ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic attack on titan :The black Beast (Eren x Rivaille)

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 58



                    ตั้งแต่วันที่ป่าสวยงามแปรเปลี่ยนสภาพเป็นป่ารกทึบเพราะคำสาปของแม่มด ผู้คนก็เริ่มระแวงและหวาดกลัวป่านั้น มีเสียงคำรามของอสูรร้ายดังมาให้เหล่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบๆป่ารกทึบได้ยินกันบ่อยๆ ความหวาดกลัวของชาวบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ

    กลัวว่าคำสาปมันจะแผ่มายังบริเวณที่พวกเขาอยู่...

    กลัวว่าอสูรและสัตว์ร้ายในป่าจะออกมาฆ่าพวกเขาในซักวันหนึ่ง...

    เมื่อเวลาผ่านไป ชาวบ้านทนกับความหวาดกลัวในใจไม่ไหว ต่างพากันอพยพออกจากบ้านเกิดของตัวเองไปอาศัยอยู่ที่อื่น ไม่นานนัก บริเวณรอบป่าทั้งหมดกลายเป็นที่ร้างไร้ผู้คน ไม่มีใครอยากมาอยู่หรือมาใกล้แถวนี้เพราะกลัวคำสาปและสัตว์ร้าย

     ปกติไม่มีใครอยากเข้าใกล้ป่าต้องสาป แต่วันนี้ต่างออกไปจากปกติ

    ร่างหนึ่งในชุดเสื้อผ้าอย่างดีราวกับคุณหนู ใส่ผ้าคลุมยาวสีเขียวเข้มเกือบดำมีฮู้ดทับไว้ด้านนอก ใบหน้าถูกปกปิดไม่ให้เห็นได้ชัดด้วยฮู้ดขนาดใหญ่ ที่ข้อแขนข้างหนึ่งผูกผ้าสีแดงเข้มซึ่งมีลวดลายสวยงามไว้ ขาเรียวทั้งสองข้างโผล่พ้นผ้าคลุมตัวใหญ่ออกมา กระโปรงที่ยาวเหนือเข่านิดหน่อยกลายเป็นยาวเหนือเข่าขึ้นมาหนึ่งฝ่ามือนิดๆ ขาทั้งสองข้างสวมถุงน่องยาวจนถึงต้นขาที่อยู่ใต้กระโปรง คนๆนั้นซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคนที่ร่างเล็กขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านร้างใกล้ป่ารกทึบด้วยความเร็วไม่มาก เขามุ่งตรงไปที่ป่ารกทึบต้องสาป เมื่อใกล้ถึงป่า มือเล็กก็ดึงสายบังเหียนทำให้ม้าเคลื่อนไหวช้าลง ม้าตัวโตสีน้ำตาลเข้มเดินเหยาะๆไปหยุดอยู่อยู่ตรงด้านนอกของป่าทึบซึ่งห่างจากพื้นที่ป่าแค่ไม่กี่เมตร

     ร่างเล็กนั่งมองป่าด้านหน้าอยู่บนตัวม้าอย่างพินิจพิจารณา ตัวป่ารกชัฏขนาดนี้เขาขี่ม้าเข้าไปทางนี้ไม่ได้แน่และแน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมเดินเข้าไป ร่างเล็กที่สวมใส่ผ้าคลุมมีฮู้ดมองซ้ายมองขวา มองดูว่าเขาจะเข้าไปข้างในป่าได้จากทางไหนบ้าง พลางคิดในหัวว่า ที่อสูรสีดำบอกว่าให้ผูกผ้าที่มันให้มาแล้วจะเข้าไปในป่าได้อย่างปลอดภัยมันจะจริงรึเปล่า?

    สมัยก่อนที่ป่าจะถูกสาป ในตอนที่ป่าตรงหน้าร่างเล็กยังเป็นป่าที่สวยงามและใช้เป็นเส้นทางในการเดินทางได้ เขาไม่เคยไปปราสาทที่ตั้งอยู่ในตัวป่าแต่ก็เคยผ่านเส้นทางในป่าไปที่อาณาจักรข้างเคียงหลายครั้งในตอนที่นั่งเกวียนไปกับพ่อเพื่อช่วยผู้เป็นพ่อค้าขาย ป่าในตอนตอนนั้นสวยงาม มีดอกไม้บานขึ้นมาหลากหลายสายพันธ์ บางส่วนของป่าก็มีดอกไม้หลายพันธ์ผลิบานขึ้นมาเป็นทุ่งดอกไม้สวยงาม บรรยากาศในป่าทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นรู้สึกสงบใจ เส้นทางในป่าถูกจัดทำให้เกวียนและรถม้าสามารถเคลื่อนผ่านไปได้สะดวก แต่ในตอนนี้ ป่าที่เคยสวยงามมีสภาพเลวร้ายลงมาก ต้นไม้ใหญ่โผล่ขึ้นมามากมายจนทำให้เส้นทางที่สัญจรไปมาได้สะดวกไม่สามารถใช้งานได้ ทิวทัศน์ภายในป่าชวนให้ผู้คนที่เดินหลงเข้าไปสับสน มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้ พุ่มไม้ เถาวัลย์ และพืชบางชนิดที่มีใบขนาดใหญ่ทำให้มองทางด้านหน้าได้ลำบากมากขึ้น ดอกไม้งามที่เคยผลิบานมากมาย ตอนนี้ไม่มีให้เห็นเลยซักต้น

