ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    the BRISTON

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 ความฝัน

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 48


    บทที่ 2  ความฝัน





         “ทำแบบนี้ดีเหรอ?”  คำกล่าวเครียดขณะวางมือบนไหล่คนตรงหน้า

         \"ดีแล้ว..”  เสียงเลื่อนลอยตอบอย่างหมดอาลัย

         “อาจถึงตายเชียวนะ  ไหนท่านชอบพูดว่าการใช้กำลังไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น”

         “เพราะมันมีแต่ต้องเจ็บตัวทั้งคู่”  คำตอบจากฝ่ายที่ถูกถามแต่ก็ยังมิอาจละสายตาจากสิ่งที่ตนจ้องมองอยู่  ก่อนโต้กลับว่า  “แต่ครั้งนี้จะไม่เหมือนครั้งไหนๆ  เพราะเค้า..จะได้ทำสิ่งที่ปรารถนาให้เป็นจริง  หรือเจ้าว่าไม่ใช่?”  พร้อมปัดมือที่อยู่บนไหล่ของตนออก



         เสียง หึหึ.. ดังขึ้นในลำคอของชายที่ถูกโต้กลับ  แววตาอ่อนโยนที่จ้องมองคนตรงหน้าแม้ว่าเค้าจะไม่หันมาสนใจ  “เพราะอย่างนี้ท่านถึงต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งสินะ”  ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “แต่ผลลัพธ์มันกลับมีแต่การสูญเสีย  ท่านคิดว่าคุ้มแล้วหรือ”

         ไม่มีคำตอบเล็ดลอดออกมาจากชายที่ถูกเรียกแทนตัวว่า ท่าน  มีแต่ความเงียบสงบและรอยยิ้มที่มุมปากที่คนเอ่ยถามไม่ได้เห็นมาเป็นเวลานาน



         . . . . . . . . . .



         “เห็นฝั่งแล้วครับกัปตัน”

         “ดี” คนที่ถูกเรียกว่ากัปตันตอบสั้นๆแล้วหันมาสนใจแผนที่ในมือ  “ตามแผนที่ก็.. เมืองโดเร่สินะ เฮ้อ เมืองติดอันดับยากจนสุดๆของเอลล์นิ”  ชายหนุ่มหน้าตาดีผมดำยาวประบ่านั่งคิดอยู่ชั่วครู่  ก่อนหยิบเชือกขึ้นมามัดผมไม่ให้เกะกะสายตา  พอดีกับจังหวะที่ชายร่างสูงคนหนึ่งเดินเข้ามา

         “ไงซิล  ได้ข่าวว่าเห็นฝั่งแล้วจะให้ส่งโกโรโต้ไปสำรวจไหม?”

         “ก็ดี แต่คงได้อะไรไม่มากหรอก”  

         ชายร่างสูงน้อมศีรษะลงเล็กน้อยหนึ่งครั้งแล้วเดินจากไป  ทิ้งกัปตันหนุ่มให้นั่งอยู่คนเดียว

         “เมืองโดเร่งั้นเหรอ..”  พลางล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมาดูด้วยสีหน้าเศร้า  “หวังว่าคงใช่ที่นี่นะ..”



         . . . . . . . . . .



         “คิด?  ทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ  เดี๋ยวก็ตกลงมาหรอก”  เสียงที่เจือไปด้วยความกังวลปนโกรธจากบลันซ์เมื่อคนหนุ่มน้อยตรงหน้ากำลังปีนหน้าต่างอย่างหมิ่นเหม่  จะตกแหล่ไม่ตกแหล่  “เล่นพิเรนทร์อะไรอีก  เฮ้อออ..  เอ้า! ยังไม่เข้ามาอีก”  ว่าพลางเดินไปลากหูเจ้าหนูมานั่งบนเตียง  แต่กว่าที่จะลากคนกินมานั่งได้ซุปก็ชืดไปหมดแล้ว

         “ป้า  ฉันเพิ่งรู้นะว่าป้านอกจากจะขายแอปเปิ้ลเน่าแล้ว  ยังทำซุปได้อร่อยเย็นชื้นใจขนาดนี้น่ะ”  

