ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    A - Longnight

    ลำดับตอนที่ #4 : พบ

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.พ. 50


                      การสอบ Final  ใกล้เข้ามาทุกที  แต่ทั้งสามยังไม่ได้แตะต้องหนังสือเลย

    แม้แต่น้อย  และในคาบเรียนต่อมาเป็นคาบเรียนที่นักเรียนทุกคนรู้จักเกียรติศักดิ์ของ

    อาจารย์ผู้นี้เป็นอย่างดี   "เกเกอริโอ  ซานเซสต์"  เขาเป็นชายร่างสูง  กำยำ  ผมดำ

    สนิท แต่งตัวข่อนข้างมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง  ขอบตาคล้ำตลอดเวลา(เป็น

    อาจารย์ได้ไง?) เข้าตามสูตรของชายขี้เมาง่วงเหงาหาวนอนเปะ....

        "ตึก.....ตึก......ตึก"  เสียงฝีเท้าชัดเจนทุกจังหวะ  ทั้งห้องเงียบกริบในทันที เพราะ

    ฉายยาที่นำหน้ามา   "โหดสุดสะท้านกับแปรงลบกระดานมหาประลัย"  นั้นคือสมยา

    นามของเขาที่นักเรียนทุกคนขนานนามให้ เขามีความสามารถในการขว้างแปรงลบ

    กระดานได้อย่างแม่นยำ  จนทุกคนคิดว่า มีคอมพิวเตอร์ชิพฝังอยู่แน่เลย...


         อาจารย์หยิบชอล์ก ขึ้นเขียนย่างบรรจงบน กระดาน



                                                                "หนังสือหน้า 56"

                                                                  อ่านพร้อมกัน



        เมื่อเขียนเสร็จอาจารย์นั่งลงที่เก้าอี้แล้วเอนหลังลงหลับอย่างช้าๆ  ขณะที่เสียง

    อ่านของนักเรียนดังกระหึ่มขึ้น  เล็กซ์มีเคลวินนั่งอยู่ข้างๆทั้งสองก้มอ่านอย่างไม่เงย

    หน้าขึ้นเลย  แต่ไอ้เด็กที่ย้ายมาใหม่เมื่อวานจากรัฐที่แสนร่ำรวยและอิทธิพลอัน

    มหาศาลของผู้อุปการะคุณรายใหม่ของโรงเรียน(เส้นใหญ่)  กำลังหมกมุ่นอยู่กับ

    GAME BOY อันใหม่อยู่ใต้โต๊ะ โดยที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้เลย..

            "ฟิ้ว!"  เสียงวัตถุแหวกอากาศด้วยความเร็วสูง  ทุกคนสะดุ้งเฮือก  เสียงอ่านก็พลอยหยุดลงอย่างฉับพลัน

              "โป๊ก.....โอ๊ย!"  ดังขึ้นพร้อมกัน นักเรียนทุกคนยังคงตะลึงงันอยู่อีก 5 วินาทีต่อมา

               "เธอ !" อาจารย์ชี้มาทางเล็กซ์  ทำเอาเขาสะดุ้งสุดตัว

               "เก็บแปลงลบกระดานให้ครูหน่อย"

      เล็กซ์รีบลุกขึ้น  ก้มหยิบแปลงลบกระดาน  แล้วส่งให้อาจารย์เหมือนการส่งของร้อนให้พ้นมือให้เร็วที่สุด

                   "ใครบอกให้หยุด.."  อาจารย์ ซานเชสต์ พูดขึ้นอย่างเย็นชา  แล้วเสียงอ่านก็ดังขึ้นอีกครั้งและทุกคนก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                    ไอ้หมอนั้นยังคงกลิ้งอยู่กับพื้น  โดยมีลูกมะเขือเทศที่สุกงอมเต็มที่อยู่บน หน้าผาก ทำให้เล็กซ์รู้สึกขำปนสงสารอยู่ในใจ  

                 30 นาทีต่อมา....

                    "ออด!...." เสียงออดดังขึ้น  พร้อมกับเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของนักเรียนทั้งห้อง

                   "เฮ้..เล็กซ์"  เคลวินเรียก  "นายว่าจะกลับบ้าน หรือไปหาเอ็มก่อน"

                  "เราว่าไปหาเอ็มก่อน ดีกว่า" เล็กซ์ตอบ

                  "แล้วเราจะรอยายนั้นป่ะ " เคลวินถาม

                  "ใคร....อ๋อ  ฉันว่าเราไปกันเองดีกว่า" เขาตอบอย่างไม่ตรงกับใจเท่าไร

                "พวกนายไม่ต้องรอหรอก" ลูน่าพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ  พลางจูงจักรยานของเล็กซ์มาด้วย
             
                "แล้วรถของฉันหละ"  เคลวินถามอย่างรู้สึกผิด

                "ไปเอาเองสิ"  ลูน่าพูดอย่างโกรธนิดๆ

               แล้วทั้งสามคนก็มุ่งหน้าไปยังธนาคารเก่าทันที  



               .......................................................................................


