ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักนายเจ้าชายปีศาจ

    ลำดับตอนที่ #1 : รักนายเจ้าชายปีศาจ ตอนที่1

    • อัปเดตล่าสุด 11 มิ.ย. 54


    รักนายเจ้าชายปีศาจ ตอนที่ 1    

    “เดชะพระนาม พระบิดา  และพระบุตร  และพระจิต  อาเมน” เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น  ท่ามกลางความมืดภายในโถงกว้างของโบสถ์  ในแถวเก้าอี้ตัวยาวที่ตั้งเรียงรายอยู่  ปรากฏร่างหนึ่งนั่งนิ่งสงบมีเพียงดาวตาที่ทอประกายล้อกับแสงเทียนหน้าแท่นบูชา 

                    หญิงสาวอายุราวยี่สิบปีเงยหน้าจ้องมองพระพักตร์ของพระเยซูที่ถูกตรึงกางเขนอยู่บนผนังโบสถ์  ในใจของเธองุนงงและสับสน  น้ำตาค่อยๆไหลอาบแก้มทั้งสองข้างและร่วงลงบนอกเสื้อเชิร์ตสีเทาที่เธอสวมอยู่อย่างเงียบเชียบ  ไม่มีเสียงสะอึกสะอื้นใดๆหลุดออกมา  ทว่าในดวงตานั้นบ่งบอกถึงความเศร้าเกินกว่าจะบรรยาย

                    ย้อนกลับไปเมื่อสามหรือสี่เดือนก่อนหน้านี้  ในเวลาที่เรื่องราวทั้งหมดได้เริ่มก่อตัวขึ้น

    ////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

                    “เดชะพระนาม พระบิดา  และพระบุตร  และพระจิต  อาเมน  พระสวามีเจ้าข้า โปรดอวยพรแก่ข้าพเจ้าและอาหารที่จะรับประทานนี้  เดชะพระนาม พระบิดา  และพระบุตร  และพระจิต  อาเมน”ทันทีที่เสียงสวดมนต์สิ้นสุดลง  มือข้างหนึ่งก็เอื้อมออกไปหาน่องไก่ทันที  พร้อมกับเสียงเพี๊ยะที่ดังขึ้นกลางโต๊ะอาหาร

                    “โอ้ย  แม่  ตีทำไมเนี่ย”เสียงหนึ่งร้องขึ้น

                    “ก็แกรีบทำไมนักล่ะ คิม”เสียงคนเป็นแม่เอ่ยขึ้นบ้าง “เป็นผู้หญิงน่ะก็หัดทำอะไรให้มันเรียบร้อยบ้าง”

                    “พอเลยแม่ เรื่องนี้อีกแล้ว หนูก็เป็นของหนูแบบนี้”พูดจบก็คว้าน่องไก่ที่เล็งไว้แต่แรกมาด้วยมือข้างเดิม

                    จนผู้เป็นแม่ต้องส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา  เพราะเจ้าลูกสาวตัวดีไม่มีความเป็นผู้หญิงเลยสักนิด  แต่ใบหน้าที่ไม่ได้แต่งเติมเครื่องสำอางใดๆ  เค้าโครงความหวานน่ารักจึงปรากฎให้เห็นอย่างเป็นธรรมชาติ  ผิวหน้าขาวใสตัดกับคิ้วสีดำเข้ม  นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลทอแววขี้เล่นอยู่ไม่น้อย  เรือนร่างที่บอบบางและส่วนสูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบหกเซนติเมตรทำให้ดูเป็นยัยเปี๊ยก  แต่โดยรวมแล้วนับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากทีเดียว

                    “หนูไปก่อนนะแม่”คิมในชุดนิสิตมหาวิทลัยชื่อดัง  ร้องบอกจากหน้าประตูบ้าน  ก่อนจะเดินออกไป

    //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

                    น้ำตาที่หยดลงบนโต๊ะกาแฟสีขาวกระจายเป็นดวง  เพราะคิมยกมือขึ้นปาดมันไม่ทัน  เม็ดฝนที่ซัดสาดอยู่ด้านนอกร้านกาแฟสีขาวนี้  คงไม่หนักเท่าพายุในใจหญิงสาวเธอก้มหน้าลงจ้องมองพื้นโต๊ะเพื่อเลี่ยงการสบสายตากับชายหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฝากของโต๊ะ