         “เพราะใครหละ  ซุปถึงได้เย็นขนาดนี้  มีกินก็กินๆไปเถอะชอบไม่ใช่เหรอของฟรีนะ  ท่องไว้สิ ของฟรี”

         แต่หนุ่มน้อยก็ไม่วายกัดเข้าให้  “ของฟรี?  โอ้โห  ป้าบลันซ์ขี้ตืดให้กินฟรี  สงสัยซุปนี้ไม่บูดก็คงมียาถ่ายมั้ง”  พร้อมทำหน้าปวดท้องบิดตัวไปมาราวโดนยาถ่ายจริง

         “จะกินไม่กิน  ไม่งั้นฉัน..”



          เสียงเคาะประตูดังแทรกจังหวะขึ้น  

          “ใครกันนะมาแต่เช้าเลย  ฝากไว้ก่อนนะเจ้าตัวดี”

          หันมาขี้นิ้วบ่นก่อน แล้วจึงเดินจากไปทิ้งให้คิดอยู่ในห้องตามลำพังอีกครั้ง

      

          “เฮ้ออ..  เกือบหนีออกไปได้แล้วเชียว  ป้าก็หูตาไวชะมัด แก่ก็แก่แล้วแท้ๆ”  

          เมื่อได้ถอนหายใจก็รู้สึกโล่งขึ้น  เมื่อเหลือบไปเห็นสร้อยคอหัวกะโหลกที่ซื้อมาเมื่อคืน  “ท่าทางอาถรรพ์แกแรงจริงๆเลยหวะ  ฉันซื้อแกมาไม่ถึงชั่วยามเพื่อนชั้นก็มา..  เออ. อย่าไปพูดถึงมันเลย”  แม้ปากจะพูดว่าอย่าไปคิดถึงเรื่องเมื่อคืน  แต่ใจมันก็หวนคิดถึงแต่เรื่องเมื่อวานเหมือนหนังที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ  ในมือก็กำสร้อยเส้นนั้นแน่นจนเลือดเริ่มไหลซึมออกมาจากมือน้อยๆ  แต่ก็ต้องคลายออกเมื่อได้ยินเสียงดังโหวกเหวกเบื้องล่าง  



          “..อะไรนะ..  ...ที่ซ่อน.. ..ไม่มีหรอก.. ไม่..”



          “เสียงป้านิ  อะไรกันวะ?”  แววตาฉายประกายอยากรู้อยากเห็นพร้อมร่างที่ค่อยๆย่องลงมาเบื้องล่างอย่างเงียบเชียบสมฉายาโจร  มือที่เอื้อมไปข้างหน้าเพื่อจะผลักประตูออกดูกลับต้องชักกลับอีกครั้ง  เพราะเลือดยังคงไหลซึมอยู่  ถ้าไม่เช็ดให้เรียบร้อยอาจจะเหลือหลักฐานว่าแอบหลบออกไปข้างนอก

          เมื่อเช็ดเลือดเสร็จแล้วก็เอื้อมมือไปเปิดประตู  ค่อยๆแง้มทีละนิด  





          เอี๊ยดดด





          “อึ๋ย!  หวังว่าคงไม่มีใครยินนะ”  

          แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็ผลักดันให้เปิดต่อไป  จนกระทั่งเห็นพื้นข้างล่างก็เริ่มกวาดตามองรอบๆ  

          “ไม่เห็นมีอะไรเลยนิ?”  ที่ชั้นล่างทุกอย่างอยู่ในสภาพปกติและก็ไม่มีใครอยู่เลยสักคน  คิดค่อยๆย่องลงมาอย่างระแวดระวัง  อย่ามีเสียงดังเลย  พร้อมย่างเท้าลงบนบันไดไม้ตรงหน้า  





          เอี๊ยดดด





          จังหวะที่เสียงดังขึ้นคิดมองไปที่ประตูเห็นเงาคนรำไรๆจากกระจกที่ติดอยู่  แต่ดูท่าทางคงไม่มีใครได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อกี๊  “เฮ้ออ โชคยังดีแหะ”

          “ก็บอกแล้วไงว่าไม่มี”

          คิดค่อยๆก้าวลงมาทีละขั้นโดยไม่สนใจเสียงไม้ที่ดังทุกฝีก้าวที่เดิน

          “แต่เราคงต้องตรวจค้น  เพราะมีคนมาแจ้ง”

          “ไหนหละหมายค้น  ถึงฉันจะเป็นชาวบ้านธรรมดาๆแต่ก็รู้นะว่าต้องมีหมายค้น  ถ้าไม่มี..”

