ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    the BRISTON

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 จุดเริ่มต้นและจุดจบ

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 48


    บทที่ 1 จุดเริ่มต้นและจุดจบ





    ทางเหนือของตลาดลูคอน, เมืองโดเร่

        

         “หยุดนะ..”

         ตึก.. ตึก..

         “หยุด..  บอกให้หยุด..”

         ตึก.. ตึก..

         “ใครก็ได้จับเด็กนั้นไว้ที”

         ผู้คนต่างหันไปมองหญิงรูปร่างอ้วนท้วนที่เป็นเจ้าของเสียง  ซึ่งพยายามวิ่งตามเด็กหนุ่มท่าทางคล่องแคล่ว  แต่ไม่มีใครคิดที่จะทำตามที่หญิงคนนั้นขอร้อง    



         “ปล่อยมันไปเถอะ  วิ่งตามอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน  ไงๆก็จับมันไม่ได้หรอกบลันซ์”

         “ไม่ได้.. แฮกๆ.. มัน.. แฮกๆ..”

         บลันซ์หยุดวิ่งพลางหอบหยุดอยู่หน้าร้านของชายที่ร้องทัก  ถึงปากจะบอกไม่ยอมแพ้  แต่ด้วยร่างนั้นก็คงวิ่งตามเด็กไม่ไหวเป็นแน่  

         “แบล่!  ไม่อยากให้ก็ตามมาซีป้า  มาดิ  เร็ว”

         เด็กหนุ่มหันมาเยาะเย้ย  วิ่งเหยาะๆอยู่กับที่  พลางกัดแอปเปิ้ลที่ขโมยมาต่อหน้าต่อตา

         “แหวะ!  ไมมันเละเงี้ยอะ  อี๋ เน่าหรือเปล่าป้า”

         ไม่ทันขาดคำก็ถุ่ยแอปเปิ้ลในปากพร้อมส่วนที่อยู่บนมือทิ้ง  แล้ววิ่งหายเข้าไปในซอกตึก  อย่างที่ร่างของเจ้าหล่อนคงตามไปต่อไม่ได้อีกแล้ว  ไงๆคราวนี้ก็คงต้องยกธงขาวให้มัน



         “เฮ้อออ..  ไอ้คิด..  แกนะแก  อย่าให้ฉันจับได้เชียวนะ”  

         “ก็เห็นพูดงี้ทุกที  ไม่เห็นเคยจับมันได้เลยซักครั้งนิ” เสียงขำๆของชายวัยสี่สิบกว่า  หัวล้านของเขาทอประกายรับแสงตะวันไม่แพ้แตงโมที่วางขายอยู่หน้าร้าน  

         “หึ  แตงโมแกมันทั้งหนักทั้งใหญ่นิ  มันจะขโมยแกได้ไง”

         “เอาน่า  ถือซะว่าสงสารเด็กมัน”



         “ถ้ามาขอกันดีๆฉันก็ให้มันอยู่แล้ว  ไม่เห็นต้องมาขโมยกันเลยนิ”  นางบ่นอุบอิบแบบไม่หวังว่าจะมีใครได้ยิน  “ก็รู้กันอยู่ว่าตอนนี้มันก็ยุคข้าวยากหมากแพง  นับวันข้าวของยิ่งแพงขึ้น แต่ความเป็นอยู่ของเรากลับแย่ลง”  บลันซ์ว่าพลางถอนหายใจอย่างอิดโรยเมื่อหยิบแอปเปิ้ลลูกที่เจ้าตัวดีเมื่อกี้ทิ้งไว้มาดู  “เฮ้อออ..  ไม่รู้ว่า พวกนั้นทำไมถึงชอบขูดรีดกันจริงๆเลย  มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นมันดีตรงไหนกันนะ”

         “นั้นซิ  เออเมื่อวานฉันได้ข่าวมาว่าที่เมืองข้างๆชาวบ้านอดอยากพากันตายไปหลายสิบคนเลย  อีกไม่นานนักหรอกก็คงถึงตาเมืองของเรา”

