ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เงากระจก ณ ปลายทาง (Shadows at the End)

    ลำดับตอนที่ #3 : รื้อฟื้น

    • อัปเดตล่าสุด 3 ต.ค. 53


    “หากวันนี้เราไม่ได้พบกัน วันหน้าเธอคงต้องลืมฉันลง”

                  แสงไฟจากร้านค้า คอนโด ตึกสำนักงาน และถนนสายต่างๆ ประดับประดาให้ผืนแผ่นดินมีชีวิตชีวา ในห้องอาหารที่มีวิว 180 องศา สาวน้อยนั่งบนโซฟาสีทองและเหม่อมองไปเรื่อยๆนอกหน้าต่างที่ติดกระจกทั้งบานแทนกำแพงห้องทั้งหัวมุมของห้องขณะที่บุพการีสั่งคอร์สอาหารเตรียมไว้สำหรับแขกที่เดินทางมา ณ ที่นี้

                  “มิ้นท์ เอาเนื้อแกะมั้ยลูก? ของโปรดหนูเลยนะ” กัญชรไม่ลืมที่จะถามลูกสาวว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ ลัตศิตาลิ้มรสเนื้อแกะครั้งแรกที่ฝรั่งเศสแล้วติดใจเมื่ออายุเพียง 11 ปี ซี่โครงเนื้อแกะฝีมือของเธอก็ไม่แพ้เชฟมือหนึ่งเลย

                  “แล้วแต่ค่ะ” ไม่รู้ว่าทำไม เธอไม่รู้สึกดีเลย พสกรสนิทกับแพม แทบจะเรียนวิชาเดียวกันหมด ต่างกับลัตศิตาที่ไม่ได้เลือกวิชาตามพวกเขา  หนุ่มใจกว้างชอบช่วยแพรและนิตากับการบ้าน แต่การเรียนของเธอก็ดี ไม่จำเป็นที่จะต้องมีคนมาช่วย บวกกับบีบีเอ็มเมื่อสักครู่ สรุป ถ้าเขาไม่รู้ว่าเธอคือใครจริงๆ คืนนี้เธอก็หมดหวังแล้ว ทำไมตอนนี้เธอถึงรู้สึกอิจฉาเพื่อนสนิทของเธอเองล่ะ?

                  ไม่สิ นี้คือลัตศิตานะ ไม่ใช่มนริสา ลัตศิตาที่เคยเป็นเพื่อนกับทุกคนตอนอนุบาล ลัตศิตาที่พสกรชอบเล่นด้วย ลัตศิตาที่เป็นเพื่อนกับใครได้ในสามวินาที

                  กัญชรแลดูสาวน้อยที่สติไม่อยู่ตัว “คุณคะ ทำไมลูกสีหน้าอย่างนี้ล่ะคะ? ไม่เห็นจะร่าเริงและตื่นเต้นเหมือนตอนมาเลย”

                  “ปล่อยแกไปเถอะ ซุปครีมเห็ด ของโปรดของพริมนิ” ไกรภพวุ่นอยู่กับการสั่งอาหารต่อ

                  เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับพนักงานบริการผู้หนึ่งเดินเข้ามา “แขกพิเศษของคุณท่านมาถึงแล้วนะครับ”

                  ชายร่างสูงและผู้หญิงสมส่วนเดินควงแขนเข้ามา “สวัสดีครับคุณไกรภพ” ผู้อาวุโสกว่ากล่าวคำทักทายก่อนที่จะยกมือรับไหว้ของไกรภพ

                  “ขอบคุณมากเลยครับคุณภูนัยที่มาเป็นเพื่อนร่วมฉลองวันเกิดให้ลูกสาวของผม คุณอารยาก็ด้วยครับ”

                  “ใช่ค่ะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะที่มา ไม่นั้นปีนี้ก็คงเหมือนกับทุกๆปีแน่เลยที่ต้องฉลองกันแค่สามคน” กัญชรสวัสดีทักทายอารยา มารดาของลูกชายเพื่อนสาว

                  ลัตศิตาค่อยๆเดินมาแล้วยกมือไหว้บุพการีของสหายเก่าอย่างน้อบน้อม “สวัสดีค่ะ หนูก็ดีใจที่ปีนี้หนูมีแขกมาฉลองวันเกิดให้หนูด้วย” เธอยิ้มอย่างจริงใจให้ผู้อาวุโสทั้งสอง การยิ้มเป็นการผูกมิตรไปกว่าครึ่ง มารดาเคยสั่งสอน