          บทสนทนาเริ่มชัดขึ้นเมื่อมาอยู่ที่หน้าประตู  ในขณะเดียวกันความสงสัยก็เพิ่มขึ้นด้วย



          “ตรวจค้น??  แจ้ง??  หมายศาล??  อะไรกันเนี๊ย”  คิดเอาทำทั้งสามมาปะติดปะต่อแล้วคิดตาม..  “อืม.. หรือว่า ป้าขายยา”  แม้จะรู้ว่าที่ตนคิดมันไม่จริงและก็รู้ว่าถึงตายบลันซ์ก็ไม่คิดทำสิ่งผิดกฎหมายเป็นแน่



          “เห็นชัดไหมยัยอ้วน  นี่นะเค้าเรียกว่าหมายค้น  ถ้าเห็นแล้วก็หลีกไปอย่ามาขัดขวางการทำงานของเจ้าพนักงาน”

          “เจ้าพนักงาน!!”  เจ้าตัวยุ่งหยุดคิด  “พวกจักรวรรดินี่”

          ทันใดนั้นเองประตูก็เปิดออก  เผยร่างสูงใหญ่ของทหารจักรวรรดิสองนายพร้อมเครื่องแบบเต็มยศ  แต่ไม่ทันจะดูหน้าให้ชัดก็ถูกจับหันหลังใส่กุญแจมือ

          “พวกแกจับผิดคนแน่ๆ เด็กคนนี้ไม่ใช่พวกนั้นซะหน่อย”

          คิดได้ยินเสียงบลันซ์พูดแทรก แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

          “เฮ้ย! แกจะทำอะไรฉันนะ  ปล่อยนะ  ฉันทำความผิดอะไร นี่..”



          

          \"โป๊ก!!\"





    คุกประจำค่ายทหารจักรวรรดิ,  เมืองโดเร่



          แม้จะติดอันดับเรื่องความจนระดับประเทศ แต่ค่ายทหารที่นี้ก็ไม่ได้หย่อนยาน กลับเข้มงวดกว่าเมืองที่เจริญๆเสียอีก อาจเป็นเพราะขโมยขโจรมีให้จับกันแทบทุกวัน พวกพ้องคนเหล่านี้ก็เยอะ ค่ายเลยต้องสร้างให้รัดกุมสักหน่อย ถึงแม้จะใกล้ตลาดกับชุมชนไปสักนิด

          คิดเริ่มรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง  แล้วพบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องมืดๆอับๆห้องหนึ่ง  ถึงจะมองไม่ค่อยเห็นอะไรเท่าไรแต่ก็รู้ว่าที่นี่คือคุก  แม้ว่าจะยังรู้สึกมึนๆอยู่บ้างและเมื่อคลำไปโดนบริเวณที่ถูกตีหัวจนสลบเมื่อครู่



          “โอ๊ย!!  เจ็บแฮะ  ไอ้บ้าคนไหนวะตีแรงชิบ”  

          “ฟื้นแล้วรึไอ้หนู”  เสียงแหบๆเอ่ยถามขึ้น

          “ฉันไม่ใช่ไอ้หนูแล้วนะ”  คิดตอบทันควันและพยายามเพ่งดูว่าใครเป็นคนพูด  ชายเจ้าของเสียงมีรูปร่างสูงผอม  หน้าเหมือนมีแต่หนังหุ้มกระดูก “แล้วน้าเป็นใครอะ  ผู้คุมงั้นเหรอ  แต่งตัวดีเป็นบ้าเลย”  

          เสียงหึๆดังขึ้นในลำคอ  “คนที่แกเรียกว่าไอ้บ้าไง ไอ้หนู”