                    ส่วนอีกโต๊ะไม่ไกล มีชายหนุ่มกับหญิงสาวอีกคู่หนึ่งนั่ง  ซึ่งเมื่อพินิจดูแล้ว  ใบหน้าขาวใสของทั้งสองแทบไม่ต่างกัน  เพียงแต่ชายหนุ่มมีดวงหน้าที่คมเข้มและดวงตาที่เฉียบคม  ในขณะที่ดวงหน้าหวานซึ้งและดวงตาที่กลมโตเป็นของหญิงสาว  ทั้งสองเป็นฝาแฝดชายหญิงที่หาได้ยากยิ่ง และเป็นเพื่อนกับคิมมาตั้งแต่มัธยม  ตอนนี้ทั้งสองมีแววความเครียดฉายอยู่บนใบหน้า  ดวงตาทั้งสองคู่จับจ้องไปยังโต๊ะที่คิมนั่งอยู่

                    “มอคค่าเย็นสองแก้วเหมือนเดิมมาแล้ว  เอ็ม ไอซ์”เสียงเจื้อยแจ่วดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศชวนอึดอัด  พร้อมถาดเครื่องดื่มที่วางลงตรงหน้าฝาแฝดทั้งสอง  แล้วพี่อิน  สาวสวยเจ้าของร้านกาแฟไวท์เฮาส์แห่งนี้ก็ถอดผ้ากันเปื้อนแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่อย่างเป็นกันเอง

                    “แล้วคิมกับบอยมันเป็นอะไรกันล่ะนั่น”อินกระซิบถามฝาแฝด

                    “ก็คิมมันไปเจอบอยอยู่กับผู้หญิงอีกคนน่ะสิพี่”เอ็มเอ่ยตอบด้วยเสียงกระซิบแหบห้าว  ก่อนยกแก้วกาแฟตรงหน้าขึ้นดื่มดับกระหาย

                    “แค่นั้นหรอ”อินกระซิบ

                    “ไม่  ปัญหาคือไปเจอตอนอยู่บนเตียงน่ะสิ พี่อิน”คราวนี้เป็นเสียงหวานๆของไอซ์ที่กระซิบตอบกลับมา

                    “อ้อ”อินพยักหน้าอย่างเข้าใจในทันที

                    คิมยังคงฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ  ที่ผ่านมาไม่มีเสียงใดระหว่างคิมกับชายหนุ่มผิวเข้มที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ  จนความอึดอัดถึงขีดสุด  ชายหนุ่มจึงตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้นก่อน

                    “บอยขอโทษนะคิม  แต่คิมต้องเข้าใจบอยสิ  เพราะคิมยอมให้บอยมี”ชายหนุ่มเอ่ยไม่ทันจบประโยค  หมัดเล็กๆของคิมก็เหวี่ยงเข้าที่แก้มซ้ายของเขา  มีเสียงร้องโอ๊ยลอดออกมาจากปากของคิมก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากโต๊ะ  พร้อมกุมนิ้วมือที่เคล็ดเอาไว้ด้วยมืออีกข้าง  น้ำใสๆที่ยังคงไหลจากดวงตาที่บวมแดงอย่างต่อเนื่อง  ทว่าไม่มีเสียงสะอื้นใดเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน  เธอก้าวออกมาจากร้านแล้ววิ่งไปตามทางเท้าริมถนนอย่างรวดเร็วเกินกว่าใครในร้านจะห้ามได้ทัน  เธอไม่สนใจฝนเม็ดใหญ่ที่ซัดใส่ใบหน้าและลำตัวจนเจ็บ  เสียงร้องเรียกของสองฝาแฝดทำให้เธอเหลียวไปมองแต่ขาไม่ได้หยุดวิ่งแต่อย่างใด 

                    เมื่อรู้ตัวอีกทีคิมกำลังเดินไปตามทางเท้าที่ทอดยาวพลางนึกว่าจะมีแท็กซี่คันไหนยอมรับเธอที่เปียกตั้งแต่หัวจรดเท้าบ้าง  ฝนเริ่มตกหนักขึ้นทุกที  ในขณะที่ท้องฟ้าเวลาหกโมงเย็นมืดลงอย่างรวดเร็ว  วันนี้คงเป็นวันที่ฝนตกหนักที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา  แถมยังมีเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าฉายเป็นเส้นแปลบปลาบที่ขอบฟ้าทุกด้านของกรุงเทพมหานคร

