างนั้นเด็ดขาดนะรู้ไหม”
“ครับเจ้าชาย”
“เจ้าอยากไปหาเขาไหม”
“...หาใครครับ?”
“ก็..ไปหา ..เครปสลีย์ไง”
“หา..อ๋อหาคนคนนั้นสินะครับ”
“ก็ใช่นะสิ”
“ผมค่อยไปหาเขาตอนที่ผมบอกทุกอย่างกับโฟลแล้วผมจะพาเธอไปด้วย”
“งั้นก็แล้วแต่เจ้าแล้วกัน”
“เอ่อเจ้าชายครับเรื่องพิธีที่โฟลต้องเข้า น่ะครับ”
“อ๋อ..ใช่เจ้าจะทำพิธีเองใช่ไหม”
“ครับ”
“โอเค เราจะได้ไม่ให้ผู้รักษาการเอาปืนยิงเจ้าซะก่อน”
“ขอบคุณครับเจ้าชาย”
“เราว่าเจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะพรุ่งนี้คงต้องใช้แรงเยอะ”
“ครับ”
“อ้อหลังงานเลี้ยงเจ้าต้องบอกนางนะรู้ไหม ปฏิญาณกับเราสิ”
“ผมขอปฏิญาณครับ”
“ดี ไปได้แล้ว”
พอเจ้าชายพูดจบเขาก็เดินออกมาแล้วเดินกลับห้องเขารู้สึกว่าตั้งแต่เจอโฟลเขาอ่อนแอมากหลายครั้งที่เขาจะร้องไห้หรือร้องไห้ออกมาแล้วด้วยซ้ำ พอเข้าห้องเขาก็สำรวจว่าในห้องไม่มีใครอยู่ในห้องเขาล๊อกประตูทุกบานแล้วหาที่เงียบนอนเขานอนกลับหัวเอาไว้เพื่อให้สมองโล่งเอาไว้แต่เมื่อเวลาผ่านไปตาเขาก็เอ่อไปด้วยน้ำใสๆและไหลรินตามแรงโน้มถ่วงของโลกมันไหลตามขมับของเขาสุดท้ายเขาก็ต้องลงมานั่งทรุดกับพื้นใช้มือปิดตาเพื่อกันน้ำไหลอาบแก้มและครางต่ำๆเขาร้องให้ด้วยเรื่องๆเดียวก็คือเรื่องสิ่งที่เขาเป็นเรื่องที่เขาไม่ใช่มนุษย์!! ทุกคนรังเกียจเขาทุกคนไม่อยากให้เขาเข้าใกล้ ตอน 7 ขวบเขาถูกเลี้ยงอย่างกับหมูกับหมา ถ้าไม่ได้เจ้าชาย มอร์สพี แล้วก็พระราชาเขาคงคลานเหมือนงูไปแล้วเขาไม่เข้าใจว่าทำไมมีแต่คนเกลียดเขาจนเขาอายุ14 เขาก็รู้ความจริงจากเจ้าชายว่าเขาก็แค่สัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น เขาเดินไปกินยานอนหลับแล้วก็หลับไปตรงนั้น
วันรุ่งขึ้นเขาตื่นแต่เช้าไปเตรียมการอะไรบางอย่างสำหรับพิธีในวันนี้จนคิดว่าทุกอย่างโอเคแล้วจึงเดินไปหาโฟลให้เธอแต่งตัวเพราะแขกทุกคนกำลังมาเขาเคาะประตูเบาและเรียกชื่อเธอ เธอบอกว่า “เข้ามาเลยประตูไม่ได้ล๊อก” ได้ยินดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปเธอกำลังอาบน้ำอยู่เขาไปดูเสื้อผ้าให้เธอพอเปิดตู้ออกมาเขาถึงกับอึ้งเพราะเสื่อผ้าของเธอไม่มีกระโปรงเลยแม้แต่ตัวเดียวมีแต่กางเกงกับ เอี๊ยมที่มีไว้สำหรับทำไร่
“โฟลเสื้อผ้าเธอมีเท่านี้หรอ”
“ค่า..เสื้อผ้าฉันมีแค่นั้นแหล่ะ”
“งั้นรอแปบหนึ่งนะเดี๋ยวฉันมา”
เขาเดินออกไปที่ห้างข้างๆวังเพื่อไปหาชุดให้เธอใส่หากเขาจะซื้อเสื้อผ้าเขาต้องไปร้านของเอลซาเพราะเธอรู้ความต้องการของทุกคนเธอเห็นอนาคต เห็นอดีตเธอเห็นทุกอย่าง และเธอเป็นคนที่เจ้าชายหมายต้องการให้เป็นคู่ชีวิตเพราะนางมีใบหน้างดงามอ่อนน้อมชวนให้หลงใหลหลายครั้งที่เขาตกอยู่ในภวังค์ของเธอ
“มาหาชุดให้เธอเหรอ”เอลซาถาม
“ใช่”
“อยากได้แบบไหนล่ะคุณชาย”
“ขอเป็นกระโปรงสั้นสีขาวนวลแบบคล่องตัวและก็มีเสื้อกักลายลูกไม้สีครีมแล้วก็...”
“จี้รูปปลาโลมา”
“ใช่รู้ใจดีนี่”
“โอเครอแปบนึงนะ”
“ครับผม”
เขารู้จักเอลซามาตั้งแต่เด็กถึงเธอจะดูอ่อนน้อมน่าถนุถนอมแต่ถ้าเรื่องสู้ละก็เธอไม่เคยแพ้ใครตอนเด็กๆมีคนแกล้งเขาบ่อยมากมีแต่เอลซานี้แหล่ะคอยช่วยไว้ตลอด ไม่นานนักเอลซาก็ออกมาพร้อมชุดกระโปรงสีขาวนวลแบบเรียบๆไม่มีอะไรมากและเสื้อกักลายลูกไม้สีครีมกับกล่องใส่จี้รูปปลาโลมาจากนั้นเขาก็สังเกตเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่หลังร้านเรียกว่านอนเลยดีกว่าไม่ต้องถามเลยว่าชายคนนั้นคือใครเจ้าชายนั้นเองจากนั้นเขาก็มองมาที่เอลซา
“คุณอยากพาเขากลับไหมเขามาแต่เช้าแล้วไม่ยอมกลับเลย”
“ผมว่าพอผมพากลับเขาก็มาใหม่อยู่ดี เดี๋ยวอีก 2 ชั่วโมงคุณก็ปลุกให้เขาไปเข้าพิธีด้วยแล้วกันไม่งั้นผมคงจะต้องกลายเป็นผีเฝ้าแท่นบูชาแน่ๆ”
“จ้าพ่อหนุ่มโคล... ขอโทดทีมันติดปากนะ”
“ไม่เป็นไรผมไม่ถือ ผมไปล่ะนะ”
แล้วเขาก็เดินออกมาเพราะเอลซาก็จะไปเก็บเงินกับเจ้าชายเอง เขาต้องรีบเอาชุดไปให้โฟลและไปแต่งตัวเพราะตอนนี้เขาใส่แค่กางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวเท่านั้นคราวนี้เขาไม่ได้เคาะประตูเพราะคิดว่าโฟลคงยังอาบน้ำไม่เสร็จ แต่ไม่ใช่เธออาบน้ำเสร็จแล้วกำลังเดินออกจากห้องน้ำนุ่งผ้าขนหนูสีขาวคลุมตั้งแต่ช่วงอกไปถึงเข่า ผมมวยขึ้นเผยลำคออันเกลี้ยงเกลาและขาวบริสุทธิ์ เขาเอาชุดไปให้เธอเปลี่ยน เขาเห็นเธอตกใจเล็กน้อยที่เขามาในชุดนี้ เขาจึงเดินออกมาเพื่อจะไปแต่งตัวเขาใส่ชุดสูทหูกระต่ายทั้งๆที่อยากใส่เนกไทแต่ติดที่ว่าเขาผูกไม่เป็นจึงไม่ใส่เขาสั่งงานกับคนใช่สองสามคนแล้วจึงไปนั่งประจำที่ในงาน
เธอรับชุดจากเครปสลีย์เธอยอมรับว่าตกใจเล็กน้อยที่เขาใส่กางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวเข้ามาแต่เขาก็เดินออกไปอย่างรวดเร็วเขาคงอายหรืออะไรสักอย่างเมื่อเธอแต่งตัวเสร็จเธอคิดว่าชุดนี้คงไม่ค่อยเหมาะกับเธอเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่เลยชุดมันเข้ากับเธออย่างกับอะไรดีSizeก็แปะแถมยังมีจี้รูปปลาโลมาอีกด้วยเขาบอกให้เธอมัดผมพาดตรงบ่ามาจะเหมาะกว่า เธอคิดว่าเขาไม่เก่งเรื่องนี้สักเท่าไหร่ขนาดพาสเตอร์เขายังใช้ไม่เป็นแต่ที่ไหนได้เขารู้วิธีแต่งตัวผู้หญิงเก่งกว่าเธออีกเขาคงเคยคบกับใครหลายคนจนรู้ดีสินะ ระหว่างที่เธอคิดอยู่นั้นก็มีคนใช้มาเคาะประตู
“คุณโฟลค่ะเจ้าชายให้มาตามไปเข้าพิธีค่ะ”
“ค่ะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะค่ะ”
คนใช้เดินนำมาถึงสนามหญ้าที่ประดับด้วยดอกไม้หลากสี
“พอคุณหนูเดินเข้าไป พยายามอย่ามองเจ้าชายพระองค์อื่นนะค่ะมองแต่เจ้าชายที่คุณรู้จักเท่านั้นและก็อย่าก้มเด็ดขาด เดินเป็นแนวตรงนะคะจนถึงหน้าแท่นรูปวงกลมยืนห่างบันได 2-3 เมตรนะคะ”คนใช้แนะ
“ค่ะขอบคุณนะคะ”เธอพูดแล้วเดินเข้าไปเธอเห็นชายสิบสองคนนั่งอยู่บนบัลลังก์เรียงรายเธอเห็นเจ้าชายที่เป็นพี่ชายของเธอเธอมองเขาคนเดียวตามที่คนใช้บอกเธอเหลือบเห็นเครปสลีย์แวบหนึ่งเขากำลังยิ้มให้เธอ เธอเดินมาเรื่อยจนถึงจุดที่คนรับใช้บอกให้หยุด เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรมาไต่ขาแต่เธอก็ไม่ก้มลงมองเธอมองแต่เจ้าชายที่อยู่กลางห้อง
“เนื่องในวันนี้น้องสาวเราจะเข้าพิธีอันสำคัญสำหรับพวกเราซึ่งนางยังมิได้ผ่านเมื่อวัยเด็กเพราะมีเหตุการณ์อันชวนขวัญผวาที่ติดต่อกันถึงเจ็ดปีเราจึงต้องพาน้องของเราคนนี้ไปฝากไว้ในโลกมนุษย์เพื่อความปลอดภัยแต่เมื่อนางกลับมาแล้วนางจึงได้มายืน ณ หน้าแท่นบูชานี้ เราขอเปิดพิธีตั้งแต่นี้เป็นต้นไป”เจ้าชายประกาศ
“เดินมาข้างหน้าสาวน้อยเดินมาบนแท่น”เจ้าชายกล่าวแต่ไม่ทันที่เธอจะได้ก้าวขาอออกมาเครปสลีย์ก็ลุกขึ้นเดินมาตรงหน้าเธอ เธอได้ยินเสียงฮือฮามาจากทั่วทุกสารทิศ
“ได้โปรดเจ้าชายทั้งหลายโปรดฟังกระหม่อมในเมื่อนางมีคนรักแล้วทำไมนางยังต้องผ่านพวกพระองค์ด้วยหรือให้นางผ่านคนรักเพียงคนเดียวของนางสิ”เครปสลีย์พูด เธอกำลังจะโต้เพราะเดี๋ยวเจ้าชายจะโกรธเธอ เธอยังไม่พร้อมจะบอกใครตอนนี้และเธอเห็นยามบางคนถือปืนเล็งมาทางเขา แต่เขาพูดเบาๆกับเธอว่า “เธอคงไม่อยากโดนดูดเลือดจนหมดตัวใช่ไหม”เธอจึงหยุด
“แล้วชายผู้ใดล่ะที่เป็นคนรักของนาง”หนึ่งในหมู่เจ้าชายพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนช้อยมองมาที่เธอ
“กระหม่อมเองพะยะค่ะ”พอเขาพูดขึ้นก็มีเสียงดูถูกเหยียดหยามมาจากคนทางซ้ายประมาณสามสิบกว่าคนได้แต่ที่เหลือล้วนแล้วแต่เป็นเสียงชื่นชม
“บังอาจ!เจ้ามิรู้ฐานะของตนเองหรือไร”เจ้าชายอีกองค์พูด
“กระหม่อมรู้ดีพะยะค่ะว่ากระหม่อมอาจมิคู่ควรกับนางแต่กระหม่อมสามารถทำให้นางมีความสุขได้ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ”
“ไอ้โคลนโสโครก!!เอาปืนมายิงมันเดี๋ยวนี้!!”เจ้าชายองค์เดิมพูดเธอแอบเห็นเครปสลีย์กำมือแน่น แต่ก่อนที่จะมีคนยิงปืนพี่ชายของเธอก็พูดขึ้น
“อย่าบังอาจเรียกสหายเราเยี่ยงนั้นอีกไม่งั้นเราจะจับเจ้าให้มิโนทอร์ฉีกเป็นชิ้นๆ”เขาพูด “เจ้าจะทำพิธีอันใดก็จงทำเถิดบัดนี้พระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นแล้ว”
“ครับเจ้าชาย”เขาพูดแล้วหันหน้าหาเธอเขาทำสิ่งที่เธอนึกไม่ถึงเขาจูบเธอก่อนที่จะเลื่อนมาที่คอเธอรู้สึกว่าเขากำลังดูดเลือดเธอแต่มันไม่มีความเจ็บปวดมากมายอย่างที่เธอคิดสักพักเขาก็หยุดแล้วบรรจงเลียเลือดจนแผลจากเขี้ยวที่เขาเจาะปิดสนิทเธอได้ยินคนกลุ่มเดินทำท่าทางขยะแขยงเขาเธอเองยังสงสัยว่าทำไมเจ้าชายองค์นั้นถึงเรียกเขาว่าไอ้โคลนโสโครกเธอไม่เข้าใจ
“ขณะนี้กระหม่อมทำพิธีเสร็จแล้วเชิญเจ้าชายปิดพิธีเถิดกระหม่อมคาดว่านางคงอยากพักผ่อน”เขาพูด
“ได้ตามนั้นปิดพิธี เปิดฉลองงานเลี้ยงได้”พอเจ้าชายพูดจบก็มีเสียงเฮก้องอยู่เต็มลานคนที่นั่งอยู่ก็รีบวิ่งเข้าไปข้างในวังเพราะเธอเห็นว่าพระอาทิตย์กำลังขึ้นเธอก้มลงไปมองเท้าตัวเองเธอเห็นงูมากมายกำลังเลื้อยเข้าไปตามผู้คนเธอถึงกับก้าวขาไม่ออกเพราะเมื่อกี้มันพันขาเธออยู่ตลอด เหมือนเขาจะรู้เขาอุ้มเธอวิ่งไปทางหลังวังระหว่างที่เขาวิ่งนั้นมันเหมือนเขาวิ่งธรรมดาแต่บรรยากาศรอบข้างช้าลงมากมารู้สึกตัวอีกทีเธอก็อยู่ที่ห้องแล้ว
“เธอจะใส่ชุดนี้ไปงานหรอ”
“ค่ะ ฉันอยากคุยด้วยหน่อย”
“อะไรหรอ”
“ที่ว่าคุณเป็นโคลนโสโครกแปลว่าอะไรหรอ”เธอเห็นเขาสะดุ้งนิดหน่อย “ถ้าคุณลำบากใจก็ไม่เป็นไรก็ได้”
“ไม่ ไม่สักวันเธอก็รู้อยู่ดีฉันบอกตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า”เขาพูด “เธอรู้จักการโคลนนิ่งมนุษย์ไหม”
“ไม่รู้จัก”
“การโคลนนิ่งมนุษย์คือการสร้างมนุษย์อีกคนขึ้นมาจากมนุษย์คนหนึ่งเขาจะนำเซลล์มาจากคนคนนั้นไปฝากไว้กับสัตว์ชนิดหนึ่งจนเซลล์นั้นพัฒนาจนครบเก้าเดือนก็จะคลอดมนุษย์ที่เหมือนต้นฉบับแป๊ะออกมา และนั่นคือฉัน ทุกคนรังเกียจฉันเพราะฉันคลอดออกมาจากสัตว์ แล้วเธอรังเกียจฉันไหม”
“ทำไมฉันต้องรังเกียจคุณด้วยคุณก็ถือเป็น มนุษย์คนหนึ่ง”
“โอเคพร้อมจะไปงานเลี้ยงรึยังครับ”
“พร้อมแล้วค่ะ”เธอตอบแล้วเขากับเธอก็เดินไปยังห้องจัดเลี้ยงพอเปิดประตูออกก็มีแสงสีมากมายหลากหลายเหมือนผับแถวชานเมืองบ้านเธอ
“ว้าว...ฉันอายุไม่ถึง18จะเข้าได้ไหมเนี่ย”
“ได้สิ 8 ขวบยังเข้าได้เลย”เขาหัวเราะ
“แล้วนี่มีใครบ้างเนี่ย”
“หึๆมี ฮันเตอร์กับพาล์วสัน”
“ฮะ..พ่อฉันกับ ฮันเตอร์ก็มาเหรอ ฮันเตอร์ก็รู้เหรอเขาเป็นเหมือนเราหรอ”
“ใช่เขาทั้งคู่แหล่ะ แต่เธอคงไม่ได้คุยกับพวกเขาหรอก”
“ทำไมล่ะ”
“เธอคงหาเขาไม่เจอหรอก เธอจำเขาในรูปนี้ไม่ได้หรอก”
“รูปนี้หมายความว่าไง”
“เดี๋ยวเธอก็รู้เองแหล่ะถ้าเวลามาถึง”
“โอเคก็ได้ แล้วมีใครอีก”
“ก็ เจ้าชายกับมอร์สพีที่เต้นอยู่กลางฟลอนั้นส่วนคนที่นั่งอยู่นั้นก็พระราชา”
“พระราชาหรอ”เธอหันไปมองพระราชาอยู่ในชุดคลุมสีแดงเลือดหมู มีผ้าคลุมหน้าเอาไว้เธอจึงมองไม่เห็นตัวเขาประมาณคนเท่าไปไม่ตัวใหญ่น่าเกรงขามเหมือนที่เธอคิดเขานั่งอยู่หน้าบาร์เทนเดอร์มีสาวสวยมากมายรุมล้อม
“ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงเราจะไม่มีการแยกชนชั้นกันทุกคนคือเพื่อนกันไม่มีใครเรียกเจ้าชายว่าเจ้าชาย ไม่คำว่าเจ้าหรือเรา มีแต่คำว่าเพื่อน”
“โห สุดยอดเลยอยากให้สหรัฐเป็นแบบนี้บ้างจัง”
“ไม่มีทางหรอกฉันว่าเราไปหาเจ้าชายกันดีกว่า”เขาพาเธอเดินมากลางฟลอ
“อ้าว มาแล้วหรออาร์ล ฉันนึกว่าแกจะอยู่ในห้องซะอีกแบบ...เอ่อ..ดูแลกันและกันน่ะ”แล้วเจ้าชายก็หัวเราะ
“ฉันต้องมาอยู่แล้วเพทริก..ฉันเคยพลาดงานเลี้ยงหรอแล้วอย่าคิดอย่างนั้นมันไม่ถูกถ้าทำอย่างนั้นนายก็ตัดหัวฉันด้วนหมดสิ”แล้วเขาก็หัวเราะเช่นกัน
“นี่โฟลเต้นเป็นไหม”มอร์สพีถาม
“เป็นสิถ้าเรื่องเต้นน่ะง่ายๆ”เธอตอบ
“งั้นเรามาแข่งกันไหม”
“แข่ง?”
“ใช่เธอกับฉันใครเต้นแพ้ต้องดื่มเบียร์ทั้งลังนั้น”เขาพูดแล้วชี้ไปที่ลังเบียร์ขนาดใหญ่
“ได้เลย”
“แน่ใจหรอโฟลอย่าลืมนะว่าเราเป็นนักจัดเลี้ยงตัวยงเรื่องเต้นน่ะทุกคนเก่งนะ”เขาพูดท้วงด้วยความเป็นห่วง
“ฉันรู้ถึงแพ้ก็ยอม”เธอพูดแล้วยิ้มให้เขา จากนั้นเจ้าชายก็เคลียร์พื้นที่ให้เป็นวงกลมกว้างๆ
“ให้เกียรติผู้หญิงเริ่มก่อน”มอร์สพีพูด เธอเลยขอเพลงBad Romance ของเลดี้กาก้าเธอเคยใช้เพลงนี้เต้นชนะโรงเรียนมาแล้วแต่เพลงนี้เป็นแค่ของหวานเท่านั้น
แล้วมอร์สพีก็เต้นตามเขาขอเพลง ของไมเคิลแจ๊คสัน เขาเต้นเก่งมากแต่สู้เธอไม่ได้สักพักเขาก็เริ่มเหนื่อยเพราะเขาแก่แล้วและท่าของเขาต้องใช้แรงเยอะจนเพลงตัดสินเขาก็ล้มไปซะก่อน เธอจึงชนะ
“ตอนนี้เราได้เจ้าหญิงแห่งการเต้นคนใหม่มาแล้ว เจ้าชายแห่งการเต้นก็ตกกระป๋องไป”เจ้าชายพูด “เอาล่ะถึงบทลงโทษกันแล้ว กติกามีอยู่ว่าผู้แพ้ต้องกินเบียร์ทั้งลังนั้น”เจ้าชายพูดแล้วชี้ไปที่ลังเบียร์ที่เขาชี้ให้เธอดูตอนแรกผู้คนต่างพากันโห่ร้องกันใหญ่แล้วก็มีกลุ่มชายกลุ่มหนึ่งยกลังเบียร์นั่นมาวางหน้ามอร์สพีแล้วเขาก็กระดกเบียร์ในลังไม่ยั้ง
“เธอเต้นเก่งนี่แต่ยังสู้ราชาแห่งการเต้นไม่ได้หรอก และคงร้องเพลงไม่เก่งด้วยล่ะสิ”เขาพูด
“ทำไมจะร้องไม่เก่ง”
“งั้นมาแข่งกับฉันอีกรอบไหวไหมแข่งร้องเพลง”
“ได้คราวนี้เดิมพันด้วยอะไรล่ะ”
“เดิมพันด้วยจูบเป็นไง”
“จูบ!!”
“ใช่ถ้าเธอชนะฉันจะยอมให้เธอจูบ แต่ถ้าเธอแพ้เธอต้องไปที่ๆหนึ่งกับฉันนะ”
“อ้าวคุณได้ทั้งสองทางเลยนี่”
“ตกลงใช่ไหม เจ้าชายขอไมค์หน่อย”
“ว้าว ท่านผู้ชมทั้งหลายครับตอนนี้ราชาเสียงทองของเราได้เปิดศึกท้าชิงกับเจ้าหญิงเท้าเพลิงแล้วครับหญิงคนนี้จะชนะหรือไม่เรามาลองดูกันนะครับกติกาครับเมื่อทั้งคู่ร้องเพลงจบเราจะเปิดคะแนนโหวตใครมีคะแนนโหวตน้อยที่สุดเป็นผู้แพ้นะครับ แล้วไฮไลค์อยู่ตรงนี้ครับ พวกเขาเดิมพันกันด้วยจูบครับผม ว้าวชายผู้ปฏิญาณว่าจะไม่ขอมีพันธะกับใครขอเดิมพันด้วยจูบนะครับมันส์แน่ๆวันนี้ครับรอฟังดีๆเสียงจะไพเราะขนาดไหนนะครับ”ดีเจประกาศเธอตกใจเล็กน้อยที่เขาบอกว่าเครปสลีย์เป็นราชาเสียงทองแถมไม่ขอมีพันธะด้วยแต่เธอสลัดความคิดนั้นออกแล้วเริ่มแข่งขันเธอร้องเพลง Favorite Girl /Never Say Never /U Smile /One Less Lonely Girl /One Time ของจัสตินบีเบอร์ ส่วนคุณเครปสลีร้องเพลงNever Let You Go/Love Me/Eenie Meenie with Sean Kingston/Somebody To Love/Baby ของจัสตินเช่นกันสุดท้ายรอโหวตปรากฏผลออกมาเท่ากันเหลือแต่เสียงของพระราชาเขาเดินมาเหมือนลังเลแต่เขาพุ่งเสียงโหวตมาที่เครปสลีย์สุดท้ายเธอก็แพ้แล้วเขาก็เดินมาจูบเธอ
“ตกลงจะพาฉันไปไหน”
“ตามมาเหอะน่าอย่าถามมาก”แล้วเขาก็ไปหาเจ้าชาย
“เพทริกไปส่งหาคนคนนั้นหน่อย”
“ได้เลยเพื่อน”แล้วเจ้าชายที่เครปสลีย์เรียกว่าเพทริกที่เป็นพี่ชายของเธอก็พาเธอเดินไปที่ห้องห้องหนึ่งนอกห้องจัดเลี้ยงภายในห้องนั้นมีประตูอีกมากมายเจ้าชายพาเดินต่อมาที่หน้าห้องห้องหนึ่งแล้วพูดกับเครปสลีย์ว่า
“อาร์ลเจ้าทำใจแล้วใช่ไหม”
“ครับ”
“เราจะไม่เข้าไปข้างในนะเจ้าเข้าไปกันสองคนเถอะเราจะไปงานเลี้ยงต่อ”เธอรู้สึกห่างเหินกับเจ้าชายเพราะเขากลับมาใช้คำว่าเจ้ากับเราอีกแล้ว พอเจ้าชายเดินออกไปเขาก็จับลูกบิดประตูค้างไว้แล้วเปิดเข้าไปช้าๆเธอรู้สึกถึงไอเย็นของน้ำแข็งเขามาหาใครในห้องที่เย็นขนาดนี้นะพอเธอเดินเข้าไปก็เห็นชายคนหนึ่งนอนอยู่ในตู้ที่มีแต่น้ำแข็งแต่ที่แปลกกว่านั้นคือเขาหน้าตาเหมือนกับเครปสลีย์ แต่เขาไม่ไว้ผมทรงเดียวกับเครปสลีย์แล้วเขาก็มีแผลเป็นขนาดใหญ่พาดอยู่ที่ตาข้างขวาหน้าตู้นั่นเขียนว่า ลาเทน เครปสลีย์นี่มันชื่อเขา เข้าใจแล้วนี่คือต้นฉบับของเขาที่เขาพูดว่าเขาเป็นโคลนนั้นก็เรื่องจริงสินะ เธอสังเกตเห็นเขาน้ำตาคลอเบ้า
“คุณเป็นอะไร ร้องให้ทำไม”
“เปล่าไม่มีอะไร”
“ก็เห็นๆกันอยู่”เธอพูดแล้วใช้มือปัดน้ำตาที่ไหลลงจากแก้มของเขา
“ฉันแค่คิดน่ะว่า ฉันแค่เซลล์ๆหนึ่งของเขาเท่านั้นและมันสะเทือนใจ”
“โธ่...ไม่ต้องคิดอย่างนั้นนะ ถึงเธอจะเคยเป็นเซลล์ๆหนึ่งแต่ตอนนี้คุณเป็นคนแล้วนะ”
“ขอบคุณนะที่ให้กำลังใจ”
“ไม่เป็นไร”
“เอ่อจะเป็นไรไหมถ้าฉันอยากให้เธอกอดน่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า”เธอพูดและตรงเข้าไปกอดเขาตามคำขอ เขาจับคอเธอให้เงยมองเขา
“ฉันรักเธอนะโฟล รักเธอมากเลยนะ เธอรักฉันไหม”เขาพูดแล้วใช้มือข้างขวาลูบไล้ผมสีแดงของเธอ
“ฉันก็รักคุณถึงแม้ฉันกับคุณเจอกันไม่นาน”
“ความจริงฉันเห็นเธอมาตลอดตั้งแต่เล็กฉันเฝ้ามองดูเธอตลอดแต่เธอไม่เห็นฉันหรอก”
“เห็นฉันตลอดเลยหรอ”
“ใช่”
“คุณรู้ไหมว่าแผลนี่ฉันได้มาจากไหน”เธอชี้แผลเป็นที่ต้นคอ
“เอ่อความจริงฉันก็รู้นะ แต่ฉันบอกเธอไม่ได้มีคนสั่งไว้”
“ใครสั่ง แล้วบอกฉันไม่ได้เลยหรอ”
“ขอโทษนะแต่บอกไม่ได้จริงๆ เป็นคำสั่งของพระราชาน่ะ”
“อืมไม่เป็นไรฉันเข้าใจ”เธอพูดแล้วลูบใบหน้ากลมเกลี้ยงแลเนียนใสของเขาเขากำลังยื่นหน้าเข้ามาเธอรู้ว่าเขาต้องการอะไรเธอจึงยื่นหน้าเข้าไปจนปากของทั้งคู่ประกบกันอย่างเบาบางแล้วเขาก็เปลี่ยนมาเป็นกอดที่แน่นกว่าเดิม
“ขอบคุณนะ”
“คุณเปิดผมให้ฉันดูได้ไหม”
“แน่ใจหรอ”
“อือ ฉันแน่ใจ”
“งั้นฉันให้ดูแค่แปบเดียวนะอย่ามองนาน”
“โอเคฉันสัญญา”เมื่อได้ยินดังนั้นเขาเลยเปิดผมขึ้นช้าเผยดวงตาสีน้ำเงินที่ลงอักขระภาษาเวลส์โบราณไว้แต่ไม่นานเขาก็ปิดลงใหม่
“นั้นมันอะไรน่ะ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันตั้งแต่จำความได้ก็มีมันอยู่แล้ว บางทีเขาอาจจะมีก็ได้แต่เพราะแผลเป็นนั้นเลยมองไม่เห็น”
“ที่เจ้าชายเรียกคุณว่าอาร์ล...”