             เอ็มไพร์   ดูดีขึ้นมากทีเดียว   ทั้งสี่ยังคงนั่งสนทนาแก้ไขข้อสงสัยต่างๆเกี่ยว

    กับการเปลี่ยนแปลงตลอด 200ปี ซึ่งอาจมีบางอย่างต่างจากหนังสือไปบ้าง ซึ่งใน

    เรื่องของปัจจุบัน ซึ่งเอ็มไพร์ ไม่รู้เรื่องเลย เขาบอกว่าเคยได้ยินเรื่องการก่อการร้าย

    จากกล่องสี่เหลี่ยมที่มี มนุษย์ วิ่งอยู่ในนั้น และมันพูดได้ด้วย มันคืออะไรเหรอ คำ

    ถามของเอ็มไพร์จะเป็นลักษณะนี้ตลอดเวลา  ทั้งสามต้องคอยตอบคำถามเหล่า

    นั้น  แต่เมื่อเล็กซ์ ย้อนถามเรื่องของ เอ็มไพร์บ้าง  เขากลับอ้ำอึ้ง  จำอะไรไม่ค่อยได้
    เขาบอกว่าเมื่อสูญเสียพลังถึงขั้นสูงสุด ซึ่งเป็นออกบ่อย นั้น มันทำให้ความทรงจำที่

    เก็บไว้มานาน นั้นเลือนลางลงเรื่อย ๆ เนื่องจากเขานั้นไม่กล้าดื่มเลือดมนุษย์ และ

    ร่างกายขาดเลือดบ่อยครั้ง ความกระหายเกือบพาความตายมาสู่เขาอย่างนับครั้งไม่

    ถ้วน แต่เขาก็ยังเล่าความสงจำบางตอนให้ฟัง

                    "โอ้โฮ!  ยังกับนิยายแหนะ"  ลูน่าพูด

                     "แล้วนายมาที่นี่ได้ไง ?"  เล็กซ์ถามต่อ

                     "ข้าอาศัยมากับเรือลำหนึ่ง  เห็นเขาว่าจะพาไปดินแดนใหม่ ซึ่งข้าก็ไม่รู้ว่า

    ที่ใดอีกเช่นกัน เรือออกจากท่า จากวัน กลายเป็นเดือน มันยาวนานมากจนข้าลืมนัด

    วันเวลาไปเลย ข้าอยู่รอดด้วยเพื่อนตัวหนึ่ง"

                     "ตัวเหรอ?"

                    "ใช่มันเป็นม้า...มันยอมให้ข้าดื่มเลือดเพื่อประทังชีวิตไปวันๆอยู่บนเรือลำ

    นั้นเมื่อเรือเทียบฝั่งข้าก็หนีมาด้วยกันกับมัน แล้วเราก็พลัดหลงกันอีกครั้ง ตอนนั้น

    บ้านเมืองก็ไม่มีมากมายเท่านี้ ข้าใช้ชีวิตเร่ร่อนมาเรื่อยๆ จนข้าลืมวันเวลา ลืม

    ทางกลับบ้านลืมที่ๆจะไปต่อข้ามาถึงที่นี่ตอนปลายฤดูหนาว...แล้วข้าก็พบพวกเจ้า"

                    "ตั้งนานแหนะกว่าพวกเราจะพบนาย"

                    "แล้วพวกนายยังเหลืออีกกี่คน"

                    "ข้าไม่รู้..หลังจากการประชุมกันครั้งสุดท้ายของเราที่ลอนดอน  ข้าก็ไม่เคยเห็นใครอีกเลยเรากระจายไปกันคนละทิศคนละทาง"

                    "ทำไมล่ะ?"  เล็กซ์ถามอย่างใคร่รู้ 

                   "ก็มีนักล่าแว็มไพร์บุกเข้ามานะสิ"

                   "นักล่าแว็มไพร์!" ทั้งสามพูดขึ้นพร้อมกัน 

                   "ใช่.....นักล่าแว็มไพร์" "ข้าไม่เคยเจอนักล่าแว็มไพร์มากมายเท่านี้มาก่อนเลย"