                    บรรยากาศหน้ากลัวแบบนี้ทำให้คิมนึกลังเลว่าจะเดินกลับไปที่ร้านพี่อินดีหรือไม่  แต่ขาของเธอยังคงก้าวเดินไปข้างหน้า  ในเวลานี้ไม่มีรถสักคันบนท้องถนนทำให้ความกลัวในใจของคิมเพิ่มขึ้นเรื่อย  ในนาทีที่เธอหันหลังกลับตัดสินใจว่าจะเดินกลับไปร้านพี่อินดวงตากลมโตของเธอก็เหลือบไปเห็นร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่กลางถนนที่น้ำเริ่มเอ่อขึ้นมาเรื่อยๆ  ในใจคิมตัดสินไปแล้วว่าคงเป็นคนที่โดนรถชนอย่างแน่นอน  ขาที่เคยก้าวเดินอย่างรวดเร็วตอนนี้หยุดชะงักอยู่บนทางเท้า  จิตใจที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็งมาตลอดเริ่มตื่นกลัว

                    หลังจากรวบรวมความกล้าอยู่นาน  ขาซ้ายจึงทำหน้าที่ก้าวไปข้างหน้าก่อน  เมื่อเข้าไปใกล้พอคิมจึงเห็นว่าเขาเป็นชายหนุ่มอายุคงไม่เกินยี่สิบปี  ใสเสื้อเชิร์ตสีขาวและกางเกงยีนส์สีดำสนิท  เลือดที่นองอยู่บนพื้นไหลออกมาจากแผลใหญ่ที่หน้าอกและหลัง

                    “นี่  นี่  นายได้ยินไหม”คิมร้องเรียกพลางเขย่าตัว

                    “แค่กๆ”มีเพียงเสียงไอที่ลอดออกมาจากลำคอของชายหนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขน  เลือดคำโตพุ่งออกจากปากเขาลงบนตักของคิม

                    คิมล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า  พร้อมกดเบอร์โทรหาเอ็มทันที  ไม่นานรถโตโยต้า แคมรี่ สีขาวคันงามของเอ็มแล่นมาจอดด้านหลังของคิม

                    “คิม”เสียงเรียกสองเสียงดังพร้อมกัน  แล้วเอ็มกับไอซ์ก็วิ่งมาถึง

                    “ช่วยพาไปส่งโรงพยาบาลหน่อย”คิมเร่งเมื่อเห็นทั้งสองคนยังคงยืนมองนิ่ง

                    ทั้งสองเหมือนรู้สึกตัวจึงรีบเข้ามาพยุงชายหนุ่มปริศนาขึ้นจากตักของคิม  เมื่อมองหน้าฝาแฝดแล้วคิมจึงเห็นแววตาห่วงใยอย่างมากในดวงตาของทั้งคู่  ความรู้สึกผิดเหมือนก้อนอะไรสักอย่างเลื่อนมาจุกที่คอของเธอ

                    เมื่อฝาแฝดพยุงร่างของชายหนุ่มปริศนาไปคิมจึงเหลือบสายตาไปเห็นบางอย่างที่อยู่บนพื้นถนน  มันคล้ายกับรอยใหม้สีดำรอยใหญ่อยู่บนพื้น  รอยยาวแผ่กว้างแยกออกไปสองรอย  คิมมองไปแล้วคล้าย

                    ปีก?

    ////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

                    “อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”เสียงร้องลั่นดังขึ้นในห้องพักชั้นหกของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเรียกให้คิมที่นอนขดตัวอยู่บนโซฟาสะดุ้งเฮือก  ความที่ไม่สามารถตัดใจทิ้งคนที่ไม่มีทั้งกระเป๋าเงินและบัตรประชาชน  ทำให้เธอต้องยกหูโทรศัพท์อธิบายกับแม่อยู่นานร่วมชั่วโมง  แล้วตอนนี้มันก็ลงเอยที่โซฟาข้างเตียงคนใข้ 