          คำตอบเขาทำเอาคิดยิ้มเจือนกลบเกลื่อนแทบไม่ทัน ก่อนเริ่มตอบโต้กลับ



          “แล้วมาจับฉันมีข้อหาอะไรมิทราบ”

          “เป็นกบฏ”  เสียงแหบๆกล่าวเสียงเครียดขัดกับนัยน์ตาที่แวววาวราวผู้ล่ากำลังเล่นสนุกกับเหยื่อ

          “กบฏ??”  คิดทวนคำ  สีหน้าออกอาการงง  “หรือเรายังไม่หายมึนวะ  ฟังผิดๆถูกๆ สงสัยหูอื้อด้วยมั้ง  ถ้าข้อหาลักเล็กขโมยน้อย  แอบย่องเข้าบ้านคนอื่น  ตุ๋นชาวบ้านนะพอว่า..  แต่ข้อหากบฏนี่สิ  เป็นไปไม่ได้หรอก”

          “แกไม่ได้หูอื้อหลอกไอ้หนู  ข้อหากบฏริอาจเป็นโจรสลัดไง”  ฮีทตัดขัดจังหวะพูดขึ้น

          คิดตาโตแทบถลนนออกมา  “นน.. น้า..  อย่าล้อเล่นดิ  เอาที่ไหนมาพูดน่ะ”  เพราะคนที่รู้เรื่องนี้มีแค่สามคน  ซ้ำหนึ่งในสามก็จบชีวิตลงไปแล้ว  อีกหนึ่งก็คงไม่มีทางพูดแน่ๆก็เจ้าตัวนิ  ส่วนคนสุดท้าย เหอะ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย  

          “ฉันเป็นญาติฝ่ายไหนของแกไม่ทราบ”

          คำถามที่ทำให้คิดเสียววูบ  “โทษทีครับ เอ่ออ.. ท่าน”  คนแบบนี้คงเล่นด้วยมีหวังศพไม่สวยแน่



          ฮีทจ้องหน้าคิดแล้วพูดว่า  “ฉันเชื่อว่าไม่ใช่ข่าวที่กุขึ้นมาแน่”  พลางหัวเราะหึๆ  “แกนี่ก็แปลก  รู้ทั้งรู้ว่าเป็นโจรสลัดน่ะเท่ากับเป็นศัตรูกับคนทั้งอาณาจักร  โทษก็มีอยู่สถานเดียว”  

          เมื่อเสียงหยุดเว้นจังหวะถึงกับทำให้คิดน้ำลายฝืดคอ  เย็นวาบทั่วสันหลัง

          “ประหารชีวิต..  แต่ทว่า..”  ฮีทหยุดแล้วก้มหน้าเข้ามาหาคิดใกล้ๆ จนจมูกที่เชิดขึ้นนิดๆแนบกับซี่กรงเหล็กซึ่งห่างจากหน้าคิดไม่ถึงฟุต  “แต่ถ้าแกยอมมาเป็นทาสรับใช้ฉันที่บ้าน  ฉันก็จะลืมๆเรื่องนี้ซะ  สนไหมหละเจ้าหนู  เออ..ลืมบอกไป  แกจะถูกประหารเที่ยงตรงวันนี้  เตรียมตัวเตรียมใจให้ดีหละเจ้าหนูโจรสลัด”

          พอพูดจบเค้าก็เดินจากไป  ดูท่าคงไม่ได้สนในเลยว่าคิดจะตอบว่าอย่างไร





          กึง.. กึง..





          “เฮ้!  นี่! ทำไมมันเร็วนักอะ  นี่!”  ถามไปทั้งๆที่รู้ว่าคงไม่มีใครให้คำตอบที่ถาม แต่ก็ขอเขย่ากรงให้เสียงดังเพื่อเรียกร้องความสนใจหน่อยและกัน





          “โจรสลัด”  คิดพึมพำกับตัวเอง  “มันไม่ดีตรงไหนกันวะ  ได้ผจญภัยในโลกกว้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  ค้นหาความลับมากมายทั่วหล้า  เฮ้อออ.. สงสัยพวกจักรวรรดิมันคงอิจฉาแฮะถึงได้ตั้งคาดโทษตายสถานเดียว”