                   "ซักเท่าไร่.." เคลวินถามบ้าง

                    "ประมาณซัก ร้อยเห็นจะได้นะ"

                    "เป็นร้อยเลยเหรอ" "แล้วนายหนีมาได้ไง" เล็กซ์ถามอย่างตื่นเต้น

                   "เราบินหนีกันไปอย่างแตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง..ลำแสงสีขาวฉายไปมาในอากาศ   ข้ากับบิดาผู้ให้กำเนิด  เราบินหนีมาด้วยกัน  ฝนเริ่มตก..ข้ากับบิดา จึงบินเข้าไปอยู่ในหมู่เมฆที่ลอยต่ำ  ดันไปเจอพวกทรยศในหมู่เมฆนั้น"

                    "พวกทรยศ?"   เหรอ..พวกนี้เป็นใคร

                   "เขาเป็นแว็มไพร์ที่ทรยศต่อเผ่าพันธุ์ตัวเอง  หักหลังพวกเราไปเข้ากับนักล่า

    แว็มไพร์  เพื่อประโยชน์ ส่วนตัว สงครามครั้งนี้เราคิดไม่ตกว่าจะลงเอยอย่างไร    แต่

    พวกนี้ก็ทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนเราไว้วางใจใครไม่ได้ซักคน หลังจากที่ข้ากับบิดา

    เจอพวกนั้นในหมู่เมฆ เมฆฝนก็ปั่นป่วนลมพัดข้าพลัดหลงกับบิดาข้าไป แล้วข้าก็เริ่ม

    ต้นชีวิตเร่ร่อนจากนั้นมาจนถึงตอนนี้ ข้าคงเป็นแว็มไพรที่เหลือเพียงตัวเดียวแล้วมั้ง"

                     "แล้วที่ประชุมกันวันนั้นมีแว็มไพร์กี่คนล่ะ" ลูน่าถาม

                    " ก็เป็นพันมั้ง  มีหัวหน้าแต่ละดินแดนต่างๆ 10 คน เป็นตังแทนในการประชุม บิดาข้าเป็นหนึ่งในนั้นด้วย"

                   "พวกนายก็มีกันตั้งเยอะ..ทำไมต้องกลัวพวกนั้นด้วยล่ะ" เคลวินถามอย่างประหลาดใจ

                 "ก็เรากลังอาวุธของพวกมัน... มีวิวัฒนาการใหม่ๆเสมอจนข้านึกไม่ถึงเลย  จากไม้กางเขน..ดาบเงิน  เลือดพิษ  ต่างๆนาๆ มากมายสารพัดที่เราเกรงกลัวที่จะแตะต้องมัน"

                   เกิดความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะหนึ่ง 

                    " เขาประชุมเรื่องอะไรกัน" เล็กซ์ถามขึ้นอย่างสงสัย

                  "มัน..เออ... ข้าบอกเจ้าไม่ได้  ..มันเป็นความลับของเผ่าพันธุ์เรา "

                  "ทำไมหล่ะ?" 

                 "เพราะพวกเจ้าเป็นมนุษย์นะสิ"  

               แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง

                 "แล้วนายจะทำไงต่อไป "  

               "ไม่รู้สิ ข้าเลิกวางแผนชีวิตตังเองมานานแล้ว  คงแล้วแต่ว่าพระเจ้าจะกำหนดให้ชีวิตข้าเป็นยังไงมั้ง   "

                 "เออ ...วันนี้วันที่เท่าไหร่   แล้ว" เล็กซ์ถามเคลวิน

                 "ก็ วันที่ 3 และ"

                "ให้ตายสิ...เราสอบพรุ่งนี้"  ลูน่าโพล่งขึ้น

               "ใช่จริงๆด้วย" "ตายแล้ว...หนังสือก็ยังไม่ได้แตะซักเล่มเลย" เล็กซ์พูด

              "นี่ก็ห้าทุ่มแล้ว.." เล็กซ์ดูนาฬิกาข้อมือ

             " เราคงต้องกลับแล้วหละเอ็ม.."

