ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    A - Longnight

    ลำดับตอนที่ #7 : ก้อนกระดาษ

    • อัปเดตล่าสุด 23 ธ.ค. 48


        บรรยากาศความเคร่งเครียดในช่วงสอบนั้นเข้ามาสู่ความรู้สึกของ เล็กซ์ เคลวิน และลูน่า อย่างสุดจะห้ามได้ ทั้งสามต่างคร่ำเคร่งกับการทำ



    ข้อสอบปลายภาค  สำหรับตัวลูน่าเองนั้นไม่มีปัญหาเท่าไหร่  แต่ถัดมาอีกสามห้องนี้สิน่าห่วง  



           “เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจของเล็กซ์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันของห้องสอบ แต่ก็ไม่มีใครสนใจ สายลมร้อนพัดเอื่อยๆนอกหน้าต่าง  



    หญ้าในสนามเปลี่ยนเป็นสีเหลือง  เมฆสีขาวล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ เขาอยากโบยบินออกไปจากที่นี่นัก...



           ที่ข้างหน้าต่างนั้น หัวใจขอเล็กซ์ล่องลอยออกไปอย่างเลื่อนลอย  ไปกับสายลมเอื่อย ไปกับก้อนเมฆ ไปกับทิวทัศน์ของเมืองอันกว้าง



    ใหญ่ ตอนนี้เขารู้สึกว่ามีบางอย่างจากเขาไป แต่ คิดไม่ออกว่ามันคืออะไร...



       “ฟิ้ว!”  กระดาษที่ถูกขยำก้อนหนึ่งพุ่งผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง มันตกลงบนพื้นอย่างนิ่มนวล อาจารย์แก่ๆที่คุมสอบไม่ได้สนใจ เธอกำลังจด



    จ่ออยู่กับหนังสือเล่มหนึ่งและมองลอดแว่นตาอันหนาเตอะออกมาดูเป็นพักๆ  สาบานเหอะ.. ให้ตายว่ายังไงแกก็มองไม่เห็น  แล้วสายตาของ



    เธอก็กลับไปอยู่บนหน้ากระดาษ อีกครั้ง...



    เล็กซ์จึงใช้มือคลี่กระดาษออกดู



         “เฮ้ย!”  เขาอุทานออกมาเงียบๆ ไม่มีใครสนใจ นอกจากเคลวินที่จ้องมองเล็กซ์อยู่ตลอดเวลา  เผื่อว่าเล็ซ์จะส่ง สิกซ์ อะไรสักอย่าง..



           “ไหนๆ ก็ไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว เป็นไงก็เป็นกันวะ” เขาพูดในใจ แล้วก็ลงมือ ลอกข้อสอบตามโพยที่ลอยเข้ามาจากหน้าต่างนั้น



              “เล็กซ์!  เล็กซ์!”  เคลวินกระซิบเรียก



              “เดี่ยวสิ” เล็กซ์บอก แล้วก็ยื่นโพยนั้นให้เคลวิน เคลวินคลี่ออกดูใต้โต๊ะ  สายตาของอาจารย์มองลอดออกมาจากแว่นตาอีกครั้ง แต่



    เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นปกติ สายตาของเธอก็กลับไปอยู่บนหนังสืออีกเช่นเคย



           5 นาทีต่อมา เสียงออดหมดเวลาสอบก็ดังขึ้น เสียงเลื่อนเก้าอี้ ครืด..  และเสียงกระดาษข้อสอบก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงพูดคุยขณะที่นัก



    เรียนต่อแถวส่งกระดาษคำตอบ







            หลังการสอบ เล็กซ์ กับเคลวิน ยืนอยู่หลังอาคารเรียนพลางจ้องมองไปที่หน้าต่างบานที่เล็กซ์นั่งสอบอยู่นั้นอย่างสงสัย



                     “นายคิดว่าไอ้นี่มันมา ยังไง”  เคลวินถามพลางชูก้อนกระดาษนั้นขึ้นมา



                     “ให้ตายเหอะ..ถ้าฉันรู้คงไม่มายืนงงอยู่อย่างนี้หรอก”



                     “ช่างเถอะ... เรากลับบ้านดีกว่า” เล็กซ์พูดขึ้นแล้วออกเดินไปเอารถจักรยาน..แต่เขานึกอะไรบางอย่างได้