          เมื่อถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวอีกครั้ง  คิดก็ลุกขึ้นมองสำรวจห้องรอบๆ  ที่ดูยังไงก็ไม่ต่างจากรูหนู  เพดานก็เตี้ยมีแต่หยากไย่สีขาวขุ่นเต็มไปหมด  บางทีก็เห็นแสงแวววาวราวไข่มุกมองกลับมาจนทำให้จอมโจรนึกอยากให้มันกลายเป็นของจริงๆ  ที่ผนังก็มีแต่รอยขีดข่วน  ซึ่งคาดว่าคงเป็นฝีมือของนักโทษคนก่อนหน้าเขาที่ขีดเล่นแก้เซ็ง  



          “อากาศในนี่ทั้งเหม็นอับทั้งชื้น  ให้นอนข้างถนนยังดีซะกว่า”  พูดพลางค่อยคลานหาฟางที่สุมอยู่มุมห้อง  เลือกเอาเฉพาะที่แห้งๆมากองไว้อีกฝั่งแล้วล้มตัวลงนอน

          “เฮ้ย!  อะไรวะ”  คิดรู้สึกเหมือนมีอะไรวิ่งผ่านเท้าไป  พอมองดูให้ชัดก็รู้ว่าเป็นหนูสองสามตัวจึงได้พลิกตัวนอนซุกกองฟางต่อ  แต่หนูเจ้ากรรมดันส่งเสียงรบกวนโสตประสาทจนแทบทนไม่ไหว  คิดจึงจ้องหาจังหวะแล้วตะครุบหางได้ตัวหนึ่ง  “เหอะ.. นี่จะบอกอะไรให้นะ  ฉันยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อคืน  กวนมากๆเดี๋ยวก็จับหม่ำซะหรอก”  แล้วก็เตะมันออกไปชิดผนังด้านตรงข้าม  เสียงจี๊ดๆของมันแสดงถึงความโกรธก่อนที่จะมุดหายไปตรงรูแถวๆนั้น  





          จ๊อกกกก





          “โอ๊ย!  หิวโว้ย!!  คุกบ้าอะไรวะของกินก็ไม่มี  ปกติคนจะตายเค้าต้องเลี้ยงไม่ใช่เหรอไง”  แต่ก็คงได้แค่บ่น  ยิ่งบ่นก็ยิ่งหิว  เลยต้องจำใจข่มตาให้หลับ



          . . . . . . . . . .



          “นี่..”  ชายร่างยักษ์พูดพร้อมใช้เท้าเขี่ยร่างที่นอนจมกองฟาง  “ตื่นได้แล้ว  จวนได้เวลาแล้ว”

          \"อือ..  ขออีกห้านาที..”  แล้วพลิกตัวนอนต่อ

          ชายร่างยักษ์ถึงกับฉุนกึกเตะเข้าตรงสีข้างเต็มแรงจนกระเด็นไปอีกด้านหนึ่ง





          ปัก





          “โอ๊ย!!  รุนแรงจริง  เออรู้แล้วน่า  จะตายทั้งทีขอนอนเต็มอิ่มก็ไม่ได้  ข้าวก็ไม่ให้กินแรงไม่มีเดินแล้ว”

          “แกจะเดินไปเองหรือจะ..”  เขาเว้นจังหวะให้เจ้าตัวดีคิดเอาเอง  

          “ไปครับ ไป  ผมพร้อมเสมอครับท่าน”  ไม่ทันขาดคำลุกขึ้นยืนตัวตรงอย่างลืมเจ็บลืมหิวเลยทีเดียว

          “งั้นก็ดี  ตามมา”  



          เขาผลักประตูเหล็กออกแล้วเดินนำทางซึ่งปลายทางก็คงจะเป็นลานประหาร  คิดเดินตามมาต้อยๆแต่ก็ยังสงสัยไม่น้อยว่าทำไมจะอีแค่คิดอยากเป็นโจรสลัดถึงกับต้องฆ่าแกงกันแถมจับตอนเช้าประหารตอนเที่ยง  แม้จะกลัวอยู่บ้างแต่ถ้าเอาความกลัวกับความสงสัยมาชั่งกัน  แน่นอน ความสงสัยชนะชัวร์