                  สาวน้อยทำเป็นกวาดมองหาเพื่อนเก่าของเธอ “มองหาพสกรหรอคะ? เดี๋ยวเขาตามขึ้นมาค่ะ ได้ยินว่าเขากำลังลงไปเอาของอยู่”

                  “อ๋อ...ค่ะ” สาวน้อยแอบผิดหวังนิดๆ

                  “นั่งลงก่อนสิครับ ไกรภพเชิญแขกผู้มีเกียรติให้นั่งที่โต๊ะอาหาร “อาหารเพิ่งสั่งไปเอง ไม่ทราบว่าจะถูกใจรึเปล่า ถ้าไม่ชอบเดี๋ยวเปลี่ยนได้นะครับ”

    “พ่อได้สั่งกุ้งมามั้ยคะ?” สาวน้อยถาม

    “ไม่จ๊ะ ทำไมหรอ?”

    ลัตศิตาโล่งใจ “เพื่อนเค้าแพ้กุ้งค่ะ จำได้ว่าตอนอยู่อนุบาลกินกุ้งอบวุ้นเส้นกัน เขาเป็นหนักจนต้องส่งเข้าโรงพยาบาลเลยค่ะ”

    ภูนัยเงยหน้าขึ้นมามองสาวน้อย “หนูรู้ด้วยหรอ?”

    “ค่ะ หนูเป็นคนที่เจอเขานอนอยู่บนพื้นนอกทางเดินค่ะ”

    “โชคดีจริงๆที่หนูพริมไปเจอพสกรทัน” อารยาอมยิ้ม “ไม่นั้นป่านนี้ลูกชายของเรายังจะอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้”

    ลัตศิตาได้แต่ยิ้มตอบเป็นมารยาท เธอชินกับคำชมบ่อยๆ กระเป๋าสีฟ้าอ่อนของเธอสั่นก่อนที่เธอจะรู้ว่ามีเพื่อนจะแชทด้วยอีกแล้ว

    “ขอตัวนะคะ” เธอเดินไปหน้ากระจกใสบานใหญ่ก่อนที่จะล้วงบีบีออกมาจากกระเป๋า

    PaKnz478: อยู่หน้าห้องแล้ว เข้าไปดีมั้ย?

    SunnyVanilla: ถามเราได้ แล้วแต่เธอสิ

    PaKnz478: ขี้เกียจเข้า

    SunnyVanilla: ถ้างั้นก็ยืนรออย่างนั้นและ อดข้าวไป

    PaKnz478: เฮ้ย ไม่ได้ เราก็เป็นคนนิ

    SunnyVanilla: เข้าไปสิ ชักช้าอยู่ได้ คนอื่นเค้ารอกันหมด

    PaKnz478: เราเพิ่งมาเอง ไม่รู้ว่ามาสายแล้วกลับบ้านจะโดนแม่เทศน์รึเปล่า

    SunnyVanilla: เซงกับเธอจริงๆ

                  ลัตศิตาขอตัวผู้ใหญ่ไปเข้าห้องน้ำ เมื่อตอนที่เปิดประตูห้อง เธอเผลอชนกับร่างสูงที่เธอไม่ได้สังเกต

    “ขอโทษค่ะ” เธอพูดสั้นๆก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังปลายห้องโถงยาวเยียดในขณะที่ยังกำลังพิมพ์ข้อความส่งให้พสกรอยู่

    PaKnz478: แม่เจ้า น่ารักมากเลยว่ะ

    SunnyVanilla: ใครสวย? เราหรอ? ขอบใจ

    PaKnz478: เปล่า หมายถึงคนที่เราเพิ่งเดินชนเราเนี่ย น่ากอดชะมัด อย่าหลงตัวเองเลยมิ้นท์

    สาวน้อยหยุดอยู่กับที่

    SunnyVanilla: แล้วเธอให้หน้าเค้าด้วยหรอ?

    PaKnz478: เห็นแวบเดียว ตอนนี้เรายังมองเค้าอยู่เลย

    เธอไม่กล้าหันหลังกลับมา แต่เขากลับเดินเข้ามาหา

                    “คุณครับ”

                    “คะ?” เธอค่อยๆหันหลังแล้วเงยหน้ามองเขา

                    ลัตศิตาหวังว่าเขาคงมองไม่ออกว่าเธอคือมิ้นท์

                    ดวงตาสุกใสที่คุ้นเคยอย่างมาก จมูกและริมฝีปากเล็กๆของเธอยิ่งทำให้เขาระลึกถึงคนๆนั้น เขารู้จักเธอแน่เลย แต่ว่าเธอรู้จักเขาหรือเปล่า?