                 “เอ็มไพร์!” เขาอุทานขึ้นแล้วออกวิ่ง



                     “อะ..อะ ไร นะ” เคลวิน ออกวิ่งตามอย่า งงๆ    ทั้งคู่คว้าจักรยานแล้วปั่นตรงไปที่ธนาคารเก่าทันที



                    “จำที่ฉันพูดได้ไหม ว่า วันนี้ฉันรู้สึกแปลกๆ” เล็กซ์เอ่ยขึ้นระหว่างทาง



                    “อึมๆๆ  แล้วตอนนี้หละ”



                    “ไม่รู้สิ”



                 “เรามัวแต่คร่ำเคร่งกับการสอบจนลืมเสียสนิทเลย  ”



         เมื่อทั้งสองมาถึงธนาคารเก่า  เขาทิ้งรถจักรยานวิ่งเข้าไปในตัวอาคาร วิ่งลงไปยังห้องใต้ถุน เมื่อเปิดประตูออก สิ่งที่ทั้งสองพบก็คือความ



    ว่างเปล่า



                    “เขาไปแล้วเหรอ”  เคลวินพูดอย่างเศร้าๆ



                    “เขาคงหายดีแล้วสินะ” น้ำเสียงของเล็กซ์ ดูเศร้าสร้อย



    ทั้งสองปั่นจักรยานกลับบ้านโดยไม่พูดอะไรกันอีก







                “กลับแล้วเหรอลูก.....” แม่ถมหลังจากได้ยินเสียงปิดปะตูของเล็กซ์



               “ครับแม่”



         เล็กซ์ขานอย่างเหนื่อยๆ แล้วก้าวขึ้นบันไดไปยังห้องนอน  เขาวางกระเป๋ลงบนเตียงและนอนหงายมองดูเพดาลห้อง แล้วมองลอดออกไป



    ภายนอกหน้าต่างห้องนอนมองเห็นถนนหน้าบ้าน แล้วมองขึ้นไปบท้องฟ้าอันสดใส  สิ่งต่างๆรอบตัวช่างรื่นเริง แต่นั้นไม่สามารถบรรเทาความ



    เหงาของเล็กซ์ได้ บนหัวเตียงมีเครื่องเล่น MD เครื่องใหม่วางอยู่ เขามองเครื่องเล่นMDอย่างไม่ค่อยถูกใจเท่าไร่



             “เฮ้อ....!” เขาถอนหายใจอย่างช้าๆ “เอ็มไพร์นายไปอยู่ที่ไหนนะ” เขารำพึงกับตัวเอง คืนนั้นทั้งคืนเขานอนไม่ลับ นั่งนับดวงดาวบนบน



    ท้องฟ้าซ้ำไปซ้ำมา  มองดูดวงจันทร์ลอยเรียบๆกับตึกสูงๆ มองดูเผื่อว่าจะมีค้างคาวซักตัวบินผ่านดวงจันทร์ หรือหน้าต่างห้องบ้าง แต่คืนนั้น ดู



    เงียบเหงาอย่างที่สุด....



         เช้ามาทุกอย่างกลับสู่ ปกติ  เล็กซ์ต้องตื่นจากความฝันนั้น เขาต้องใช้เวลาในช่วงปิดเทอมให้คุ้มค่าที่สุด ออกไปข้างนอกบ้าง เป็นครั้ง



    คราว ชวนเคลวินกับลูน่ามาเล่นที่บ้านบ้าง  ตั้งแก๊งค์  ขโมยลูกหมาของคุณนายโบนส์บ้าง  ทุกคนพยามลืมเรื่องราวต่างที่เกิดขึ้น เพราะไปเล่า



    ให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อแน่ และเขาจะว่าเราเป็นบ้าไปแล้ว..



    พ่อกลับบ้านดึกขึ้นทุกทีๆ จนแม่เลิกพูดถึงเรื่องเหล่านี้ เขาแทบจะไม่คุยกันด้วยซ้ำ  แทนที่เล็กซ์จะดีใจที่พ่อกับแม่ไม่เถียงกัน  แต่ไม่พูดอะไร



    กันเลยนี่ มันก็น่าจะเกินไป วันแต่ละวันผ่านไปอย่างช้าๆ บางครั้งทั้งสามก็ไปนั่งเล่นกันที่เซ็นทรัลปาร์ค  พูดคุยกันและพยามที่จะไม่พูดถึงเอ็ม