             "งั้นข้าจะไปส่ง"

             "โอเค"

         พวกเขาตรงกลับบ้านโดยที่มีเอ็มไพร์เดินไปส่ง  ดูเขาเดินช้าๆ แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ช้าเลยแม้แต่น้อย เล็กซ์ก้มดูที่เท้าจึงรู้ว่าที่จริงเขาลอยเอามากกว่า 

           "โฮ...นายทำได้ไงอะ" เล็กซ์ถาม

           "เป็นแว็มไพร์ก็มีอภิสิทธิ์อย่างนี้แหละ"  เขาพูดอย่างหน้าตาเฉย

          "งั้นก็เจ๋งสิ.." เคลวินพูดพลางหายใจหอบ

         "ไม่เจ้าไม่เข้าใจหรอก....ท้องฟ้ายามราตรีมีแต่ความเหงา  แม้ดวงดาวจะกระจ่าง

    ฟ้า แต่มันก็เป็นเพื่อนเจ้าได้ไม่นาน  ... ดอกไม้  ยามราตรีไม่เคยพลิบานให้เจ้า

    เห็น  ความเหงาและเดียวดายค่อยค่อยคลืบคลานกว่าร้อยปี...." เอ็มไพร์บรรยาย

    อย่างเศร้าหมอง

        ทุกคนไปส่งลูน่าและเคลวินตามลำดับ  แล้วเอ็มไพร์ก็ไปส่งเล็กซ์เป็นคนสุดท้าย

                 "แล้วเจอกัน...เพื่อน"  เล็กซ์กล่าวลา

                 "เช่นกัน"

    .....................................................................................................................

              ค้างคาวน้อยบินขึ้นไปบนฟ้า...ท้องฟ้าวันนี้มีดาวกระจ่างฟ้า มันสวยงามอย่าง

    เงียบเหงา แม้ท้องฟ้าจะไม่เป็นสีดำก็เถอะ  เขาร่อนลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมในเซ็นทรัล

    พาร์ค เขาครุ่นคิดถึงเรื่องของหยดเลือดของเล็กซ์ อีกครั้ง  ...เลือดหยดนั้นมันมีอะไร

    นะ ทำไมมันจึงคืนความทรงจำบางส่วนของเขาได้นะ......แล้วก็มีกลิ่นบางอย่างที่

    หยุดความคิดของเอ็มไพร์ไปเสียสนิท  กลิ่นนั้น...กลิ่นคาวเลือดมากจากแว็มไพร์แน่

    นอน.....

           เอ็มไพร์กลายร่างเป็นค้างคาวน้อยอีกครั้ง  เขาบินขึ้นไปหลบในต้นไม้  ไม่นาน

    ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น  เขาใส่ชุดสีดำสนิท หมวกสีดำ

    บดบังใบหน้าของเขาไว้  ชายคนนั้นตรงไปที่ต้นสนต้นใหญ่ที่อยู่ริมสระน้ำ  เขาลูบ

    ต้นไม้เบาๆ  รอยสลักรูปม้าเพกาซัสปรากฏขึ้น เขาก็เอ่ยคำคำหนึ่งออกมาว่า



              "รัตติกาล"  ตาของม้าแดงวาบขึ้นแล้วก็ดับไปและรอยสลักนั้นก็หายไปด้วยเช่นกัน

          เขาแลซ้ายแลขวาดูว่ามีใครมองอยู่รึป่าว  แล้วเขาก็เดินไปบนผิวน้ำ เมื่อถึงตรง

    กลางสระน้ำน้ำก็กระเพื่อม ออกเป็นวง แล้วน้ำก็ผุดขึ้นรอบๆตัวของเขา  เขาเริ่มจม

    ลงใต้น้ำเรื่อยๆ  จนมิดหัวและหายไป ผิวน้ำก็นิ่งไปในทันที

            "ว้าว!" เอ็มไพร์ทึ่งมาก แล้วเขาก็รีบวิ่งไปที่ต้นไม้ต้นนั้นทันที  แล้วเอามือไป

    สัมผัสเบาๆ  รูปม้าเพกาซัสปรากฏขึ้นอีกครั้ง  ความตื่นเต้นแทรกซึมเข้าสู่ร่าง

    กาย  หัวใจเต้นรัว

               เขาเอ่ยรหัสออกไปทันที "รัตติกาล"  ตาสีแดงเด่นชัดขึ้น แล้วจางหายไป...

    เขาเดินตรงไปที่สระน้ำ แต่ละก้าวที่สัมผัสน้ำมีพลังกระจายออกเป็นวง น้ำรอบ

    ข้างกระเพื่อมขึ้นนำเขาลงสู่เบื้องล่าง  หัวใจของเขาเต้นถี่รัวขึ้นแสงสว่างนวลตา

    หายวับไปปรากฏ ประตูบานเก่าขนาดใหญ่ สองบานตรงข้ามกันเขาตัดสินใจพลัก

    เข้าไปที่ประตูด้านหน้า  แสงสว่างขาวนวลตาสาดเข้ามาในความรู้สึก......แล้วเขาก็

    อยู่ในห้องๆหนึ่งที่คุ้นตา  

    ............................................................................................................................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×