    จากที่ร่างเล็กมองภายในป่าจากด้านนอก สภาพภายในป่ามันช่างไม่น่าอภิรมย์เลย ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายกว่าๆ ท้องฟ้ากระจ่างใส มีแดดมากแต่ไม่จ้าเกินไปจนทำให้รู้สึกร้อน แต่เมื่อมองเข้าไปในป่า แสงที่ส่องถึงพื้นดินพื้นหญ้าในป่ามีน้อยกว่าด้านนอกมาก ต้นไม้ใหญ่ในป่าขึ้นอยู่ติดกันมากมาย กิ่งไม้ของต้นไม้พวกนั้นทับซ้อนกัน บดบังแดดที่ส่องเข้ามาในตัวป่า    

    !

    เงาของสัตว์จำพวกนกตัวหนึ่งปรากฏขึ้นใกล้ตัวร่างเล็ก รูปร่างเงาของมันดูต่างจากปกติ นกตัวนั้นบินวนไปมาราวกำลังมองดูและพิจารณาร่างเล็กบนหลังม้า ร่างในผ้าคลุมสวมฮู้ดเงยหน้าขึ้นมองสัตว์ที่บินวนอยู่ด้านบน นกตัวนั้นคืออีกาสีดำตัวใหญ่ รูปร่างของมันเหมือนกาปกติแต่ที่เงาของมันดูต่างจากอีกาปกติเพราะมันมีผ้าพันคอสีแดงพันอยู่ที่รอบลำคอเล็กของมัน

     ดวงตาของร่างเล็กฉายแววสงสัย ตั้งแต่เกิดมา ได้เห็นเห็นอีกาสวมผ้าพันคอครั้งแรกก็ตอนนี้แหละ นกสีดำบินต่ำลงมาเรื่อยๆจนมันมาหยุดอยู่บนหัวของม้าสีน้ำตาลสวยโดยหันหน้าเข้าหาคนบนหลังม้า ดวงตาเล็กของนกตัวใหญ่ขนสีดำสนิทจ้องมองผ้าสีแดงที่ผูกอยู่ตรงข้อมือเรียวก่อนมองใบหน้าที่ถูกฮู้ดบางส่วนปิดบังและมองสำรวจร่างเล็กที่สวมชุดกระโปรงผ้าเนื้อดีอย่างพิจารณา

     “...” ดวงตาเรียวของคนที่ถูกสัตว์ตัวเล็กมองฉายแววสงสัยปนแปลกใจกับสิ่งมีชีวิตตรงหน้า

                    “เธอคือลูกสาวของตาลุงหัวล้านไว้หนวดสินะ?” อีกาตัวใหญ่เอ่ยปากถาม น้ำเสียงของสัตว์มีปีกตรงหน้าเป็นเสียงผู้หญิง

                    “...!” ร่างเล็กตกใจ เผลอเอนตัวไปด้านหลังหนีอีกาพูดได้ ดวงตาเรียวเบิกกว้างด้วยความตกใจ ริมฝีปากอิ่มสวยอ้าปากขยับขึ้นลงเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง แต่ไม่มีเสียงออกมา

                    “ตกใจงั้นหรอ? ตรงหน้าเธอคือป่าต้องสาปนะ จะมีอีกาพูดได้บินมาพูดกับเธอก็ไม่เห็นแปลก”

                    แปลกสิ! ไม่ว่าข้างหน้าจะเป็นป่าต้องสาปหรือไม่ใช่ ยังไงอีกาพูดได้มันก็แปลก! ร่างเล็กแย้งคำพูดของสัตว์ตัวเล็กตรงหน้าในใจ

                     “ฉันจะเป็นคนนำทางเธอเข้าไปในป่า” อีกาประหลาดกางปีกทั้งสองข้าง มันโผบินอยู่ตรงหน้าร่างเล็ก “ตามฉันมา” อีกาตัวใหญ่บินไปด้านข้างขนาบกับป่าต้องสาป ร่างเล็กขี่ม้าตามอีกาประหลาดไป

                    ตามไปซักพัก อีกาพูดได้ก็บินเข้าไปในป่า เมื่อร่างเล็กขี่ม้าไปถึงตรงที่อีกาบินเข้าไปในป่า เขาก็เห็นว่ามันมีทางที่พอจะขี่ม้าเข้าไปด้านในป่าได้อยู่ ม้าสีน้ำตาลสวยค่อยๆเดินเข้าไปในตามทางนั้นตามที่คนขี่มันบังคับให้เดินไป ทางที่ร่างเล็กขี่ม้าเข้าไปนั้นแคบและมีใบไม้ขวางทางเยอะมาก โชคดีที่คนตัวเล็กสวมผ้าคลุมตัวใหญ่มาทำให้เขาไม่โดนกิ่งไม้เกี่ยวเสื้อผ้า ม้าเดินเข้าไปในป่าเรื่อยๆ พอเดินไปได้ซักพักร่างเล็กก็สังเกตเห็นว่าทางเริ่มกว้างขึ้น จนม้าตัวโตสามารถเดินไปตามทางได้สะดวก ไม่มีกิ่งไม้หรือใบไม้มาโดนตัวร่างเล็กแล้วด้วย