                    พสกรหลุบมองไปยังโทรศัพท์ที่เธอถืออยู่

                    “ขอบีบีพินหน่อยได้มั้ยครับ?”

                    “คะ?” คนสมัยนี้ ขอข้อมูลส่วนตัวกันง่ายขนาดนี้เลยหรอ?

                    “ถ้าไม่ให้ นั้นไม่เป็นไร ขอเบอร์ก็พอ”

                    “คุณ...”

                    พสกรจ้องหน้าหวานที่ทำอะไรไม่ถูก แอบอมยิ้มที่มุมปากไม่ได้

                    “พสกรครับ ผมชื่อพสกร”

                    ตอบไม่ตรงคำถามซะเลย ลัตศิตารู้ดีว่าเธอควรบอกชื่อของตนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนที่มีมารยาท แต่ใจกลับไม่ตรงกับปากสักนิด

                    “ขอตัวนะคะ” สาวน้อยก้มหน้าก่อนที่จะเดินสวนกลับเข้าห้องรับประทานอาหาร โชคเข้าข้างลัตศิตาเพราะประตูห้องอยู่ใกล้นิดเดียว จะได้ไม่ต้องเดินกลับไปท่ามกลางความเงียบ

                    “พสกร ขึ้นมาแล้วหรอ?” ธันย์ทักเมื่อลูกชายของตนเดินเข้าห้องตามหลังสาวน้อย

                    “ครับ ผมเจอกับคุณ...”

                    “พริมค่ะ ชื่อพริมค่ะ” เธอไม่มีทางเลือกเมื่อโดนถามชื่ออย่างนี้แล้ว

                    “พริม?” พสกรไม่เชื่อหูตัวเอง

     

    ผู้คนใส่สูทสีดำห้าคนและหญิงสาวคนหนึ่งมาขอเด็กหญิงลัตศิตาที่นั่งเรียนอยู่กับทุกๆคนจากคุณครู สีหน้าของคุณครูเคร่งเครียดขึ้นเมื่อหญิงสาวผู้นั้นกระซิบสั้นๆบอกเธอ

                    “น้องพริมคะ วันนี้ น้องพริมเลิกเรียนก่อนเวลานะคะ”

                    “เย้!” เด็กน้อยร่าเริงกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ เด็กชายพสกรแอบอิจฉานิดๆที่เพื่อนข้างโต๊ะได้เลิกเรียนก่อน หญิงสาวผู้นั้นที่ดูเหมือนพี่เลี้ยงเข้ามาช่วยเก็บกระเป๋า

                    “พกร ไปแล้วนะ อย่าลืมพริมด้วยล่ะ!” เด็กน้อยลากลับบ้านด้วยประโยคซ้ำๆกันทุกวัน เขาไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงพูดเช่นนี้ เขาเจอเธอทุกวัน ตั้งแต่เช้าถึงเย็น

                    และแล้ว เขาก็เข้าใจ

                    ตั้งแต่นั้นมา โต๊ะคู่ตัวเล็กๆก็ไม่เคยมีใครมาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะ ไม่มีเด็กหญิงตัวน้อยที่ชอบเล่นกับผู้ชาย ไม่มีเพื่อนรักมาจบอนุบาลด้วยกัน และที่สำคัญ ไม่มีอะไรที่ทำให้เด็กชายอยากไปโรงเรียนยิ่งขึ้นกว่าเดิม

                    เขามีคำถามหลายพันล้านคำที่จะถามสาวน้อยตรงหน้าเธอ แต่เมื่อเจอตัวจริงเข้าซะแล้ว เขากลับพูดอะไรไม่ออก

                    ก็แหม คุณเธอเค้าสวยขึ้นตั้งเยอะนิ

                “อาหารเพิ่งมาพอดีเลย นั่งลงทานข้าวก่อนสิ” ผู้เป็นมารดาของหนุ่มใจกว้างเรียกสติของทั้งสองคืนมา

                    “ได้ค่ะ” ลัตศิตารีบดึงเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุดแล้วนั่งลง