                    “นายฟื้นแล้วหรอ”คิมเดินไปใกล้เตียงอย่างกล้าๆกลัวๆ

                    “เธอฉันอยู่ที่ไหน”ชายหนุ่มปริศนาชี้นิ้วมาที่เธอพร้อมกับพูดเสียงแหบแห้ง

                    “อยู่โรงพยาบาลไง”คิมตอบยังคงระแวงกับน้ำเสียงที่ฟังดูแข็งกร้าวนั้น

                    “ฉันมาทำอะไรที่นี่  ฉันต้องรีบไป”พูดพร้อมกระโดดลงจากเตียง  ทันทีที่ทำแบบนั้นร่างของชายหนุ่มปริศนาก็ทรุดหวบลงทันที  ทำให้คิมต้องรีบเข้าไปพยุงกลับไปนอนที่เตียง

                    “นี่  ใจเย็นๆก่อน  หมอบอกว่านายบาดเจ็บภายในมากนะต้องพักอย่างน้อยเป็นอาทิตย์  แล้วยังแผลที่หน้าอกกับหลังอีก  ว่าแต่นายชื่ออะไร  บอกสิ”คิมผลักชายหนุ่มให้นอนลงบนเตียง 

                    “ฉันไม่จำเป็นต้องบอกชื่อฉันกับเธอ”ชายหนุ่มพูด  พร้อมพยายามลุกขึ้นอีกครั้ง  แต่ถูกมือเล็กๆสองข้างกดไว้

                    “นี่นายไม่คิดจะบอกชื่อตัวเองกับคนที่ช่วยชีวิตนายไว้เลยหรอ”คิมถามอย่างงุนงง

                    “เหอะ”ชายหนุ่มเค้นเสียงพร้อมพลิกตัวหันหลังให้

                    “ตามใจนาย  หนุ่มน้อย  ฉันชื่อคิมนะ” คิมเอ่ยเสียงหวานราวกับแม่ที่พูดกับลูกน้อยอย่างจงใจล้อเลียนชายหนุ่ม  แล้วเธอก็เดินกลับไปนอนบนโซฟาตัวยาวที่มุมห้อง  ในใจของคิมตอนนี้ยังคงครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของแฟนหนุ่มที่นอกใจ  ภาพบาดตาที่เธอเห็นในห้องของเขาทำให้เธอไม่อาจข่มตานอนลงได้

                    “นี่  ยัยมนุษย์เปี๊ยก”คำเรียกที่ทำให้ความคิดของคิมต้องหยุดชะงักทันที  ความโกรธผสมกับความงุนงงเป็นรสชาติที่แปลกประหลาดสำหรับคิม  ในใจเธออยากทุบคอหมอนี่ให้ยุบติดที่ว่าไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของเขาด้วยซ้ำ

                    “มีอะไร  ฉันมีชื่อนะ”น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนจากตอนแรกหน้ามือเป็นหลังมือ

                    “ปิดไฟบ้านั้นให้หน่อยสิ”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่สนใจน้ำเสียงแข็งกร้าวที่เธอพยายามแสดงออกเลยสักนิด

                    “ก็ได้”คิมเดินไปปิดสวิตซ์ไฟ  แล้วเดินกับมานั่งที่โซฟา  “นี่นาย  ฉันชื่อคิม คนอื่นเขามีชื่อนะ  แม้นายจะไม่มีก็เถอะ”คิมพูดออกไปเสียงดัง  แต่พบว่าชายหนุ่มได้นอนหันหลังให้เธอไปแล้ว  จึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

                    “บาลล์”เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น  ท่ามกลางความมืด

                    “อะไรนะ”คิมถามอย่างงุนงง

                    ชายหนุ่มพลิกตัวหันหน้ากลับมามองคิม  แสงจันทร์ที่ส่องทะลุผ่านผ้าม่านทำให้คิมเห็นหน้าของเขาเพียงซีกเดียว  ใบหน้าของเด็กหนุ่มอายุไม่น่าเกินยี่สิบที่มีผมและนัยต์ตาคมกริบสีดำขลับ  คิ้วเข้มสีเดียวกับนัยต์ตา  ประดับบนใบหน้าขาว  จมูกเป็นสัน  และริมฝีปากเล็กบาง  แม้แต่คิมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาน่ารักไม่น้อยทีเดียวในยามที่ไม่ทำตัวกวนโมโห

                    “บาลล์  คือชื่อของฉัน  ยัยเปี๊ยก”

     

                   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×