คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๔ ญาณินท์ ชวลัน
บทที่ ๔ ญาณินท์ ชวลัน
สักพักจึงมีรถกระบะขับเคลื่อน ๔ ล้อคันใหญ่ วิ่งมาจากภายในหมู่บ้าน และจอดตรงศาลาที่พักผู้โดยสารที่พวกเขาอยู่ พลันหญิงสาวก็ลุกจากที่โดยไม่หันมามองพวกเขาแม้แต่น้อย ชายวัยกลางคนที่นั่งตำแหน่งคนขับเปิดประตูรถ วิ่งออกมารับด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ...
"คุณหนูมารอนานหรือยังครับ ผมต้องขอประทานโทษที่มาช้า" ดูเขาช่างสุภาพและนอบน้อมกับเธอ
"ไม่ช้าหรอกค่ะ ณินท์กำลังอ่านหนังสือเพลินๆ" เธอยิ้มหวานให้เขา แววตาเป็นประกายแห่งความสุข ชายคนดังกล่าวรับกระเป๋าจากมือ
"ผมดีใจจริงๆ ที่ได้พบคุณหนูอีก" เขาเปิดประตูให้
"เชิญครับ" เธอก้าวเท้าเหยียบบันไดรถและดันตัวเองเข้าไปนั่งคู่คนขับที่เบาะหน้า พวกเขามองตามด้วยความสนใจ... เธอเป็นใคร...
"ท่าทางหยิ่งมากๆ เลยนะคะ" ตามีท่าทางไม่ชอบจนเห็นได้ชัด มีอะไรบางอย่างผลักดันให้เธอรู้สึกว่าหญิงสาวที่เพิ่งจากไปคือศัตรู...
"ท่าทางน่ากลัวมากกว่าครับ เรียบๆ เฉยๆ ไร้ความรู้สึก" แม็คที่นั่งสังเกตอยู่ตลอดเวลากล่าว
"อ้าว ทีแรกทำเหมือนใจจะขาดตายให้ได้" แขกยิ้ม
"เฮ้ย คนสวยในโลกไม่ได้มีคนเดียว" เขาออกตัว
"เราเห็นด้วยกับแม็คนะ ผู้หญิงคนนี้ก็ดูธรรมดา แต่เวลาดูนานๆ แล้วรู้สึกเหมือนถูกสะกด ลึกลับ... บอกไม่ถูกจริงๆ" อัตเพื่อนวัยเดียวกันกล่าวสมทบ
"ผมถ่ายรูปเก็บไว้ด้วยล่ะครับ" ป๊อก นอกจากจะทำหน้าที่แบกเป้ให้หมิวแล้ว เขายังไปตากล้องของค่าย ยกกล้องดิจิตอลขึ้นอวด
"ขอดูหน่อยสิป๊อก" เก๋ขยับเข้าไปหา ดูภาพที่จอแอลซีดีกล้องดิจิตอล เป็นภาพด้านข้างซีกหนึ่งของหญิงสาว ที่มีผมดำยาวเหยียดตรง ปกปิดใบหน้าและแผ่นหลังเอาไว้ สีหน้าที่เปิดเผยนั้นเงียบสงบดั่งรูปปั้นเทพี หางตาคมเฉียบลึกล้ำ....
"ให้ความรู้สึกลึกลับจริงๆ ด้วยแหละ" เธอทำหน้าแหยง... คนอื่นทยอยเข้ามาดูกัน
สวยลึกลับ... เป็นคำที่ทุกคนมอบให้กับหญิงที่เพิ่งจากไป
รถกระบะวิ่งคลุกฝุ่นทราย เลี่ยงการผ่านหมู่บ้านผาค้างคาว ใช้เส้นทางส่วนตัวลัดเลาะไปตามป่าเบญจพรรณ ไต่ขึ้นเขาทีละน้อย และค่อยๆ ชันขึ้นไปเรื่อยๆ
"คุณแม่ไม่ค่อยอยากให้ณินท์กลับมาหรอกค่ะ" ใบหน้านั้นยังเศร้า รวมทั้งน้ำเสียงแสดงถึงความน้อยใจ...