“อ๋อมันเป็นชื่อที่พระราชาตั้งให้น่ะจะได้มีชื่อเล่นเป็นของตนเอง”
“งั้นฉันเรียกคุณว่าอาร์ลนะ”
“ได้สิ ฉันว่าไปเข้างานเลี้ยงกันเถอะฉันเริ่มหนาวแล้ว”เขาพูดแล้วพาเธอเดินออกไปแต่พอเปิดประตูก็เจอเจ้าชาย มอร์สพีหล่นลงมาเหมือนกับว่ากำลังพิงประตูอยู่ ตอนนี้เหมือนว่าอาร์ลกำลังจะเข้าบทโหดแต่ลงที่เจ้าชายไม่ได้จึงไปลงที่มอร์สพีแทน
“เล่น...อะ...ไร...กัน..อยู่...เนี่ย!!”ทั้งสองคนรีบปฏิเสธแล้ววิ่งออกไปทางงานเลี้ยงเขาพาเธอเดินตามไปพอเข้ามาที่งานมีชายคนหนึ่งนอนกินเหล้าเมามายอยู่ที่บนเวทีโดยมีสาวของกรอกปากให้ เธอเห็นว่าเป็นเด็กมากประมาณ 10 ขวบได้แต่เมื่อเธอมองแต่หัวจดเท้าเธอจำเสื้อคลุมได้นั้นเสื้อคลุมสีแดงเลือดหมูพระราชาหรอ
“นั้นพระราชาใช่ไหม”เธอถามเขา เขาพยักหน้าและยิ้ม เธอถึงกับอึ้งเธอถามต่อว่า
“พระราชาอายุเท่าไหร่”
“ราวๆสามพันเจ็ดร้อยปีได้”
“สามพันเจ็ดร้อยปี..สุดยอดเลย”เธอพูดทำให้เขาหัวเราะขนาดเจ้าชายยังดูแก่กว่าพระราชาเลยนี่นะหรอพ่อเธอ เธอนึกขำกับตัวเองเพราะเธอเองก็ดูแก่กว่าพระราชา
“อีก 3 นาที”จู่ๆอาร์ล(เครปสลีย์)ก็พูดขึ้น
“อะไรอีกสามนาที”
“ไปจากที่นี้หรือไม่ก็หาที่แอบเร็ว อีกสองนาทีครึ่ง”เขาพูดแล้วผลักเธอไปอยู่หลังบาร์ซ่อนอยู่ไต้โต๊ะมีเก้าอี้บังมิดชิดมีรูแอบมองเล็กๆเธอจึงมองออกไปทุกอย่างก็ปกติดีเขาให้เธอมาแอบทำไมจะเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้นหรอระหว่างนั้นเขาก็มองนาฬิกาแล้วนับเวลาจนเขาพูดว่า
“สาม...สอง...หนึ่ง บูม!!”เขาพูดเธอจึงมองผ่านรูแอบมองออกไปเธอเห็นเจ้าชายกระโดดขึ้นเวทีโดยมีลังเบียร์ห้อยคออยู่ในนั้นมีเบียร์อยู่เต็มลัง
“มาเริ่มงานฉลองของจริงกันได้แล้วพวก!!”เจ้าชายตะโกนแล้วก็มีเสียงฮือฮาบางคนก็วิ่งหนีไปที่ประตูแต่ประตูล๊อกเธอเห็นเจ้าชายเดินโซซัดโซเซไปทางกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเอื้อมมือควานหาอะไรซักอย่างแล้วก็คว้าคอเสื้อคนๆหนึ่งได้เป็นชายหน้าหวานแล้วเจ้าชายก็จับเขากรอกเบียร์ลงปากไปสามขวดแล้วชายคนนั้นก็ฟุบไปกับพื้น เจ้าชายก็ไปหาเหยื่อรายใหม่เธอเห็นพระราชากับมอร์สพีบินไปหลบอยู่มุมมืดบนเพดานห้องเจ้าชายจับทุกคนกรอกปากจนเบียร์หมดลังแล้วเจ้าชายก็หยิบเตกีล่าที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหน้าเธอกระดกจนหมดแล้วก็ล้มฟุบลงไป เขาไม่เห็นแต่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมันเป็นอย่างนี้ตลอดเขาเห็นเจ้าชายเดินไปหยิบลังเบียร์เลยรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นจึงพาเธอไปซ่อน เขาและเธอพากันเดินออกมาพระราชากับมอร์สพีก็เดินออกมาตอนนี้ทุกคนกำลังยืนล้อมรอบเจ้าชายอยู่
“เขาเป็นอะไรน่ะ”เธอถาม
“เปล่าก็แค่เมาน่ะเป็นอย่างนี้ประจำ”เขาตอบ
“เมื่อไหร่จะแก้นิสัยของเจ้านี้ได้สักทีนะ”พระราชากล่าว
“คงแก้ไม่ได้ แล้วเอายังไงกับพวกนี้ดีล่ะ”มอร์สพีพูดพลางค้นกุญแจจากตัวเจ้าชาย
“เพทริกก็อุ้มไปที่ห้องแล้วกันส่วนคนอื่นทิ้งไว้นี่แหล่ะ”เขาพูดแล้วรับกุญแจจากมอร์สพีแล้วไขประตู
“ให้คนที่ไม่ได้มาร่วมงานอุ้มพวกเขาไปก็ได้นี่”เธอออกความเห็น
“เป็นไปไม่ได้หรอก”เขาปฏิเสธ
“ทำไมล่ะ”
“ก็ไม่มีใครเหลือสักคนไง”พระราชาเฉลย “ทุกคนไม่พลาดงานเลี้ยงหรอก”
เธอก้มลงเก็บเศษแก้วสีชมพูมันแตกเป็นรูปดาวโค้งๆแปลกๆไม่มีมุมคมเธอจึงคิดจะเก็บไว้เพราะมันสวยแต่อาร์ลห้ามไว้
“อย่าทำอย่างนั้น แล้วเธอจะมาเสียใจทีหลัง”เมื่อได้ยินเช่นนั้นเธอจึงวางมันลงระหว่างที่เธอยกมือขึ้น มือเธอก็ไปปัดใส่ขวดที่แตกอยู่แล้วทำให้เลือดไหล
“บ้าจริง! โดนขวดบาดน่ะ”เธอพูดแล้วเช็ดเลือดที่เสื้อแต่ยิ่งเช็ดเลือดก็ยิ่งเปื้อนเสื้อไปใหญ่พอเธอจะหันไปคุยต่อทุกคนก็มีอาการแปลกๆ หายใจถี่แล้วเริ่มเหมือนควบคุมตัวไม่อยู่
“ไปโฟล ออกไปให้พ้น! กลับห้องไปเร็ว!”พระราชาสั่ง
“เกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรกัน”เธอพูดแล้วเข้าหาอาร์ล
“อย่า...เข้า...มา”อาร์ลพูดช้าๆชัดๆให้เธอได้ยิน
“ออกไปให้พ้น! กลับห้องไปเร็ว!”พระราชาย้ำ เธอไม่เข้าใจแต่พวกเขาถอยหนีเธอไปเรื่อยๆเธอจึงเดินออกไปช้าๆอย่างสงสัย พอออกพ้นประตูออกมาเธอก็ได้ยินเสียงขู่คำรามแปลกแล้วเสียงตะโกนของพระราชา
“ใจเย็นมอร์สพี!อาร์ล! จับเขาไว้เร็ว”เธอเริ่มเร่งฝีเท้าไวขึ้น เพราะเริ่มเห็นท่าไม่ดีเธอได้ยินเสียงกระแทกประตูออกมาเธอหันไปมองมอร์สพีกับอาร์ลเขากำลังต่อสู้กันเหมือนมอร์สพีเปลี่ยนไปฟันของเข้ายาวขึ้นและฉีกกระชากเนื้อของอาร์ลอย่างไม่ใยดีเขามองเธอเหมือนหมาป่ามองลูกแกะเธอจึงวิ่งให้ถึงห้องเร็วที่สุดแต่มีลมพัดอย่างแรงมาด้านหน้าเธอเหมือนกลิ่นของเธอจะผ่านลมไปด้วยทั้งสามคนสูดกลิ่นเนื้ออันหอมหวานแล้วควบคุมสติไม่อยู่พวกเขากำลังเป็นเหมือนมอร์สพีแต่มีเสียงหนึ่งออกมาก่อน
“วิ่ง!”เธอไม่รู้ว่าเสียงใครแต่เธอก็วิ่งไปให้ถึงห้องเธอในใจหวั่นว่าจะไปทันรึเปล่าพวกเขาวิ่งไวมากแต่เธอมาถึงประตูแล้วแต่ไม่ทันจะได้เปิดก็มีใครคนหนึ่งจับลูกบิดก่อนเธอใจเธอหล่นวูบแต่คนๆนั้นเปิดประตูแล้วผลักเธอเข้าไปเธอรู้สึกตกใจแต่ก็อบอุ่นไปพร้อมๆกัน เธอคนนั้นเป็นผู้หญิงผมสีบรอนซ์มวยขึ้นอย่างมาดมั่นหน้าตาหวานในตาเยิ้มสวมเสื้อสายเดี่ยวบางๆกับกางเกงยีนขาสั้น เธอคนนั้นเดินวนรอบเธอแล้วดมไปทั่วร่างกายเธอ
“คุณเป็นใคร?”เธอถาม
“ขอโทษที่เสียมารยาท ฉันชื่อเอลซา เธอเข้าพิธีรึยัง”
“...? เข้า..แล้ว”
“แปลก ถ้าเข้าพิธีก็น่าจะ…”
“จะอะไร?”
“ไม่มีอะไร”
“พวกเขา เป็นอะไร”
“กระหายน่ะ เลือดเธอออกเยอะขนาดนี้กระหายก็ไม่แปลก”
“กระหายเลือดหรอ”
“ใช่ พวกเขาไม่ได้แตะเลือดมา สี่ถึงห้าปีได้แล้ว”
“ไม่ดื่มเลยหรอ เขาจำเป็นต้องดื่มมากหรอ”
“ทุกคนจำเป็นจ๊ะที่รัก พวกเขากระหาย”
“แล้วคุณล่ะ”
“เผอิญฉันไม่ใช่แวมไพร ฉันไม่ใช่กรีเวอร์หรือลินคอร์น หรือมนุษย์”
“คุณเป็นใคร”
“เธอจะรู้ไปทำไมล่ะจริงไหม”
“แล้วตอนนี้ฉันควรทำยังไง”
“รออยู่เฉยๆ”เธอรออยู่เฉยๆจริงๆเสียงคำรามของพวกเขาดังขึ้นใกล้ขึ้นพวกเขาอาละวาดพังประตูทุกประตูพอมาถึงห้องของเธอเขาพังเข้ามาจริงๆ
“วิ่งไปห้องที่สองซ้ายมือเร็ว!”เอลซาบอกเธอแล้วดันเธอไปทางประตูเล็กๆ เธอวิ่งเข้าไปเพราะตกใจ กลัวเธอได้ยินเสียงกรีดร้องคำรามของทุกคนเสียงกระแทกประตูที่เธอพิงอยู่อย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่าจนเสียงเงียบไปเธอเหนื่อยเธอเพลียจนสุดท้ายเธอหลับไป
เธอตื่นขึ้นและตกใจว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ก่อนจะนึกออกแล้วจึงค่อยๆเดินไปที่ประตูแล้วแง้มประตูช้าๆเห็นแค่อาร์ลกับเอลซาเขาอารมณ์เย็นขึ้นดูไม่คลุ้มคลั่งเธอจึงออกไป
“ขอโทษทีนะโฟลที่เผลออยากกินเธอเข้าน่ะ”
“มันเกิดอะไรขึ้น”
“ก็แค่ได้กลิ่นเลือดเลยคลั่งน่ะ”
“แล้วถ้า..ฉันซุ่มซ่ามทำตัวเองเลือดไหลอีกล่ะ”
“บางทีฉันอาจต้องไปฝึกควบคุมตัวเอง อยู่ในห้องนะฉันจะออกไปข้างนอกหน่อย”เขาพูดแล้วเดินออกไป
(อาร์ล)
เขาเดินตรงไปหาเจ้าชายที่ฟื้นแล้ว
“เธอกลายเป็นมนุษย์”
“อะไรนะ?”
“อยู่ๆเธอก็กลายเป็นมนุษย์”
“เธอเป็นลูกพ่อเรากับ...นังคนนั้นทั้งคู่เป็นแวมไพรเธอจะเป็นมนุษย์ได้ไง”
“เธอเป็นแวมไพรจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ผมไม่แน่ใจเธอน่าจะเริ่มเด่นชัดประมาณงานเลี้ยง”
“งั้นแปลว่างานพิธี”
“ผมเป็นคนทำให้เธอเป็นอย่างนี้หรือเปล่า”
“ไม่ เคยมีมนุษย์โคลนทำพิธีนี้สำเร็จไม่น่าจะเป็นไปได้”
“แล้วทำไมเธอถึงกลายเป็นมนุษย์”
“ไม่เคยมี..เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเลยในประวัติศาสตร์”
“หมายความว่า...”
“เราไม่รู้ เราไม่แน่ใจ”
“เธอจะอาศัยอยู่กับเราได้หรอครับ”
“ได้พยายามอย่าให้เธออกเดินป้วนเปี้ยนล่ะ”
“แล้วอาหารการกิน...”
“นายก็โชว์ฝีมือหน่อยสิ กลับไปได้แล้วเราจะไปหาพ่อ”
“ครับเจ้าชาย”
เขาเดินออกจากห้องเจ้าชายกลับไปห้องของโฟลเธอกำลังอาบน้ำอยู่เขาเลยนั่งรออยู่ที่โซฟา ดมกลิ่นมนุษย์ของเธอที่คละคลุ้งอยู่ทั่วห้อง ดมกลิ่นความใส ซื่อ บริสุทธิ์ของเธอบางครั้งกลิ่นพวกนี้อาจทำให้เขาควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เสียงน้ำเงียบไปสักพักแล้วแต่เขาไม่เห็นเธอออกมา เขาเริ่มกังวล เป็นห่วงแล้วนั่งไม่ติดเขาลุกขึ้นเดินไปมาอยู่หน้าประตูห้องน้ำ เขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงกระทบของน้ำสุดท้ายเขาก็อดรนทนต่อไม่ไหวจึงเรียกชื่อเธอ ดังๆเรียกถี่แต่ไม่ได้ยินคำตอบอะไรเลยเขาจึงตัดสินใจพังประตูเข้าไป พอเข้าไปเห็นโฟลกำลังนอนแช่อ่างอยู่นิ่ง เธอเสียบหูฟังฟังเพลงอยู่ เธอหลับตาพริ้มช่วงไหล่ที่ขาวใสเรียบเนียนยั่วยวนใจเขาไม่ใช่น้อยเขารู้สึกว่าเขี้ยวของเขาเริ่มงอกออกมาจึงตัดสินใจเดินออกไปขาของเขาแข็งทื่อไปหมดมันไม่ยอมขยับง่ายๆเขาพยายามหากลิ่นของอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาหันเหใจกลิ่นอะไรก็ได้ที่แรงกว่ากลิ่นของโฟล กลิ่น...กลิ่น..มอร์สพีใช่แล้วแล้วจากนั้นขาเขาก็ก้าวออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วในสายตามนุษย์เรียกว่าหายตัวเลยก็ได้ เขามาโผล่อยู่หน้าอาคารโชคยังดีที่พระอาทิตย์กำลังตกเขาจึงกลับเข้าไปทันเขาเข้าไปในห้องของตัวเองคิดทบทวนสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์เขาต้องทำตัวไม่ให้เธอรู้สึกแตกต่างขั้นแรกเธอต้องไปโรงเรียน เธออาจจะต้องเรียนนอกเขตอนุรักษ์เขาต้องพาเธอไปเข้าพรุ่งนี้เช้าก่อนวันเปิดภาคเรียน เขาควรหาใครสักคนเพื่อปรึกษา ต้องไม่ใช่เจ้าชายเขาปรึกษาเจ้าชายมากไปเขาอาจต้องหาคนช่วยคนอื่นเอลซาก็ไม่ได้เธอเป็นผู้หญิงเขาไม่สามารถปรึกษาอะไรได้มากงั้นก็เหลือแค่..มอร์สพี..คนเดียวเขาโทรจิตไปหามอร์สพี
‘นายอยู่ไหนมอร์สพี มาหาฉันที่ห้องด่วนเลย เรามีปัญหาใหญ่แล้ว’ไม่นานนักมอร์สพีก็มาพร้อมกับเอกสาร
“นายมีเรื่องอะไรทำไมฉันต้องรีบมาด้วยฉันอุตส่าห์ได้คุยกับเจนนิเฟอร์ได้แล้วแท้ๆแย่จริงๆ”
“เรื่องของฉันมันสำคัญกว่าการจีบสาวไปทั่วของนาย”
“มีเรื่องอะไร”
“โฟลเธอมีปฏิกิริยาตรงกันข้ามกับเราทุกคนพอเธอเข้าพิธีเธอกลายเป็นมนุษย์”
“พอจะรู้อยู่”
“เราต้องออกไปนอกเขตอนุรักษ์”
“นายหมายคำว่าอะไร ออกไปเราจะไม่มีใครคุ้มครองนะ”
“ก็ใช่เราต้องปลอมตัวไปอยู่กับครอบครัวคันนิ่งแฮม”
“เรา?”
“ใช่นายด้วยมีฉันนายและเธอ”
“บ้าจริง! ครอบครัวคันนิ่งแฮมมีผู้หญิงไหม สวยไหมโสดไหม”
“ครอบครัวคันนิ่งแฮมเขารับอุปการแวมไพรรุ่นเยาว์นะคิดว่าคงมีเยอะ”
“เจ๋ง”
“นายต้องไปโรงเรียนนะมอร์สพี”
“ต้องเรียนด้วยหรอ”เขาถอนหายใจ
“เราจะย้ายพรุ่งนี้ตอนกลางคืนนะนายคิดชื่อดีไว้สักสองชื่อให้ฉันเลือกนะ”
“ต้องเปลี่ยนชื่อด้วยหรอ”
“ใช่ฉันจะไปคุยกับโฟลหน่อย”
“ฉันขอผ่านนะคงควบคุมอารมณ์ไม่อยู่”เขาตบไหล่เบาๆแล้วเดินออกไปหาโฟลครั้งนี้เขาจะไม่บุ่มบ่ามเข้าไป เขาเคาะประตูเบาๆ
“โฟลทำอะไรอยู่ ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกเปิดประตูหน่อย”ไม่นานนักเธอก็ออกมาในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้น
“มีอะไร”
“เธอต้องเข้าโรงเรียนนะ แต่ไม่ต้องห่วงฉันจะไปด้วย”
“ที่ไหน”
“นอกเขตอนุรักษ์เราจะย้ายไปอยู่ครอบครัวหนึ่งเธอต้องเปลี่ยนชื่อใหม่”
“ทำไม”
“เราจะปลอมตัวครอบครัวคันนิ่งแฮมรับเลี้ยงแวมไพรรุ่นเยาว์ที่ไม่มีที่ไป ส่วนเธอจะไปในฐานะมนุษย์และฐานะน้องสาวฉันนะโอเคไหมเธออายุ 17”
“ทำไมเราต้องทำอย่างนั้นด้วย”
“มีปัญหาอะไรนิดหน่อยเธอเล่นละครเป็นใช่ไหม”
“พอได้ แล้วจะให้ฉันชื่ออะไร”
“อืม อลิซา เจนนิเฟอร์ ออร์เกน ลูซี่”
“อลิซ ฟิกส์เทอแรง”
“ชื่อเพราะดีนี่ คิดได้ไง”
“จู่ๆก็คิดได้เอง”
“อืม”
“จะย้ายไปเมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้”
“ฉันจะกลับแล้วนะ”เขาพูดแล้วเก็บเอกสารและเดินออกมานอกประตูแต่ไม่ทันจะปิดประตูเธอก็พูดขึ้นว่า
“เดี๋ยว อยู่เป็นเพื่อนฉันได้ไหมอย่างน้อยก็จนกว่าฉันจะนอน”
“อีกนานกว่าจะได้เวลานอน แต่ก็ได้ผมจะไปเก็บของแล้วทำธุระส่วนตัวนิดหน่อยแล้วจะมาหาคุณนะโอเค?”
“โอเค”แล้วเธอก็ล่ำลาเขาอาบน้ำและไปที่ห้องครัวจัดแจงทำอาหารหลายชนิดแต่เขาถนัดอาหารอิตาเลียนจึงทำอาหารอิตาเลียนสองสามอย่างยกไปให้เธอ เธอกินจนเกือบหมด
“นี่คุณทำทั้งหมดเลยหรือ”
“ใช่”
“สุดยอดเลยมันอร่อยมาก ว่าแต่ตอนนี้กี่โมงแล้ว”
“ประมาณสักสองทุ่มได้”
“งั้นฉันกินเสร็จแล้ว ไปแปรงฟันก่อนนะ”เธอพูดแล้วลุกไปแปรงฟันแล้วขึ้นที่นอน เขานั่งอยู่ข้างๆเตียงเฝ้ามองเธออย่างใกล้ชิด
“ตื่นมาฉันจะเจอคุณไหม”
“เจอ”เขาพูดช้าๆหวาน
“ในสภาพไหนนอนหรือตื่น”
“ตื่น”
“แล้ว....”
“พอได้แล้วนอนเถอะ”
“ก็ได้”เธอพูดแล้วหลับตาแต่ไม่ถึงห้านาทีก็ลืมขึ้นมาใหม่
“คุณขึ้นมานอนข้างๆฉันได้ไหม?”