                    ตั้งแต่เดินเข้ามาในป่าจากทางเข้าแคบๆจนถึงตอนนี้เวลาก็ผ่านไปไม่นาน คนตัวเล็กสอดส่ายสายตาหาอีกาพูดได้ หลังจากเห็นมันบินเข้าไปมาในป่าเขาก็ไม่เห็นมันอีกเลย

                    “...!?” ร่างเล็กเห็นกวางขนสีน้ำตาลอ่อนตัวหนึ่งยืนอยู่ขวางทางอยู่ด้านหน้าไม่ใกล้จากตรงที่ม้าเขาเดินอยู่มากนัก บนหัวของมันมีอีกาพูดได้ยืนเกาะอยู่ ม้าตัวโตเดินเข้าไปหามันช้าๆ

                    “ขอโทษนะครับที่มิคาสะปล่อยให้คุณเดินทางเข้ามาคนเดียว ทั้งๆที่เธอต้องอยู่ใกล้ๆคุณแล้วคอยนำทางแท้ๆ” กวางสีน้ำตาลอ่อนพูดน้ำเสียงสุภาพ เสียงของมันนุ่มนวลแม้จะเป็นเสียงของผู้ชาย

                    “...” คู่สนทนาของกวางพูดได้ส่ายหัวนิดๆเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร จากที่กวางตรงหน้าพูดมา ทำให้เขาเข้าใจว่ามิคาสะคืออีกาที่สวมผ้าพันคอ

                    “ต่อจากตรงนี้ไปผมจะนำทางให้คุณเอง ยิ่งเข้าไปในป่าลึกมากเท่าไหร่ สัตว์ร้ายยิ่งมีเยอะ ไปกับพวกผมน่าจะดีกว่า”

                    “...” ร่างเล็กพยักหน้า กวางสีสวยหันหลังแล้วเดินนำทางไป ม้าตัวโตที่ร่างเล็กขี่อยู่เดินตามไปติดๆ

                    ยิ่งเข้าไปในป่าลึกมากขึ้น บรรยากาศก็ยิ่งวังเวงและน่ากลัว

                    “กรรรร!” จู่ๆเสียงคำรามของสัตว์ป่าก็ดังขึ้น คนบนหลังม้าสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันควับมองซ้ายมองขวาของอย่างหวาดระแวง

                    “ไม่ต้องกลัว นั่นน่ะองครักษ์ของพวกเราเอง” อีกาเจ้าของชื่อมิคาสะหันมาบอกกับคนตัวเล็ก

                    นัยย์ตาสีทึบมองไปยังอีกาที่อยู่บนหัวกวางด้านหน้าก่อนจะหันไปมองยังทิศทางที่ได้ยินเสียงคำราม ใบไม้แถวนั้นขยับเพราะมีบางสิ่งเคลื่อนผ่าน  มือเล็กเลื่อนมากำดาบสั้นตรงเอวซึ่งซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมสีเขียวเข้มแน่น

     

     

     

                    “ฉันจะไปแทนเอง” รีไวล์พูดขึ้น ทำลายความเงียบภายในบ้าน

                    “พี่คะ! มันจะดีหรอ!?” สีหน้าของเพ็ตโทร่าตื่นตระหนก จริงอยู่ว่าเธอไม่อยากไปหาอสูรร้ายนั้นเลยซักนิด แต่เธอก็ไม่ต้องการให้พี่ชายที่เธอรักไปหามันแทน

                    “ไม่เป็นไรหรอกน่า” ชายหนุ่มตอบน้องสาวด้วยใบหน้านิ่ง “ถ้าฉันไปน่าจะทำอะไรได้มากกว่าเธอไป”

                    “พี่หมายความว่ายังไง?”

                    “ฉันจะไปแทนเธอ แล้วจะจัดการไอ้อสูรบ้าบออะไรนั่นซะ” รีไวล์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

                    “เดี๋ยวสิไอ้เด็กบ้า เรื่องอสูรที่ฉันบอก มันเรื่องจริงนะ คิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆรึไงถึงพูดแบบนั้นออกมา” พิกซิสพูดโพลงขึ้นมา

                    “รู้น่าว่าเรื่องจริง ที่พูดนี่ก็ตั้งใจจะทำจริงๆ”

                    “อสูรตัวนั้นสูงกว่านายตั้งเยอะ ประมาณ180ได้มั้ง เตี้ยๆอย่างนายจะไปทำอะไรมันได้” คนเป็นพ่อย้ำปมด้อยลูกชาย คนถูกตอกย้ำมุ่นคิ้ว

                    “แล้วใครบอกว่าผมจะไปสู้กับมันมือเปล่า แล้วก็อย่ามาเรียกว่าเตี้ย”

                    “ก็นายเตี้ยจริงๆ” คนเป็นพ่อยอกย้อนเหมือนลูกชายเป็นเพื่อนเล่น 

                    “ตาแก่หัวล้านเมียทิ้ง”