"คุณหนูก็รู้ว่าที่นี่มันไม่เหมาะกับคุณหนู" คนขับมีท่าทางเคร่งเครียด
"แต่..." เธอกำลังจะกล่าว เขาก็พูดแทรกเข้ามาเสียก่อน
"คุณหนูก็รู้ว่าที่นี่มันอันตราย และน่ากลัวแค่ไหน คุณผู้หญิงไม่อยากให้คุณหนูกลับมา กำชับว่า ยังไงจะเป็นคนไปหาคุณหนูเอง"
"แต่...คุณแม่ก็ไม่เคยไป นี่กี่ปีกันแล้ว" เธอกัดริมฝีปากแน่น น้ำตาเริ่มคลอ เสียงเบาและสั่นเครือ คนขับหันกลับมามองอย่างเห็นใจ
"คุณผู้หญิงมีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่... คุณหนูก็รู้" เขาเบือนหน้าหลบ รถยังคงโยกเยกไปตามทางที่ไม่ราบเรียบ
"หนูรู้สิ รู้ว่าคุณแม่จำเป็น... หนูถึงได้ทนมาจนถึงวันนี้ไงคะ" ตาเธอแดงก่ำ หันไปมองเขาเหมือนขอความเห็นใจ ใครสักคนก็ได้ที่จะเข้าใจเธอ...
"คุณผู้หญิงต้องดีใจที่ได้พบคุณหนู คุณเธอพูดถึงคุณหนูทุกวัน" เขากล่าว เธอหันหน้ากลับมานั่งนิ่งเงียบอย่างไร้ความรู้สึกอีกครั้ง น้ำตาเหือดแห้งไปทีละน้อยทิ้งไว้เพียงคราบ ในรถจึงเงียบงัน ยกเว้นเสียงล้อที่บดลงบนพื้นและเสียงเครื่องยนต์
บ้านชวลันตั้งอยู่บนเขา ก่อสร้างขึ้นมากกว่ายี่สิบปีที่แล้ว ยังคงตั้งตระหง่านงดงามด้วยสไตล์ยุโรป เมื่อมองจากเบื้องล่างจึงโดดเด่นท้าทาย เจ้าของบ้านย้ายเข้ามาด้วยจุดประสงค์ที่ทุกคนเบื้องล่างรู้คือ... การพักผ่อนในช่วงบั้นปลายของชีวิตอันสงบ... แต่หลายคนกลับตั้งข้อสังเกตไว้หลายประการอย่างน่าสนใจ เนื่องจากเจ้าของบ้าน ผู้เป็นบิดาของญาณินท์ ยังมีอนาคตการงานที่ดี เป็นนายแพทย์ที่มีชื่อเสียง และไม่ใช่คนแก่เกษียณราชการ เขามาอยู่ที่นี่เพื่อหลบซ่อน หรือกำลังกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอันเป็นความลับ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องราวเหล่านี้ก็เงียบหายไป พร้อมกับการตายอย่างสงบของเขาเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ไม่มีท่าทีที่ภรรยาของเขาจะทิ้งบ้านพักหลังนี้และย้ายที่พำนักกลับไปยังเมืองหลวงอันเป็นบ้านเกิด ซึ่งคำร่ำลือเกี่ยวกับเธอก็ไม่แพ้กับผู้เป็นสามี ต่างกล่าวกันว่าเธอเป็นผู้ดี มีเชื้อของเจ้านายสมัยก่อน บ้างก็ว่า เธอมีเชื้อเจ้าเลยทีเดียว... เพราะลักษณะของเธองดงามดั่งนางพญา
"เอ๋ ทำไมรถไม่มาสักทีละเนี่ย" หมิวเริ่มบ่นอุบอิบ มองดูนาฬิกาข้อมือ มันเริ่มบ่ายคล้อย...
"ตาว่าคันนั้นอาจจะใช่นะคะพี่หมิว" ลลิตาลุกขึ้นมองรถสองแถวแดงเล็ก คันเก่าๆ กำลังวิ่งมา ท่าทางทุลักทุเล มีผู้โดยสารนั่งอยู่ด้านหน้าและหลัง ๔ คน ทุกคนลุกขึ้นบิดขี้เกียจ...