“ทำไม”
“ฉันอยากกอดอะไรสักอย่างที่นี่ไม่มีหมอนข้าง”
“เลยใช้ฉันเป็นหมอนข้าง”
“ก็ประมาณนั้น”
“เขยิบไปสิ”เธอเขยิบออกไปให้เขาขึ้นไปบนเตียงทันทีที่เขาแทรกตัวเข้าไปเธอก็เบียดตัวชิดเขา
“ตัวคุณเย็นชะมัด”
“ธรรมดาของผีดูดเลือดนะ”
“แต่คุณให้ความอบอุ่นฉันได้ด้วย”
“ยังไง”
“ตัวคุณเย็นชาแต่ใจคุณมีความรัก อาทร ห่วงใยคุณยังมีหัวใจ”
“ผิดแล้วผมไม่มีหัวใจถ้าฟังดีๆหัวใจผมไม่ได้เต้นนะ”
“จริงหรอ!”เธอพูดแล้วแนบหูอยู่กับอกข้างซ้ายของเขาเงียบๆเขาคิดว่าบางทีถ้าเขามีหัวใจป่านนี้มันเต้นเร็วยิ่งกว่าแสงอีกด้วยในตาเขากลายเป็นสีชมพูโดยไม่รู้ตัวปากสีชมพูระเรื่อของเธอชวนให้เขาลิ้มลอง
“หัวใจเธอไม่เต้นจริงๆด้วยมหัศจรรย์มาก!”เธอมีสีหน้าตื่นเต้นจริงจังเธอเงยหน้ามามองเขาบังเอิญเธอและเขาสบตากัน
“ทำไมตาคุณเป็นสีชมพู”
“มันเปลี่ยนแปลงตามอารมณ์”เขาใช้มือที่เย็นเฉียบลูบไล้ใบหน้าเธอหน้าที่ออกสีแดงระเรื่อๆฟังเสียงหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะของเธอเธอจ้องในตาเขาริมฝีปากที่ซีดจางของเขากลับดึงดูดเธอโดยไม่รู้สาเหตุเธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขามากขึ้นๆจนปลายจมูกเราชนกัน
“อย่านะโฟล”เขากระซิบทั้งๆที่ตัวไม่ได้ขยับไปไหนเลย
“ไม่เป็นไรหรอก”เธอกระซิบตอบสุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหวจับคอเธอยกขึ้นเบาๆจูบเธออย่างเร่าร้อนใช้มือลูบไล้ไปตามเรือนร่างที่บอบบางเธอเลื่อนมือมาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาจนเผยแผ่นอกอันแข็งแรงแล้วเลื่อนมือมาที่เข็มขัดเขานอนทับบนตัวเธอแล้วก็ดีดตัวออกห่างเธอไปติดฝาผนัง
“ไม่ได้ ขอโทษนะโฟลแต่มันเสี่ยงเกินไป ฉัน..ฉันจะไม่ทำร้ายเธอด้วยวิธีนั้น”เขาพูดขอโทษขอโพยนั่งลงมือกุมศีรษะ
“ไม่เป็นไรฉันเข้าใจแต่หมายความว่ายังไงที่ว่าเสี่ยงหมายความว่าที่ว่าจะไม่ทำร้ายฉันด้วยวิธีนั้น”
“ไม่มีอะไรช่างมันเหอะเธอนอนได้แล้วพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า”เขาพูดแล้วหยิบเสื้อเชิ้ตมาสวมใส่เธอมุดกลับไปในผ้าห่มเหมือนเดิม
“อยากกอดฉันอยู่ไหม”
“อยากสิ...คุณไม่รังเกียจนะ”
“ทำไมฉันต้องรังเกียจด้วยละ ไม่จำเป็น”เขาพูดแล้วแทรกตัวไปนอนข้างเธออีกครั้งครั้งนี้เธอหลับไปจริงๆเขาฟังเสียงเธอหายใจเป็นจังหวะช้าๆชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าจนเช้าเธอขยับตัวนิดหน่อยแล้วลืมตา
“ฉันจะเจอคุณตื่นอยู่จริงๆด้วย”
“ผมไม่โกหกหรอกเอาล่ะคุณไปอาบน้ำแต่งตัวเอาเป็นชุดน่ารักๆนะแต่ไม่เอาชุดโปรดของคุณเพราะเราอาจจะต้องแต่งอะไรนิดหน่อย”
“รับทราบ”เมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงเดินไปแต่งตัวของตัวเองแล้วไปหามอร์สพี
“คิดชื่อออกรึยัง”เขาถามมอร์สพี
“นายจะชื่ออะไรล่ะ”
“อาร์ล อาร์ลฟองเซ ฟิกส์เทอแรง”
“ต้องนามสกุลนี้หรอ”
“ใช่”
“อืม...เอริก เป็นไง”
“เอริก ฟิกส์เทอแรงหรอ”
“ใช่”
“ก็โอเคนะเพราะดี”
“หวานใจนายชื่ออะไรล่ะ”
“อลิซ ฟิกส์เทอแรง”
“เพราะดีนี่พร้อมจะแต่งหน้ารึยังล่ะ”
“พร้อมเสมอ”เขาไปบอกเล่าเรื่องราวให้เจ้าชายฟัง
หลังจากนั้นไม่นานนักพวกเขาก็มาอยู่ในป่าเขตของคันนิ่งแฮม โฟล กอดแขนเขาแน่นมองไปรอบๆอย่างหวาดระแวงถ้าเขาไม่รู้มาก่อนว่าเธอแกล้งเขาคงคิดว่าเธอกลัวจริงๆสักพักก็มีบางอย่างอยู่รอบตัวพวกเขาบางอย่างแวบไปแวบมาเธอร้องให้(แกล้ง)มอร์สพีเข้ามาโอบไหล่เธอเบาๆแล้วก็มีชายหญิงคู่หนึ่งลงมาเหมือนพวกเขามีอายุมากพอสมควรชายน่าจะประมาณ 26 ตามหน้าตาหญิงก็อาจต่างกันไม่กี่ปี ทั้งสองหน้าตาดีเป็นธรรมดาของแวมไพร
“พวกคุณเป็นใคร”เขาพูดแล้วยืนบัง โฟลเพื่อปกป้องแน่นอนเขาเล่นละคร
“นั้นใคร”หญิงคนนั้นพูดแล้วมองไปที่โฟล
“อย่าแตะต้องน้องสาวผมนะ”เขาแยกเขี้ยวใส่คนพวกนั้น
“นายเป็นแวมไพร แต่เธอไม่นายไม่กระหายเลือดน้องสาวตัวเองหรอ”
“ไม่ผมจะไม่ทำร้ายน้องสาวหรือน้องชายผมแน่ ผมจะไม่ยอมให้คุณทำเช่นกัน”
“ใจเย็นเธอชื่ออะไร”
“คุณจะรู้ไปทำไม”สักพักก็มีคนอีกสองสามคนลงมาจากต้นไม้
“เราจะไม่ทำร้ายเธอเชื่อเราสิ”เขาทำหน้าลังเลก่อนจะบอก
“ผมอาร์ล อาร์ลฟองเซ ฟิกส์เทอแรง ส่วนเธอชื่อ อลิซ เขาชื่อ เอริก”
“พวกเธอไปเจออะไรมา”
“ผ..ผ...ผม...ผม..ไม่รู้...ผมไม่รู้มันรวดเร็วมันมันกัดผมกับน้องพ่อแม่เราหายไปแล้ว...ผมไม่รู้ผมไม่รู้”
“ไม่เป็นไรเราจะช่วยพวกเธอเอง ให้เราช่วยนะ”ชายคนนั้นพูดแล้วยื่นมือออกมาให้เขาเขานั่งลงแล้วโฟลเข้ามากระซิบว่า “ผู้ชายคนสุดท้ายด้านขวาเป็นคนเดียวที่ยังไม่เชื่อคุณ”
“ไม่ ผมไม่เชื่อ”เขาพูดแล้วลุกขึ้นดันมอร์สพีกับโฟลไปด้านหลัง"ไม่เป็นไร ฉันไม่กินเธอหรอกน่า"หญิงสาวรูปร่างผอมเพรียวพูด
"ไม่! เราจะออกไปจากที่นี่"เขาพูดแล้วหันหลังกลับ
"เธอจะออกไปยังไง ถ้าเธอออกไปเธอจะไปอยู่ไหน มาอยู่กับพวกเราก่อนเราจะช่วยเธอเองพวกเธอทุกคนรวมทั้งแม่สาวน้อยนั้นด้วย"ชายคนเดิมพูด
"เธอเป็นมนุษย ผมจะรู้ได้ไงว่าคุณจะไม่กินเลือดเธอเป็นอาหาร"เขาถามแววตาหวาดๆ(แน่นอนแกล้ง)
"เรากินแต่เลือดสัตว์เท่านั้นเราไม่กระหายเลือดมนุษย์"ชายคนนั้นเดินเข้ามาจนถึงหน้าเขาแล้วค่อยๆยกมือแตะไหล่เขาเบาในตาเขาน้ำตาคลอ(มีเทคนิคทำให้น้ำตาคลอได้)แล้วเริ่มล้นไหลรินมาอาบแก้มเขาทรุดตัวลงกอดโฟลไว้แน่นแล้งหันมาพูดกับชายคนนั้น
"ได้โปรด...ช่วยเราด้วย"เขาพูดเสียงสั่น ชายคนนั้นยิ้มและโอบไหล่เขา ชายคนนึงในนั้นอาสาจะพาโฟลไปเองแต่เขาห้ามไว้อ้างว่าเป็นห่วงน้องสาว(ความจริงตัวเองหึง)เขาแบกเธอไว้บนหลังวิ่งตามคนพวกนั้นไปจนถึงตึกสูงเสียดฟ้า
"เดี๋ยวฉันจะจัดห้องให้พวกเธอทีหลังอยู่ห้องเดียวกันไปก่อนละกันนะ เดี๋ยวไปเรียกน้องๆมาที่ชั้น 1 ด้วยนะซูซาน"ชายคนเดิมพูดสั่งหญิงรูปร่างดีหน้าตาสะสวยผิวขาวเนียนตาคมกริบพร้อมกรีดใจชายหนุ่มผู้หลงใหลอย่างง่ายดายเธอพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินหายไปในลิฟ ชายคนนั้นพาพวกเขาเข้ามาในห้องขนาดกว้างพอดูมีอะไรต่างๆมากมายทีวี คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกต่างๆไม่นานนักเขาก็เริ่มแนะนำตัว
ชายคนที่พาเขามาที่นี่ชื่อ บิล เขาเป็นชายหนุมรูปร่างดีพอสมควรหน้าตาไม่หวานไม่คมในตาสีฟ้าอบอุ่นผิวขาวซีดตัดกับผมสีทองเป็นสง่าเขาเปรียบตัวเองว่าพ่อเขาเป็นคนรับเลี้ยงเด็กทกคน
หญิงที่ยืนอยู่ข้างเขาชื่อ อลิเซีย เป็นสาวหน้าตาอบอุ่นผิวซีดเหลืองตัดกับผมสีดำขลับเปรียบตัวเองเป็นแม่เพราะเธอแต่งงานกับบิล
ชายหนุ่มฝาแฝดชื่อ แซม และเซธไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่ทะเลาะกันเป็นประจำดูแล้วน่าจะกำลังย่างเข้า19มีผมสีดำสั้นเกรียนทั้งคู่จะตางกันที่ตาแซมตาคม แต่เซธตาหวานนอกจากนั้นเหมือนกันทุกอย่าง
ชายหนุ่มร่างบึกบึนชื่อสตรองค์ แข็งแรงสมชื่อผมสีดำขลับสั้นเตียนลงรูปหมาป่าคำรามน่าจะประมาณ21ปีตามอายุที่เป็นอมตะเพราะเขาดูตัวใหญ่แต่ไม่น่าเกรงขามจึงอาจผ่านประสบการมาไม่เยอะ
คนที่บิลให้ไปเรียกน้องๆมาชื่อ ซูซานติดเงียบเป็นแฟนของสตรองค์ไม่เคยพูดกับใครนอกจากสตรองค์และบิลผมสีทองเป็นลอนฟูๆสยายยาวถึงกลางหลัง
ชายหนุ่มที่นั่งเงียบตั้งแต่เจอเขาชื่อ เอ็ดเวิร์ด มีท่าทีเหมือนอยูในสมัยสงครามกลางเมืองรียบร้อยีหน้าอมทุกข์ตลอดเวลาผมสีทองแดงสั้นถึงลำคอหยิกและฟูดวงตาสีแดงก่ำซ่อนเงื่อนงำมากมายผิดกับรอยยิ้มที่อบอุ่นเหลือขนาด
เด็กสาวฝาแฝดชื่อ เบลล่ากับเอลล่าทั้งสองเปรียบเหมือนหนึ่งคนในสองร่างพวกเธอพูดพร้อมกันกินพร้อมกันทำพร้อมกันทุกอย่างผมสีทองแดงอิ่มเอิบฟูหนานุ่มเงางามถูกรวบมาพาดไว้ตรงหัวไหล่ตาสีชมพูอ่อนแสนน่ารักพวกเธออายุประมาณ9-10ปีสดใสร่าเริง
"มีอีกสามคนแต่เขาออกไปล่าเดี๋ยวเขากลับมาจะแนะนำให้รู้จัก แต่พวกเธอไปพักผ่อนก่อนเถอะดูท่าทางจะเจอเรื่องมาเยอะ เอ็ดเวิร์ดไปส่งพวกเขาหน่อย"
บิลพูดแล้วหันไปหาเอ็ดเวิร์ดที่จ้องเขาอย่างสนใจ
"ได้ครับพ่อ ห้องไหนล่ะครับ"เขาถามทั้งๆที่จ้องเขาอยู่ เขาเริ่มจะประสาทเสีย จากนั้นบิลก็บอกแล้วเขาก็ำไปจนถึงห้องๆหนึ่ง
" นนี่ห้องชั่วคราวอาจจะแคบไปหน่อยแต่มีข้าวของเครื่องใช้พร้อมหองอาบน้ำอยู่ด้านล่างอยู่ไปก่อนนะเดี๋ยวพ่อจะหาห้องใหม่ให้พวกเธอโรงเรียนด้วยโันไปก่อนถ้ามีเรื่องคุยห้องฉันอยู่ตรงข้ามนี่แ่ส่วนใหญ่ฉันจะอยู่ที่สวน"เขาพูดอย่างมีมารยาทเก็บมือไว้ด้านหลังแล้วเดินไปวกเขาเข้ามาในห้องล๊อกประตูแล้วคุยกันเบาๆ
"หมอนั่นจ้องนายเอาโล่รึไงมองแบบไม่วางลย"มอร์สพีพูดกอน
"หมอนั่นเขาทำฉันประสาทเสีย"เขาพูด
"เขาสนใจคุณแต่ไม่ใช่เชิงู้สาวเหมือนเขาอยากสนิทกับคุณในฐานะเพื่อนเขาเป็นคนดี"โฟลพูดเสียงออน
"ถ้าเขายังจ้อวฉันอย่างนั้นอยู่โันคงเป็นบ้าแน่ๆ"เขาพูดแล้วโฟลก็หัวเราะเบาๆเขาเพิ่งสังเกตในห้องมีเตียงเล็กๆอยู่แค่สองเตียงแต่เขามีสามคน
"เอ่อ..จะนอนกันยังไงเนี่ย"เขาถาม
"เราไม่ต้องนอนก็ได้นี่นา"มอร์สพีถาม
"ไม่ได้บ้านนี้เขาบังคับให้นอนกัน"เขาตอบ
"งั้นนายกับฉันนอนเตียงนี้ ส่วนเธอนอนเตียงนั้น"มอร์สพีเสนอ
"ถ้าฉันนอนกับนายมีหวังตืนมาหน้าฉันไม่เหลือแน่"
"งั้นก็ให้คนนึงนองพื้น"
"ไม่ถ้าให้คนนึงนอนพื้นคนอื่นจะไม่มีที่เดิน"เขาว่า
"งั้นนายก็นอนกับเธอ ส่วนฉันจะนอนเตียงนี้"
"......"
"โเคตามนั้น"
"มันจะดูไม่ดีนะ"
"อย่าลืมสิเธออยู่ในฐานะน้องสาวนายนะไม่มีใครเขาว่าหรอก"
"เอางั้นก็ได้"
"มีคนมา"โฟลพูดพวกเขาจึงแยย้ายไปทำกิจกรมต่างๆเขาทำเป็นนั่งคุยกับโฟล
"ภาวนาอย่าให้เป็นหมอนั่น"เขากระซิบให้เธอฟังแล้วเธอก็เริ่มหัวเราะคิกคักเล็กน้อแล้วประตูก็เปิดออกเผยเห็นร่างชายผมทองแดงวงตาแดงก่ำที่าพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น
"ฉันมีเรื่องคุยกับนาย"เอ็ดเวิร์ดพูดเสียงทุ้มเขามองโฟลปริบๆ เธอยิ้มให้เขา เขาจึง่เดินออกไปตาม
"นายมีเรื่องอะไรกับฉัน"เขาถามชอย่างรวดเร็ว
"ฉันรู้ความจริงของพวกนายหมดแล้ว"
"ความจริงอะไร"วูบหนึ่งเขาใจหายไม่คิดว่าจะถูกเปิดโปงไวขนาดนี้จนกระทั่งได้ยินว่า
"นั่นไม่ใช่น้องสาวนาย ฉันรู้เพราะนั้นเป็นพลังของฉัน"
"พลัง?"
"ใช่ฉันมีพลังที่จะรู้ว่าใครมีความสัมพันอย่างไรกับใคร"
"..."
"นายรักเธอมากเลยนิ"
"ไม่ใช่สักหน่อยเธอเป็นน้องสาวฉัน"เขาพูดเพราะคิดว่าเอ็ดเวิร์ดอาจจะลองใจเขา
"แล้วแต่ละกัน..งั้น..ถ้าฉันจะจีบอลิซละนะ"เอ็ดเวิร์ดพูดน้ำเสียงจริงจังเขาหวั่นใจเล็กน้อยล้วเอ็ดเวิร์ดก็ยิ้มเจ้าเล่เขาเลยรู้ว่าแพ้แล้วจึงยอมรับ
"ใช่ ฉันเป็นแฟนกับอลิซ"จากนั้นเอ็ดเวิร์ดก็ยิ้มแบบทะเล่นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
"นายขี้หึงพอดูนะ"เอ็เวิร์ดพูดแล้วแอบหัวเราะนิดหน่อย
"อย่าไปบอกใครนะขอร้อง"
"ทำไมนายถึงต้องโกหกด้วยล่ะ"
"เอ่อ...คือ..."
"ไม่เป็นไรผมไม่พูดก็ได้รู้แค่นี้ก็ได้"เขาพูดอย่างนี้เขารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกและรู้สึกเริ่มอุ่นใจเมื่ออยู่ใกล้เอ็ดเวิร์ดไม่รู้สึกระแวงเหมือนตอนแรกชายคนนี้ออกจะขี้เล่นเพียงแต่ขี้เล่นเกินไป
"คุณรู้แค่นี้หรอ"
"มีอะไรที่ผมต้องรู้อีกล่ะ"เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็โล่งใจอีกเปาะหนึ่งแต่กลัวว่าเอ็ดเเวิร์ดจะสงสัยจึงพูดออกไปว่า
"ก็...ความสัมพันธ์ของอลิซกับเอริกไง"
"ตั้งแต่แวบแรกฉันก็รู้แล้วว่าพวกนยเป็นพี่น้องกันไม่ได้ ฉันสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งเรื่อง...เอริก...นายต้องบอกฉันนะ"แวบนึงใจเขาตกวูบแต่ก็โกหกไปว่า
"เขาก็ปกติดีนี่"
"ถ้านายไม่บอกเรื่งเอริกกับทุกคนเย็นนี้ฉันจะบอกเรื่องนายกับอลืซเพราะทุกคนรู้กลิ่นหมอนั่นแรงจะตาย"
"......ก็ได้"เขาพูดเสียงอ่อยๆ
"ฉันว่าพวกนายต้องไปทัวร์บ้านหน่อยดีกว่าเผื่อจะไปไหนได้ไม่หลงเรียคนที่เหลือมาด้วย"อาร์คิดว่าโฟลอาจเหนื่อยแต่เขาก็เข้าไปเรียก
"เขาจะพาเราไปดูบ้านหลังนี้"
"เขารูแล้วใช่ไหม" โฟลถามอาร์ล
"อืม...ไปเหอะเขารออยู่"พวกเขาเดินออกมานอกห้องเขายิ้มรับทุคนแล้วเขาก็พูดเล่าเรื่องมากมายเกี่ยวกับตัวเขา เกี่ยวกับบ้านหลังนี้เปี่ยวกับห้องแต่ละห้องที่เดินผ่านเกี่ยวกับคนที่รับมาเลี้ยงเรื่องการกบฏของคนที่รับมาเลี้ยงต่อพ่อของพวกเขาลายต่อหลายครั้งเขาพาเข้ามาในห้องๆหนึ่งที่มีบอร์ดอยู่หลายบอร์ดข้างบนมีชื่อของคนแต่ละคนมีติดใบเกียรนิยมของแต่ละปีแต่ละคนมีหมวกฉลองปริญญากองอยู่ในกล่องข้างหน้ามีหลายสีหลายขนาดและหลายก่อง
"ห้องนี้เป็นเรื่องโจ๊กส่วนตัวน่ะเราสมัครเรียนบ่อยมากเลยแต่ก็ย้ายบ้านบ่อยเหมือนกัน"เขาอธิบายเขาพามาถึงห้องครัวขนาดใหญ่ทีมีตู้เย็นใหญ่เกือบเต็มผนังด้านหนึ่งของห้องีกระทะและเครื่องครัวพร้อม
"บางทีเธออาจใช้เป็นข้ออ้างให้พวกเราใช้ครัวเป็นครั้งแรกก็ได้"เขาพูดแล้วยิ้มเล่นๆ
ห้องต่อไปเป็ทีวีขนาดใหญ่เขาบอกว่าเป็ห้องเอาไว้ดูหนังความจริงห้องนี้เป็นห้องบอกรักเพราะทุกคนส่วนใหญ่จะบอกรักกันในห้องนี้และยังบอกอีกว่าจะมาดูเมื่อใหร่ก็ได้โฟลเกาะแขนอาร์ลมาตลอดทางครั้งหนึ่งเขาให้เธอขี่หลังทำให้ทั้งมอร์สพีทั้งเอ็ดเวิร์ดมองอย่างอิจฉา
"คนอื่นหายไปไหนหมด"เขาตั้งข้อสังเกตุ
"ทุกคนซ้อมอยู่"
"ซ้อม?"
"ใช่พวกเราจะฝึกการต่อสู้กีนทุกวันหยุด"
"ฝึกทำไม"ครั้งนี้มอร์สพีถามมั้ง
"ซูซานทำนายว่าเราต้องสู้กับคนที่แข็งแรงมากกลุ่มหนึ่งเขาจะทำลายครอบครัวเราเธอบอกให้เราฝึกทุกวันเพราะเธอไม่รู้ว่ามันจะมาเมื่อไหร่?"