                    “ฉันพ่อแกนะไอ้เด็กเตี้ย”

                    “ลุงอย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างให้ผมเงียบแล้วลุงว่าผมได้แค่ฝ่ายเดียวนะ” ชายหนุ่มตีหน้ามุ่ยใส่คนอายุมากกว่า พิกซิสขำกับท่าทางของลูกชายตัวเอง

                     พิกซิสไม่นึกโกรธที่ลูกชายทำเหมือนเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับเขา เพราะว่าเขาสอนลูกชายของตัวเองให้สนิทกับเขาเหมือนเป็นเพื่อนมาตั้งแต่เด็ก บางเรื่องเขาก็ไม่ค่อยเอาใจใส่กับไอ้ตัวเล็กตรงหน้ามากนัก โตขึ้นมารีไวล์ถึงได้ปากร้ายแบบนี้ ที่เขาไม่รู้สึกเหงามากแม้จะโดนภรรยาตัวเองทิ้งไปก็เพราะที่มีลูกชายที่เป็นทั้งเพื่อนคุยและเป็นลูกชายที่ช่วยงานเขาได้ ส่วนเรื่องภรรยาที่ทิ้งเขาไป พิกซิสไม่คิดโกรธเธอ เขารู้ตัวเองว่าเขาดูแลเธอได้ไม่ดีพอ ในตอนที่เธอมาขอแยกทางกันเขาจึงได้แค่พูดเหนี่ยวรั้งเธอไว้และเมื่อเธอยืนยันคำเดิมเขาถึงยอมปล่อยเธอไปแม้ว่าตัวเองจะเศร้าเสียใจ...

                    ในตอนที่ โรซาเลีย ภรรยาของพิกซิสขอแยกทางกับเขา เธอเป็นฝ่ายที่จะเอาเพ็ตโทร่าซึ่งตอนนั้นอายุได้6ขวบไปเลี้ยงดู แต่เด็กสาวติดพี่ชายหน้าสวยของเธอมาก เธองอแงไม่ยอมจากกับพี่ชายอย่างหนัก คนเป็นแม่จึงคิดจะเอาตัวรีไวล์ พี่ชายแสนรักของเพ็ตโทร่าไปเลี้ยงดูด้วย แต่เด็กชายไม่อยากไป เขาไม่อยากจากพ่อของเขาไป สุดท้ายแล้วโรซาเลียจึงตัดใจเรื่องที่จะเอาลูกๆไปเลี้ยงดูเพราะไม่อยากฝืนใจลูกๆ หลังจากแยกทางกันเรียบร้อยแล้ว เธอก็ยังคงมาหาลูกๆบ่อยๆ

                    รีไวล์ที่ปกติสนิทก็ติดพ่ออยู่แล้ว พอเหลือแค่พ่อเขาก็ยิ่งสนิทกับพ่อมากขึ้น บวกกับการเลี้ยงดูแบบไม่เข้มงวดมากทำให้รีไวล์เป็นทั้งลูกชายและเพื่อนของพิกซิส ส่วนเพ็ตโทร่า ทั้งพิกซิสและรีไวล์คอยเอาใจใส่อย่างดี พิกซิสเลี้ยงให้เด็กสาวโตขึ้นมาเข้มแข็งแต่ก็ไม่ขาดตกบกพร่องเรื่องหน้าที่ของแม่บ้าน...แม้จะเก่งน้อยกว่าพี่ชายอย่างรีไวล์ก็ตาม

                    เพราะต้องรับผิดชอบตัวเองตั้งแต่เด็กและต้องคอยดูแลน้องสาวพร้อมกับเป็นแบบอย่างเรื่องแม่บ้านที่ดีให้เธอ ทำให้รีไวล์เก่งงานบ้านมาตั้งแต่เด็ก แถมเจ้าตัวยังได้นิสัยรักสะอาดแบบสุดๆเพิ่มเข้ามาด้วย

                    เมื่อก่อนพิกซิสยังไม่ได้ทำอาชีพค้าขาย แต่พอรีไวล์อายุได้19 พิกซิสก็เริ่มแก่เกินที่จะทำอาชีพนั้นแล้ว เขาจึงลาออกและมาทำอาชีพค้าขายแทน

                    ตั้งแต่เด็ก รีไวล์จะคอยดูแลเพ็ตโทร่าและเรื่องงานบ้านโดยมีน้องสาวคอยช่วย พอลูกๆเริ่มโต โรซาเลียก็เริ่มมาเยี่ยมลูกน้อยลงเพราะเธอต้องดูแลลูกที่เกิดกับสามีคนใหม่ ทุกครั้งที่มาหาพวกรีไวล์ เธอจะมีของดีติดไม้ติดมือมาให้ตลอด และเกือบทุกครั้งที่มาหาลูกจะเป็นตอนที่พิกซิสไปค้าขายต่างเมือง

                    “พี่คะ” เสียงใสแทรกขึ้นมาขัดชายหนุ่มที่กำลังตีหน้ามุ่ยใส่คนเป็นพ่อ รีไวล์หันไปมองน้องสาวตามเสียงเรียก

                    “พี่จะจัดการอสูรตัวนั้นยังไง แล้วมันบอกว่าให้ลูกสาวไป... ถ้าพี่จะไปแล้วไม่ให้มันจับได้พี่ก็ต้องใส่ชุดผู้หญิงไปนะ...”