"ขอให้ใช่เถอะ" ตั้มอ้าปากหาวหวอด เพิ่งตื่นจากฝันหวาน รถวิ่งมาเทียบศาลา หันหน้าเข้าหมู่บ้าน
"ไปไหนกันครับ" โซเฟอร์วัยกลางคน หน้าหยาบกร้านมีริ้วรอยจากการกรำแดดขับรถมาเกือบชั่วอายุ
"ไปผาค้างคาวครับ" เชนตะโกนบอก
"เอ้า ขึ้นมากันเลย" คนขับกวักมือ พวกเขาแบกสัมภาระโยนขึ้นหลังคารถ และเข้าไปนั่งจนเต็ม รถเริ่มบดถนนด้วยท่าทางลำบาก...
คนในรถบ่นกันพึมพำ
"เดี๋ยวมันก็ดับอีก" หญิงร่างท้วมนุ่งผ้าถุง เสื้อคอกระเช้าแบบง่ายๆ สีพื้น บนตักมีถุงผักและเนื้อวางอยู่
"น่าเบื่อจริงๆ รถตาสอนคันนี้ มันเสียบ่อยก็น่าจะเอาไปซ่อมให้มันดีเสียก่อน ออกมาจากตลาดตั้งแต่บ่ายโมงแล้ว นี่ปาไปตั้งกี่โมงแล้วก็ไม่รู้" เธอหน้านิ่ว
"ก็ยังดีกว่าเดินกลับบ้านแหละ อีกไม่กี่กิโลก็ถึงแล้ว" หญิงอีกคนกล่าว
"รู้แบบนี้ ฉันเอามอเตอร์ไซค์ไปเองจะดีกว่า" เธอยังคงบ่น พวกเขาคอยฟังอยู่
"พวกน้าจะไปที่ไหนกันครับ" อัตเอ่ยถาม พวกเธอหันมามอง
"ไปกุดขุ่น อยู่หมู่บ้านข้างหน้านี่แหละ แล้วพวกคุณไปไหนกันละคะ" เธอมองพวกเขาไปทั่ว
"ไปผาค้างคาวครับ อีกไกลไหมครับ"
"ไกลสิ เกือบจะหมู่บ้านสุดท้ายเลยล่ะ"
"จะอีกนานไหมคะ" หมิวมีท่าทางกังวลใจ เพราะเธอนัดกรรมการหมู่บ้านเอาไว้
"ถ้าวิ่งไปแบบนี้ก็อาจจะเกือบชั่วโมง" หมิวถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อรู้ว่าเวลายังพอมีก่อนตะวันลับขอบฟ้า
รถค่อยๆ เลียบข้างทาง ภายในหมู่บ้าน ถนนเหลือแค่เลนเดียวคือทางเกวียนเก่า ที่ยกพื้นทำเป็นคอนกรีตระยะสั้นๆ สลับกับลูกรังระหว่างหมู่บ้าน ป้ายเขียนว่า "บ้านกุดขุ่น" เพื่อนร่วมทาง ๓ คนเบาะหลังก้าวลงจากรถ เหลือเพียงพวกเขา และผู้โดยสารข้างหน้ากับคนขับอีกสอง...
"เปลี่ยวใจยังไงไม่รู้ว่ะพี่แม็ค" แขกหันไปคุยกับรุ่นพี่ที่ห้อยโหนกันที่ท้ายรถ
"เปลี่ยวจงเปลี่ยวใจอะไรกันวะ ยังเป็นเด็กเป็นเล็ก และหัดพูดกับรุ่นพี่ดีดี จะมาวะเวอะไม่ได้" แม็คลงมะเหงกให้รุ่นน้องทีหนึ่ง...