"เราขอซ้อมด้วยได้ไหม"คราวนี้โฟลพูดขึ้นเอง
"ก็ได้แต่เธอจะสู้เราได้หรอ "เขาพฟุดสีหน้าทะเล้น
"ก็คอยดูแล้วกัน"เธอพูดกลับอย่างมั่นใจแล้วพวกเขาก็หัวเราะเอ็ดเวิร์ดเดินนำไปที่ลานแหงหนึ่งเขาเห็นทุกคนฝึกซ้อมอย่างค่อยๆไม่มีความเข้มแข็ง
"ไงล่ะมาซ้อมด้วยกันไหม"บิลถาม
"ครับ"เขาตอบแล้วเดินคุยกับบิลเรื่องการต่อสู้ของแต่ละคนแล้วก็มีคนเดินเข้ามาชายหนึ่งหญิงสองเอ็ดเวิร์ดโผเข้ากอดผู้หญิงคนหนึ่งแล้วพามาหาเขา
"ฉันได้กลิ่นมนุษย์ลอยฟ้งเลยใครกัน"หญิิงคนนั้นถามเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆผมสีดำสั้นตาโตน้ำตาลเข้มใส่ชุดทมัดทแมงมีเลือดติดอยู่แถวๆมุมปาก
"นี่สมาชิกใหม่ของเราอาร์ล อลิซ เอริก"เอ็ดเวิร์ดแนะนำ"นี่เวนซ์แม่ยอดยาหยีของฉัน"เขาพูดแล้วจูบกันเบาๆแล้วสองคนข้างหลังก็กระแอมเบาๆให้คนอื่นรู้ตัว
"นี่แทมลิน-ลูซี่"บิลแนะนำ
"ยินดีที่ได้รู้จัก"เขาพูดขึ้นเรียบๆอย่างมีมารยาทสองคนนั้นยิ้มแล้วโค้งหัวเบาๆเป็นเชิงตอบรับแล้วคนที่ช่อเวนซ์ก็โผเข้ากอดวกเขาทุกคนพกอดโฟลก็เดินถอยออกไป
"พระเจ้านี่มนุษย์นี่ ตัวเธอหอมชะมัดเลย"เธอพูดอย่างตะลึงนิดหน่อยทำให้โฟลเกาะแขนอาร์ลแน่นมากถ้าเขาเป็นมนุษย์ปกติขาคงร้องออมาแล้วเขาโอบไหล่โฟลแน่นยิ่งขึ้น
"เธอป็นน้องผม"เขาพูดแล้วเห็เอ็ดเวิร์ดหัวเราะนิดหน่อยแต่ซ่อนไว้เวนซ์ก็หัวเราะเบาๆด้วยเหมือนกันเอ็ดเวิร์ดกระซิบบางอย่างกัเวนซ์ทำให้เธอยิ้มไม่หุบ
"แต่พ่อก็รู้ว่าแทมลินยังไม่เป็นมังสวิรัติเต็มตัว มีมนุษย์เข้ามาอยู่ในบ้านอย่างนี้มันอันตรายนะพ่อ"คนที่ชื่อลูซี่ท้วงขึ้นมา
"ไม่เป็นไรลูซี่ผมทำไ้ด้"แทมลินพูดอย่างมั่นใจแทมลินเป็นเด็กหนุ่มประมาณ15-16ปีลูซี่ก็ดูไม่ต่างกันเพียงแต่เธอดูมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ทั้งสองมีสีผมออกำประกายทอง ลูซี่มองโฟลกับพวกเขาเหยียดๆและสีหน้าไม่พอใจ
"เรามาซ้อมกันตอเถอะพวกเธอต่อสู้เป็นไหม"บิลถาม
"เป็น!"พวกเขาตอบพร้อมกันรวมทั้งโฟลด้วยทำให้คนอื่นหัวเราะแล้วิลบอกให้ลงสู้ให้ดูหน่อยเริ่มที่มอร์สพีเขามีพละกำลังมาแต่ไม่ค่อยว่องไวและแน่นอนเขามีประสบการณ์มากกว่า จากนั้นก็เขาเขาสู้กับเอ็ดเวิร์ดเพราะอยากรู้ว่าเอ็ดเวิร์ดเก่งแค่ไหนแต่เขาว่องไวกว่าและเคยสู้รบจริงๆมาเยอะกว่าจึงชนะแบบเฉียดฉิวสวนโฟลบิลเห็นวว่าเป็นแค่มนษย์แต่อยากเห็นความกล้าจึงให้สู้กับเซธเพราะเซธไม่ค่อยจะเก่งเท่าไหร่และปลอดภัยกว่าแต่ตงกันข้ามการต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ทุกคนแม้แต่เขายังอ้าปากค้างเซธไม่สามารถทำอะไรโฟลได้เลยเขาแตะตัวโฟลไม่่โดนด้วยซ้ำเธอใช้ขาเธอพันกับขาเขาแลวแตะทำให้เซธล้มหน้าคะมำพอเซธลุกเธอก็จับคอเขาทุ้มลงกับพื้นจนเขาขอยอมแพ้เธอรวดเร็วกว่าเขา แข็งแรงกว่ามอร์สพีและฉลาดหลักแหลมแต่ที่สำคัญเธอขู่เขาเหมือนแวมไพรแงะมีเข้ยวงอกออกมาด้วยทุกคนไม่ได้สังเกตุเลยว่าตาของเธอเป็นสีแดงแบบเดียวกับผมเล้วพอเธอุกขึ้นแล้วเดินกลับมาเซธยังไม่คิดว่าตัวเองแพ้ร้อยเปอร์เซ็นพอโฟลลุกขึ้นเขาก็กระโจนจะตครุบโฟลแต่โฟลรู้ตัวจึงหมอบตาบกับพื้นทำให้เซธพุ่งไปชนแซมเข้าจังๆแล้วทั้งคู่ก็เริ่มทะเลาะกันแต่ไม่มีใครสนใจเพราะอึ้งอยู่กับโฟล อลิเซียเดินไปดมทั่วตัวเธอ
"เธอเป็นแวมไพรนี่"อลิเซียพูดจากนั้นดวงตาโฟลก็กลับมาเป็นสีฟ้าสวยงามเหมือนเดิมเขี้ยวก็หายไปแล้วกลิ่นก็กลับเป็นมนุษย์เหมือนเดิม
"นี่มันอะไรกันเธอโกหกะวกเราอู่นะเล่าความจริงมาเดี๋ยวนี้"บ ิลลากทุกคนมาที่ห้องรับแขกขนาดใหญ่
"ผมไม่รู้"เขาตอบไปหน้าจ๋อยก็มันเรื่องจริงเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
"เธอโกหกเรามากแค่ไหน เรื่องเอริกอีกเรื่องความสัมพัธ์ของพวพเธออีกเล่ามาเดี๋ยวนี้"
"ผมไม่รู้ที่บ้านของผมมีแต่ฝูงแวมไพรแต่ผมเป็นห่วงเธอผมเลยพาเธอออกมาผมรักเธอส่วนเขาผมคิดว่าเขาเป็นพันธ์ผสม ผมพาพวกเขาออกมาเพื่อความปลอดภัยเราเดินมาเรื่อยๆจนเจอพวกคุณเราคิดว่าโกหกไปก่อนจะปลอดภัยกว่าเราไม่รู้ว่าเธอคือมิตรหรือศัตรูเราหนีออกม่และเรายังไม่อยากกลับไป"เขาพอจะรู้ว่าเวนซ์และอีกหลายๆคนมีพลังแต่เวนซ์เป็นพลังที่สามารถรู้ว่าใครพูดจริงใครโกหก ที่เขาพูดทั้งหมดไม่ได้โกหกเลยสักข้อบ้านของเขา(วัง)เต็มไปด้วยฝูงแวมไพร เขารักและเป็นห่วงเธอ เขาคิดว่าอร์สพีเป็นพันธ์ผสม เขาพาพวกเขาหนีมาเพื่อความปลอดภัยเขาเดินมาเรื่อยๆจนเจอพวกเขาโกหกเพื่อความปลอดภัยและเขายังไม่อยากกลับ
"เขาพูดจริงค่ะพ่อ"เวนซ์บอกจากนั้นบิลก็ถอนหายใจแล้วถามว่าเธอชื่ออะไร
"อาร์ลครับ อาร์ลฟองเซ"นี่ก็เรื่องจริงเวนซ์พยักหน้าเล็กน้อยแล้วบิลก็บอกให้พวกเขาไปแต่งตัวจะไปสมัครเรียนเพราะโรงเรียนจะเปิดในอีกสองสามวันแต่เนื่องจากเขาไม่ได้เอาเสื้อผ้าอะไรมาเลยแทมลินอาสาจัดการเสื้อผ้าของเขากับมอร์สพีเองส่วนโฟลเวนซ์จะแต่งตัวให้แทมลินพาเขามาถึงห้องๆหนึ่งบอก่าเป็นห้องแต่งตัวเสื้อผ้าผู้ชายทุกคนในบ้านจะมารวมอยู่ในตู้ขนาดใหญนี้แต่ของใช้ส่วยตัวจะแยกอยู่ในชั้นเล็กๆของแต่ละคนห้องแต่งตัวหญิงก็อยู่ตรงข้ามกันเพียงแตตู้จะใหญ่กว่าและของก็จะเยอะกว่าในนห้องมีบล๊อกอยู่สองสาที่ใช้เปลี่ยนเสื้อผ้า เขาและมอร์สพีแต่งตัวไม่เป็นทั้งคู่เพราะๆไม่เคยอยู่โลกมนุษย์จึงไม่รู้ว่ามนุษย์แต่งเสื้อผ้าแนวไหน และอยู่ในวังส่วนใหญ่เขาก็ใส่แต่กางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวพอเขาบอกแทมลินไปอย่างนั้นเขาถึงกับหัวเราะก๊ากๆๆๆๆจนสตรองค์กับเอ็ดเวิร์ดวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นพอแทมลินเล่าให้ฟังทั้งสองก็หัวเราะไ่แพ้กันแถมยังดีงกว่าอีกด้วยจากนั้นทั้งสามคนก็ช่วยกันแต่งตัวให้เขากับมอร์สพีแต่เนื่องจากทั้งสามคนมีสไตล์คนละอย่างจึงขัดแย้งกันลสุดท้ายทุกคนก็ทำตามแทมลินอย่างเคยมอร์สพีใส่เสื้อตัวใหญ่ๆหลวมโคร่งกับกางเกงตัวใหญ่ และตอนนี้เขายังเคืองเอ็ดเวิร์ดที่ไปบอกทุกคนเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับโฟลพอเขาเดินออกมาถึงหน้าบ้านทุกคนกำลังยืนอยู่หน้ารถลูซี่กำลังเถียงกับบิลอยู่
"ยังไงฉันก็ไม่ให้แกไป"บิลพูด
"เชื่อสิพ่อตองใช้หนูสะกดจิตคนในโรงเรียนนะ"
"ไม่เห็นจะจำเป็นเลยสักนิด"
"จำเป็นสิพ่อโรงเรียนนี้เขาห้ามย้อมผมนะพ่อจำไม่ได้หรอและถ้าผมส้มแดงออกขนาดนี้หนูจะสะกดจิตให้พวกเขายอมไง"พอพูดจบบิลก็ทำท่าครุ่นคิดแล้วก็ถอนหายใจพร้อมพูดว่า
"โอเคๆไปก็ไป แต่แทมลินห้ามไปเด็ดขาดนะเวนซ์ไปด้วยเดี๋ยวแกทำอะไรอลิซขึ้นมาเวนซ์จะไดกันให้"
"โธ่พ่อ ถ้าไม่มีแทมลินหนูก็ไม่ไป"
"แล้วแต่อยาลืมนะว่าพ่อใช้เงินฟาดหัวครูใหญ่เขาก็ยอมได้แล้ว"
"ก็ได้ๆแทมลินไม่ไปก็ได้"
"พ่อจ๋าถ้าเวนซ์ไปผมไปด้วยนะ นะๆๆๆๆๆพ่อนะ"
"ได้สิใครอยากไปก็ขึ้นรถยกเว้นคนที่เพิ่งเป็นมังสวิรัติหมาดๆ"พอพูดจบเบลล่ากับเอลล่าก็กระโดดโลดเต้นแล้วชี้ไปที่แระตู โฟลออกมาในชุดกางเกงยีนขาสั้นกับเดรสและเจ็กเกตไม่ว่าเธอจะเยู่ในชุดไหเธอก็สวยเค้าอาปากค้างอย่างไม่รู้ตัวจนดันคาเขาแล้วพูดว่า"น้ำลายไหลหมดแล้ว"เขาจึงขึ้นรถมันเป็นรถปิกอัพเขาจึงั่งด้านหลังเพื่อรับลมโฟลก็ตามเขามาด้วยคนส่วนใหญ่นั่งหลังเพราะวันนี้ไม่มีแดดแล้วอากาศดีข้างหลังมีเขา-โฟล,อ็ดเวิร์ด-เวนซ์,และมอร์สพีข้างหน้ามีลูซี่,บิล-อลิเซียพวกเขาขับรถจนมาถึงฌรงเรียนโรงเรียนหนึงทุกคนเดิน อาคารสีขาวสะอาดเป็นอาคารชั้นเดียวพอเปิดประตูเข้าไปก็เจอชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่พอดู
"มาสมัครเรียนครับคุณแจสเปอร์"
"มาเอาใบสมัรไปกรอกแล้วตรวจร่างกายนะ"ชายคนนั้นพูดสำเนียงเน่อๆแต่น้ำเสียงทำให้เขานึกถึงซานต้าไม่มีผิดเขารับเอกสารมาและกรอตามที่บิลพูดพอเสร็จเขาก็ตรวจทางกายภาพ
"มีรอยสักไหม"ชายที่ชื่อแจสเปอร์ถามเขาลังลหันไปหาบิล บิลพยักหน้าเป็นเชิงว่าบอกความจริงไป
"มีครับ"เขาพูดชายคนนั้นให้เขาเปิดให้ดูเขาถอดจ็กเกตออกแล้วถลกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นรอยสักรูปมังกรพ่นไฟแวบนึงเขาได้ยินเสียงเอ็ดเวิร์ดอุทานชายคนนั้นก็อึงไม่แพ้กันเขาไม่เข้าใจแค่รอยสักทำไมต้องตกใจกันด้วยพอเขากำลังเอาแขนเสื้อลงแจสเปอร์ก็จับแขนเขาไว้แล้วพยายามอ่านตัวเักษรที่รูปมังกรทัดอยู่เขากระชากมาอคืนมาทำให้แจสเปอร์ตกใจเล็กน้อยแต่เขาก็ตรวจต่อ
"เปิดผมขึ้นสิ"เขาอยากจะบ้าตายแต่ละอย่างเป็นสิ่งที่เขาทำไม่ได้สักอย่างเขาหันไปกระซิบบอกลูซี่'สะกดจิตหมอนี่สักทีฉันเปิดผมให้มนุษย์ดูไม่ได้'ลูซี่มองค้อนเขาอย่างงงแต่ก็สะกดจิตให้ผ่นไปด้วยดีจนครบหมดทุกอย่างเขาก็เอ่ยขึ้นว่า
"เธอเรียนอยู่ห้องเดียวกับญาติๆเธอหมดเลยนะ"(หมายถึงเอ็ดเวิร์ด,เวนซ์,สตรองค์,ซูซาน)พอเสร็จหมดเขาก็กลับบ้านอากาศตอนกลับบ้านตึงเครียดมากทุกคนมีคำถามพอจอดรถบิลลากเขามาติดกำแพงแล้วสั่งให้เปิดผมขึ้นเขาไม่เปิดบิลเลยเปิดเองแล้วกระชากที่ขาดตาเขาออกจนเห็นตาของเขาทุกคนอึ้งแล้วอึ้งอีกในวันเดียวไม่นานนักเขาก็หลับตาเพราะไม่อยากให้ใครถูกพลังของมันทำลายบิลผูกผ้าคาดตาให้เขาใหม่แล้วดูรอยสักเขาแทนจากนั้นก็ยิ้อบอุ่นให้เขา
"ขอโทษที่ถามหยาบคายนะแต่...นายเป็น....เอ่อ...มนุษย์โคลนใช่ไหม"บิลถามทำเอาเขาสะดุ้งเฮือก
"ใช่ผมเป็นโคลน"พอเขาพูดจบเอ็ดเวิร์ดกับบิลต่างยิ้มไม่หุบต่างคนต่างถลกแขนเสื้อขึ้นเห็นรอยสักปิดตัวอักษรไว้เหมือนกัน
"หลายคนที่นี้ก็เป็นโคลนเหมือนกันแต่เธอทำตัวไม่เหมือนมนุษย์โคลนเลยสักนด"เขาคิดว่าอย่างน้อยพวกเขาก็อ่านชื่อต้นฉบับของเขาไม่ออก
"แต่ตาของนายมันเท่สุดยอดเลยรู้ไหมม"เอ็ดเวิร์ดพูดอย่างชื่นชมจากใจ
"อืม แหะๆ"เขาพูดทีาทีเขินอายนิดหน่อย
"เอาล่ะเข้าบ้านกันก่อนเราต้องเรียนหลักสูตรการใช้ชีวิตแบบมนุษย์ก่อน"เขางงกับคำพูดนั้นนดหน่อยแต่ก็มาเข้าใจภายหลังว่าเขาต้องเดินช้าลงควบคุมอารมณ์ให้ดีที่สุดและมากขึ้นทำตัวให้เป็นคนธรรมดา'อย่ากินอาหารของโรงเรียนเด็ดขาด'นั้นเป็นคำเตือนของแซมและเซธเขารู้ว่าแทมลินเพิ่งจะป็นมังสวิรัติจึงอดทนต่อกลิ่นมนุษย์ได้ไม่ดีมักจะกระหายเขาจึงไม่ต้องไปโรงเรียนนั้นทำให้ลูซี่พลอยไม่ไปตามไปด้วยเบลล่ากับเอลล่าอยู่อีกโรงเรียนที่ติดกันแซมกับเซธไม่ไปโรงเรียนเพราะต้องลาดตระเวนรอบบ้านอยู่เกือบตลอดเวลาพวกเขาคุยเล่นกันอย่างร่าเริงจนกระทั่งกลางดึกเขานอนไม่หลับกระสับกระส่ายและคิดว่ามอร์สพีเองก็คงไม่ต่างกันเพราะถ้ามอร์สพีหลับเขาจะต้องทั้งดิ้นทั้งกรนแล้วโฟลเองก็นอนลืมตาอยู่ข้างๆเขาถอนหายใจหนักๆเป็นบางช่วง และแล้วเขาก็ลุกขึ้นโฟลกระซิบถามเขาเบาว่าเขาจะไปไหพอเขาบอกจะไปห้องน้ำเธอก็ขอไปด้วยทั้งคู่เดินมาถึงห้องน้ำแล้วความจริงแวมไพรอย่างเขาเข้าห้องน้ำไม่บ่อยนักแต่เขาจะมาเดินเล่นจึงโกหกโฟลไปตามสัญชาตญาณเขารอให้เธอเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยแล้วไปเดินเล่นแถวสวนเขาได้ยินเสียงแซมกรนอยู่บนเก้าอี้โยกตัวหนึ่งเขาคงจะเปลี่ยนเวรกับเซธอยู่เขาเดินเล่นกับเธอไปเรื่อยๆจนเขาได้ยินเสียงๆหนึ่งเป็นเสียงคนคุยกันเบาๆเขาและโฟลจึงแอบฟังเงียบๆพยายามฟังให้รู้เรื่องมากที่สุดแต่จับใจความได้แค่ว่า"เด็กคนนั้นไม่ธรรมดา-เธอมีพลังมหาศาล-เธอเป็นลูกผสมหรอ-เธอเป็นทั้งมนุษย์ทั้งแวมไพรแถมมีเชื้อหมาป่านิดๆด้วย-เด็กชายคนนั้นก็ลูกผสมหมาป่ากับแวมไพร-เด็กชายอีกคนเขามีดวงตาของจอมเย็นชาอยู่ข้างหนึ่งด้วย-แต่เขาเป็นโคลนเหมือนกับพวกเรานะ-ต้นฉบับของเขาต้องไม่ใช่แวมไพรธรรมดาแน่-นายคิดว่าใช่เขารึเปล่าคนที่มาหาเราตอนนั้นรึเปล่า-มีสิทธิ์แต่ท่าทางของเขาไม่เหมือนกันนะ-เด็กพวกนี้ไม่ธรรมดาสักคนไม่ใช่แค่หลงมาเฉยๆแน่-ถึงยังไงเขามาอยู่กับเราแล้วเราก็ปกป้องครอบครัวเรานะ-ใช่จริงด้วย"แต่เจ้ากรรมกิ่งไม้ไม่ได้รับเชิญมาวางอยู่ใต้เท้าเขาโดยไม่ได้ตั้งใจแล้วเขาก็เหยียบไปเต็มเขารู้ว่าทุกคนไวและจะวิ่งมาในไม่ถึงเซี้ยววิเขาจึงปลอมตัวเป็นแซมทำท่าทางเหมือนพิ่งตื่นเดินออกไปนี่แหล่ะความสามารถของเขาเขาสามารถเลียนแบบทุกอย่างได้แม้กระทั่งเศษฝุ่นที่ล่องลอยในอากาศเลียนทั้งเสียงหน้าตารูปร่างรวมถึงนิสัยด้วยพอเขาออกไปทุกคนก็ถอนหาใจเฮือก
"เรานึกว่าเด็กพวกนั้นมแอบฟังซะอีก"
"เด็กหรอไม่ยักกะมีตัวอะไรเลย"เขาพูดให้ท่าทางเหมือนแซมมากที่สุดและเขาก็ไม่ได้โกหกเขาเห็นแค่มนุษย์กับแวมไพรแต่ไม่เห็น'ตัวอะไร'เลยแล้วทุกคนก็เดินกลับไปห้องของตนเองยกเว้นเซธที่เฝ้ายามต่อแต่โฟลกระซิบว่าให้รีบกลับห้องด่วนเขาจึงอุ้มเธอกลับห้องอย่ารวดเร็วเขาไวกว่าทุกคนในบ้านนี้ยกเว้นโฟลในร่างนั้นเท่าน้นเามาถึงก็แสร้งทำเป็นหลับโดยมีโฟลในอ้อมแขนอย่างอบอุ่นไม่นานนักลูซี่ก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับบิลและเวนซ์พอเห็นโฟลนอนในอ้อมกอดเขาเฉยๆก็ทำหน้าเหมือนแมวโดนขโมยของเล่นแต่เข้ามาสำรวจพวกเขาตั้งแต่หัวจดเท้าบิลลูบหัวทุกคนวนมาที่เขาแล้วพูดว่าราตรีสวัสดิ์แล้วเดินออกจากไปโชคยังดีทที่เขาเดินเท้าเปล่าออกไปไม่งั้นความแตกแน่พอผ่านไปสักพักพวกเขาทุกคนก็ลุกมานั่งอยู่กลางห้องเขาเล่าสิ่งที่ได้ยินมาทั้งหมดให้มอร์สพีฟังเขาถึงกับตกใจเล็กน้อยแต่โฟลเองก็บอกว่าทุกคนสงสัยเกี่ยวกับที่มาของพวกเขาแต่ไม่มีเจตนามุ่งร้ายทุกคนรักพวกเขาเหมือนญาติคนนึงแต่นั้นก็ยกเว้นลูซี่เธอไม่ชอบหน้าโฟลเลยแต่ในใจลึกๆอยากรู้จักโฟลให้มากกว่านี้ลูซี่เกลียดโฟลที่ทำให้แทมลินทรมานในการควบคุมอารมณ์กระหายเพราะกลิ่นเธอฟุ้งอยู่ทั่วบ้านไม่นานนักโฟลก็ง่วงหลับไปเองเขามองดูเธอหลับไหลสู่ห้วงนิทราพลางยิ้มในความคิดที่ว่าเธอจะฝันอะไรฝันถึงเขารึเปล่าแต่เขาหารู้ไม่ว่าเธอได้ยินสิ่งทที่เขาคิดแล้วยิ้มกริ่มอยู่ใต้อกเขา พอรุ่งเช้าพวกเขาทุกคนตื่นด้วยเสียงเพลงของเบลล่าและเอลล่าที่ขับขานอย่างไพเราะเข้าไปในโสตประสาทของพวกเขา เขาลงไปอาบน้ำห้องอาบน้ำเป็นแบบแยกชายหญิงเป็นห้องใหญ่และที่สำคัญออกแนวออนเซนมากกว่าเพราะไม่มีห้องแบบส่วนตัวมีฝักบัวอยู่สี่ถึงห้าอันที่กำแพงฝั่งซ้ายเขาไม่กล้าถอดเสื้ผ้าออดหมดจึงใส่กางเกงบ๊อกเซอร์อาบด้วยบิลและสตรอองค์ชวนเขาแช่น้ำแต่เขาปฏิเสธแล้วรีบอาบน้ำให้เรียบร้อยหยิบผ้าขนหนูพันรอบเอวแล้วเดินไปที่ห้องแต่งตัว(ถอดบ๊อกเซอร์ออกแล้วในห้องอาบน้ำ)แล้วเลือกเสื้อผ้าแทมลินบอกว่าเสื้อผ้าทุกัวใส่ได้เพราะใส่ร่วมกันยกเว้บางไซส์ที่อาจใหญ่หรือเล็กเกินเขาใส่เสื้อสีดำบางๆกับกางเกงสามส่วนสีเทาและรองเท้าแตะเขาเดินออกไปตามกลิ่นโฟลเธออาบน้ำเสร็จแล้วแต่กลิ่นเธอไม่ได้อยู่ที่ห้องแต่งตัวแต่อยู่คนละทางเขาจึงตามไปได้ยินเสียงลุกขลักเบาๆในครัวจึงเดินไปดูเอ็ดเวิร์ดกับลูซี่กำลังโชว์ฝีมือทำอาหารโดยมีเซธเป็นคนชิมอย่างไม่เต็มใจอาหารแต่ละอย่างมีหน้าตาไม่สะสวยหรือไม่น่าทานก็ว่าได้พอเห็นเขาถึงกับหัวเราะกิ๊กแล้วเริ่มทำให้ดูเขาคิดตามจำนวนคนทั้งหมดก็สิบห้าคนเขาทำอาหารหลากหลายชนชาติไว้เยอะๆเพราะไม่รู้ใครมาจากชนชาติไหนบ้างตามด้วยของหวานของโปรดของเขา ของหวานที่เขาคิดขึ้นทาเองสูตรของเขาคราวนี้เขาลองทำเป็นรูปดาวแล้วราดคาราเมลและผงแก้เลื่ยนเขาทำไว้สิบห้าที่เขาทำอย่างกระฉับเฉงว่องไวจนเอ็ดเวิร์ดอ้าปากค้าง
"นายต้องเป็นพ่อครัวในโรงแรมที่ไหนสักแหงแน่ๆ"เอ็ดเวิร์ดเดาเขาได้แต่ยิ้มแล้ววานเซธเรียกทุกคนมาที่โต๊ะอาหาร(เพิ่งซื้อมาเมื่อวานหลังสมัครเรียนเสร็จ)เขาวางอาหารไว้อย่าสวยงามเขาทำขนมเผื่อไว้เยอะมากเพราะรู้ว่าที่นี่ทีแต่เด็กไม่นานนักทุกคนก็เริ่มลงมือกินอย่างอเร็ดอร่อยหลังจากไม่ได้กินกันมาหลายสหัสวรษไม่ใช่ว่าพวกเขากินไม่ได้พวกเขากินได้เพียงแต่ว่าเหมือนเป็นการกินขนมมากกว่าอาหารจานหลักกินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มเต็มที่แซมและเซธกำลังแย่งไก่ตัวหนึ่งจากโต๊ะยื้อยุดฉุดกระชากอยู่นนานจนไ่ก่กระเด็นกระดอนไปคละทางสุดท้ายก็อดกินไก่กันทั้งโต๊ะอาหารมื้อนี้ครื้นเครงอย่างมากพอทุกอย่างมดแล้วเขาก็เอาจานเปล่าไปวางรอล้างแล้วหยิบจานขนมออกมาวางอย่างสวยงามต่อหน้าแต่ละคนตอนแรกทุกคนก็ทำหน้างงๆแต่พอรู้ว่าไอ้ที่อยู่ตรงหน้ามันกินได้ก็หยิบเข้าปากทีละชิ้นอมเข้าไปตอนแรกมีรสหวานหอมของวนิลาละคาราเมลแล้วผงแก้เลี่ยนจึงทำให้ไม่เลี่ยนเกินไปพอกัดเข้าไปมีรสชาติเค็มนิดๆ(หรือเปรี้ยวนิดๆมีสองรสชาติ)มีของเหลวเยิ้มสอดไส้อยู่ไม่นานทุกคก็กินหมดแล้วก็ตะโกนขอเพิ่มอย่างไม่หยุดหย่อนจนมันหมดจริงๆทำเอาทุกคนหัวเสียนิดหน่อยแต่ก็ถามว่าทำยังไงสอนไ้ไหมเป็นส่วนใหญ่เขาสัญญาว่าจะสอนให้แต่คงไม่ใช่เร็วๆนี้เขาต้องการไปซื้อของในเมืองซะหน่อยเอ็ดเวิร์ดให้เขายืมเฟอรารี่สีแดงและอาสาเป็นคนขับให้โฟลและมอร์สพีเองก็ขอไปด้วยเขาไม่เกี่ยงจึงขึ้นรถ ไม่นานนักเอ็ดเวิร์ดก็มาส่งเขาที่ห้างแห่งหนึ่งแล้วยื่นบัตรเครดิตให้