    ไพร์ เพราะเมื่อพูดขึ้นทีไรความเงียบก็ต้องเข้าปรกคลุมทุกที ผ่านไปสิบกว่าวันแล้วที่เล็กซ์ต้องอาศัยความเหน็ดเหนื่อยกล่อมตัวเองนอน และ



    นี่ก็อีกคืนหนังที่เหน็ดเหนื่อยกับการ วิ่งหนีไม้กวาดของคุณนายโบนส์  เพราะลูกหมาล๊อดใหม่ของเธอน่ารักมาก น่าจะขายได้ราคาดีแต่ช่วงนี้



    เธอชักจะรู้ใต๋พวกเราและจับได้ทุกทีซะแล้ว เขามองดูดวงจันทร์ด้วยความหวังอีกครั้งอย่างที่ทำมาทุกคืนและแล้วความเหนื่อยล้าก็พาเขาหลับ



    ไปอย่างไม่รู้ตัว.....





                “เล็กซ์!....เล็กซ์!” เสียงเด็กชายคนหนึ่งปลุกเขา “ตื่นๆ” เล็กซ์ผุดลุกลุกขึ้นนั้งบนเตียงอย่างงัวเงีย     เมื่อปรับสายตาให้ชินกับความ



    มืดแล้วภาพของเด็กชายคนนั้นก็ชัดเจนขึ้น



                “เอ็มไพร์!” เล็กซ์พูดขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง



               “เร็วเข้าเก็บเสื้อผ้า เราต้องรีบไปกัน”



              “ไปไหน?”



              “เถอะน่า..เร็วเข้า”



              เล็กซ์เดินไปเก็บเสื้อผ้าใส่เป้  ก้มลงใส่รองเท้าผ้าใบ  ตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก แล้วยกเป้ขึ้นสะพาย



           “อย่าลืมเขียนจดหมายถึงแม่เจ้าด้วย” เอ็มไพร์เตือน



           “แล้วจะให้บอกเขาว่าไงละ”



           “ว่าอะไรก็ได้  เขียนๆไปเถอะน่า” เอ็มไพร์เร่ง



    ทันทีที่เขาวางปากกาลงทับบนกระดาษ เล็กซ์ก็ถูกฉุดให้หลบจากหน้าต่าง เขาเหลือบมองลงอกไป เห็นรถยนต์คันหนึ่งรูปร่างแปลกๆ แล่น



    ผ่านไป  เมื่อทางปลอดโปร่ง เอ็มไพร์ก็คว้าแขนเล็กซ์แล้วทั้งสองก็ลอยออกไปจากห้องลอดหน้าต่างออกไปอย่างรวดเร็ว  



          “ทำไมต้องรีบด้วย” เล็กซ์ถาม



         “ เราถูกสะกดรอย” เขาบอกสั้นๆ



    เขาพาบินไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปที่เซ็นทรัลปาร์ค  ลูน่ากับเคลวินรออยู่ที่นั้นแล้วพร้อมกับกระเป๋าสะพายอยู่บนหลัง



         “นี่มันอะไรกัน?” เล็กซ์ถาม



       “เอาไว้อธิบายทีหลัง เอมไพร์พูดแล้วก็ตรงไปยังต้นสนต้นนั้นแล้วสัมผัสมันอย่างช้าๆ รูปม้ามีปีกปรากฏขึ้น เขากระซิบว่า รัตติกาล ตาสีแดง



    ของมันแดงวาบขึ้น  



       “ตามข้ามา” เอ็มไพร์บอก แล้วก็ออกวิ่งไปบนน้ำ



       “เอ็มไพร์!...เราเดินแบบนายไม่ได้....” เล็กซ์บอก



       “เออ..ใช่สินะ...ข้าลืมไป...งั้นจับมือข้าไว้จับมือต่อกันข้าสามารถมอบพลังให้เจ้าได้”



    ทั้งสามจับมือต่อกันแล้วก้าวไปบนผิวหน้า ย่างก้าวแรกอย่างกลัวๆ แต่เมื่อผ่านก้าวแรกไปแล้วทุกคนก็ออกวิ่งไปบนผิวน้ำ เมื่อถึงกลางสระน้ำ



    แล้ว น้ำก็กระเพื่อมขึ้นและนำพาพวกเขาลงสู่ใต้พิภพ...



        ความเงียบเหงาของเซ็นทรัลปาร์คสิ้นสุดลง เงาของคนนับร้อยปรากฏขึ้นแล้วก็หายไปในพริบตา....



    <<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<,>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×