                    “ก็คงจะต้องเป็นแบบนั้น ตอนไปหามันฉันจะพกดาบสั้นไปด้วย มีโอกาสเมื่อไหร่ฉันก็จะลงมือ” ชายหนุ่มหันไปหาพ่อ “มีชุดผู้หญิงที่ผมพอจะใส่ได้บ้างรึเปล่า?”

                    “เยอะแยะเลยล่ะ”

                    รีไวล์หันไปมองน้องสาวอีกครั้ง “งั้นฝากจัดการเรื่องเสื้อผ้าที่ฉันต้องใส่ไปด้วยก็แล้วกัน ที่เหลือไว้คุยกันอีกทีตอนเย็น เพ็ตโทร่า ฝากดูแลพ่อด้วย เดี๋ยวฉันมา”     

                     “พี่จะไปไหน?”

                    “จะไปดูว่าดาบของฉันมันยังคมพอจะฆ่าสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ๆให้ตายได้รึเปล่า” รีไวล์เดินไปห้องของตัวเองที่อยู่ชั้นบน

                    ประตูไม้ถูกเปิดออก ร่างเล็กเดินเข้ามาในห้อง ตรงมายังที่เก็บดาบของตัวเอง เขามีทั้งดาบสั้นและดาบยาวเก็บไว้ในห้อง รีไวล์มองดูดาบทั้งสองเล่มที่ไม่ได้จับมานานก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบดาบสั้นขึ้นมาแล้วดึงตัวดาบออกจากฝักดาบ ดวงตาเรียวมองพินิจตัวดาบในขณะที่มือเล็กจับดาบหันไปมา

                    ดูจากภายนอกแล้วตัวดาบก็ดูไม่ต่างจากครั้งล่าสุดที่รีไวล์ได้ใช้มัน แต่มันจะใช้ได้ดีอย่างที่ตัวเขาต้องการรึเปล่าก็ต้องทดสอบด้วยการลองใช้ฟันจริงๆ

                   

                    “รีไวล์ จะออกไปไหน?” พิกซิสที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกลางบ้านทักเมื่อเห็นลูกชายเดินถือดาบจะออกจากบ้านไป

                    “จะไปลองใช้ดาบ ไม่ได้แตะมานานแล้ว ฝีมือคงฝืดน่าดู”

                    “งั้นเดี๋ยวฉันไปช่วยดูให้ว่าทำได้ดีรึเปล่า” ชายสูงวัยลุกขึ้น เดินตามลูกชายออกไปด้านนอก

                    รีไวล์เริ่มออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายอยู่ซักพักก่อนจะจับดาบและใช้มันฟาดฟันไปมาตามที่คนเป็นพ่อเคยสอนและตามทักษะของตัวเอง พิกซิสยืนดูลูกชายอยู่เงียบๆ สำหรับคนที่นานๆจับดาบครั้งและได้จับดาบครั้งล่าสุดเมื่อประมาณ3เดือนก่อน ถือว่ารีไวล์ทำได้ดีมาก ทั้งความเร็วในการเหวี่ยงดาบและความหนักแน่นในการฟันถือว่าเยี่ยมมาก พิกซิสสอนลูกชายใช้ดาบเมื่อประมาณ10กว่าปีก่อน ตอนนั้นเด็กชายอายุได้18 และเขายังทำงานเป็นหัวหน้าทหารอยู่ในวัง

                    ครั้งแรกที่ได้สอนลูกชายเรื่องการใช้ดาบ รีไวล์แสดงพรสวรรค์ของตัวเองออกมาจนทำให้พิกซิสรู้สึกทึ่ง เด็กชายเรียนรู้พื้นฐานได้หมดในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากนั้นก็คอยฝึกฝีมือกับผู้เป็นพ่อตลอด แต่พอรีไวล์มีงานทำและพิกซิสเปลี่ยนอาชีพเป็นค้าขายซึ่งทำให้ชายสูงอายุไม่ค่อยได้อยู่บ้าน รีไวล์ก็ไม่ได้ฝึกกับพ่อบ่อยอย่างที่เคย

                    หลังจากมีงานทำ รีไวล์จะฝึกดาบสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่ร้านให้เขาหยุดพักผ่อน 2ปีกว่าๆหลังจากที่พิกซิสเลิกเป็นทหาร รีไวล์สามารถเอาชนะเขาได้ในที่สุด ในตอนนั้นคนเป็นพ่อรู้สึกอึ้ง ถึงเขาจะไม่ได้ออกกำลังกายและฝึกดาบบ่อยเหมือนตอนเป็นทหารอยู่ในวัง แต่เขาที่เคยเป็นถึงหัวหน้าทหาร กลับมาแพ้เด็กที่ฝึกด้วยตัวเองแค่อาทิตย์ละครั้ง...