"ฉันจะนังอยู่แถวร้านกาแฟตรงนี้นะพอซื้อของเสร็จก็กลับมาตรงนี้ซื้อของตามสบายนะเครดิตมีเงินพอจะศื้อห้างได้ด้วยซ้ำ"เอ็ดเวิร์ดพูดแล้วยิ้มน้อยๆ เขาโอบเอวโฟลเบาๆแล้วเดินเข้าไปซื้อของ กลิ่นของมนุษย์คละคลุ้งอยู่ทั่วจนเขาแทบทนไม่ไหวแต่เขาต้องทนเพราะหากไปโรงเรียนคนจะเยอะกว่านี้ถือเป็นการฝึกไปด้วยในตัวตรงข้ามกับมอร์สพีเพราะเขาควบคุมอารมณ์ได้ดีไม่เหมือนกับตอนนั้นกลิ่นของโฟลมันหอมหวานเชิญชวนเป็นพิเศษ มอร์สพีจีบสาวไปทั่วจนโฟลคิดว่าแวมไพรเจ้าชู้แต่พอเขาบอกว่ามอร์สพีป็นลูกผสมหมาป่าจึงเจ้าชู้ขี้หลีไปตาามธรรมชาติแต่ถ้าชอบใครจริงๆเขาก็จทุ่มเททุกอย่างให้เหมือนกันเขาเริ่มเดินซื้อของมากมายเช่นโทรศัพท์ อุปกรณ์สมัยใหม่ที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ใช้กัน กระดานวาดภาพ(ของโฟล) หนังสือและเครื่องปรุงอาหาร ตลอดทางที่เดินกลับไปที่รถมอร์สพบ่นพึมพำว่าเขาเจอเด็กสาวคนหนึ่งหน้าตาก็ออกจะสวยแต่ยาบคายน่าจะจับไปเรียนมารยาทชาตินี้ขอย่าให้ได้เจอกันอีกเลยโฟลอ่านใจมอร์สพีแล้วก็หัวเราะอกว่าสวยจริงๆด้วยโฟลสามารถมองเห็นสิ่งที่คนคนนั้นคิดอยู่ไได้เพียงแค่มอ์สพีคิดถึงหน้าเด็กผู้ญิงคนนั้นโฟลก็จะเห็นด้วยเอ็ดเวิร์ดมีสีหน้างงๆนิดหน่อยตอนที่อร์สพีเดินหน้างิกมาเขาเลยเล่าให้ฟัง เอ็ดเวิร์ดก็บอกว่าเกลียดสิ่งไหนได้ส่งนั้นมอร์สพีก็บอกว่าแช่งใครเข้าตัวเอง แล้วเอ็ดเวิร์ดก็พาเขามาดูรถที่จะใช้ขับไปโรงเรียนจนได้สองคันของเขากับของมอร์สพีสการอยู่แถมเร็วและแรงด้วยเขาเห็นโฟลดีใจจนเนื้อแทบหลุดลงมาก่อนแล้วเธอตื่นเต้นกับการไปโรงเรียนเหมือนเธอเป็นเด็หกขวบแล้วไปโรงเรียนวันแรกเขานึกขำๆเธออยู่เหมือนกัน
วันรุ่งขึ้น
เขาถูกปลุกเช้ากว่าทุกวัน(ความจริงเขาไม่นอนต่างหาก)ไม่ถูกปลุกด้วยเสียงเพลงของ เบลล่า และ เอลล่า แต่ถูกปลุกด้วยเสียงของ สตรองค์ (ยังไม่รวมที่สตรองค์กระโดดทับจนตกเตียง)เขาอาบน้ำอย่างรวดเร็วและก็โดน แทมลิน จับแต่งตัวให้ออกแนววัยรุ่นมากที่สุด โฟล เองก็ใส่กางเกงยีนขายาวและเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลแขนยาว เธอนั่งรถคันเดียวกับเขา เอ็ดเวิร์ด-เวนซ์ ขับรถนำไปก่อนตามด้วย สตรองค์-ซูซาน และก็ เขา-โฟล มอร์สพี ตามมารั้งท้ายสุดมาถึงที่โรงเรียนมีนักเรียนหลายกลุ่มนั่งอยู่หน้าโรงเรียนรอเวลาเข้าเรียนเขาจอดรถที่ลานหน้าโรงเรียน เอ็ดเวิร์ด บอกว่าถ้าลงจากรถแล้วมีคนมองให้เดินรวมกลุ่มกันเอาไว้เพราะเด็กใหม่ก็เป็นที่สนใจของทุกคนยิ่งหน้าตาดีเท่าไหร่ก็เป็นจุดสนใจเท่านั้นยิ่งโสดยิ่งไปใหญ่เขาจึงโอบไหล่ โฟล เอาไว้แล้วเดินคุยกับ มอร์สพี ไปด้วยและก็เดินตามคู่ของ เอ็ดเวิร์ด ไปด้วย ตามที่ เอ็ดเวิร์ด บอกมีแต่คนมองเป็นจุดเดียวหลายครั้งที่ มอร์สพี จะเดินแยกออกไปหลีหญิงแต่เขาก็ดึงคอเสื้อกลับมาแทบทุกครั้งจนถึงห้องเรียนเคมี พวกเขายืนรออยู่หน้าห้องรอกริ่งเรียกนักเรียนเข้าห้องเขาปล่อยให้ มอร์สพี ออกไปหลีสาวตามสบาย แต่ผิดกันมีแต่สาวๆเข้ามารุมถามรุมอ่อย มอร์สพี อย่างกับปลาแย่งขนมปังจนเสียงกริ่งดังจึงจะแยกย้ายกันไป
“มีแต่คำถามอะไรก็ไม่รู้” มอร์สพี คุยกับเขา
“แล้วไอ้อะไรไม่รู้ของแกเนี่ยมันคืออะไรล่ะ”
“ชื่ออะไร-มาจากไหน-มีแฟนรึยัง-อายุเท่าไหร่-เป็นลูกบุญธรรมของบิล คันนิ่งแฮมเหรอ-สองคนนั้นใคร-ผู้ชายคนนั้นโสดรึเปล่า-เขาชื่ออะไร-เรียนอะไร”
“ก็เป็นคำถามปกตินี่มีถามถึงฉันเหรอ”
“ใช่ คำถามส่วนใหญ่ น่ะน่าจะรู้อยู่แต่ก็ถาม ก็อย่างเช่น เป็นลูกบุญธรรมของ บิล คันนิ่งแฮม รึเปล่า ก็น่าจะรู้อยู่”
“เออ...ก็จริง เอ้า...ตั้งใจเรียนซะจะได้ไม่โง่”
“นี่...นายว่าฉันหรอเดี๋ยว....”ไม่ทันจะพูดต่ออาจารย์ที่อยู่ในชั้นเรียนก็เรียกชื่อมอร์สพี ให้ตอบคำถาม แต่เนื่องจาก มอร์สพี ไม่ได้ฟังอะไรเลยจึงตอบไม่ได้ก็โดนอาจารย์ดุไปตามระเบียบ
ช่วงพักกลางวัน
พวกเขานั่งอยู่ที่โต๊ะในโรงอาหาร โต๊ะเป็นโต๊ะสีขาวทรงกลมที่มีเก้าอี้สีดำทรงเดียวกับโต๊ะ เขาให้ โฟล กินแค่ขนมปังธรรมดาๆที่ซื้อจากร้านข้างนอก
“นายอยากออกไปพักที่ลานกว้างในช่วงบ่ายก็ได้นะฉันไม่ว่าแต่ต้องพา อลิซ ติดไปด้วยข้างหลังมีป่าทึบกับทะเลสาบอยู่ไปว่ายก็ได้แต่ระวังอย่าโดนแดดล่ะ” เอ็ดเวิร์ด บอกเมื่อเห็นพวกเขาเบื่อๆ
“อืม อาจจะไป” เขา ตอบแบบขอไปที โฟล มองค้อน เขา นิดหน่อย เธอ อยากจะว่ายน้ำล่ะมั้งไม่นานนัก เขา ก็รู้สึกอึดอัดที่นั่งอัดอยู่กับคนตั้งสี่คนในโต๊ะที่เล็กนิดเดียว เขา จึงขอแยกไปนั่งโต๊ะข้างๆพอแยกไปนั่งปุ๊บเกือบจะทันทีคนที่นั่งอยู่รอบข้างก็เข้ามารุมล้อมถามคำถาม เขา
“นายชื่ออะไร”ชายผิวดำถาม
“อาร์ล อาร์ลฟองเซ คันนิ่งแฮม” เขา ตอบ
“นายอายุเท่าไหร่”คนเดิมถามพร้อมจดลงในสมุดเล่มเล็กสีน้ำเงินไปด้วย
“อายุ 17”
“นายมาจากไหน”
“ปารีส”
“นาย...มีแฟนรึยัง”
“มีแล้ว”
“ใครเหรอ”
“อลิซ”เขาพูดแล้วเดินไปหาโฟลแล้วโอบไหล่โฟลเบาๆ เห็นผู้หญิงหลายคนถอนหายใจอย่างผิดหวัง
“แต่เอริกยังโสดนะ”เขาพูดแล้วส่งไปที่มอร์สพีแล้วชายผิวดำก็โถมเข้าหามอร์สพีถามเอาการใหญ่จนเขาและโฟลหัวเราะเป็นการใหญ่จากนั้นเวลาเดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนถามโน้นถามนี้ไปเรื่อยจนได้เวลากลับบ้านโฟลอ้อนเขาให้พาไปว่ายน้ำอยู่ทุกวันจนกระทั่งสามถึงสี่วันผ่านไปก็ยังอ้อนเขาไม่เลิก สรุปก็ต้องไปจนได้แต่ไปแนวปิกนิกมากกว่าว่ายน้ำเฉยๆมี เขา โฟล มอร์สพี เอ็ดเวิร์ด เวนซ์ พอมาถึงก็มีคนมากมายเล่นน้ำอยู่มีแสงแดดส่องบ้างเป็นบางจุดเขานอนเล่นกันอยู่แถวใต้ต้นไม้ต้นใหญ่นอนกินบิสกิตและก็ขนมที่เขาทำขึ้น(ที่บ้าน)สักพัก โฟลก็ลากเขาลงน้ำจนได้เขาพยายามว่ายออกห่างแสงแดดให้มากที่สุดเอ็ดเวิร์ดกับเวนซ์เองก็ลงเล่นน้ำด้วย(ชุดธรรมดา)
“ขนมที่นายทำให้เรากินมันชื่อว่าอะไรหรอ”เอ็ดเวิร์ดเอ่ยถามเมื่อว่ายมาพักในที่ตื้นๆ
“ชื่อ อพอลลีโอนา”
“อพอล ..อะไร...นา...นานะ”
“อพอลลีโอนา”
“อ๋อ อพอลลีโอนา แล้วมันทำยังไง”
“ก็...เริ่มจาก...”เขายังไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินเสียงคนตีน้ำดังและตะโกนให้ช่วยได้ยินเสียงน้ำอีกตูมหนึ่งอยู่ใกล้ๆ มอร์สพี นั่นเอง มอร์สพี ลากผู้หญิงผมสีทองแดงยาวเป็นลอนถึงบ่าใบหน้าซีดไม่มีสี(ธรรมดาของคนจมน้ำ) มอร์สพี ปั๊มหัวใจและผายปอดเธอเป็นการใหญ่จนเธอฟื้นมามองรอบสักพักก็สลบไปอีก
“พาเธอไปที่บ้านก่อนบ้านเราอยู่ใกล้ที่สุด” เอ็ดเวิร์ด สั่งแล้ว มอร์สพี ก็อุ้มเธอขึ้นรถโดยไม่สนใจสายตาใครสักคน พวกเขา เองก็รีบขึ้นรถตามไปเช่นกันพอมาถึงบ้านก็รีบหายาหาผ้ามาดูแลเธออย่างดี เขา เองก็ไม่เข้าใจว่า มอร์สพี เป็นอะไรของ เขา เพราะ เขา ไม่เคยทำอะไรให้ใครขนาดนี้แถมยังขอให้ โฟล เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เด็กคนนั้นด้วยพอทุกอย่างเรียบร้อย บิล เรียก มอร์สพี ไปคุยอย่างส่วนตัวที่ไม่ค่อยจะเป็นส่วนตัวเท่าไหร่เพราะกำแพงบางมากจึงแอบฟังกันไปกันแทบทุกคน(โฟลดูแลเด็กหญิงอยู่) เรียงรายเหมือนเกณฑ์ทหาร หูทุกคนแนบอยู่กับกำแพงสนิทแล้วบทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้น
“เธอชื่ออะไร” บิล ถาม
“ผมไม่รู้” มอร์สพี
“นายรู้จักเธอไหม”
“ไม่”
“นายไม่รู้จักเธอแต่นายช่วยเธอ”
“ผมรู้สึกว่าไม่อยากให้เธอตาย”
“นายรู้อะไรเกี่ยวกับเธอบ้าง”
“ผมรู้แค่ว่าเธออยู่คนเดียวเลี้ยงตัวเองมาแต่เด็ก”
“นายรู้ได้ยังไง”
“ตอนที่ผมแตะตัวเธอเหมือนความทรงจำของเธอถ่ายเทมาสู่ผม”
“ขอโทษนะแต่นายบังคับฉันเอง”พอจบเสียงของ บิล มอร์สพี ก็ร้องอย่างเจ็บปวดเขารู้ความหมายของเสียงนั้นนั่นทำให้ตัวเขาสั่นสะท้าน บิล กัด มอร์สพี เขา จะเห็นไหมว่าเราเป็นใคร เขา จะเห็นไหมว่าเรามาจากไหน(หากแวมไพรกัดแวมไพรด้วยกันแล้วความทรงจำของแวมไพรที่ถูกกัดจะถ่ายทอดมาสู่ผู้กัด แต่ผู้กัดนั้นต้องมีพลังมหาศาล แต่หากพลังไม่แก่กล้าพอก็จะเห็นแต่สิ่งที่อยากรู้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น และการทำเช่นนั้นจะทำให้อ่อนล้าลง)แต่มีเสียงๆหนึ่งทำให้เขาโล่งอก เสียงหอบหนักๆของ บิล
“นายตามเธอ”บิลพูดหลังจากหอบอยู่นาน
“…..”
“ทำไม”
“ผมเองก็ไม่รู้ ผมเจอเธอครั้งแรกที่ลานจอดรถจากนั้นก็ในห้องเรียน ผมมีความรู้สึกอยากจะเฝ้าดูเธอเงียบๆอยากจะคุยกับเธอแต่ไม่กล้า แค่คิดว่าเดินไปหาเธอมันอาจจะทำให้หัวใจผมเต้นแรงก็ได้ถ้าผมมีหัวใจ”
“Love at first sight. หรอ”
“ก็อาจจะใช่”
“นาย... Feuds...ไปแล้วรึยัง”
“....ไม่...ผมยังไม่ได้ผูก”
“ดีแล้วอย่าแม้แต่จะคิดแล้วกันเพราะนายรู้ดีว่ามันเป็นรักข้ามเผ่าพันธุ์90%ไปด้วยกันไม่รอดนะ”
“ครับ”
“นายรู้ใช่ไหมว่าที่นายทำอย่างนั้นมันเสี่ยงถูกเปิดโปงนะ ทั้งนายว่ายผ่านแสงแดดทั้งนายว่ายด้วยความเร็วของแวมไพรถ้ามีคนเห็น”
“ผมดำอยู่ใต้น้ำลึกก่อนจะไปช่วยเธอคาดว่าคงไม่มีใครเห็น”
“แน่ใจนะ”
“ครับ”
“ไปให้แทมลินทำแผลให้ไป”
“ครับ”สิ้นเสียงนั้นพวกเขาก็แยกย้ายไปทำเรื่องต่างๆอย่างรวดเร็วแทมลินก็ลงมือรักษารอยกัดที่มีของเหลวสีแดงอ่อนๆเลอะอยู่ตามเนื้อหนัง(ทุกส่วนของร่างกายแทมลินมีพลังรักษา)จากนั้นก็มายืนอยู่รอบเด็กสาวคนนั้นเด็กสาวค่อยๆปรือตาขึ้น
“ฉันอยู่ที่ไหน”เด็กคนนั้นถามเสียงแหบๆ
“อยู่ที่บ้านของเรา”โฟลเป็นคนตอบหลายครั้งที่มีคนจะพูดแต่โฟลถลึงตาใส่จนเงียบหมดพวกเขาเข้าใจเพราะเธอคนนั้นจะต้องกลัวแน่ถ้าอยู่ๆพูดมาพร้อมกัน
“พวกคุณเป็นใคร เกิดอะไรขึ้นกับฉัน”เธอพูดแล้วยันตัวขึ้น
“ฉัน อลิซ คันนิ่งแฮมจ๊ะ เธอจำอะไรไม่ได้เลยหรอ”
“ฉันจำได้ว่าฉันไปเล่นน้ำ แล้วจากนั้น......ฉันก็จำไม่ได้เลย”
“เธอจมน้ำฉันว่าเธอซดน้ำเข้าไปหลายอึกเชียวอยากจะพักผ่อนก่อนหรืออยากจะกลับบ้าน”
“ฉันไม่มีบ้านให้กลับหรอก บ้านฉันโดนเผาไปแล้ว”เธอพูดเสียงเศร้าๆ
“งั้นพักที่นี่ก่อนนะนอนที่ห้องฉันก็ได้”เธอพูดคำนี้ทำให้เขาเริ่มโต้เถียง
“อลิซ ฉันจะนอนไหนล่ะ”
“ก็นอนกับเอริกไง”
“ไม่เอา...ฉันจะนอนในห้องกับเธอ เธอไล่ฉันไม่ได้หรอก ยังไงฉันก็จะนอน”เขาพูดเสียงงอนๆปนโกรธทำให้คนที่เหลือหัวเราะคิกคัก
“ก็ฉันไม่ให้นอนหัดรับแขกซะบ้าง”
“ไม่เอา.....”
“หุบปาก”
“ไม่ เอริกพาเธอมาก็ให้เธอนอนห้องเอริกซิทำไมต้องมาแย่งห้องฉันนอนด้วย”
“นายลืมไปแล้วหรือไงว่าเอริกเป็นผีดู......”
“ได้สิ”มอร์สพีพูดแทรกก่อนที่โฟลจะพลั้งพูดอะไรออกไป (ความจริงห้องว่างที่พวกเขานอนในคืนแรกก็ใช้ได้แต่ทุกคนลืมไปซะสนิท)
“ฉันจะพาเธอไปนะ ไปนอนห้องฉันเอาเพราะฉันนอนคนเดียวไม่มีปัญหาหรอก เธอลุกไหวไหม”
“ก็ไหว ขอโทษที่รบกวนนะ”
“ไม่เป็นไร”พูดแล้วเธอคนนั้นก็พยายามจะยืนแต่ก็จะล้มในเวลาเดียวกัน เอริกจึงอุ้มเธอขึ้นไปบนห้อง
“นี่เขาชอบเธอจริงๆใช่ไหมเนี่ย”ลูซี่
“น่าจะใช่”เอ็ดเวิร์ด
“ไว้ใจได้ไหมเนี่ย”อลิเซีย
“ผมอยู่ห้องข้างๆถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลผมจะไปดูเอง”อาร์ล
“ฝากด้วยล่ะกัน”บิลจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายไปอาบน้ำนอนกันเขากับโฟลเองก็เช่นกัน
ตอนนี้เธอและเขามานั่งเล่นอยู่บนเตียงคุยไปคุยมามีจังหวะที่เขาสบตาเธอเหมือนมีแรงดึงดูดมหาศาลที่ยากจะต่อต้านดึงตัวเขาให้เข้าใกล้เธอจุมพิตอย่างเบาบางและเร่าร้อนเขาคิดว่ามันอันตรายก็จริงแต่เห็นเธอในร่างนั้นแล้วคงไม่มีปัญหาเขาบรรเลงต่ออย่างไม่หยุดซุกไซ้ใบหน้าเข้ากับลำคอของเธอแล้วแล้วในที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงหอบถี่ๆและเสียงครางเบาๆว่า “ฉันรักเธอนะ” พอสักพักโฟลก็สะดุ้งแล้วบอกให้รีบไปหามอร์สพีเดี๋ยวนี้
เขาคว้าผ้าเช็ดตัวคลุม เขาก็รีบวิ่งเปิดบานประตูที่ไม่ได้ ล็อกออกอย่างง่ายดายไปเห็นภาพมอร์สพีกำลังจะฝังเขี้ยวลงบนลำคออันเปลือยเปล่าของสาวน้อยไร้เดียงสาคนนั้นเขาจึงตะครุบจับเขาตรึงแขนขาจนเขาสงบลงส่วนคนอื่นๆได้ยินเสียงตึงตังก็รีบวิ่งมาดูและเป็นอีกครั้งเมื่อแทมลินเห็นเลือดที่เกิดจากเขี้ยวของมอร์สพีเจาะเข้าไปในเนื้อหนังของเด็กสาวก็เกิดอาการคลั่งไม่แพ้กันจน ลูซี่ลากออกไปข้างนอกบิลรีบเข้าไปเลียปากแผลจนปิดสนิท(น้ำลายแวมไพรมีพลังรักษา)เด็กสาวคนนั้นตัวสั่นเทาแต่ไม่กรีดร้องโฟลอาสาจะดูแลเธอเองให้เขาพามอร์สพีและคนอื่นออกไป
“ไม่เป็นไรแล้วนะสาวน้อยไม่เป็นไร”
“ออกไปให้พ้นนะ ออกไป อย่าเข้ามา”
“ไม่ดูฉันสิ ฉันไม่ทำเธอหรอก ฉันเป็นมนุษย์ดูฉันสิแตะตัว ฉันสิฉันเป็นมนุษย์ ฉันไม่มีเขี้ยวงอกออกมาหรอกน่า”เธอปลอบหญิงสาวมีท่าทีลังเลก่อนจะยื่นมือออกมาแตะแขนของโฟลแล้วดึงเธอเข้าไปกอด
“เกิดอะไรขึ้น”
“มาถึงขั้นนี้แล้วฉันคงโกหกเธอไม่ได้ฉันจะบอกแต่สัญญาได้ไหมว่าจะไม่บอกใคร”
“ฉันสัญญา”
“เธอเคยได้ยินตำนานเรื่องแวมไพร ผีดูดเลือดยามรัตติกาลอะไรพวกนี้ไหม”
“เคย”
“พวกเราเกือบทุกคนที่นี่เป็นแวมไพรยกเว้นฉันเธอชื่ออะไร”
“ฉันชื่อ แฮรี่(Harry)
“ชื่อ การทรมานหรอแปลกดี ใครตั้งให้”
“ฉันตั้งเอง”
“โอเคมาต่อกันนะคือเมื่อกี้เอริกคงกำลังคลั่งกลิ่นเลือดในตัวเธอเขาเลยกระหายก็เพียงเท่านั้นแต่ไม่ต้องกลัวนะฉันอยู่ห้องข้างๆนี่เองมีอะไรก็ตะโกนเรียกได้แล้วก็เวลาอยู่กับเอริกอย่าเปิดเนื้อหนังมังสามากแต่ฉันว่าเขาต้องโกรธตังเองแน่ที่ทำอย่างนั้นแต่ฉันก็ว่าอีกว่าเขาชอบเธอนะ”
“ไม่หรอกมั้ง”
“รู้ไหมเขาเป็นห่วงเธออย่างกับอะไรดีทั้งที่ยังไม่รู้ชื่อเธอด้วยซ้ำ”
“จริงหรอ”
“แต่ยังไง เขาอาจจะนอนนี่หรือไม่ก็ได้ เพราะแวมไพรไม่ต้องนอนก็อยู่ได้”แล้วพวกเธอก็คุยกันสักพักก็เลิกรากลับมาที่ห้องนั่งเล่นบนเตียงเธอเล่าเรื่องให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้นบ้างแต่ตอนนี้ไฟราคะในกายเขามันไม่ยอมดับจึงโพล่งออกไปว่า
“อลิซ มาต่อเถอะ ฉันไม่ไหวแล้วจริงๆ”(ที่พูดว่า อลิซเพราะเผื่อว่ามีใครแอบฟังเนื่องจากกำแพงบางมากคนจามยังได้ยิน)
เขาจึงเข้าเล้าโลมเธออย่างหนักโดยที่เธอเองก็ไม่ขัดขืน เพราะเธอเองก็ต้องการไม่แพ้กัน แต่แล้วเสียงประตูก็เปิดออกดัง ปัง ใหญ่โดยมีร่างของชายผมสีทองแดงเข้มยืนขวางประตูด้วยท่ายืนไขว่ห้างและก็กระแอมเบาๆ เขาสบถออกมาโดยไม่รู้ตัว
“พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า อย่าทำอะไรที่มันทำให้ต้องนอนดึกได้ไหม อดไว้วันหยุดเอาดีกว่าไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้หน้าตาก็หมองกันพอดี”เอ็ดเวิร์ดพูดจบก็เดินออกไปโดยไม่ฟังใครพูดเลยสักคน
“ฉันว่าเขาพูดถูกนะ”เขาพูดกับโฟล
“ใช่ฉันก็ว่างั้น”
“เรา...นอนกันดีกว่าเนอะ”
“อืมใช่นอนดีกว่า”เธอพูดแล้วมุดตัวกลับไปในผ้าห่มเขาก็เขยิบตามในความเป็นจริงเขาไม่ต้องนอนเลยก็ได้แต่นั้นสำหรับเฉพาะคนที่ฉีดเซรุ่มเข้าไปแล้วซึ่งมีแต่คนในวังเท่านั้นที่ทำได้เขาจึงต้องข่มตาหลับทั้งๆที่อยากออกไปชมพระจันทร์กับดวงดาวแทบตาย แต่เขาก็ไม่ได้หลับจริงๆซักเท่าไหร่เขานอนหลับตาลงเฉยๆนอนนิ่งไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าครั้งหนึ่งโฟลเอามือมาฟาดหน้าเขาจังๆจนเป็นรอยช้ำที่โหนกแก้มขวาแน่นอนเธอหลับอยู่จนในที่สุดเขาก็ได้เวลาตื่นเขาตื่นเช้ามากๆเพื่อมาทำอาหารเช้าให้ทุกคนในบ้านกิน(ทุกคน ที่เป็นคน)แล้วก็ทำขนมหวานใส่กล่องให้เบลล่ากับเอลล่าไปโรงเรียนตามคำขอพอทุกคนทำกิจวัตรประจำวันเสร็จภายในสิบนาที(กิจวัตรประจำวัน: อาบน้ำ แต่งตัว เก็บที่นอน ทำกับข้าว+กินข้าว ทำงานบ้านสารพัดตั้งแต่กวาดบ้านยันล้างห้องน้ำ) เสร็จก็มานั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยเหมือนทุกเช้า
“พ่อเมื่อวานอาร์ลกับอลิซ...”เอ็ดเวิร์ดพูดขึ้นหลังจากทุกคนเล่าเรื่องสนุกๆกันไปสักพัก
“เรานอนดึกมากๆเลยครับ คุยกันทั้งคืนเลยครับ”เขาพูดขัดขึ้นแล้วถลึงตาใส่เอ็ดเวิร์ดทำให้ทั้งเวนซ์ทั้งบิลหัวเราะอย่างร่าเริงเพราะทุกคนรู้ว่าเอ็ดเวิร์ดหมายถึงอะไร
“เอาเถอะแล้วเรื่องเด็กผู้หญิงคนเมื่อวาน”บิลข้ามเรื่อง