         “หึ แล้วเราจะทำอะไรได้ นอกจากนอนรอความตายอยู่อย่างนี้”

         “มีสิ” ตาแก่หัวล้านเถียง “สักวัน เชื่อข้าเถอะ มันต้องมีสักวันที่แสงแห่งความหวังจะส่องประกายมาช่วยเหลือพวกเรา”



         ประเทศทางแถบนี้ส่วนใหญ่เป็นประเทศด้อยพัฒนา เพราะความหละหลวมด้านการปกครอง ระบบชนชั้น การกดขี่ข่มเหงของผู้มีอิทธิพล ทำให้เมืองโดเร่ หนึ่งในเมืองที่ติดอันดับแล้งแค้นต้นๆของประเทศเอลล์ แต่ก็ยังดีกว่าหลายเมืองที่อาการหนักจนถึงกับเกิดจลาจลกลางเมือง ทำให้ถูกกองกำลังทหารเข้ามาควบคุมถึงขั้นนองเลือดกัน

         ถ้าพูดถึงแหล่งเสื่อมโทรมที่สุดของเมืองโดเร่ ก็คงหนีไม่พ้นชุมชนแออัดตลาดลูคอนเป็นแน่ เพราะพื้นที่บริเวณนี้ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน ทำให้พวกเร่ร่อนต่างพากันอพยพเข้ามาอยู่จับจองเอาเป็นที่ซุกหัวนอนกัน พื้นที่ของตลาดจะแบ่งคร่าวๆได้สี่ส่วน คือ ทางเหนือจะเป็นบริเวณขายอาหารสด ทางใต้เป็นบริเวณชุมชนที่พักอาศัย ทางตะวันออกเป็นส่วนที่เจริญที่สุด เพราะพวกมีฐานะจะอาศัยกันบริเวรนี้ และทางตะวันตกเป็นแหล่งปล่อยของเถื่อน





    ทางใต้ของตลาดลูคอน, เมืองโดเร่



         “เฮ้ย! คิด แกหายไปไหนมา”

         เด็กหนุ่มหน้าตาดีผิวสีซีด เจ้าของทรงผมสีเงินยุ่งเหยิงที่จะจัดให้เป็นระเบียบคงยาก  นัยน์ตาม่วงที่เปี่ยมด้วยประกายอยากรู้อยากเห็นถามขึ้น

         “อิอิ”  คำตอบกวนโทสะของคนที่โดนถาม  “แกก็รู้ว่าฉันไปทำงานอดิเรกมา  ก็คนเรามันต้องฝึกฝนถ้าคิดจะทำฝันให้เป็นจริง  แต่แกก็รู้นี่หว่าว่าฉันอยากเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น”

         “เหอะ  ไปขโมยของคนอื่นมาอีกละซิ  ทำมาเป็นพูดจาใหญ่โต  บอกแล้วไงว่าให้หากินสุจริตหน่อย”

         “สุจริต??”  คิดย้อนด้วยสีหน้าเครียดตรงข้ามกับนัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ส่งประกายขำอย่างชัดเจน  ซึ่งพยายามสะกดอารมณ์ของตัวเองอยู่  ยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของผู้ที่อยู่ตรงหน้า  ก็ต้องรีบหันหน้าไปทางอื่นแล้วปล่อยฮาออกมา



         “ขำอะไรนักหนา”  เสียงเครียดๆของเด็กหนุ่มถามขึ้น

         “ก็ขำการหากินอย่างสุจริตของแกไงคิรอสถามได้”  คิดหันมาตอบแต่ก็ยังไม่หยุดแหย่คนตรงหน้า  “ฉันจะบอกอะไรให้แกฟังนะ  ให้ไปขโมยของชาวบ้านเค้า  ตุ๋นพวกหน้าละอ่อน  แอบขึ้นบ้านตอนกลางวันแสกๆนะพอทำได้แต่..”  เจ้าตัวพยายามกลั้นหัวเราะ  “แต่จะให้มาเป็นขอทานอย่างแกยอมอดตายดีกว่า  แกคิดได้ไงวะ  คิรอส ขอทานแห่งตลาดลูคอนใต้”