                    พอได้เห็นฝีมือดาบของลูกชายตัวเองที่สามารถเอาชนะเขาได้ พิกซิสก็เสนอให้เด็กหนุ่มไปเป็นทหารในวัง แต่คนตัวเล็กปฏิเสธในทันที เขาไม่อยากทำอาชีพที่ต้องอยู่ในอำนาจของใครและต้องภักค์ดีต่อคนๆนั้นตลอด

                    “พ่อ เป็นไง ใช้ได้มั้ย?” รีไวล์หันมาถาม ร่างกายเขาเริ่มมีเหงื่อออก

                    “ใช้ได้ ต่อไปลองฟันต้นไม้สิ”

                    ร่างเล็กเดินไปที่ต้นไม้ใกล้ๆ เขาตั้งสมาธิไม่ถึงหนึ่งนาที แขนเรียวที่ทีมัดกล้ามสมส่วนเหวี่ยงเข้าหาต้นไม้ ดาบสั้นที่ถืออยู่ตัดผ่านเนื้อไม้ได้เป็นรอยลึก รีไวล์หันมามองพิกซิสที่ยืนมองอยู่

                    “ใช้ได้” คนสูงวัยตอบ ที่จริงมันสุดยอดเลยด้วยซ้ำที่คนตัวเล็กแบบรีไวล์สามารถใช้ดาบสั้นฟันต้นไม้ให้เกิดรอยลึกได้ คนตัวโตกว่ารีไวล์บางคนยังทำไม่ได้เลย ดาบต้องคม แรงต้องเยอะและเทคนิคต้องดีถึงจะสามารถตัดผ่านเป็นรอยลึกได้ในดาบเดียว

                    รีไวล์หันหน้าเขาหาต้นไม้และลองฟันอีก2-3ดาบ ซึ่งผลที่ออกมาคือสามารถฟันได้เป็นรอยลึกเหมือนดาบแรก

                    “นี่ ไอ้ตัวเล็ก คิดจะไปจริงๆหรอ?” จู่ๆผู้เป็นพ่อก็ถามขึ้นมา

                    “เรื่องไปแทนเพ็ตโทร่า?”

                    “เออ”

                    “ผมจะไปจริงๆ หรือว่าอยากให้ยัยนั่นไป?”

                    “ฉันไม่อยากให้ใครไปทั้งนั้น... ที่จริงฉันคิดว่าจะไปหามันเองแล้วบอกว่าคงให้ลูกสาวมาแทนไม่ได้ หลังจากนั้นมันจะทำอะไรกับฉันก็แล้วแต่มัน” ชายสูงวัยพยายามเลี่ยงใช้คำๆหนึ่ง

                    “ผมบอกว่าจะไปก็คือไป... อย่างน้อยมันก็ดีกว่าให้เพ็ตโทร่าหรือลุงไป ถ้าลุงไปแล้วตาย ยัยนั้นต้องเศร้ามากแน่ๆ หรือถ้าเป็นเพ็ตโทร่าไปแล้วไม่ได้กลับมา ออลโอคงอาละวาดหนัก ดูเหมือนว่าหมอนั่นคิดจะขอเพ็ตโทร่าแต่งงานเร็วๆนี้ด้วย ถ้าว่าที่เจ้าสาวดันหาไปหาคนอื่นหรือตัวอะไรก็ตาม มันคงไม่ดีแน่”

                    “พูดเหมือนกับว่าถ้านายไปแล้วไม่กลับมาก็ไม่มีใครเสียใจงั้นแหละ”

                    “แล้วลุงคิดว่าไง?” รีไวล์ถามด้วยใบหน้านิ่ง

                    “ฉันเป็นพ่อนายนะ ยังไงก็ต้องเสียใจอยู่แล้ว แล้วเพ็ตโทร่าก็รักนายอย่างกับอะไรดี ยังไงก็ต้องเสียใจอยู่แล้ว แล้วพวกลูกค้าที่ร้านก็คงเศร้าที่ไม่ได้เจอนายอีก”

                    “หึ” รีไวล์ไม่ตอบ เขาแค่ส่งเสียงในลำคอ

                    “พูดตามตรงนะ ถ้านายหาผู้หญิงมาเป็นเมียไม่ได้จริงๆ นายจะหาสามีแทนก็ได้ ฉันไม่ถือ”

                    “ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย” ร่างเล็กตอบกลับทันควัน

                    “แต่ดูเหมือนพวกผู้ชายชอบนายนะ ตอนไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านในเมืองก็มีคนมาจีบเยอะเลยไม่ใช่รึไง?”

                    “ผมไม่คิดจะคบกับคนพวกนั้นหรอก”

                    “งั้นถือว่าฉันบอกไว้ ถ้าวันไหนนายเกิดชอบผู้ชายขึ้นมา จะคบกับเขาแล้วเอามาเป็นสามีฉันก็ไม่ว่า อันที่จริงนายดูน่าจะคบกับผู้ชายรุ่งกว่าคบกับผู้หญิงอีกนะ กับผู้หญิง ไม่ว่าจะคนไหนแป๊บๆก็เลิกตลอด” พิกซิสพูดน้ำเสียงติดตลก พอนึกย้อนไปแล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

                    ร่างเล็กตีหน้าบึ้งใส่คนเป็นพ่อที่ยังหัวเราะในลำคออยู่คนเดียว

                    ดาบสั้นถูกเก็บเข้าฝักดาบ รีไวล์เดินไปที่บ้าน

                    “อ้าว เลิกซะแล้ว งอนหรอไอ้ตัวเล็ก” พิกซิสทักเมื่อเห็นว่าจู่ๆลูกชายก็เลิกฝึกฟันดาบ