“เธอชื่อแฮรี่ พ่อตาย แม่หายสาบสูญบ้านเธอถูกไฟไหม้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเธอนอนอยู่ข้างถนนพร้อมกับเสื้อผ้าที่ฉวยเอามาได้น้อยนิดอาบน้ำตามคูคลองทะเลสาบในตอนนั้นที่เธอจมน้ำเธอบอกว่าเหมือนมีใครมาจับขาเธอไว้แล้วบีบอย่างแรงทั่วทั้งเท้าไม่ใช่แค่จุดเดียว ฉันคิดว่าเธอเป็นตะคริวและเธอก็เห็นสิ่งที่มอร์สพีทุกๆอย่างแต่เธอคิดว่านั้นเป็นความฝัน”โฟลอธิบาย
“แล้วสรุปจะทำยังไงกับเธอ”อลิเซียถาม
“พ่อคงไม่รับเลี้ยงเธอในบ้านหลังนี้ใช่ไหม แบบว่าแทมลินทนไม่ได้หรอกเขาคลั่งแทบตายพ่อก็เห็น”ลูซี่ค้าน
“นั้นก็จริงแต่เราให้เธอกลับไปนอนข้างถนนไม่ได้เด็ดขาด”บิลตอบ
จู่ๆตามอร์สพีก็มองตรงไปข้างหน้าลอกแลกเล็กน้อมเหมือนมองตามอะไรบางอย่าง ในโลกของเขา
“หากเธออยู่ในบ้านหลัง เธอจะตาย แทมลินจะฆ่าเธอผมเห็น”มอร์สพีพูด
“นายเห็นอย่างงั้นหรอ นายหมายความว่าไง”แซมถาม
“แทมลินยังไม่ได้ฆ่าใครซะหน่อยส่วนเด็กนั้นก็เดินเล่นอยู่หน้าบ้านนี่”เซธต่อ
“คุณมองเห็นอนาคตหรอ”เบลล่าและเอลล่าถามพร้อมกัน
“ใช่ ฉันมองเห็นอนาคตแต่มันก็ไม่บ่อยนักหรอก”ทุกคนทั้งอึ้งทั้งทึ่งในแบบฉบับกู้ไม่คืนแต่แล้วบิลก็เรียกสติได้ก่อน
“แล้วอย่างนั้นเราจะให้เธอไปอยู่ไหน นายบอกเราได้ไหม”แทมลินถามมั่ง
“มโนภาพของเขาไม่แน่นอน จะเปลี่ยนแปลงตามการตัดสินใจ” อาร์ลบอก
“แล้วจะเอายังไง เธออยู่ไหนก็ไม่ได้”ลูซี่ถามเพราะเริ่มรำคาญเธอไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะมีมนุษย์มารู้ความลับของแวมไพร
“อยู่ที่บ้านหลังเก่าเราก็ได้นี่ตัวบ้านอยู่ห่างออกไปนิดนึง ทำให้ไม่มีกลิ่นมนุษย์ผ่านมาถึง และสามรถสังเกตการณ์จากตึกฝั่งเราได้ แถมเป็นทางผ่านไปโรงเรียนจอดรถรับเธอที่นั้นก่อน แล้วก็ไปโรงเรียนยังได้ แล้วไปเที่ยวหาเธอได้ตลอดเวลาอีกด้วยไม่มีตรงไหนเสียหายเลย”เอ็ดเวิร์ดออกความเห็นทำให้ทุกคนเออออตามด้วยจึงสรุปกันตรงนั้น แต่แล้วก็มีคำถามที่ทำให้มอร์สพีลำบากใจมากที่สุด
“นายชอบเธอรึเปล่า”เซธถามแต่นั้นก็ทำให้มอร์สพีถามหัวใจตัวเองเช่นกันสุดท้ายเขาก็ได้คำตอบ
“ไม่ผม ไม่ได้ชอบเธอ”คำตอบทำให้เขาอึ้งไปพักหนึ่งแล้วเวนซ์ก็พูดว่า
“เขาพูดจริงเขาไม่ชอบเธอ”
“นายรักเธอรึเปล่า”คำถามนี้ยากกว่าคำถามแรกเขาไม่รู้จักคำว่ารักเลยด้วยซ้ำอยู่ในวังเขาก็มีแต่ความ เกลียดชัง เข่นฆ่า ร้างแค้น ผิด ศีลธรรม ส่วนเรื่องชอบผู้หญิงที่เขาจีบทุกคนเขาก็ชอบทุกคนแต่ไม่เหมือนคนนี้เขารู้สึกเกลียดเธอแต่ก็อยากปกป้องเธอในเวลาเดียวกันอยากอยู่ใกล้เธอให้มาที่สุด ไม่อยากให้เธอเป็นอะไรเขาคิดว่านี้คงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องแต่เขาก็อยากลองตอบดูว่าเวนซ์จะว่ายังไง
“ไม่ผม ไม่ได้รักเธอ”พูดจบทุกคนก็มองเวนซ์เป็นตาเดียวทุกอย่างเงียบงันแล้วเวนซ์ก็ถอนหายใจ
“เขาโกหก เขารักเธอแต่ฉันว่าเขาไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังรักอยู่”เวนซ์ตอบมาทำให้มอร์สพีเองก็อึ้งไม่แพ้กัน
“เขาต้อง Feuds ไปแล้วแน่ๆเลยนี้มันเป็น Love at first sight. ที่แปลกประหลาดที่สุดที่เคยเห็นเลย”อลิเซียพูดแล้วบิลก็มองนาฬิกาแทบตาถลน
“ให้ตายเถอะ พ่อมีเวลาห้านาทีเพื่อไปเข้าเวรให้ทันพวกเธอก็ต้องไปโรงเรียนเดี๋ยวนี้เลยออกไปเร็ว”เสียงของบิลทำให้ทุกคนเร่งรีบเพราะเขาเป็นตำรวจต้องตรงต่อเวลา เด็กสาวที่ชื่อแฮรี่นั้นก็ขึ้นรถไปกับมอร์สพีจนมาถึงโรงเรียนโฟล บอกว่าเด็กคนนั้นกังวลว่าจะถูกสักถามที่โรงเรียนจนคิดอยู่แค่นั้น
พอถึงโรงเรียนรถของบ้านคันนิ่งแฮมจอดเรียงรายอย่างสวยงามคนขับแต่ละคนลงรถไปเปิดประตูให้ผู้ซ้อนพร้อมกันเหมือนว่าเตี๊ยมกันมาอย่างดีทุกคนมายืนรอสมาชิกลุกออกจาเบาะนั่งครบทุกคนมอร์สพีเดินออกจากรถอย่างสง่างามเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวไม่ว่าจะทำอะไรเขาดูสง่างามแม้กระทั่งเวลาหัวเราะแปลกๆ เขาเลื่อนตัวไปเปิดประตูให้แฮรี่อย่างรวดเร็วทุกคนจ้องเป็นตาเดียวรอดูว่าใครจะออกมาจากประตูที่มอร์สพีเปิดให้ อาร์ลสาบานว่ามีคนอุทานว่า “โอ้พระเจ้า”มากกว่ายี่สิบหกคนในลานจอดรถเมื่อแฮรี่เดินลงมาพอมอร์สพีปิดประตูรถเขารอให้แฮรี่เดินไปอยู่ข้างๆโฟลก่อนจึงเดินไปทิ้งระยะห่างจากแฮรี่มากโข(มารู้เอาทีหลังว่ากลัวว่าตาจะกลายเป็นสีชมพูชัดเกินไป) โฟลไปส่งแฮรี่เข้ากลุ่มของเธอจึงกลับมาเพื่อนๆของเธอสักถามเป็นการใหญ่พวกเขาไปตู้ ล็อกเกอร์ ของตนเองเก็บของแล้วจู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของโฟลเขารี่ตรงไปหาเธอทันทีจำไม่ได้ด้วยว่าใช้ความเร็วขนาดไหนเขาเห็นคนหลบลีกอะไรสักบางคนถึงกับปีนไปอยู่บนตู้ ล็อกเกอร์ด้วยซ้ำเขาตรงเข้าหาเธอทันทีเวนซ์และเอ็ดเวิร์ดตามมาทีหลังเธอช็อกพูดไม่ออกมือขาและลำตัวชุ่มไปด้วยเลือดข้างๆมีร่างครึ่งบนที่ไร้วิญญาณของสุนัขพันธุ์ ออสเตรเลียน แคทเทิล ด็อก
“พระเจ้า งู มันเข้ามาในโรงเรียนได้ไง แล้วยังหมาอีกฉันว่าต้องมีคนเล่นตลกกับเธอแน่เลย อลิซ”เด็กหญิงผมสีทองลอนยาวสูงประมาณห้าฟุตหกนิ้วน้ำเสียงตอนแรกดูตื่นตระหนกแต่พอคำว่า อลิซ มันกลายเป็นน้ำเสียงเย้ยหยันอย่างสะใจโฟลหันขวับไปหาผู้หญิงคนนั้นสักพักเธอก็อ้าปากค้าง ตกใจ โกรธ งงงวยถึงเธอจะเก็บอาการนั้นขนาดไหนเขาก็รู้อยู่ดีจากนั้นแม่สาวผมทองเดินสะบัดบ๊อบออกไปท่ามกลางฝูงคนที่ฮือฮามีเด็กสาวคนนึงใกล้นั้นบอกว่า
“ฉันโทรติดต่อ 911แล้วอลิซอีกเดี๋ยวพ่อบุญธรรมเธอก็มา” จากนั้นเขาก็ใช้ผ้าคลุมไหล่จากเวนซ์คลุมตัวเธอและพาเธอเดินฝ่าฝูงชนไปที่ห้องน้ำอาจารย์ที่เป็นห้องเดี่ยวล้างแขนขาและลำตัวเธอให้สะอาดพอจะกลับบ้านได้โดยที่แทมลินไม่คลั่งเพราะเขารู้สึกว่ามีกลิ่นเลือดคนด้วยแต่ไม่ใช่ของ โฟลพวกเขาทุกคนเดินมาที่ลานจอดรถเขาบอกกับคนอื่นๆว่า “ไม่ต้องไปก็ได้ไปเรียนเถอะ” แต่พวกเขาพูดกลับมาว่า “ต่อให้โดนไล่ออกฉันก็ไม่สนแล้ว”เขาขับรถกลับบ้านอย่างรวดเร็วคนอื่นๆที่อยู่ที่บ้านเห็นสภาพโฟลเปื้อนเลือดก็ตื่นตระหนกไม่แพ้กันเขาพาเธอมานั่งที่โซฟาเพื่อให้สบายขึ้นแต่เธอก็กรีดร้องแล้วบอกว่าขาเธอกำลังจะฉีกออก ลูซี่บอกว่าเธอโดนงูกัด(ลูซี่เคยเรียนแพทย์มาหลายศตวรรษก่อนจะเจอแทมลิน)ต้องดูดเลือดออกอย่างด่วนพิษกำลังเคลื่อนที่ เขาเถียงเธอว่าเขาทำไม่ได้ เขาจะหยุดไม่ได้
แต่เธอพูดมาว่า “ถ้ามันเคลื่อนที่ออกจากบริเวณขาแล้วมันจะเข้าสู่หัวใจทันที”เขาจึงถามว่าพิษอยู่ที่ไหนเธอคลำบริเวณขาไปมาแล้วก็ชี้จุดเขาไม่รีรอกัดเข้าไปทันทีดูดเลือดออกทีละน้อยๆแต่สมองเขาลืมไปแล้วว่าดูดเลือดเธอเพื่ออะไร เขาหยุดยั้งมันไม่ได้เสียงของ ลูซี่ที่ตะโกนห้ามเขาไม่ได้แทรกซึมสู่โสตประสาทเขาเลยแม้แต่น้อย เขายังคงดูดเลือดเธอไปเรื่อยตามสัญชาตญาณจนมีร่างหนึ่งกระแทกเขาอย่างแรงจนเขากระเด็นอออกจากร่างของเธอดันเขาเข้าไปหลังโซฟาด้านที่อยู่ตรงข้ามคนอย่างน้อยสี่คนกดเขาลงกับพื้นแน่นสองคนที่แขนอีกคนที่ขาสองข้างและมีอีกคนนั่งทับตัวเขาอยู่
“ใจเย็นสิใจเย็นนิ่งไว้ๆ มันแค่...มันแค่...เลือด...เอง”คนที่นั่งทับตัวเขาอยู่จับคอเขายันขนานกับพื้นโลกเรียกสติของเขาให้กลับมาทีละน้อยๆเขี้ยวของเขาบัดนี้มันหายไปแล้วหายใจช้าลงจนอยู่ในระดับปกติมือที่เย็นเฉียบของยิ่งเย็นเข้าไปใหญ่ เขากำลังโกรธตัวเอง เขาเกือบจะฆ่าเธอด้วยซ้ำ ตอนนี้สติเขากลับมาอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้าร่างที่กระแทกใส่เขาไม่ว่ามันจะเป็นอะไรหรือใครส่วนสูงอย่างต่ำต้อง หกฟุตขึ้นแถมเขารู้สึกได้ถึงขนสากๆหยาบๆด้วยแต่จิตเขาเพ่งไปที่กลิ่นเลือดของเธอมากไปจึงไม่รู้ว่า “สิ่งนั้น”มีกลิ่นเป็นยังไงพอรู้สึกตัวเขาก็มองไปรอบๆหาเจ้าสิ่งนั้นและเขาก็เห็นมันดวงตาสีเหลืองโตอำพันสูงกว่าสองเมตรลำตัวไม่ต้องพูดถึงแผงคอมีขนหนาสีน้ำตาล ปนแดงหุ้มอยู่ หางเป็นพวงสวยงาม ใบหูรูปสามเหลี่ยมกระดิกบ้างบางครั้งเขี้ยวสีขาวคู่ใหญ่รวมกับฟันอันน่ากลัวที่มีน้ำลายห้อยระโยงระยางอยู่ตามซี่ฟันเหมือนเชือกผูกใบเรือ เท้าคู่มหึมามีกรงเล็บสีดำขลับจิกอยู่บนพื้นพร้อมจะตะครุบแล้วฉีกร่างเหยื่อเป็นชิ้นๆ
“มนุษย์หมาป่า”เขาพึมพำเบาแต่ก็คงดังเกินไปจนคนเขาได้ยินกันแทบทุกคนแต่ในที่สุดเขาก็ละสายตาจากร่างมหึมานั้นแล้วไปสนใจโฟลแทนตอนนี้เธอเสียเลือดมากต้องพาเธอไปโรงพยาบาลเขาอุ้มเธอขึ้นรถแล้วขับออกไปแต่มีอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่ารอเขาอยู่มันเป็นเพียงคำถามเดียวสั้นๆ ‘โรงพยาบาลอยู่ที่ไหน’เขาคิดแล้วแต่คิดไม่ออก สวรรค์ทรงโปรดเขาเห็นป้ายบอกทางไปโรงพยาบาลพร้อมทั้งกลิ่นยาอยู่ไม่ไกลจากนี่เขาก็ตะบึงรถตรงไปทันที เขาพาเธอไปในสภาพชุ่มทั้งน้ำชุ่มทั้งเลือดที่ล้างไม่ออกโชคดีที่แทมลินใจสู้พอรักษารอยกัดให้เธอไม่งั้นปัญหาใหญ่แน่ๆพวกหมอดูแลเธออย่างดีเอาใจใส่เธออย่างมากแต่นั้นไม่ถึงหนึ่งในล้านเท่าของที่เขาเป็นห่วงเธอเลยเขารู้สึกว่าเธอจะปลอดภัยเมื่อถึงมือหมอแต่เขาไม่ชอบสิ่งหนึ่งที่โรงพยาบาลก็คือ ซักถามมากเกินความจำเป็น หลายครั้งเขาอยากจะบีบคอพยาบาลที่มาถามถึงที่อยู่ รวมทั้งประวัติส่วนตัวเธอไม่นานคนที่เหลือก็ตามมาจนทันมีชายร่างกายกำยำมาด้วยเขาเดาว่าคนนี้คือมนุษย์หมาป่าพอทุกคนถามถึงอาการ เขากลับตอบไม่ได้สักอย่างเพราะหมอไม่ยอมบอกอะไรเขาเลย เขาเลยอาศัยประสาทสัมผัสในการฟังเท่านั้นแต่ได้ยินที่เป็นเนื้อหาก็คือ เธอเสียเลือดมา เธอช็อก เธอขาดออกซิเจน เราไม่มีเลือดกรุ๊ปเดียวกับเธอที่โรงพยาบาลนี้ เธอกำลังจะแพ้ หัวใจเธอกำลังจะหยุดเต้น ประโยคสุดท้ายทำให้เขาทรุดตัวลงฮวบไปกับเก้าอี้สุดท้ายเขาก็ตัดสินจะแปลงเป็นโมเลกุลอากาศแทรกซึมผ่านช่องของประตูจนถึงเตียงที่มีร่างของเธอนอนอยู่เธอใส่เครื่องช่วยหายใจเสียงกรีดร้องของเครื่องวัดชีพจรดังโทนเดียวยาวและนาน เส้นขีดตรงไร้แววขยับเขยื้อนหมอปั๊มหัวใจเธอครั้งแล้วครั้งเล่าแต่สุดท้ายหมอก็รามือวางทุกอย่างแล้วเดินกลับไปที่ประตูเขาก็แทรกซึมบรรยากาศไปกองตรงหน้าเอ็ดเวิร์ดที่ยืนอยู่แล้วคืนร่างทรุดฮวบกอดเข่าและร้องไห้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต่อไปจะทำยังไงเขาพาเธอหนีออกจากฝูงแวมไพรขนาดใหญ่แต่ต้องกลับมากลายเป็นคนฆ่าเธอเองเขารู้สึกต่ำช้าที่สุดเอ็ดเวิร์ดวางมือบนบ่าเขาเบาอย่างปลอบโยนหมอออกมาจากประตูด้วยสีหน้าสลดบิลตรงเข้าไปหาหมอทันที
“เธอไม่รอดใช่ไหมครับหมอ”
“ครับ เนื่องจากเธอเสียเลือดมากแต่เราไม่มีเลือดกรุ๊ปเดียวกลับเธอในโกดังและตอนนี้เธอยอมแพ้หัวใจของเธอหยุดเต้น หมอพยายามช่วยเต็มที่แล้วแต่คนไข้เสียเลือดมากเกินไปจริง”
“ขอบคุณครับหมอ”พอเขาพูดจบ หมอก็เดินออกไปแต่ยังไม่ถึงสามก้าวก็มีพยาบาลวิ่งหน้าตาตื่นออกมาเรียกหมอเขาเองก็ยังงงอยากเข้าไปดูแต่คนเยอะเกินไปทำให้แปลงเป็นโมเลกุลไม่ได้เขาได้แต่รอ รอ และรอในที่สุดหมอก็ออกมาเขาตรงรี่เข้ามาหมอทันที
“เธอเป็นไงบ้างหมอ”
“เธออาการดีขึ้นครับ แต่เธอต้องพักผ่อนที่โรงพยาบาลสองสามวันเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงกว่านี้ก่อน แต่เธอสู้จริงๆครับจู่ๆหัวใจเธอก็เต้นเองโดยธรรมชาติโดยไม่มีสิ่งกระตุ้นเลย”หมอพูดยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นเขาจะเข้าไปหาโฟลแต่หมอบอกว่าเธอควรพักผ่อนก่อนน้ำตาที่แสดงถึงความอ่อนแอของเขาบัดนี้มันเหลือเพียงคราบจางๆเท่านั้นเขานั่งอยู่ข้างเตียงนอน กุมมือเธอไว้แน่นไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนคล้ายกับว่าเขาจะเป็นคนที่เห็นเธอลืมตาคนแรกบางครั้งแค่เธอกระดิกนิ้วนิดเดียวเขาก็กระโดดแล้วตะโกนให้คนอื่นมาดูทั้งๆที่ไม่มีใครอยู่เลยมีเอ็ดเวิร์ดกับเวนซ์มาด้วยบางครั้งเธอหลับไปหนึ่งวันเต็มๆแล้วเขานั่งจ้องเธอมา แปดชั่วโมงนิดโดยที่ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนไม่กระพริบตาด้วยกุมมือและมองหน้าเธอ แล้วเขาก็เห็นความเปลี่ยนแปลงตาของเธอตาเธอเริ่มปรือตาขึ้นเริ่มหันซ้ายขวา
“เฮ้ เธอโอเคมั้ย”เขายิงคำถามใส่เธอ
“อืม ก็โอเคแค่รู้สึกเจ็บมือ และก็ปวดหัวนิดหน่อย”
“ขอโทษที ที่เธอเจ็บมือคงเพราะฉันบีบแรงไปหน่อย”
“ฮือ ฉันหลับไปนานเท่าไหร่”
“หนึ่งวันนิดๆ เธอจำอะไรได้บ้าง”
“สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือ คุณกัดฉัน”
“ฉันดูดพิษให้เธอแต่ก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะที่ว่ากัดดูดเลือดเธอด้วยซ้ำ”
“ก็....รวมๆก็...โอเค”
“ฉันเรียกหมอให้ไหม”
“ก็ดี”เขาจึงเรียกหมอเล่นเอาดังก้องไปทั่งโรงพยาบาลไม่นานหมอก็มาตรวจอาการเธอจนเรียบร้อย
“เป็นไงบ้างครับหมอ”
“เธอแข็งแรงดีครับเธอฟื้นตัวได้รวดเร็วมากอย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะครับ”
“จริงหรอครับ แล้วเธอจะได้กลับบ้านเร็วๆนี้ไหมครับ”
“ต้องดูอีกนิดนะครับถ้าเธอดีขึ้นกว่านี้ก็อาจจะได้กลับวันนี้ก็ได้”
“ขอบคุณครับ”จากนั้นหมอและพยาบาลก็เดินออกไปเหลือเพียงเขาและ โฟล
“ฉันเกลียดโรงพยาบาลจัง”เธอพูดขึ้นเมื่อเริ่มเงียบ
“ไม่ต่างกันเท่าไหร่ จะว่าไปผู้หญิงคนนั้นมีอะไรหรอทำไมเธอถึงต้องตกใจด้วย”
“อ๋อ...ใช่คือมันแปลกมาก ฉันอ่านความคิดเธอ...”เธอถอนหายใจแล้วก็พูดต่อว่า “ไม่ออก มัน...ว่างเปล่า”เขาเองก็ยังทึ่งไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนแต่นั้นไม่สลักสำคัญเท่าชีวิตของเธอหมอเข้ามาบอกว่าเธออกโรงพยาบาลได้เย็นนี้ ช่วงกลางวันเธอกินข้าวไม่ได้เพราะเขาป้อนเพียงคำเดียวเธอก็อาเจียนออกมาเสียยกใหญ่เธอกินอะไรไม่ได้สักอย่างเขาเริ่มจะเป็นห่วงเธออย่างบอกไม่ถูกแต่หมอบอกว่าอาจจะเป็นผลข้างเคียงจากการปั๊มในที่สุดเวลายามเย็นก็มาถึงเขาพาเธอกลับบ้านท่ามกลางการต้อนรับอย่างดีเยี่ยมของทุกคนเขาพาเธอไปพักผ่อนแล้วลงมาคุยกับคนที่เหลือเล่าเรื่องที่โฟลเล่าให้ฟังเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น
“ฉันเองก็ตรวจจับไม่ได้เหมือนกันว่าเธอพูดจริงหรือโกหก”เวนซ์พูด
“เด็กนั้นต้องมีพลังวิเศษแน่แต่กลิ่นเธอมีใครสังเกตกลิ่นเธอบ้างไหม”บิลถามแต่ไม่ได้คำตอบทุกคนมองหน้ากันแล้วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“เราสับสนกับเหตุการตรงหน้ามากกว่าในตอนนั้น”เอ็ดเวิร์ดพูด
“พ่อว่าเธอเป็นแวมไพรหรอ”สตรองค์ถาม
“ไม่รู้เหมือนกันเราต้องสืบ...ไปทีละนิด”บิลตอบ
“ตามนั้น”มอร์สพีบอก
“ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง”แซมบอก
“จีบเธอสิ จีบเลยจีบเลย”เซธพูด
“จีบอะไร”ลูซี่ถาม
“เซธจะบอกว่าให้ไปจีบเด็กคนนั้น”แทมลินอธิบาย
“ใช่เด็กสมัยนี้ยอมเล่าทุกอย่างให้แฟนฟังหมดแหล่ะจริงไหม”อลิเซียออกความเห็น
“แล้วใครจะจีบล่ะ”เอ็ดเวิร์ดถาม
“ต้องเป็นคนที่ไม่มีแฟนสิ”เวนซ์บอกแล้วทุกคนก็มองไปที่แซมกับเซธ
“ทุกคนมองนายแน่ะแซม”เซธพูด
“ไม่ใช่ฉันเขามองนายต่างหาก”แซมเถียงแล้วทั้งคู่ก็เริ่มทะเลาะกันอีก
“ฉันว่าพวกนี้ไม่ได้เรื่องหรอกหาคนอื่นเถอะ”สตรองค์ออกความเห็นแล้วพยักเพยิดไปทางมอร์สพี
“นายเองก็โสดนี่เอริก”
“ไม่เอาเด็ดขาดเรื่องนี้ใครเป็นคนเริ่มก็ให้คนนั้นจบสิ”จากนั้นก็เถียงกันอยู่นานจนสรุปได้
วันรุ่งขึ้น
เขาไปโรงเรียนทิ้งโฟลไว้กับอลิเซีย หากไม่จำเป็นเขาจะไม่มาเลยด้วยซ้ำแต่เขาต้องทำภารกิจให้เสร็จ
“ขอให้โชคดีนะ”เอ็ดเวิร์ดพูดแล้วถองเอวเขาเบาๆนั้นทำให้เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใช่แล้วเขาได้เป็นจีบเธอคนนั้นเขารู้สึกเหมือนตกหลุมอวกาศไปสามรอบแล้วพยายามทำให้ตัวเองบินได้เขาเดินเข้าไปทำท่าทางสบายๆแล้วมองหาเธอคนนั้น นั่นไงเธอ ยืนพิงประตูห้องชีวะอยู่ ‘แกทำได้อาร์ลแกทำได้’เขาปลอบใจตัวเองแล้วเดินไปหาเธอ
“เฮ้ หวัดดี เอ่อ...ฉัน อาร์ล อาร์ลฟองเซ คันนิ่งแฮม แล้วเธอ”
“หวัดดี ฉันแม็ก แม็กดาแลน สตาร์ก”
“แม็กหรอชื่อ...เอ่อเพราะดีนะ”
“อืมขอบใจ...นายมาพูดชมชื่อฉันทำไม่ทราบ ไม่ไปดูแลยอดยาหยีของนายรึไง”
“ช่างยัยนั่นเหอะ ไม่เห็นต้องสนใจเลย เอ่อ...คือฉันอยากจะถามเธอว่า...เอ่อ..เย็นนี้เธอว่างไปดินเนอร์กับฉันไหม”เขารู้สึกอยากเอาหัวโขกเสาข้างกำแพงให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่าพูดคำนี้ เธอมีสีหน้าตกใจนิดหน่อยแล้วก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เธอเลื่อนมือมาจับคอเสื้อโค้ตเขาเบาๆ
“ที่ไหน เมื่อไหร่ว่ามาได้เลยพ่อหนุ่ม”เธอทำน้ำเสียงยั่วยวนใจที่ทำให้เขาอยากอ๊วก เขาโน้มศรีษะไปใกล้ๆคอเธอแล้วพูดว่า