         “เอาเถอะ  แต่ก็ระวังหน่อยและกัน  ถ้าถูกพวกนั้นจับได้ฉันไม่มีเงินไปประกันแกออกมานะเฟ้ย”

         “เออ..  สุดยอดหัวขโมยอย่างจอมโจรคิดไม่มีใครจับได้หรอก  เชื่อมือได้เลยท่านขอทานคิรอส”

         “ให้มันจริงแล้วกัน”  คิรอสทำหน้าเครียด ก่อนพูดขึ้นมาว่า  “คิด  หมู่นี้ลางสังหรณ์ฉันไม่ค่อยดีเท่าไร  ระวังตัวให้มากๆนะ  อย่าไปมีเรื่องกับใครเค้านะ”

         แต่ดูท่าทางผู้ที่อาจตกอยู่ในอันตรายจะไม่ฟังคำเตือนเลย  กลับรื้อข้าวของตรงมุมตึกที่อยู่ข้างหลังอยากเอาเป็นเอาตาย



         “คิด!!  แกฟังอยู่หรือเปล่า  นี่  ไอ้คิด”

         เจ้าตัวยุ่งทนไม่ไหวเลยต้องหยุดหาหันมาตอบคำถาม  “เออ ฟังอยู่  แกบอกว่าเราอาจมีอันตราย  แล้วไงพูดต่อดิ”  แต่ท่าทางก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไร

         “เฮ้อออ..  ช่างมันเถอะ  คงไม่มีอะไรหรอกลางสังหรณ์ของฉันอาจผิดพลาดก็ได้”  แม้จะประชดออกไปเจ้าตัวดีก็ไม่ได้สนใจสักนิด  จึงได้แต่กัดฟันกรอดๆพร้อมส่งสายตาตำหนิไปยังเจ้าเพื่อนจอมยุ่ง  “แล้วนั้นทำอะไรอยู่”

         “กินข้าวมั้งแก”  ไม่วายกัดเพื่อนอีกยก  “ก็เห็นๆอยู่ว่าคนกำลังหาของ  ไม่ช่วยก็อย่ามากวนดิ  ”

         “หาของ? ของอะไรของแก”  คิรอสถามด้วยท่าทางสงสัย

         “มันเป็นแหวนทองวงเล็กๆอะต้องรีบเอาไปปล่อยด้วย  เฮ้ย คิรอส!! ไงๆตอนนี้ก็ยังไม่มีใครผ่านมา  มาช่วยหาหน่อยสิ  ไม่งั้นวันนี้เราก็ชวดมื้อค่ำนะ”

         “ฉันยอมอดดีกว่ากินของโจร”  เสียงหนักแน่นตอบกลับทันควัน

         “เหอๆ  ของโจรอย่างน้อยก็มีกินไม่ต้องอดตายนะ  ช่างเหอะ  พอมีของกินมาแกก็กินตลอดไม่ต้องวางฟอร์มนักน่า”  ว่าพลางหาต่อโดยไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเค้านั้นกำลังถูกจับตามองอยู่

         “เฮ้ย!!  เจอแล้ว”  เสียงประกาศดังลั่นของจอมโจร  “แกรอฉันแป๊ปและกัน  จะเอาของไปปล่อยแล้วซื้อมื้อค่ำมาฝาก”

         “รีบไปรีบมาหละ  แล้วก็ระวังตัวด้วยนะคิด”

         “เออ อย่าเพิ่งไปไหนนะ”

         คิดตอบไปอย่างส่งๆโดยไม่รู้เลยว่า  นี้คือคำพูดครั้งสุดท้ายที่เค้าจะได้ยินจากเพื่อน