                    “งี่เง่าน่ะ ผมจะเอาดาบไปเก็บแล้วจะไปบอกที่ร้านว่าจะขอลางานซักพัก”

                    คนเป็นพ่อพยักหน้ารับ รีไวล์เข้าไปในบ้าน เขาไม่เห็นน้องสาวของเขาเลย ด้วยความสงสัยจึงแวะไปดูที่ห้องเก็บเสื้อผ้าซึ่งเป็นห้องที่เอาไว้เก็บเสื้อผ้าที่พิกซิสสั่งตัดมาหรือเป็นเสื้อที่คู่ค้าคนอื่นให้มาแล้วจะเอาไปขายต่อ ซึ่งพิกซิสอนุญาตให้เพ็ตโทร่ากับรีไวล์มาหยิบไปเป็นของตัวเองได้แต่นานๆครั้งทั้งสองคนถึงจะมาเลือกเอาเสื้อไปซักตัว และก็เป็นอย่างที่ชายหนุ่มคิด เพ็ตโทร่าอยู่ในห้องนั้น หญิงสาวกำลังเลือกเสื้อผ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่ทักเธอและเดินขึ้นห้องเพื่อเอาดาบไปเก็บ

                    ใช้เวลาไม่นานนักกว่ารีไวล์จะเดินจากบ้านของเขาไปร้านอาหารที่อยู่ในตัวเมือง ผู้ชายและผู้หญิงในร้านหลายคนยิ้มทักทายเมื่อเห็นหน้ารีไวล์ ชายหนุ่มตัวเล็กเพียงแค่พยักหน้าให้แล้วเดินไปหาเจ้าของร้านซึ่งกำลังเช็คสต็อคของอยู่หลังร้าน

                    ทันทีที่เจอชายเจ้าของร้านอายุประมาณ30ปลายๆ รีไวล์ก็ทักทายเขานิดหน่อยก่อนจะเข้าเรื่องว่าเขามาเพื่อขอลางานอย่างไม่มีกำหนดซักพัก เจ้าของร้านสอบถามข้อมูลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากอนุญาตให้รีไวล์ลาพักได้ ปกติแล้วรีไวล์จะมาทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านนี้สัปดาห์ละ6วัน และบางวันก็จะได้ทำอาหารให้ลูกค้าถ้ามีลูกค้าคนไหนสั่ง แน่นอนว่าเขาจะได้ทิปด้วย

                    ในเย็นวันนั้น เพ็ตโทร่าให้รีไวล์ดูเสื้อผ้าที่เธอเลือกให้ ผู้เป็นพี่ชายถึงกับแสดงสีหน้าไม่ถูก ชุดที่เพ็ตโทร่าเลือกให้มีสองชั้น ตัวในเป็นชุดกระโปรงแบบจีบบานๆเพราะมีผ้าชีฟองอยู่ด้านใน ตัวกระโปรงเป็นผ้าสีและกระโปรงมันยาวแค่เหนือเข่ารีไวล์นิดหน่อย ตรงตัวเสื้อเป็นสีขาว ปกเสื้อเป็นคอปกตั้ง มีซิบด้านหน้ายาวมาถึงเอวซึ่งข้างๆตัวซิบทั้งสองด้านมีระบายลูกไม้ติด จากแค่ด้านบนถึงกลางซิบ แขนเสื้อเป็นแบบแขนยาว ตรงปลายแขนเสื้อประมาณสองนิ้วเป็นผ้าอีกชนิดหนึ่งซึ่งตัดเย็บเป็นทรงกระบอก  มีริบบิ้นพันรอบแขน1ทบและจบด้วยการผูกเป็นโบทั้งสองข้าง จากตรงเอวมีผ้าสีขาวยาวลงมาทับด้านนอกของกระโปรงประมาณเกินครึ่งหนึ่งของกระโปรงนิดหน่อย ผ้าสีขาวทับประโปรงเป็นแนวเฉียง และด้านข้างของผ้าด้านนอกถูกตัดออกให้เป็นผ่าข้าง รอยผ่าเป็นแนวเฉียง    

                    เสื้อตัวนอกเป็นสีดำคล้ายผ้ากันเปื้อน ตรงคอเป็นแบบคล้องคอแล้วติดกระดุมที่ด้านหลัง ตรงเอวด้านหลังเป็นผ้าผืนใหญ่หนาประมาณสองฝ่ามือ มีให้ติดกระดุมสามเม็ดแบบแนวตั้งที่ด้านหลัง ด้านหน้านับความยาวจากสะโพก ยาวหนึ่งคืบ มีกระดุมประดับด้านละ2เม็ด

                    ตัวชุดไม่ทำให้รีไวล์หนักใจเท่าไหร่ ที่น่าหนักใจกว่าคือเขาต้องใส่ถุงเท้ายาวจนถึงต้นขาด้วย คนเป็นน้องให้เหตุผลว่าเพื่อปิดบังขาของเขา ที่ถึงจะเรียวคล้ายผู้หญิงแต่ก็มีมัดกล้ามเกินผู้หญิงปกติ ส่วนรองเท้าที่จะใส่รีไวล์ต้องหาใส่เองเพราะในบ้านมีแต่ร้องเท้าผู้หญิงเบอร์เล็กๆไม่มีที่ขนาดใหญ่เท่าขนาดเท้าของเขา