          “เออ.. ท่านครับ.. ผมขอถามอะไรสักอย่างหนึ่งได้ไหมครับ”  คิดพยายามพูดจาให้สุภาพที่สุดเพื่อหวังจะได้คำตอบ

          “หึ..  เลิกกวนโอ๊ยแล้วรึไง”

          คำถามที่ทำให้ตัวดีถึงกับหน้าเจื่อน  “คือ.. คือผมอยากทราบว่า  ทำไมถึงกับต้องโทษประหารเลยน่ะครับ  กับแค่อยากเป็น.. เอ่ออ..โจรสลัด..  แล้วก็..”

          “จับปุ๊บประหารปั๊บใช่ไหม”  ชายร่างยักษ์หยุดแล้วหันหลังกลับมามองหน้าคิด

          พอได้สบตาคนช่างสงสัยกลัวจนก้มหน้าก้มตา  “ครับ” ตายแหงมๆเลยเรา  ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง



          “ฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกัน  บอกให้แกฟังก็ได้จะได้ตายตาหลับ”  พอพูดจบเขาก็เดินต่อ

          คนช่างสงสัยเลยเงยหน้าขึ้นทันควันแล้วรีบเดินตาม

          “หึ.. เท่าที่ฉันรู้ก็เมื่อวานมีเด็กมาแจ้งข่าวว่ามีคนคิดกบฏเป็นโจรสลัดให้รีบแจ้งหัวหน้าทหารของที่นี่ให้เร็วที่สุด  พูดจาโอหังแถมทำท่าใหญ่โตซะจนพวกข้าหมั่นไส้ แรกๆก็นึกว่ามันล้อเล่นแต่พอตามหัวหน้ามาได้”  เขาหยุดแล้วเอียงหัวมาใกล้ๆแล้วกระซิบ  “หัวหน้าฉันถึงกับหง๋อไปเลย”  แล้วก็กลับมาพูดเสียงตามปกติ  “ไอ้ฉันมันก็แค่ทหารตำแหน่งเล็กๆ  เหตุผลที่แท้จริงฉันก็ไม่รู้หรอก”

          “อ้าว..แล้วจะตายตาหลับได้ไงฟะ”  

          “ฮือ..”  พร้อมถลึงตาใส่

          “...”  คิดถึงกับเหงื่อตก

          “แต่ถ้าให้เดา”  ชายร่างยักษ์ยังคงพูดต่อ  “ก็คงเป็นคำสั่งของพวกมีอิทธิพลนะ”  แล้วหันกลับมามองหน้าคิด  “แกเคยไปมีเรื่องกับลูกเจ้าพ่อมาเฟียหรือเปล่า”



          แต่ไม่ทันที่คิดจะตอบคำถามแสงจ้าก็สาดส่องรำไรเข้ามาให้เห็น  

          “ถึงแล้ว  คงอยากจะรู้แล้วสิ  ว่าจะได้ตายแบบไหน”

          “เหอะ ใครๆก็อยากจะรู้ว่าเวลาที่ตัวเองจะตายนั้นเมื่อไร  ที่ไหน  เป็นยังไง  แต่ฉันไม่เห็นอยากรู้เลยแฮะ”  คิดบ่นพึมพำกับตัวเอง  

          “นี่แก  เดินตามมาได้แล้ว  จะได้เวลาแล้ว”  คิดเลยจำใจต้องเดินตามไปสู่ความตายที่รออยู่เบื้องหน้า



          บรรยากาศที่ลานประหารเนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา  ตรงกลางงลานเหมือนเวทีที่ยกพื้นสูงสักสามสี่ฟุต  มีเสาไม้สองเสาอยู่ด้านข้างระหว่างเสาทั้งสองพาดด้วยไม้อีกค่อน  แถมด้วยเชือกยาวที่ปลายเป็นห่วงขนาดพอดีกับศีรษะ  

          

          ชายร่างยักษ์เดินขึ้นมาส่งถึงตรงบริเวณยกพื้น

          “เดินขึ้นไปเองเลย  ฉันส่งแกได้แค่นี้หละ”  พูดจบแล้วก็เดินจากไป

          นักโทษที่บัดนี้ในหัวเต็มไปด้วยความสงสัยก็ต้องจำใจอีกครั้งเดินขึ้นไป



          “คิด รอบเบอร์”  เสียงประกาศดังก้องไปทั่วลานประหาร  ต้นเสียงมาจากด้านหน้าแต่คิดมองไม่เห็นเพราะเป็นห้องกระจก  ยิ่งแสงตอนเที่ยงวันอย่างนี้  สะท้อนแสงเข้าตาจนน้ำตาแทบไหล  “กระทำความผิดตามมาตรา...”