    ทางตะวันตกของตลาดลูคอน, เมืองโดเร่



         วันนี้ทางตะวันตกของตลาดลูคอนดูจะคึกคักเป็นพิเศษ ก็แน่นอนหละ เพราะวันนี้ตรงกับวันสิ้นเดือนพอดี ใครๆต่างก็มาเอาเงินออกจากกระเป๋าตังค์ตัวเองทั้งนั้น เวลาเดินผ่านไปผ่านมาก็ทำเอาหนุ่มน้อยของเราอยากแสดงฝีไม้ลายมือสักเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ แต่ก็ยังอุดส่าห์ห้ามใจไว้กะอยากเป็นคนดีกับเขาบ้าง และบังเอิญโชคดีที่มีเหยื่อท่าทางจะติดเบ็ดเขาเรียบร้อยแล้ว



         \"โถ่น้า  อย่ากดราคากันนักเลยน่า  นี่เป็นแหวนทองคำแท้ๆเลยนะเก่าเก็บด้วย  ดูลายสิประณีตมากเลยนะ  พันสามร้อยเคและกัน  สงสารเด็กตาดำๆนะน้า”

         “อืม..  ลายก็สวยดีนะ แต่พันสามร้อยมันแพงไปนิดนะ  ซักพันสองร้อยกำลังดีนะ”

         “พันสองร้อยห้าสิบขาดตัว”

         คนซื้อทำหน้าเครียด  ใจจริงก็รู้ว่าแหวนทองวงนี้เนื้อดี  ลายก็สวย  แต่ถ้าต่อมันอีกมีหวังคงไปขายคนอื่นแน่  เอาก็เอาวะ

         “ก็ได้พันสองร้อยหาสิบก็พันสองร้อยห้าสิบ” ว่าพลางล้วงกระเป๋าหาเงินมาส่งให้  “เอ้า  นับดูก่อนก็ได้นะไอ้หนู เดี๋ยวมาหาว่าฉันโกงที่หลังไม่ได้นะ”  

         “ไม่ต้องบอกก็นับอยู่แล้วน่า  สอง.. สาม.. สี่..  ..สิบเอ็ด.. สิบสอง อืม..  โอเคน้าครบ”  คิดตาวาวเป็นประกายที่วันนี้หาเงินพอที่จะอยู่จะกินได้ทั้งอาทิตย์  “คราวหน้ามาอุดหนุนอีกนะน้า  ขอบคุณที่ใช้บริการครับ”  พร้อมโค้งให้กับลูกค้าคนสำคัญก่อนที่เค้าจะเดินจากไป



         พอได้เงินมาเจ้าตัวยุ่งก็มองหาที่ใช้เงินเพื่อเป็นมื้อค่ำไปฉลองกับคิรอส  แต่.. ยังไม่ทันถึงละแวกที่ขายของกิน  คิดก็ดันมาติดแหงกอยู่ที่ร้านขายของเก่าริมทางร้านหนึ่ง

         “ว้าว!  สร้อยคอรูปกะโหลกทองคำนี่  ลุงๆ เส้นนี้เท่าไรอะ”

         “สี่สิบเค”  เสียงชายไว้หนวดที่ทาน้ำมันจนหนวดมันขึ้นเงารับกับแสงอาทิตย์รำไรเอ่ยไม่ได้สนใจลูกค้าเท่าไร

         “สี่สิบ!!”  ไม่ต้องเสียเวลาคิดคำนวณในใจก็รู้ว่า  ถูกแหะ  “โถ่ลุง  ลดอีกหน่อยได้ปะ” แต่ก็ไม่วายต่อรองราคา

         “สามสิบก็ได้  แต่ขอเตือนก่อนนะว่าสร้อยนี่มีอาถรรพ์  เห็นว่าใครเป็นเจ้าของคนรอบข้างก็จะตายจากหมด  เห็นว่าเปลี่ยนมือมาแล้วเกือบพัน”