                    ชายหนุ่มทำท่าทางกระอักกระอวนที่ต้องใส่เสื้อผ้าผู้หญิง แถมยังต้องใส่ถุงเท้ายาวอีก แต่ไม่ว่าเย็นวันนั้นรีไวล์จะพูดอะไรไป วันต่อไปรีไวล์ก็ต้องใส่ชุดผู้หญิงที่เพ็ตโทร่าเลือกให้อยู่ดี

                    ในวันต่อมา เริ่มรีไวล์ใส่ชุดที่เพ็ตโทร่าเลือกให้ในช่วงสาย เขาไม่ลืมที่จะผูกผ้าที่อสูรให้มาไว้ที่ข้อมือข้างหนึ่ง ชายหนุ่มเลือกใส่รองเท้าบูทของตัวเอง ซึ่งมันดูเข้ากับชุดที่ใส่อยู่มากที่สุดในบรรดารองเท้าคู่อื่นๆของเขา รีไวล์เอาผ้าคลุมมีฮู้ดผืนใหญ่มาคลุมทับชุดเพื่อกันแดดและสวมฮู้ดเพื่อไม่ให้มีคนเห็นหน้าเขาได้ชัด ความจะได้ไม่แตก และรีไวล์ก็ไม่ลืมที่จะเอาดาบสั้นไปด้วย

                    พิกซิสและเพ็ตโทร่ามาส่งรีไวล์ที่หน้าบ้าน หญิงสาวมองพี่ชายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความกังวล เมื่อวานเธอคุยกับรีไวล์เรื่องให้เธอเป็นฝ่ายไปเองหลายครั้ง แต่ทุกครั้งคำตอบก็คือคำพูดที่หนักแน่นของรีไวล์ว่าเขาจะเป็นฝ่ายไปแทนหญิงสาวเอง

                    ทั้งพิกซิสและเพ็ตโทร่ายืนมองรีไวล์ขี่ม้าออกไปจนลับสายตา...

     

     

                   

                    ใบหน้าคมสวยใต้ฮู้ดใหญ่หันมองซ้ายขวา  รอบข้างเขามีแต่ต้นไม้ใบหญ้าชวนให้รู้สึกวังเวง ตอนนี้เขาขี่ม้าตามกวางกับอีกาพูดมานานพอสมควร ยิ่งเข้ามาลึก บรรยากาศก็ยิ่งอึมครึมจนเหมือนผืนป่าจะกักขังคนที่เข้ามาไม่ให้ออกไป ตรงทางด้านหน้า รีไวล์เห็นปราสาทมาได้ซักระยะแล้ว ยิ่งเดินหน้าไป ปราสาทที่ดูเล็กก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

                    “...”

                    รีไวล์ผ่านรั้วปราสาทเข้าไปด้านใน กวางพูดได้บอกให้ร่างเล็กลงจากม้าและเอาม้าไปผูกไว้แถวๆนี้ เขาพยักหน้ารับก่อนจะค่อยๆลงจากม้า ไม่ทำตัวโผงผางเกินไปจนความแตกว่าเขาเป็นผู้ชาย รีไวล์เอาม้าไปถูกไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่งในสวนของปราสาทโดยมีกวางพูดได้และอีกาเดินตามมา หลังจากนั้นร่างเล็กก็เดินตามสัตว์พูดได้ทั้งสองตัวเข้าไปในปราสาท

                    ร่างเล็กที่สวมผ้าคลุมมีฮู้ดปิดบังหน้าตาถูกพามาที่ห้องโถงของปราสาท เขาถูกทิ้งไว้ให้รออยู่กับกวางพูดได้ ส่วนอีกาพูดได้บินเข้าไปทางประตูบานหนึ่ง ซักพักรีไวล์ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆของบางสิ่งดังมาจากทางที่อีกาสวมผ้าพันคอบินเข้าไป

                    หัวใจของร่างเล็กเต้นเสียงดังกว่าปกติจนเจ้าตัวรู้สึกได้ ทั้งๆที่ทำใจไว้แล้วว่าจะต้องเจออสูรตัวใหญ่ แต่พอมาอยู่ในสถานการณ์จริงเขาก็ห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกกลัวจนใจเต้นแรงได้

     

                    “...!

                   

                    อสูรสีดำตัวสูงใหญ่ตามที่คนเป็นพ่อของเขาเคยบอกเดินออกมาพร้อมกับมีอีกาพูดได้เกาะอยู่ที่ไหล่จากประตูบานที่อีกาตัวนั้นบินเข้าไปเมื่อครู่ นัยย์ตาสีเขียวทอประกายของมันจ้องมองมาที่ร่างเล็กไม่วางตา ดวงตาเรียวของร่างเล็กเบิกกว้างนิดหน่อยด้วยความตกใจปนประหลาดใจที่ได้เห็นอสูรตรงหน้า

                       

     

      TBC.



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×