“คืนนี้หนึ่งทุ่มที่ร้านแม่ฉันนะโอเคไหม”เขานัดแนะแล้วหันหลังเดินกลับโดยไม่หันไปมองอีกเลย
“เป็นยังไงบ้าง”สตรองถาม
“เธอติดกับแล้ว กลิ่นของเธอเหมือนแวมไพรแต่ก็ไม่ใช่ คล้ายหมาป่าแต่ไมใช่ ผมว่าตัวเธอไม่มีกลิ่นอะไรเลยมากกว่า”
“เยี่ยมอย่างน้อยเธอก็กินเหยื่อ ฉันว่าแล้วว่ายัยนั่นมันเล็งนาย”เอ็ดเวิร์ดพูดหน่ายๆ
“ฉันรู้สึกอยากจะนอนให้รถทับจนแบนติดถนนไปให้รู้แล้วรู้รอด”เขาพูดแล้วทำหน้าเซ็งโลกสุดๆ พวกเขาหัวเราะนิดหน่อย
“เอาล่ะไปเข้าเรียนกันเถอะฉันว่านายต้องซ้อมหลีสาวไว้เยอะเลยล่ะ”พอสตรองค์พูดจบเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเข้าเรียน
เวลา หนึ่งทุ่ม
เขายืนรออยู่หน้าร้านของอลิเซียมีแซฒและเซธมาสังเกตการณ์เงียบเอ็ดเวิร์ดกับเวนซ์ก็ปลอมตัวมานั่งโต๊ะข้างๆที่เขาจองส่วนโฟลให้ไปอยู่กับแฮรี่ที่บ้านเวลาหนึ่งทุ่มตรงแป๊ะ เธอคนนั้นมาในชุดเสื้อคล้องคอสีชมพูกับกระโปงสั้นแค่คืบครึ่งสีบานเย็นและรองเท้าส้นสูงสีแดงเธอไล่สีเสื้อผ้าตั้งแตหัวจรดเท้าทำให้เขาเกือบหัวเราะออกมาแต่ทำหน้าหลงใหลเธอหัวปักหัวปำ
“มารอนานรึยัง”เธอถาม
“ก็ตั้งแต่เลิกเรียน”เขาพูดในตาเยิ้มเขาพาเธอมานั่งเก้าอี้ทำทุกอย่างๆให้เกียตรหมด ความจริงอยากดึงเก้าอี้ให้เธอล้มลงไปกับพื้นแทบตาย
“ผมสั่งอาหารให้แล้วนะครับ”เขาพูดอย่างสุภาพอาหารแต่ละอย่างราคาแพงมากถึงมากที่สุด
“แหมน่ากันทั้งนั้นเลยนะคะเนี่ย”เธอพูด
“ครับ”เขายิ้มแบบฝืดๆไปให้หวังว่าเธอคงไม่เห็น จากนั้นพวกเขาก็กินข้าวและดื่มแชมเปญรสเลิศด้วยกันความจริงเขาซื้อมากินกับโฟลสองคนแต่ติดที่ว่ายังไม่มีโอกาสและก็ดันซ่อนไว้ไม่ดีเอ็ดเวิร์ดเลยไปเจอเข้าให้ใต้เตียงเธอวางมือไว้บนโต๊ะเขาก็จับมือเธอเบาๆ
“แม็กรู้ไหมคุณน่ารักที่สุดเลยนะผมชอบคุณตั้งแต่แรกเห็นเลยหัวใจผมน่ะหลุดลอยไปหาคุณหมดแล้ว”เขาพูดอย่างคนที่หลงรักใครหัวปักหัวปำเขาสังเกตเห็นเอ็ดเวิร์ดหัวเราะนิดหน่อย เธอมีท่าทีขัดเขินแต่ไม่ขัดขืนสักพักเขาเริ่มรู้สึกสะอิดสะเอียนเลยขอตัวไปเข้าห้องน้ำแล้วส่งซิกให้เอ็ดเวิร์ดตามไปด้วย
ในห้องน้ำ
เขามายืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องน้ำ(ที่นี่เป็นภัตตาคารของอลิเซีย )เขาเอาน้ำสาดหน้าตัวเองแรงๆสองสามทีภาวนาให้ตัวเองแค่ฝันเท่านั้น
เอ็ดเวิร์ดเดินตามเข้ามานั่งบนอ่างล้างหน้าลายหินอ่อน
“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”
“อยากอ๊วกสุดๆ ยัยนั่นแต่งตัวอย่างกับไปเดินแฟนสีก๊อซซิล่าไล่สีมาเชีบว”จากนั้นพวกเขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“แล้วได้รู้อะไรอีกไหม”เอ็ดเวิร์ดถาม
“ยัยนั่นกำลังจะกินฉัน”เขาพูดแล้วเบ้ปาก
“ไม่ใช่เรื่องนั้น”เอ็ดเวิร์ดหัวเราะคิกๆ
“มือเย็นมากอย่างกับน้ำแข็ง เท่าที่ฉันดูตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีรอยกัด”
“นายมองเห็นหมือนกับที่ฉันเห็นแต่เพียงแค่ว่านายไม่ได้ดูตั้งแต่หัวจรดเท้านายดูแค่ระดับสายตาที่มองเห็น”
“นาย...หมายความว่ายังไง”
“ก็ให้ดูลึกลงไปไง”
“ไม่เอาน่าบอกฉันทีว่านายพูดเล่น”
“ฉันไม่ได้พูดเล่น”พอพูดจบเอ็ดเวิร์ดก็เดินออกไปแล้วเขาก็เดินตามออกไป เห็นเธอคนนั้นเริ่มเบื่อแล้ว
“ผมขอโทษที่ให้รอนานนะครับ”เขาทำหน้าขอโทษขอโพย
“อุ๊ย...ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องเล็กน้อย”เธอกลับมาตีหน้ายั่วยวนอีกแล้ว
“คุณอยากกลับบ้านรึยังครับเดี๋ยวผมไปส่งเอาไหม”
“อืม...จะดีหรอคะเกรงใจจังเลย แต่ก็ไม่ขัดศรัธทานะคะ”เธอพูดแล้วลุกขึ้นเดินออกปโดยมีเขาเดินตามไปด้วยเมื่อมาถึงรถเขาก็เดินไปเปิดประตูรถให้เธอเธอยิ้ทโปรยสเน่ห์ให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่าพอเขาขึ้นรถเอ็ดเวิร์ดกับเวนซ์และแซมกับเซธก็วิ่งตามมาติดๆ แม็กนั่งไขว่ห้างแล้วเอื้อมมือมาจับขาอ่อนเขาเบาๆทำเอาเขาขนลุกไปทั้งตัวเหยียบคันเร่งจนมิดแล้วก็มาถึงบ้านของเธอเขาลุกออกไปเปิดประตูให้แต่เธอยังไม่ยอมเดินเข้าบ้านไปดีๆพอลงมาจากรถแล้วเธอก็กุมมือเขามาลูบไล้ใบหน้าที่เนียนลออของเธอแล้วก็เลื่อนมือของเธอมาโอบรอบคอเขา และเขย่งปลายเท้ายื่นหน้าเข้ามาใกล้มากจนปากประกบกันเพียงแปลบเดียวแล้วผละออกแต่ต่อมความรู้สึกของเขาเสียรึอย่างไรก็ไม่รู้ เขารู้สึกต้องการอีกจับคอเธอแล้วจุมพิตอย่างเร่าร้อนท่ามกลางแสงจันทร์ที่หมองหม่นโอบกอดอย่างแน่นหนาแล้วเธอก็ดันเขาออก
“พอแค่นี้แหล่ะพ่อหนุ่ม”เธอพูดแล้วลืมตามองเขาเขาแทบพูดไม่ออกม่านตาของเธอเต็มไปด้วยสีแดงแห่งไฟนรกโลกันต์ที่ไม่มีวันมอดดับ เธอเดินเข้าบ้านไป เขารีบตะบึงรถออกไปจากบ้านหลังนั้นให้ไวที่สุดเข้าจนมาถึงบ้านทุกคนิ่งมารอเขาลงจากรถแต่เขาไม่ยอมปล่อยให้ใครถามอะไรเลยพอลงจากรถปุ๊ปยังไม่ทันปิดประตูเขาก็ตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำทันทีด้วยความเร็วที่ไวยิ่งกว่าแสง อาเจียนและก็แปรงฟันจนยาสีฟันหมดหลอด ชำระล้างร่างกายด้วยน้ำยาทำความสะอาดทุกชนิดที่มีอยู่ในบ้านล้างตั้งแต่หัวจรดเท้าที่นางแตะต้องทิ้งเสื้อผ้าที่นางหยิบจับจนเอ็ดเวิร์ดบอกว่าสะอาดจนไม่รู้จะสะอาดอย่างไรแล้วจึงลากเขาลงไปข้างล่าง
“นายรังเกียจยัยนั้นขนาดนั้นเชียวหรอ”บิลถามแกมมองดูน้ำยาล้างห้องน้ำที่เอ็ดเวิร์ดหยิบมาให้ดูอย่างขบขัน
“ยัยนั้นมันน่ารังเกียจแสนโสโครก สมุนแห่งซาตานและปีศาจที่เกิดจากนรก”เขาพูดทำสีหน้ารังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
“นายรู้แล้วหรอว่าหล่อนเป็นใคร”ลูซี่ถาม
“รู้ซะยิ่งกว่ารู้อีก”เขาพูดแล้วทำท่าทางขยะแขยง
“หล่อนเป็นใคร”แทมลินถามอย่างข้องใจ
เขาถอนหายใจก่อนจะพูดเล็ดลอดไรฟันออกมาว่า
“แม่มด”จากนั้นเขารู้สึกพะอืดพะอมแล้ววิ่งไปอาเจียนอีกรอบแล้วเดินโซเซกลับมา
“แม่มด แล้วทำไมนายต้องขยะแขยงแม่มดขนาดนั้นด้วย”บิลถาม
“แม่มด น่ารังเกียจยิ่งกว่าพวกเราซะอีกพวกนางถูกสร้างมาจากเพลิงโลกันที่ต่ำช้าที่สุด สร้างมาจากชิ้นเนื้อเน่าๆของสวะชั้นต่ำที่แย่กว่ามนุษย์ที่แสนจะอ่อนแอกินแต่สิ่งบริสุทธิ์และแข็งแรงอย่างเช่น สุนัขที่ไม่เคยแม้แต่กัดใครแต่มีมันสมองที่เหนือชั้นเช่นสุนัขตัวนั้น เมื่อนางกินแล้วจะเหลือซาก กากเดน ของสิ่งนั้นเอาไว้นางกินแม้กระทั่งสาวที่ไม่เคยผ่านมือชาย หรือ แม้แต่....ยูนิคอร์น”
“ยูนิคอร์นไม่มีจริง ไม่ใช่หรอ”เอ็ดเวิร์ดถาม
“ไม่ มันมีจริง มีเยอะด้วย”
“แล้วนายรู้เรื่องแม่มดได้ยังไงไหนจะมนุษย์หมาป่าอีกนายบอกว่านายเพิ่งโดนกัดไม่ใช่หรอทำไมนายรู้เรื่องนี้ดีกว่าพวกเราอีก เรายังเพิ่งรู้ว่ามีมนุษย์หมาป่าอยู่บนโลกนี้เลย”ลูซี่ถาม ทำเอาเขาสะอึก
“เอ่อ...ฉันอ่านเจอในหนังสือ”เขาพยายามพูดปกปิดเรื่องราวให้ดีที่สุด
“เขาโกหก”เวนซ์บอกสีหน้าระอา
“ฉัน...ฉัน...บอกไม่ได้”เขาพูดแล้วหนีขึ้นห้องไปล็อกห้องอยู่คนเดียวแต่ไม่ทันเอ็ดเวิร์ดเขาเข้ามาก่อนเพราะรู้ว่าอาร์ลต้องขึ้นห้องมาแน่พออาร์ลปิดประตูเขาก็นั่งลงบนเตียงปักหลักไม่ลุกไปไหน
“นายเล่าให้ฉันฟังได้นะ”เอ็ดเวิร์ดพูดทำให้อาร์ลสะดุ้งเล็กน้อย
“นายเข้ามาตอนไหน”
“ก่อนนายปิดประตู”
“ให้ตายสิ”
“ถามไรหน่อย นายเห็นฉันเป็นอะไร”
“หมายความว่าไง”
“นายเห็นฉันเป็นเพื่อน พี่ คนรู้จัก หรือแค่หมากตัวหนึ่งในเกมของนาย”เขาอึกอักก่อนจะถามกลับว่า
“นายเป็นแวมไพรมากี่ปีแล้ว”
“ไม่รู้ฉันไม่ได้นับแต่ฉันเกิด สมัยสงครามกลางเมือง เป็นแค่ทหารธรรมดาๆในเทกซัส”
“นายอยากรู้ไหมว่าฉันเป็นแวมไพรมากี่ปี”
“อืม...อยากสิ”
“ฉันเป็นแวมไพรมา ห้าหมื่นกว่าปีแล้ว”เขากระซิบเบาๆเพราะกลัวคนอื่นได้ยิน
“ห้าหมื่น”เอ็ดเวิร์ดตะโกนอย่างตกใจ
“เบาๆสิฉันจะกระซิบเพื่ออะไรเนี่ย”
“โทษที”
“ฉันจะเล่าความลับให้นายฟังก็ได้แต่นายต้องไม่บอกใครแม้แต่ ... เวนซ์นะ”
“ได้สิ” เขาเดินไปที่หน้าต่าง
“นายจะไปไหน”เอ็ดเวิร์ดถาม
“ตามมาสิฉันจะเล่าให้ฟัง”เขาพาเอ็ดเวิร์ดขึ้นรถไปที่บ้านของเขา ประสาททรงโดมขนาดใหญ่เขาดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมาแล้วยืนพิงรถมองดูหลังคาสีขาวอย่างหลงใหลดุจต้องมนตร์
“นายพาฉันมาที่นี่ทำไม”
“...นี่คือบ้านฉัน”
“บ้านนาย? ฉันเห็นแต่วังขนาดมหึมาอย่างเดียว”
“ก็นั่นแหล่ะบ้านฉัน”
“...น...นา..นายอยู่ที่นี่นายเป็นพระราชาหรอ”เขาทำท่าจะคุกเข่า
“เปล่า ไม่ใช่หรอกแค่คนคนหนึ่งเท่านั้นเป็นแค่ญาติเฉยๆ”
“แล้วเอริกล่ะ อลิซด้วย”
“เอริกเป็นพลทหารที่หนุ่มที่สุดในกองทัพด้วยอายุเพียงสามพันปีเท่านั้น ส่วนอลิซ..เธอเป็นคนที่สำคัญมากสำหรับทุกคน”
“สำหรับคนในวังหรอ”
“เปล่า สำหรับพวกเราทุกคน ทุกๆคนเลยเธอจะสร้างโลกของพวกเราขึ้นมาใหม่จะสร้างขึ้นมาจากเลือดทุกหยดของพวกเราทุกคน สร้างให้มันเป็นโลกของเรา เมื่อสิบเจ็ดปั้แล้วครั้งที่เธอเกิดมาได้มีตาเฒ่าทำนายว่าเด็กที่เกิดมาในช่วงนี่ถึงสามปีจะเป็นคนหลั่งเลือดบริสุทธิ์รดแผ่นดิน สร้างยุคแห่งความมืดที่แม้แต่ค้างคาวยังทนไมไหวพวกเราจึงจำเป็นต้องเข่นฆ่า ทารกที่อายุต่ำกว่าสามปีทุกคน เธอเป็นลูกของพระราชาแต่ใช่ว่าจะมีข้อยกเว้น แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เธอเลยเธอจุดไฟไว้ล้อมรอบตัวเอง ไม่มีใครยุ่งเกี่ยวแม้แต่พระราชายังเข้าใกล้ไม่ได้เธอเป็นมือสังหารตั้งแต่ยังน้อยพวกเราคิดว่า เธอคือหญิงสาวในตำนานจึงต้องฆ่า และฉันได้รับมอบหมายงานนั้น ในสมัยนั้นฉันเป็นเหมือนเด็กหนุ่มที่ไร้หัวใจ ไร้ความปราณี หรือแม้แต่คำว่าเมตตารู้จักแต่คำว่าเข่นฆ่า เกลียดชัง วอดวาย แต่เมื่อฉันเข้าใกล้เธอไฟที่เธอจุดล้อมรอบตัวเองก็เปิดทางให้ฉันเข้าไป ฉันคิดว่าเป็นเพราะพลังของตัวเองมหาศาลจึงไม่เอะใจฉันเห็นเธอนอนเล่นอยู่ในเปลเด็กฉันเงื้อมือขึ้นจะทะลวงทรวงอกของเธออย่างไม่ปราณีแทนที่เด็กหญิงคนนั้นร้องให้จ้าจากความร้อน กลับยิ้มให้ฉันยื่นมือทั้งสองข้างออกมาให้ฉันมันทำให้ชะงักแต่ก็ตั้งสติได้อีกเงื้อมือขึ้นสูงกว่าเดิมแล้วเธอก็ลืมตามาสบตาฉันดวงตาสีฟ้าราวกับน้ำทะเลเข้าประสานกับตาสีดำมืดของฆาตกรใจโหดอย่างฉันมันทำให้ใจฉันอ่อนลง ฉันมองหน้าเธออยู่นานจึงรู้ว่าตนเองไม่สามารถฆ่าเด็กสาวคนนี้ได้เด็ดขาดจึงจะเดินออกไปแต่ฉันตัดใจให้เธอตายไปอย่างนี้ไม่ได้และเธอเองก็คงไม่อยากให้ฉันไปเช่นกันเธอจุดไฟอีกครั้งขังฉันไว้ข้างในแต่ฉันกลับไม่รู้สึกอยากออกไปฉันอยากอยู่กับเธอมากกว่าในที่สุดฉันก็อุ้มเธอขึ้นจากเปลสู่อ้อมกอดที่เย็นเฉียบของฉันและไฟนั่นก็หายไปฉันอุ้มและห่อเธอด้วยผ้าสีดำมันวาวไปที่ห้องโถงคนหลายคนอยู่ที่นั่น จับจองมาที่ฉันเป็นตาเดียว พระราชาถึงกับอ้าปากค้าง เด็กน้อยคนนั้นก็เอาแต่เล่นผมฉันไม่มีหยุดหย่อนแต่ฉันกลับไม่รำคาญและพระราชาก็พูดว่า‘อาร์ลตาของเจ้า ตาของเจ้า’ฉันเองก็ตกใจเหมือนกันเลยไปมองไปที่กำแพงเงาวับตาของฉันที่เป็นสีดำสนิทกลายเป็นสีเขียวอย่างกับทุ่งหญ้าแน่ะ จู่ๆก็มีชายคนนึงพูดว่าเมื่อไหร่จะฆ่าทารกนั่นซักทีฉันเกือบฆ่าหมอนั่นเลยรู้ไหมถ้าพระราชาไม่ห้ามไว้พอคุยไปสักพักฉันก็ถูกไล่ไปรอหน้าห้องแต่ฉันก็อุ้มเธอไว้ตลอดไม่ปล่อยออกจากอ้อมกอดเลยจนสักพักฉันก็ได้ยินการลงคะแนนอะไรสักอย่างลงคำว่า ฆ่า ฆ่า ฆ่าอยบ่างเดียวใจฉันหล่นวูบลงไปกองที่พื้นเลยรู้ไหมฉันอยากหนีแต่ก็ไปไม่ได้เพราะฉันถูกล่ามด้วยโซ่ที่มองไม่เห็น พระราชาเรียกฉันเข้าไปพรากตัวเธอไปจากอกฉันวางเธอไว้บนโต๊ะขนาดใหญ่กลางห้องฉันจำตอนนี้ได้ดีเลยฉันคุกเข่าอ้อนวอนว่า‘ได้โปรด อย่าฆ่าเธอ ได้โปรด เธอเป็นชีวิตของผม อย่าทำอะไรเธอ’พอพูดจบรู้รึเปล่าพระราชาตบเข้าที่แก้มเต็มๆกระเด็นไปติดหลังห้องเลยเขาดุด่าว่าฉันไม่มีเหลืออะไรเลยแต่ฉันก็รับไว้ทั้งหมดสรุปรู้อะไรไหมพระราชาตัดสินใจฆ่าต่าแก่นั่นเพราะ เคยพูดโป้ปดหลายครั้งจนเคยหลอกเจ้าชายไปลอบปลงพระชนม์ในป่า ส่วนเธอคนนั้นก็พาไปไว้ที่โลกมนุษย์โดยมีองครักษ์ไปด้วยสองคน แต่พระราชาย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าให้ฉันไปแล้วทดสอบฉันอยู่เรื่อย แต่เมื่อไม่นานมานี่ได้กำหนดเวลากลับของเธอฉันเป็นคนไปรับเธอกลับมาให้ตายสิ เธอจำฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ นั่นทำให้ฉันเจ็บอยู่พักใหญ่ๆเลย มันมีพิธีอยู่พิธีหนึ่งพิธีที่จะทำให้ทุกคนรู้ว่าเธอเป็นคนของชนเผ่าเราแต่มันผิดพลาด”เขาหยุดสักพัก
“ยังไง”เอ็ดเวิร์ดถาม
“เธอกลายเป็นมนุษย์ เต็มๆตัวเลยล่ะ”
“นายเลยพาเธอออกมา”
“ใช่ ฉันรู้ว่าหากให้เธออยู่ต่อที่นั้นมีหวังตายด้วยน้ำมือปีศาจเลือดเย็นอย่างเราแน่”
“นายรู้สึกยังไงตอนที่...เอ่อ...กัดเธอ”
“รู้สึกว่า...อยากโยนตัวเองลงปล่องเพลิงให้มิโนทอร์ฉีกร่างกายออกไปเผาไฟ”
“นายคงรู้สึกแย่มากเลยสินะ”
“สุดๆ”
“แล้วเธอรู้เรื่องการกินพลังชีวิตของพวกเราไหม”
“ไม่เธอไม่รู้ แต่นายรู้ได้ยังไงว่าเรากินพลังชีวิตมนุษย์”
“ฉันว่าแล้วว่าฉันคุ้นๆหน้านาย นายอาจจะจำไม่ได้แต่ฉันจำได้ดีเลย”
“ฉันเคยเจอนายด้วยหรอ”
“ก็ตอนที่ฉันทำสงครามอยู่พวกแวมไพร์หน้าตาน่ากลัวก็บินมาจากที่ไหนก็ไม่รู้มันกรู่กันเข้าม่สังหารชีวิตมนุษย์ไปทีละคนๆดื่มเลือดพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง แล้วพวกนายก็มา ขับไล่พวกนั้นไปไกลสำรวจดูพวกเราทีละคนๆฉันแตกหมู่ออกไปกลางทุ่งหญ้าเพราะถ้าจะตายทั้งทีขอให้มันเป็นที่สวยๆดีกว่ากองศพมนุษย์ ตอนที่ลมหายใจฉันรวยรินเต็มทีชายคนนึงก็เห็นฉันสำรวจอย่างไกล้ชิดต่อจากชายคนนั้นก็คือนาย นายมองดูฉันอย่างเย็นชาแต่สายน้ำในตากลับไหลรินชายคนนั้น เปลี่ยน ฉัน เขาคิดว่าเขาช่วยฉันแต่ไม่ใช่ฉันน่าจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้น เขาบอกเล่าวิถีชีวิตของพวกเขาความลับและทุกๆอย่างแล้วเขาก็ไป พวกนายทุกคนกลับไปทิ้งฉันไว้กับความทรมานที่ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดไม่นานฉันก็ฟื้นตัวเดินทางกลับบ้านฉันฆ่าพวกเขาทุกคน ฉันโดนขับไล่ ฉันโดนเนรเทศเดินมาตามป่าจนบิลเจอฉันเขาดูแลฉันดีมากฉันเลยเรียกเขาว่าพ่อ”
“ฉันจำได้แล้ว เด็กหนุ่มคนเดียวที่เหลือรอดจากโศกนาฏกรรมอันน่าหดหู่”
“ก็ประมาณนั้น”
“กลับบ้านกันเถอะ”
“ทำไม”
“กลับเดี๋ยวนี้เลย”เขาพูดแล้วขึ้นรถตามด้วยเอ็ดเวิร์ดผู้ยังยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายมาจากหลังกำแพงอาร์ลพยายามขับออกไปให้เร็วที่สุดออกนอกเขตอนุรักษ์ มีชายคนนึงมาเคาะกระจกเรียกร้องความสนใจจากเขา เขาขับรถฝ่าความมืดหนไปนอกเกราะกำบังสู่บ้านไปไม่ทันจะได้พัก เขาก็เห็นโฟลวิ่งเหงื่อแตกพลักออกมาจากป่า
“มีชายคนนึงอยู่ในป่า เขาบาดเจ็บช่วยเขาหน่อย”เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ไม่รีรอวิ่งตามโฟลไปติดๆเริ่มได้กลิ่นหมาป่าเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆจนมาถึงเพิงเล็กๆแห่งหนึ่งบนนั้นมีชายผิวคล้ำหน้าซีดเป็นไก่ต้มร้องโอดโอยด้วยความทรมานจากบาดแผลที่มองไม่เห็นมือกุมท้องที่เป็นมัดๆจะงอตัวก็ไม่ได้จะยืดตัวก็ไม่ได้ทรมานอย่างที่สุดผมสีส้มเหลืองเปื้อนฝุ่นจนหมอง เขาสำรวจหน้าท้องของชายคนนั้น เนื้อข้างในเน่าแฟะไม่มีชิ้นดี เขารีบพาชายคนนั้นกลับไปบ้านแต่บ้านกลับเงียบผิดสังเกตุเขาพาชายคนนั้นนอนลงที่โซฟาและให้ยานอนหลับอย่างแรงคงทำให้เขาหลับไปสักสี่ถึงห้าชั่วโมง เขาสำรวจรอบบ้านอย่างละเอียดแต่ไม่พบอะไรหรือใครเลยเอ็ดเวิร์ดพบจดหมายวางไว้ที่กระถางต้นไม้หน้าบ้านมันเขียนไว้ว่า
ถึง ผู้ที่กลับมาภายหลัง
เราต้องการผู้ที่มีพลังพิเศษและที่ดินผืนนี้หากยอมมอบแต่โดยดีเราจะยอมปล่อยคนที่เหลือไป มาพบเราที่บ้านของอาหารแสนโอชาที่ใกล้ที่สุด อย่าคืดต่อสู้หรือขัดขืนถ้ายังอยากเดินได้อยู่
จาก ราชาแห่งลินคอร์น
เมื่อรู้ดังนั้นเขาจึงไปตามที่เขียนในจดหมาย ที่บ้านของอาหารแสนโอชาที่ใกล้ที่สุด คือบ้านของมนุษย์ที่ใกล้ที่สุด บ้านแฮรี่เขารีบวิ่งไปตามจดหมายด้วยความเร็วระดับแวมไพร์เขามาถึงก่อนคนอื่นเพราะเขาเร็วที่สุดเขามาถึงเห็นทหาร มากว่าหนึ่งพันนายยืนอยู่ภายในบ้านและตามต้นไม้เขาเดินเข้าไปหาชายที่คิดว่าจะเป็นหัวหน้า
“นายต้องการอะไร”
“ฉันเขียนบอกในจดหมายแล้ว อ้อ...อย่าคิดขัดขืนล่ะเพราะตัวประกันฉันมีเยอะ”
“ถ้าฉันไม่ให้ล่ะ”
“ฉันนับหนึ่งถึงสิบถ้านายไม่รีบไสหัวออกจากที่นี่นายกับพรรคพวกของนายจะกลายเป็นแฮมอย่างดีของหมาป่า”