         “งั้นก็ดี  สามสิบเคใช่มะ  นี่ตังค์  ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยซื้อของให้ตัวเองเลยของดีหรือไม่ดีช่างมันเหอะ  รู้สึกถูกใจมันอะ”

         หลังจากนั้นเจ้าตัวดีก็ไปซื้อมื้อค่ำแล้วกลับไปหาคิรอสที่หัวมุมถนนของตลาดลูคอนใต้ โดยไม่รู้อะไรบ้างเลยว่าหายนะกำลังคืนคลานเข้าหาตัวเขาอยู่ทุกย่างก้าว





         “มืดแล้วแฮะ  คิรอสหิวแย่เลย  ไปทางลัดดีกว่าเรา”  ทันใดนั้นจอมโจรน้อยก็ไต่ขึ้นหลังคาบ้านเดินอย่างคล่องแคล่วแล้วเดินอย่างสบายใจ  

         “ท่าทางคืนนี้ฝนจะตกแฮะ  เมฆครึ้มเลย” พูดพลางเดินสบายๆไปตามหลังคาบ้านของชาวบ้านเขา  “นอนที่ไหนดีนะ  ในกล่อง  ใต้สะพานลอย  บ้านร้าง  แต่แหม ถ้ามีสาวๆสักคน ที่ไหนก็ได้นะ คิกๆๆ หืม..”



         ภาพข้างล่างหยุดความคิดของคิดทันที  ทั้งที่เมื่อกี้ยังปากดีพูดพล่ามเรื่องไร้สาระอยู่เลย ก็ตรงหัวมุมถนนแหล่งหากินประจำของเพื่อนขอทานของเขาทำไมถึงมีคนมามุงดูเยอะนักหละ  



         แล้วเมื่อกลับมาคิดถึงคำพูดของคิรอสตอนบ่าย  

         “ลางสังหรณ์ที่ว่า... หรือว่า.. ไม่มั้ง”  



         เหมือนมีลมเย็นวาบพัดผ่านต้นคอทำเอาท้องที่ยังไม่มีอะไรตกถึงกลับเบาหวิวจนน่ากลัว  ทำให้หัวขโมยรู้สึกได้ถึงอันตรายข้างหน้า  จึงได้รีบกระโดดลงสู่พื้น

         “คิรอส!! เกิดอะไรขึ้นนะ  คิรอส!!”  

         “อย่าเข้ามาดีกว่าไอ้หนู”  ชายชรายกมือขึ้นห้าม ก่อนที่เขาจะเข้าถึงตัวเพื่อน

         “ร้ายกาจจริงๆเลย  ช่วยไม่ไหวแน่แบบนี้”  หญิงชราเอ่ยขึ้น

         “เห็นว่าพวกทหารจักรวรรดิมันเมา  ก็เลยเข้ามาหาเรื่อง  น่าสงสารจริงๆเลยยังเด็กอยู่แท้ๆ”

         “ใครบอก เห็นว่าเป็นพวกนักเลงเมายาต่างหาก”

         “ไม่ใช่ พวกเร่ร่อนที่มาใหม่ มันหาเงินกินข้าวไม่ได้”





         เอาเหอะ จะเป็นใครก็ช่าง คิรอสเป็นยังไงบ้างฟะ





         คิดพยายามแทรกตัวเข้าไปในฝูงชน แต่งานนี้ยากกว่าที่คิดหลายเท่า เขาเห็นร่างลางๆที่ลอดระหว่างฝูงชน แต่ไงๆก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ



         “หมู่นี้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยนะ  เพราะไม่มีเงินก็เลยมาขโมยจากพวกขอทาน  แต่รู้สึกว่าจะเป็นการเล่นสนุกมากกว่านะไอ้พวกนี้น่ะ”  ชายชราพูด  “เฮ้  ไอ้หนู  เป็นอะไรไปน่ะ”