"อ้าวเจ็บนะพี่... ไม่เข้าใจวัยรุ่นเลย" เขาลูบหัวไปมา หน้าเหยเก
"พี่ไม่รู้สึกเหงาเหรอ ถ้าในรถมีแต่พวกเรา และปลายทางข้างหน้าเราไม่เคยไปเลย" เขาให้เหตุผล มันเป็นความไม่มั่นใจ
"ก็จริงของเอ็ง" แม็คพยักหน้าตาม สักพักรถก็มาถึงหมู่บ้านของคนที่นั่งหน้า เขาลง และหายลับเข้าหมู่บ้าน รถยังคงวิ่งโขยกเขยกอย่างไม่เต็มใจจะไป
รถวิ่งพ้นหมู่บ้านมา ป่าสองข้างทางเริ่มหนาแน่น สลับกับพื้นที่นา และภูเขาเป็นระยะ พลันกลุ่มควันโขมงจากเครื่องยนต์หน้ารถ และกลิ่นไหม้ก็พวยพุ่งขึ้นมา เสียงเครื่องยนต์ดังเหมือนระเบิด ชายคนขับดับเครื่องยนต์ในทันที เหล่านักศึกษาวิ่งพุ่งออกจากรถอย่างตกใจ คนขับเปิดประตูรถออกมาอย่างใจเย็น เหมือนรู้ใจกันมาก่อน หันมามองดูพวกเขาที่ทำท่าตกใจ และยังคงหวาดระแวงรถเก่าคร่ำครึคันนี้
"มันก็เป็นแบบนี้แหละ วันนี้ ๒ ครั้งแล้ว" เขาหันมากล่าว สีหน้าบ่งบอกถึงความเหนื่อยหน่ายเต็มทน พวกเขาค่อยๆ เดินเข้ามาดู เมื่อเขาเปิดฝากระโปรงหน้ารถ จนกลุ่มควันค่อยจางหายไป เหลือเพียงกลิ่นเหม็นไหม้... เขาก้มลงไปงัดแงะอะไรบางอย่างเหมือนรู้สาเหตุ
"มันเป็นอะไรครับ" เชนถาม เขาแหงนหน้าขึ้นมามอง
"หม้อน้ำไม่ค่อยดี ต้องคอยเติมน้ำตลอด เผลอไม่ได้เป็นต้องไหม้" เขาดึงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าหน้าอกเสื้อ คาบที่ปาก ควานหากลักไม้ขีดไปรอบๆ ตัว...
"แล้วจะทำไงต่อคะ" หมิวมีท่าทางร้อนใจ แดดเริ่มอ่อนลงทุกที แต่ท่าทางคนขับไม่ได้รีบร้อนแม้แต่นิดเดียว
"ต้องรอให้หม้อน้ำมันเย็นก่อน แล้วเติมน้ำ" เสียงอู้อี้ เขาจุดไม้ขีด และดูดควันเข้าปาก พ่นออกทางจมูกและปากอีกไม่กี่อึดใจ หมิวต้องขยับถอยหลังห่างออกมา
"เดี๋ยวลองเติมน้ำดู" เขาเดินไปประตูคนขับ และพลิกเบาะพับไปด้านหน้า ดึงแกลลอนน้ำออกมา... เชน แม็ค อัต ตั้มและแขกมองดูอย่างสนใจ ป๊อกถ่ายรูปดั่งเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ คนอื่นไปนั่งรออยู่ใต้ร่มไม้ข้างทาง คนขับเอาน้ำเทลงไปในหม้อน้ำทีละนิด เสียงมันดังฉ่า ไอหมอกฟุ้งกระจาย...
"ไม่ไหว เร่งไม่ได้ รอให้มันเย็นกว่านี้หน่อย เดี๋ยวหม้อน้ำพังพอดี" เขาตัดสินใจเลิก และวางแกลลอนน้ำไว้ตรงหน้ารถนั้นเอง
"สงสัยจะไม่ทันแล้วล่ะ โทรไปบอกกรรมการหมู่บ้านดีไหม" หมิวเป็นเลขาค่าย เอ่ยถามความคิดเห็นคนอื่น พวกเขาต่างเห็นด้วย เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา...