“ฉันขอให้นายย้ายก้นเน่าๆของนายออกไปจากเขตนี้ภายในห้าวินาทีไม่งั้นพวกนายจะถูกเผาจนเหลือแต่ถ่าน”
“นายจะทำอะไรฉันได้”
“ห้า...สี่...สาม...สอง...หนึ่ง”แล้วเขาก็ดีดนิ้วดังเปาะทุกคนก็ลงไปกองอยู่กับพื้นตัวขาดเป็นสองท่อนล่วงลงจากต้นไม้เลือดทะลักตายทุกคนเหลือเพียงแค่เจ้าหัวหน้าอะไรนั่น
“นายทำได้อย่างไร”
“แค่กฎแห่งเวลาธรรมดาๆ เอาล่ะไหนมาดูสินายรู้อะไรบ้าง”เขาพูดแล้วใช้มือสอดเขาไปในเสื้อโค๊ดหนังแตะทายทอยชายคนนั้นเบาๆ ภาพต่างๆเสียงต่างๆพากันไหลมาสู่เขาแล้วเขาก็บิดคอชายคนนั้นขาดสะบั้นแล้วหันไปหาเอ็ดเวิร์ดจับมือเอ็ดเวิร์ดมาทาบที่คอเขาให้เอ็ดเวิร์ดเล่าทุกอย่างแทนเขาและให้คนอื่นช่วยเผาร่างไร้วิญญาณที่เหลือนี้ให้หมดแล้วเขาก็เรียกตัวแทมลินไปเขาวิ่งกลับมาถึงบ้านจับชายคนนั้นนอนลงบนโต๊ะอาหารแล้วหยิบมีดมากรีดหนังออกให้เห็นรอยแผลที่เหมือนกรงเล็บเฉือนลึกสองถึงสามนิ้วเขาบอกให้แทมลินรักษาชายคนนั้นด่วนชายคนนั้นเริ่มต้นร้องโอดโอยอีกครั้งเมื่อตื่น แทมลินลงมือรักษาเขาใช้นิ้ววาดไปในแผลแล้วแผลก็สมานตัวชิ้นเนื้อเน่าๆก็กลับมาเป็นชิ้นเนื้อสีแดงฉานแล้วก็ผิวหนังสีคล้ำ ชายคนนั้นหายใจถี่แต่ไม่ปริปากบ่นสักคำ
“รอก่อนได้ไหม อย่าเพิ่งพาผมไปไหนพวกผมกำลังมาช่วยพวกเขาด้วยเขาถูกตามล่า”ชายคนนั้นพูดเมื่อเขากำลังจะพาออกวิ่ง เขาจึงรอไม่นานนักก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งสักหกคนได้สวมเสื้อคลุมปิดหน้าตาสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นเดินออกมาจากชายป่า ด้วยร่างกายอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อย บาดเจ็บและหมดหวังชายคนแรกที่เห็นพวกเขากันคนอื่นไปข้างหลัง
“ส่งตัวเขามา”เขาทำหน้าเบ้แล้วยักไหล่
“ดูเมือนว่าเพื่อนๆของนายจะไม่ยากให้ช่วยนะ ให้ตายดิ้นเด่ะ”
“เขาจะช่วยเราเรื่องอื่นเอาไว้ทีหลังก่อนไปกับเขา”ชายคนนั้นบอกสหายผู้มาใหม่ แล้วก็ออกวิ่งไปที่บ้านแฮรี่โดยมีแทมลินผู้งุนงงกับเหตุการณ์ตามมาติดๆ
“บิลเราต้องไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ไม่งั้นพวกที่เหลือจะมาตามฆ่าเรา”เขาพูดทันทีที่ไปถึง
“นายจะให้เราหนีไปไหน”บิลถาม
“ไปที่บ้าน ของผม”เขาพูดแล้วมองไปทางเอ็ดเวิร์ดหลิ่วตาน้อยๆ เอ็ดเวิร์ดยิ้มเจ้าเล่ตอบมา
“เรามีผู้ร่วมทางใหม่”เขาพูดแล้วเหล่ามนุษย์หมาป่าก็ทยอยออกมาจากป่า เขาพูดแล้วบอกให้ทุกคนวิ่งตามเขาแบกโฟลเอาไว้บนหลัง มอร์สพีแบกแฮรี่ไว้ส่วนหมาป่าก็กลายร่างเป็นหมาป่าเพื่อความรวดเร็วเขาออกวิ่งหมาป่าออกวิ่งทุกคนออกวิ่งวิ่งไปเรื่อยๆจนถึงในถนนทอร์กทาวน์ที่มีคนพลุกพล่านเขาลืมนึกเรื่องนี้ซะสนิทเขาหลบกลับเข้าไปในป่า
“เมื่อคืนไม่เห็นมีอย่างนี้เลย”
“ก็นี่มันเช้าแล้วเรายังไม่อยากเผยตัวให้มนุษย์เห็นนะ”เขาเดินอ้อมชายป่าไปทางตรอกแคบๆที่มีกลิ่นสุดยอดไม่พึงประสงค์เขาเดินผ่าซอยมืดหลีกเลี่ยงคนและแสงแดดจนมาถึงประตูหลังวังเขาส่งกระแสจิตเรียกเพทริกหรือเจ้าชาย ทหารมาเปิดให้ตอนแรกทำหน้าบึ้งตึงแต่พอเห็นหน้าเขาทหารทั้งสองก็ยิ้มออกทันที
“รุ่นพี่หายไปไหนมา”
“เจ้าชายตาหารุ่นพี่แบบพลิกแผ่นดินเลย”
“เจ้าชายกริ้วมากตอนที่หาพี่ไม่พบ”
“เราต้องงดงานเลี้ยงตั้งสามเดือนไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ห้ามจัดถ้าพี่ยังไม่กลับ”คำเหล่านี้พูดขึ้นพร้อมกันจนฟังไม่ได้ศัพท์แล้วก็มีเสียงกระแอมหนึ่งทำให้ทหารทั้งสองชาวาบไปทั้งตัว
“เฮ้ เพทริกสบายดีไหม”
เขานั่งสบายใจเฉิบอยู่ในห้องนอนของตัวเองเพราะเหน็ดเหนื่อยมามาก แต่พักได้ไม่นานก็ต้องลงไปตอบคำถามนับพัน เขาสวมแค่กางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวเดินไปตามทาง พอเขาเปิดประตูห้องโถง เจ้าชายก็ตรงเข้ามาตบหน้าเขาอย่างแรง
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไงถึงได้พาน้องข้าออกไปนอกเขตอนุรักษ์ แล้วยังหายไปตั้งนานไม่บอกไม่กล่าวไม่มีจดหมายไม่มีอะไรเลย”เจ้าชายตะคอกเขา เขาได้แต่เงียบไม่โต้เถียงอะไรเพราะเจ้าชายไม่ต้องการให้เขาพูดต้องการให้เขาฟังอย่างเดียว
“ข้าได้ข่าวมากมายหลายอย่างข้าดูหนังสือพิมพ์ทุกเช้าทั้งที่อ่านหนังสือพิมพ์ไม่ออกเพื่อจะดูว่ามีข่าวเกี่ยวกับพวกเจ้าไหม ข้าเห็นพวกลินคอร์นมาป้วนเปี้ยนอยู่ในป่าก็คิดว่าเจ้าตายแล้วกลิ่นเจ้าก็หายเหมือนเจ้าไม่เคยมีตัวตน จนกระทั่งเมื่อคืนเจ้าก็ขับไอ้เศษเหล็กสี่ล้อหนีข้าออกไปนอกเขตข้าส่งคนออกตามหาแต่ไม่พบอะไรเลยเจ้าเล่นอะไรอยู่อาร์ล”เจ้าชายถามด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่เขาก็เงียบแล้วก็เงียบเพราะนั้นคือสิ่งที่เจ้าชายต้องการ
“เจ้าทำให้ข้าเสียน้ำตาที่ไม่เคยไหลมาเป็นหลายหมื่นปี เจ้าทำได้ยังไง”เจ้าชายพูดแล้วสวมกอดเขา เขาเข้าใจเจ้าชายเพราะพอพวกเขาไปเจ้าชายก็ไม่มีเพื่อนเลยสักคนมีเพียงแต่เอลซาเท่านั้นเขาลูบหลังเจ้าชายเบาแล้วกล่าวขอโทษแล้วแนะนำคนอื่นๆให้รู้จักเจ้าชาย
“เจ้าชายลินคอร์นกำลังสร้างกองทัพมาถล่มที่นี่ลินคอร์ลกำลังจะตายจากพิษทอรอร่าเจ้าชายแจ็คจะขึ้นครองราชแทนเว้นเพียงแต่เจ้าชายไม่รู้จักอะไรประเภทนี้เลยทุกอย่างที่เจ้าชายแจ็คทำเป็นการชักใยของ...ไอ้คนทรยศคนนั้น”เขาบอกเจ้าชาย“มันต้องการที่ตรงบ้านของบิลเป็นฐานเพราะเป็นที่ที่ใกล้เขตของพวกเรามากที่สุดแล้วมันใช้คนที่มีพลังมาต่อสู้กับเราแล้วอีกหนึ่งเดือนนับจากนี้ไอ้หมอนั่นจะมาที่นี่ที่บ้านบิล แล้ววันที่ชะตากรรมของโลกกลับมาไปหนึ่งปีพวกมันจะมาบุกถล่มเราที่นี่”
“เรื่องนั้นข้าพอจะรู้อยู่ เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”เจ้าชายพูดแล้วดุนหลังเขาออกไปข้างนอกแล้วพาคนที่เหลือกลับห้องอธิบายการใช้ชีวิตของพวกเขา
(ในโหมดความคิดของตนเอง)
ผมไม่รู้สึกว่าอยากพักผ่อนแล้วหลังจากโดนเจ้าชายตบ ผมเดินไปหาพวกมนุษย์หมาป่าซึ่งอยู่ในสวนถัดไป
“เฮ้ หวัดดี”ผมพูดแล้วหมาป่าที่เหลือก็หันมามีคนหนึ่งหลับด้วยเขาใช้หมอนปิดหน้า
“อืมหวัดดี เอ่อขอบคุณนะที่ให้ที่หลบซ่อนแก่พวกเรา”ชายผมสีขาวพูด
“อยากแนะนำตัวกันหน่อยไหม ฉัน อาร์ลฟองเซ เรเยส”ผมแนะนำตัว แล้วคนที่เหลือก็เริ่มแนะนำตัว
คนผมสีดำสนิทดูท่าทางฮ็อตชื่อ คิวบา
คนผมสีขาวดุจหิมะท่ทางเจ้าสำอางค์ชื่อ สกอร์ปา
คนผมสีเทาที่เงียบและเยือกเย็นชื่อ มาร์ค
คนผมสีส้มเหลืองท่าทางทะเล้น ชื่อ ราสเนียร่า
ผู้หญิงผมสีมรกตท่าทางแกร่ง ชื่อ วีน่า
เด็กผู้ชายผมสีน้ำตาล ท่าทางซน ชื่อ เยเลมี่
แล้วมาถึงคนสุดท้ายเขานอนหลับใช้หมอนใบใหญ่ปิดหน้าสวมเพียงกางเกงสามส่วนตัวเดียว ในขณะที่คนอื่นล่อนจ้อน กล้ามเนื้อท้องเป็นมัดๆผมสีทองแดงโผล่ออกมานอกหมอนแล้วชื่อๆหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวผมและสมองสั่งให้ผมพูดออกไป
“สปาร์ค ใช่ไหม” ชายคนนั้นสะดุ้งนิดหน่อยก่อนยกหมอนเขาชึ้นจากหน้าปรับตาให้เข้ากับแสง
“ใครเรียกชื่อฉัน”ชายคนนั้นพูด
“พระเจ้านายจริงๆด้วย”ผมพูดอย่างประหลาดใจ
“นายเป็นใคร...เดี๋ยวๆ..อาร์ลใช่ไหม”ชายคนนั้นพูดสีหน้าทึ่งคนที่เหลือก็ยังงงๆอยู่
“นายจริงๆด้วยนายหายไปไหนตั้งหลายพันปี ทำไมไม่ยอมมาตามนัด”ผมพูอย่างหงุดหงิดปนดีใจ “พวกเราคิดว่านาย...”
“ตายแล้วใช่ไหม ฉันแค่โดนจับ”
“พวกนายรู้จักกันหรอ”ชายผมสีส้มเหลืองถาม
“เราเป็นเพื่อนเก่ากัน เมื่อนานมาแล้วนานมากๆ”ผมมตอบไป
แล้วทุกอย่างก็กลับมาสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
“แล้วพวกนายไปเจออะไรมาบ้าง”ผมถามขึ้นในที่สุด
“เยอะ”ชายผมสีเทาพูดแบบขอไปที
“ฉันว่าเขาต้องการรายละเอียด มากว่านี้แบบละเอียดๆ ใช่ไหม ไม่ใช่แบบขอไปทีนะมาร์ค”สปาร์คพูดอย่างหน่ายๆ ชายคนเดิมไม่ตอบ เอาแต่นั่งอยู่เฉยมองไปที่เด็กชายตัวเล็กที่กำลังรวบรวมดอกไม้หลายชนิดเข้าด้วยกัน
“วันที่ฉันหนีออกไปตามที่นายบอกกำลังจะไป...ที่จุดนัดพบ แต่พวกนั้นมันดักฉันฉันเลยต้องเปลี่ยนเส้นทางมันดักไว้แต่ละที่ในสุดท้ายฉันก็เดาออกว่าพวกมันกำลังต้อนฉันให้ไปในจุดใดจุดหนึ่งแต่มันก็ช้าไปพวกมันจับฉันไปขึ้นสังเวียนสู้ให้สู้กับตัวอะไรไม่รู้มากมายแล้วก็ขังฉันไว้ในคุกใต้ดินแล้วฉันก็ได้เจอกับพวกเขาทีละคนจนในที่สุดพวกเราก็ทนกับการทรมานไม่ไหว พวกมันมอมยาเราในอาหารทำให้เราเศร้าซึม เราเลยไม่มีกระจิตกระใจในการหลบหนีแล้วก็มีแวมไพร์หนุ่ม ไม่ใช่สิ เด็ก เขาเป็นคนเอาอาหารและน้ำมาให้เรา เขาเปลี่ยนน้ำจากน้ำที่ปนเปื้อนยามาเป็นน้ำสะอาดจากอาหารที่เป็นพิษมาเป็นเนื้อหมูทั้งตัวที่เขาแอบเอาเข้ามาให้เรา จนเราแข็งแรงแล้วก็หนีออกมาแต่ก็ถูกมันตามล่ามาแปดปีแล้วหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนหนูตัวน้อยๆวิ่งหนีแมวนักล่า เหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นกับเรา จนเรามาเจอนาย บอกตามตรงฉันจำพวกนายเกือบไม่ได้จำที่นี่ไม่ได้ด้วย”สปาร์คอธิบายคร่าวๆ
“มันจับพวกนายหรอ จับกระทั่งผู้หญิงกับเด็กเนี่ยนะ”
“ผู้หญิงน่ะใช่แต่เด็กไม่”
“หมายความว่าไง”
“ผู้หญิงคนนี้ชื่อ วีน่าเป็นน้องสาวของคิวบา”
“แล้วไง”
“เธอเป็นแม่ของลูกฉัน” ผมรู้สึกงงปนทึ่ง เดี๋ยวนะวีน่าเป็นน้องสาวของคิวบา เป็นแม่ของลูกสปาร์คแล้วลูกสปาร์คล่ะ สปาร์คหนีออกมาได้แปดปี ลูกของสปาร์คต้องไม่เกินหกขวบงั้นก็แปลว่า
“เจ้าหนูนี่ลูกนายหรอ”เขาพูดแล้วมองที่เด็กชายคนนั้นที่เริ่มแยกดอกไม้ออกเป็นแต่ละชนิด
“อืม...ใช่ไม่เหมือนพ่อมันเลยใช่ไหม เหมือน....”
“มาร์คมากกว่า เหมือนมาร์คตอนแรกฉันคิดว่าไอ้หนูนี่เป็นลูกของนาย”เขาหันไปพูดกับมาร์คในตอนสุดท้าย
“พูดแล้วมันน่าหงุดหงิดไหมล่ะ น่าหงุดหงิดจริงๆ”สปาร์คพูดในประโยคแรกดูสบายๆแล้วก็เริ่มโมโหและก็หงุดหงิด และสุดท้ายก็โกรธ
“นายยังไม่เลิกนิสัยขี้โมโหอีกหรอ”เขาพูดแล้วดันสปาร์คไปให้ห่างจากมาร์คแล้วระงับอารมณ์โกรธและการแปลงร่าง แล้วสักพักก็เย็นลง
“นายพูดได้น่าคิดดีนะ ทำไมนายรักลูกฉันมากนักหนาวะ ทำไมลูกฉันติดนายอย่างกับปลิง ทำไมลูกฉันไปเหมือนนายได้”สปาร์คถามชายคนนั้น แต่ชายคนนั้นไม่ตอบ เอาแต่จ้องหน้าสปาร์คเฉยๆไม่พูดอะไรทำให้สปาร์คหงุดหงิดแต่ไม่ถึงกับโกรธ
“ไม่เอาน่าสปาร์คฉันกับมาร์คเราไม่มีอะไรกันซักหน่อย”วีน่าปลอบแฟนหนุ่มของหล่อน
“ฉันว่าพวกนายพักผ่อนกันก่อนเถอะตอนกลางวันจะได้มาหารือเรื่องที่อยู่อาศัยกับการสู้รบที่จะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้” ผมพูดทิ้งท้ายและก็ไปพักผ่อนตามใจของตน ผมเดินผ่านห้องมากมายที่คุ้นเคยสัมผัสกลิ่นหอมเย็นของถ้ำ สัมผัสภาพที่คุ้นตากำแพงสูงผนังเย็นเป็นภาพที่ทำให้ผมมีความสุขและผมทนไม่ได้ที่ต้องเห็นมันกลายเป็นเปลวเพลิงสีแดงลุกโชนและมลายหายไป ผมเดินมาถึงห้องของโฟลเธอกำลังนอนหลับพักผ่อนอย่างสบายใจเพราะเธอไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมนั่งลงข้างๆเธอแล้วก็เริ่มรู้สึกกระหาย ผมไม่ได้กินเลือดมานานจริงผมไม่ได้ออกล่ามานานมากๆ ผมเห็นแก้วไวน์ทรงสูงที่บรรจุของเหลวสีแดงสดเข้มข้นวางอยู่บนโต๊ะ ผมจึงหยิบมากระดกจนหมดแก้วร่างกายผมเหมือนได้รับน้ำรดผืนดินที่แห้งแล้งจนมันกลับมาชุ่มชื้นอีกครั้งแต่ผืนดินแห่งนั้นก็ยังไม่มีสีสันเพราะเลือดที่ได้รับมันก็ยังคงเป็นเพียงแค่เลือดสัตว์ผมเลียปากไปรอบๆเพื่อทำความสะอาด ไม่นานนักเธอก็ตื่นขึ้นปรือตาและบิดขี้เกียจอย่างเล็กน้อย
“อรุณสวัสดิ์ ถ้านี่เป็นตอนเช้านะ”
“อรุณสวัสดิ์ นี่เกือบเที่ยงแล้ว หิวไหม”
“ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”
“ไม่หิว?”
“ใช่”
“เธอไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้วนะ”
“มันไม่หิวเลยซักนิด ฉันแข็งแรงนะ”เธอพูดพร้อมทำท่าเบ่งกล้าม
“ไปหาหมอหน่อยไหมเผื่อว่าจะเป็นอะไร”ผมถามอย่างเป็นห่วงจากใจจริง
“ไม่เอาหรอก แค่นี้เองฉันไปอาบน้ำก่อนนะ”เธอพูดแล้วลุกลงจากเตียงไปอาบน้ำ ผมก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่มองตามเธอไปเท่านั้นเนื่องจากกระจกห้องน้ำหนึ่งในสี่ส่วนใสจนมองทะลุแต่ส่วนที่เหลือขุ่นและมัวผมมองเห็นเธอสยายผมไปข้างหลังแหงนหน้ารับน้ำที่ออกจากฝักบัวหยดน้ำไหลกลิ้งไปตามเนื้อหนัง เส้นผม ทำให้เธอมีเสน่ห์ เธอทำให้ผมตกอยู่ในภวังค์เวลาผ่านไปจนเธออาบน้ำเสร็จเหมือเวลาเพิ่งเดินหน้าไปเพียงหนึ่งวิผมตื่นจากภวังค์เมื่อเธอเปิดประตูเข้ามา สวมผ้าเช็ดตัวผืนเดียวโดยมีหยดน้ำเกาะอยู่ตามเนื้อหนังมังสา ผมหายใจถี่ขึ้นไม่ใช่เพราะความกระหายแต่เป็นอย่างอื่น มือไม้ผมเริ่มอยู่ไม่สุกเคาะนู้นเคาะนี้ไปทั่ว ตาของผมกลายเป็นสีแดงแก่ สีแห่งตัณหา ผมพยายามฮัมเพลงทำให้ลืมเรื่องอย่างว่าไปให้หมดและแล้วเธอก็แต่งตัวเสร็จ(แต่งในห้องต่งตัว)เป็นเสื้อเชิ๊ตสีขาวกับกางเกงขาสั้น
“ไม่หนาวหรอขาสั้นขนาดนี้”เขาถามพยายามไม่ให้เสียงสั่น
“ไม่นะอากาศอุ่นๆสบายดีออก”เธอตอบมาอย่างนี้ทำให้ผมเริ่งสงสัยกับการเปลี่ยนไปของเธอ ผมเลยมองเธอคิ้วขมวด
“มองฉันทำไมทีคุณยังใส่แต่กางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวได้เลย”เธอเถียงมา
“ก็ฉันเป็นแวมไพร์อากาศแค่นี้ไม่ซึมซาบเข้าผิวหนังฉันหรอก”ผมตอบกลับไป แล้วลุกขึ้นไปจัดเสื้อผ้าเธอให้เข้าที่
“น่ารัก”ผมพูดแล้วลูบผมเธอแล้วจูบหน้าผากเธอเบาแล้วก็จูบไล่มาถึงปากแล้วเธอก็ดันผมออกวิ่งเข้าห้องน้ำไป ผมเดินตามเธอไปช้าๆเธอก้มหน้าลงกับโถส้วม อาเจียนออกมา
“จูบฉันมันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ”ผมถามออกไป
“เปล่าหรอกมันเป็นมาสักพักแล้ว คลื่นไส้”เธอตอบ
“นานแค่ไหนแล้ว”
“อะไร”
“ที่เธอเริ่มเปลี่ยนแปลง”
“ก็ตั้งแต่ที่คุณกัดฉัน”
“แล้วเธออาเจียนมานานแค่ไหนแล้ว”
“ก็ตั้งแต่วันที่เจอผู้ชายคนนั้น”เธอตอบมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“หลังจากวันนั้นสองถึงสามอาทิตย์รึเปล่า”
“วันไหน”
“วันที่มอร์สพีคลั่งน่ะ”
“อืม...ใช่ ประมาณสองถึงสามอาทิตย์พอดี”จากนั้นผมก็รู้สึกไม่ค่อยดีใจมันว้าวุ่น ผมเดินเข้าไปดมตัวเธอกลิ่นมนุษย์ของเธอจางลงและร่างกายเธอมีสามกลิ่นซึ่งกลิ่นหนึ่งเป็นกลิ่นของโฟล แต่อีกสองกลิ่นเป็นกลิ่นของใครผมไม่รู้ ผมกลัวในสิ่งที่ผมคิดผมภาวนาว่ามันเป็นเพียงแค่ความคิดของผมมันไม่มีอยู่จริง ขอให้ผมคิดฟุ้งซ่านไปเอง ผมก็นั่งเล่นกับเธอดูหนังและเล่นเกมกันจนได้เวลาที่ผมต้องไปรวมกันผมจูงมือเธอเดินออกไปตามทางเดินที่คุ้นเคยจนมาถึงห้องประชุมเล็กมีคนเรียงรายรอผมอยู่แล้วผมพาเธอไปนั่งโซฟาตัวนุ่มๆ
“ตามที่ทุกคนรู้ ว่าบ้านของเรา ครอบครัวของเรากำลังเจออันตรายใหญ่หลวงอยากให้จัดเวรยามเฝ้าครอบครัวของเราให้แน่นหนาแล้วก็ขอให้มีการฝึกทหารด้วยส่วนการใช้ชีวิตมีข้อห้ามสำคัญง่ายๆข้อหนึ่ง อย่าแม้แต่จะคิดไปเดินถนนทอร์กทาวน์กลางแดดเปรี้ยงๆโดยไม่มีเสื้อผ้าคลุมมิดชิดเชียว”เจ้าชายพูด
“แล้วอาหารการกินของพวกเราล่ะ”คิวบาถาม
“ไม่ต้องห่วงเรามีเชฟอยู่แล้วเพียงเดินไปสั่งที่ห้องครัวไม่ถึงสิบวิก็ได้กินตามต้องการ”เจ้าชายตอบ
“ถ้ามาประชุมด้วยเรื่องแค่นี้จะแค่บอกกล่าวส่งต่อกันไม่ได้รึไง”สปาร์คบ่น
“เพราะข้าไม่อยากให้ใครไปตะครุบแขกผู้มีเกียตรข้างนอกนั้นน่ะสิ ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ในนี้ไปก่อนเดี๋ยวการงานข้าจะเสียหมด”เจ้าชาย็บ่นกลับ แล้วทุกคนก็เริ่มแยกจับกลุ่มกันคุยกันผมเดินตรงไปหาเจ้าชายลากโฟลไปด้วย(แฮรี่นั่งอยู่ข้างๆมอร์สพีตลอด)เดี๋ยวจะถูกมนุษย์หมาป่าหลีเอา
“เจ้าชาย...”
“มีอะไรหรออาร์ล”
“ผมป็นกังวล”
“เรื่องอะไร”เจ้าชายถามเสียงอ่อนโยน
“ลองดมกลิ่นนางดูสิแล้วท่านจะรู้สึกเหมือนผม”ผมพูดแล้วเจ้าชายก็เข้าไปดมร่างกายโฟลใกล้ๆแล้วก็ตกใจเช่นเดียวกับผม
“เจ้า...”เจ้าชายหันมาหาผมแววตาสงสัย แต่เขาหลบสายตาไปข้างๆมือเกาหัวตัวเองเล่น
“เจ้าทำนางท้องหรอ”เจ้าชายพูดเสียงดังจนคนที่เหลือได้ยินแล้วหันมามอง ทั้งผมทั้งโฟลมองหน้ากันแทบไม่ติดแต่ผมเห็นเธอตกใจ ผมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เพราะเขากับโฟลมีอะไรกันแค่คืนเดียว คืนเดียวเท่านั้นมันกลับทำให้ผมต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตและชะตาของตัวเองไปเลยอย่างนั้นหรอ
“เจ้าขัดคำสั่งข้าอย่างนั้นหรอ”เจ้าชายพูดอย่างโมโหแล้วผลักเขากระเดนติดกำแพง
ความคิดเห็น