         น้ำตาไหล่พรากอาบหน้าเด็กหนุ่มพลางผลักคนตรงหน้าออกเพื่อเข้าไปหาเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อร่างนั้นอยู่ใกล้ไม่เกินเอื้อม



         “ถถ  ถอย..  ถอยไป”  พอได้เห็นใกล้ๆขาทั้งสองก็หมดแรงทรุดลงนั่งอยู่ข้างๆร่างที่ไร้ชีวิต  “คิรอสพูดสิ  พูดออกมา  ฮือๆๆ..  พูดสิ.. พูด..  ฮือๆๆ..  มันเป็นความผิดของฉันเอง  ถ้าวันนี้ฉันไม่ไปปล่อยของแกก็คงไม่ตาย  เพราะฉัน  เพราะฉันคนเดียว”  คิดพยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเพื่อนพลางเขย่าร่างหวังให้ฟื้นคืนชีพ  “ใช่.. แกเตือนฉันแล้ว  แต่ฉันไม่ฟัง..  ฉันขอโทษ  แกตื่นขึ้นมาด่าสิ..  ด่าแรงๆเลย”  



         ตอนนี้ฝนเริ่มเทลงมา ราวกับจะร่วมไว้อาลัยแด่เพื่อนที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ  “ดูนี่สิมื้อค่ำไง  แม้จะเป็นของโจรแต่ก็กินได้นะจะได้ไม่อดตายไง  ตื่นสิ..  คิรอส..” พูดไปพลางหยิบน่องไก่ของโปรดเพื่อนออกมาใส่ไว้ในมือ  “ดูสิ  ยังร้อนๆอยู่เลย  มา.. ฉันจะช่วยเป่าให้นะ  คิรอส.. แกตื่นมากินกับฉันสิ  ฮือๆ”



         “คิด  พอเถอะ  คิรอสไปสบายแล้ว”

         เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมมือที่วางโปะที่ไหล่

         “บลันซ์??”  ยิ่งมาเห็นหน้าคนที่รู้จักยิ่งกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ปล่อยโฮออกมายกใหญ่  

         “เป็นความผิดของผมเอง.. เป็นความผิดของผม..”

         “นิ่งซะคิด”

         ฝนเริ่มตกหนักมากขึ้น  ทำเอาคนที่มามุงดูแตกกระเจิงหายไปทุกทิศทุกทาง ทำให้ในตอนนี้เหลือเพียงคิด บลันซ์และร่างที่แน่นิ่งของคิรอสเท่านั้น  ค่ำคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายแล้วที่คิดจะมีอยู่..



         . . . . . . . . . .



         ตาค่อยขยับช้าๆ  เปลือกตาเปิดขึ้นแต่ก็ปิดลงอีกครั้งเพราะแสงจ้าที่ต้องตา  ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง  

         “ปวดหัวจัง”



         “ตื่นแล้วเหรอคิด”  เสียงทักจากบลันซ์

         เด็กหนุ่มค่อยๆคิดก่อนตอบรับเสียงทัก “บ้านป้าเหรอ”  

         “ใช่  อย่าเพิ่งพูดอะไรมากพักก่อนเถอะ  หิวหรือเปล่า?”

         “อืม  นิดๆ”  

         “ก็ยังไม่ได้ทานมื้อค่ำเลยนี่น่า  งั้นรอแป๊ปนะ  จะไปอุ่นซุปมาให้”



         เหตุการณ์เมื่อคืนค่อยๆกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง  สีหน้าซีดๆที่เห็นเป็นประจำซีดหนักกว่าทุกครั้ง  นัยน์ตาสีม่วงที่เคยเห็นกลับปิดลงสนิท  ผมสีเงินสลวยสยายบนพื้นที่เปียกชื้น  จมูกน้อยๆที่เคยมีลมอุ่นๆกลับนิ่งไม่มีแม้ลมแผ่วเบา  ปากที่เคยพูดคุยกลับสงบนิ่ง  มือก็เย็นราวกับน้ำแข็ง  “ทุกอย่างเป็นความผิดของเราล้วนๆ  ถ้ายอมเชื่อที่คิรอสพูดก็จะไม่เป็นอย่างนี้  ยิ่งนึกก็ยิ่งพานโทษตัวเองเรื่อย



         “เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว”

         ... ผ่านไปห้านาที...