"ตายล่ะ ดันไม่มีคลื่นอีก" ท่าทางเธอหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
"ที่นี่มันเป็นเขา โทรยาก ต้องเดินหาตำแหน่ง..." เขายังคงพ่นควันแข่งกับรถ "แต่บอกได้เลยว่ายาก" เขาบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"เอา ลองกันใหม่" เขาดีดบุหรี่ออกจากมือ ใช้เท้าเหยียบจนมอด แล้วหันมาบรรจงเทน้ำลงในหม้อน้ำอีกครั้ง ท่าทางจะเป็นไปได้ดี... เขาปิดฝากระโปรงรถ เดินไปยังตำแหน่งคนขับ แล้วเปิดสวิสต์เครื่อง
บรึ้ม! เสียงเครื่องยนต์ระเบิดดังสนั่น เขาเองยังตกใจพุ่งออกจากรถ
"ซวยอะไรกันนักวะ" เขาสบถอย่างไม่พอใจ นักศึกษาต่างหลบอยู่ข้างทาง ยังจดจ้องไม่กล้าขยับเข้ามา
"อย่างนี้สงสัยไม่ไหวแล้วมั้งครับ" แม็คตะโกน คนขับลุกขึ้น
"คงงั้นแหละ ต้องหารถมาลาก แต่คงเป็นพรุ่งนี้เช้า"
"อ้าว แล้วพวกผมจะทำไงกันละครับ" อัตถามทันควัน
"ลุงต้องขอโทษพวกเอ็งว่ะ ต้องหาที่พักแถวนี้คืนนี้แหละ ไม่ก็ต้องเดินไป" น้ำเสียงรู้สึกผิด ตอบตรงไปตรงมา
"เฮ้ย ตายแน่ๆ" ตั้มมองเป้สัมภาระที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ
"แล้วอีกไกลไหมครับ" เขาถาม
"ผาค้างคาวใช่ไหม เออ ก็ประมาณ ๔ ถึง ๕ กิโลน่าจะได้ ก็พอๆ กับระยะทางของหมู่บ้านที่ผ่านมา"
"โอย... ตั้ง ๕ กิโล เก๋ตายพอดี" เก๋บ่น แล้วลูบหลังตั้ม...
"เดินไปเรื่อยๆ คงจะถึงสักสองทุ่มสามทุ่ม" คนขับเก็บของใส่รถ
"แล้วไม่มีรถอีกแล้วเหรอคะ" หมิวถาม
"ไม่มีหรอก รถลุงมาวิ่งให้นี่ก็บุญแล้ว"
"แล้วรถชาวบ้านล่ะ"
"ก็มีบ้าง แต่อย่าคาดหวังเลยนะ ท่าจะหายาก" เขาตอบตรงไปตรงมา
"เอ้า ผู้ชายมาช่วยลุงเข็นรถชิดข้างทางหน่อยสิ" เขากวักมือเรียก
พวกเขาจัดสัมภาระให้ลงตัว ก่อนแบกมันขึ้นหลัง คนขับรถมองเส้นทางเบื้องหน้าอย่างกังวลใจ ก่อนหันมาหาพวกเขา
"เดินกันเร็วๆ นะ อย่าให้ดึกมาก"
"มีอะไรเหรอเปล่าครับ" แขกรู้สึกสังหรณ์ใจ
"ไม่มีอะไรหรอก เวลามืด มันจะมืดมากๆ หมอกลงเยอะ จะมองไม่เห็นทาง..." เขากล่าวพลางกลืนน้ำลายพลาง พยายามหลบสายตากลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง
"แล้วลุงจะทำไงต่อครับ" เชนเอ่ยถาม
"จะเดินย้อนกลับไปหามอเตอร์ไซค์สักคันที่หมู่บ้านที่ผ่านมา หาทางเข้าไปในเมือง เผื่อจะได้ช่าง หรือรถมาลาก" เขาหยุดมองดูทุกคนไปรอบๆ อย่างลังเลใจ... เขาไม่ควรจะทิ้งวัยรุ่นพวกนี้...
"โชคดีนะทุกคน ลุงไปก่อนนะ..." เขาตัดสินใจเดินจากไป ทุกคนมองเขาแล้วโบกมือลา ก่อนหันมามองเส้นทางของตัวเอง คนขับรถหันกลับมามองด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น ไม่สบายใจ...
คงไม่ใช่วันนี้หรอกนะ มันเงียบหายไปหลายคืนแล้ว มันอาจจะย้ายถิ่น หรือเงียบหายอย่างที่มันเคยเป็น ยังไม่ใช่วันนี้แน่ๆ ยังอีกหลายวัน เขาคิดในใจ... มันเป็นตัวอะไรเขาก็ยังไม่รู้เลย แล้วจึงหันหลังให้ ก่อนจะเดินลับหายไปในความสลัวของบรรยากาศ....
ความคิดเห็น