          “เหอๆ  อะไรกันนักหนาวะ  จะให้ตายทั้งทีเรื่องมากจริงๆ พล่ามอะไรอยู่ได้”  ระหว่างรอให้สาธยายให้จบ  คิดก็มองสำรวจรอบพื้นที่ยืนอยู่ก็พบว่าตรงบริเวณใต้เชือกเป็นไม้คนละแบบกับบริเวณอื่นๆ

          เมื่อกล่าวโทษทัณฑ์เสร็จเท่าที่นับๆดูก็หลายกระทงอยู่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ก็พวกรักเล็กขโมยน้อยจะมีโทษหนักๆหน่อยก็เป็นกบฏนี่แหละ  “...คิด รอบเบอร์  มีอะไรจะกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่”





          ครั้งสุดท้ายงั้นเหรอ  เออยังดีแฮะ  





          “ก็อยากรู้ว่า..ทำไมโทษถึงขั้นต้องตายแถมจับปุ๊ปประหารปั๊บอีก  เด็กนั้นเป็นใครก็ไม่รู้  ใครคือคนที่ฆ่าคิรอส  แค้นก็ยังไม่ได้ชำระ  ที่สำคัญข้าวก็ยังไม่ได้กิน..\"  





          จ๊อกก  





          เสียงท้องร้องร่วมกล่าวอำลาในวาระสุดท้ายของชีวิต  \"..และที่สำคัญกว่านั้น.. ข้าน่ะไม่เสียใจหรอกนะ  ถ้าจะต้องมาตายวันนี้  ไงๆข้าก็อยากเป็นโจรสลัด  กับอีแค่อยากเป็นแล้วต้องมาตายข้าก็ยอม  แม้จะไม่ได้เป็นจริงๆ ไม่ได้ออกทะเล  ไม่ได้ค้นหาสมบัติ  แต่อย่างน้อยก็ได้ตายในฐานะโจรสลัด  เพราะโจรสลัด.. คือความฝันของฉัน”

          แม้ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดจะเป็นเสียงเบาลอดออกมาจากไรฟันเท่านั้น  

          พอพูดจบก็ก้าวไปด้านหน้าพร้อมเอื้อมมือหยิบเชือกที่ปลายเป็นห่วงแล้วสวมที่คอพลางเหลือบตาไปด้านหลังเห็นเพชฌฆาตกำลังเดินเข้ามาด้านข้างของบริเวณยกพื้นแล้วกดปุ่มกลไกอยู่สองสามที  พื้นบริเวณที่คิดยืนอยู่ก็ค่อยๆแยกออกจากกัน  

          “ไมเย็นวาบไปทั่วหลังเงี้ยอะ  นี่กลางวันแสกๆนะ”  คิดเหมือนเห็นภาพยมทูตลอยอยู่ด้านหน้ากำลังเงื้อง้าวจะฟันคอของตนเอง  “คิรอส..  ตอนแกตายรู้สึกยังงี้เปล่าวะ”



          . . . . . . . . . . .



          เสียงหัวเราะหึๆดังขึ้น  “พูดสมกับเป็นนายเลยนะ”

          “..เอ่อคือ..ได้เวลาต้องไปแล้ว  ไม่งั้นจะไม่ทัน”

          แม้เขาจะไม่อยากพูดแทรกขึ้นมาเพราะอาจทำให้อารมณ์ดีๆของนายท่านเสียเอา แต่จะให้ไม่พูดมันก็ไม่ได้อยู่ดี

          “อืม..” เป็นคำตอบสั้นๆจากนายของเขา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×