         “คิด  ซุปข้นร้อนๆมาแล้ว  คิด! คิด!”





    ค่ายทหารจักรวรรดิ,  เมืองโดเร่



         “เฮ้ย  เมื่อคืนหายไปไหนมา  หนีเวรไปกินเหล้าอีกแล้วใช่ไหม?”

         “เอาน่า.. หัวหน้า  ผมไม่ลืมเอาของกำนัลมาฝากก็แล้วกัน”  เสียงแหบๆของชายร่างสูงโปร่งหลังโก่ง  ผอมบาง  แก้มซูบตอบ  จมูกเชิดขึ้นนิดๆ  หน้ามีแต่กระดูกเหมือนมีแต่หนังหุ้มซึ่งกำลังชี้ไปที่ถุงกระสอบใบใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง

         “ฮึๆ  ดี.. ดีมาก”  ชายผู้ที่ถูกเรียกว่าหัวหน้ายิ้มอย่างมีเลศนัย  “แกออกไปได้แล้ว  และ..”

         “และอย่าให้ใครเข้ามาขัดขวางความสุขของฉันแล้วกัน  ใช่มะ”  เสียงแหบๆดังแทรกจังหวะขึ้น

         หัวหน้าสังเกตเห็นว่าถุงกระสอบเริ่มขยับรุนแรงขึ้นจนทำให้ด้ายที่เย็บตรงขอบๆเริ่มปริแตกจึงได้รีบไล่ลูกน้องออกไป  พอเห็นว่าเจ้าลูกน้องตัวดีหายลับสายตาไปแล้ว  ก็หันมาสนใจอาหารจานหลักที่อยู่ตรงหน้า..



         “เฮ้อออ..  อิจฉาหัวหน้าแหะ  สาวน้อยคนนี้สวยเป็นบ้าเลย”  

         “พูดมากน่า  ก็แกประเดิมไปแล้วเมื่อคืนไม่ใช่รึไงฮีธ”  เพื่อนทหารที่เที่ยวด้วยกันเมื่อคืนถามขึ้น  พลางเดินไปด้วยกัน

         “นั้นสิ  หึหึ..  หวังว่าหัวหน้าคงไม่รู้นะ”  ฮีทเดินไปที่ประตูเพื่อเข้าเวรตามปกติ  กำแพงของค่ายก็สูงไม่ใช่ย่อย  กว่าจะขึ้นมาถึงข้างบนได้ก็หนักเอาการอยู่  แต่เมื่อลมเย็นๆพัดผ่านใบหน้าที่เพิ่งตื่นก็ทำให้สดชื่น  ทว่า



         \"เฮ้ย  ไอ้พวกเต่าหดหัว  ออกมาเจอกันหน่อยไหม”  เสียงตะโกนดังโหวกเหวกมาจากด้านล่าง

         “อะไรกันวะแต่เช้าเลยหวะ”   แล้วหันมามองหน้าเพื่อน  “แกลงไปดูทีสิวอล”

         “อ้าว  ไหงเป็นฉันอะ  เออ..ก็ได้วะ แต่คืนนี้แกต้องเลี้ยงเหล้าด้วยนะ”  เมื่อพูดจบก็เดินลงไปดูต้นเสียงว่าเกิดอะไรขึ้น

         เมื่อเริ่มเห็นต้นเสียงใกล้ๆก็รู้ว่า  “เฮ้ย  ไอ้หนูที่ไหนวะ?”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×