                    ภูนัยตบหลังพสกรเบาๆ “นั่งตรงข้ามหนูพริมมั้ยลูก?” ผู้อาวุโสยิ้ม

                    “ครับ คุณพ่อ” เขาตอบสั้นๆก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

                    ด่านแรกของสาวน้อยผ่านไปเรียบร้อย ถึงแม้ว่าเพื่อนเก่าของเธอจะพยายามเก็บอาการเท่าไร่ ทว่าสายตาของเขาก็ยิ่งจ้องมองมาเท่านั้น ตอนนี้เธอไม่ต้องห่วงว่าเขาจะเห็นเธอคือมิ้นท์ แต่ที่ต้องห่วงคือบทสนทนาหลังรับประทานอาหารเสร็จ

                    คราวนี้ โชคชะตาไม่เล่นตลกด้วย ผู้หลักผู้ใหญ่ต่างคุยถึงเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง ปล่อยให้ความอึดอัดปกคลุมปลายโต๊ะอีกฝั่ง ไม่รู้ว่าบุพการีตั้งใจที่จะเปิดโอกาสให้ทั้งสองคุยกันหรือไม่ หรือว่าบทสนทนาของผู้ใหญ่น่าสนใจเกินไป?

                    เนื้อแกะอันนุ่มเนื้อถูกมือเพรียวใช้ส้อมและมีดหั่นอย่างประณีต สายตาไม่เคยละไปจากจานอาหารของตน สาวน้อยเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามจ้องมองอย่างไม่รู้ตัว

                    พสกรนึกถึงสมัยอนุบาลตอนที่เขานั่งแอบมองเด็กน้อยตั้งใจคัดลายมือ บ่อยครั้งเด็กหญิงลัตศิตาก็เงยหน้าขึ้นมาเตือนเขาให้เขียนตัวหนังสือด้วย “มาโรงเรียนมีไว้เพื่อเรียนนะ เดี๋ยวพกรโตขึ้นค่อยไปเฝ้าแฟนของเธอเลยแล้วกัน”

                    เธอคงไม่มีวันรู้หรอก ว่าแฟนของเขาน่ะ จะต้องเป็นเธอคนเดียว

                    บรรยากาศตึงเครียดเริ่มคลี่คลายลงเมื่อบริกรสามคนเข้ามาเก็บจานและเสิร์ฟเค้กวันเกิด

                    “วันนี้วันเกิดพริมหรอ?” หนุ่มใจกว้างถามอย่างเป็นมิตร

                    “ค่ะ” แต่ทำไมเพื่อนเก่าของเขาถึงทำเหมือนว่าเขาไม่รู้จักกันล่ะ?

                    เดี๋ยว...

                    วันเกิดเธอหรอ?

                    แล้วของขวัญวันเกิดของเธอล่ะ?

                    “น้องพริมชอบร้องเท้าคู่นี้มั้ยคะ? ของขวัญวันเกิดจากป้าจ๊ะ” อารยาซักถามสาวน้อยเมื่อบริกรกลับออกไปหมดแล้ว

                    “ค่ะ หนูชอบโบว์สีฟ้ามากเลยค่ะ รองเท้าสีขาวมีเพชรประดับข้างหน้าก็สวย ขอบคุณค่ะคุณอารยา” ลัตศิตาเดินเข้ามา คุกเข่าลงบนพื้นแล้วไหว้ขอบคุณมารดาของเพื่อนข้างโต๊ะ

                    “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกลูก เดี๋ยวกระโปรงยับหมด อีกอย่าง เรียกฉันว่าป้าพลอยก็ได้จ๊ะ” เธอมองไปทางกัญชรที่พยักหน้าเล็กน้อยพลางส่งยิ้มมาให้

                    “ขอบคุณค่ะ ป้าพลอย”

                    “หนูพริม” กัญชรยื่นซองสีขาวให้แกลูกสาว “สุกสันต์วันเกิดนะลูก จากพ่อและแม่จ๊ะ” เธอเปิดออกและพบบัตรใบหนึ่งและกุญแจสองดอก

                    “อันนี้สำหรับอะไรหรอคะ?” สาวน้อยถามด้วยความสงสัย

                    “คอนโดที่ฮ่องกง” ไกรภพเริ่ม “ที่หนูชอบอยู่ที่สุดน่ะ ตรงวิกตอเรียฮาร์เบอร์ฝั่งเกาะฮ่องกงไง จำได้มั้ย? ชื่อว่าโอเรียนเท็ลวิวจ๊ะลูก”

                    รอยยิ้มที่ประหลาดใจของสาวน้อยทำให้พสกรหวนนึกถึงอดีตอีก ทุกครั้งที่เธอได้ยินเซอร์ไพรส์เธอก็จะมี “รอยยิ้มที่ประหลาดใจ” ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ สิ่งเดียวตั้งแต่นั้นมาที่ทำให้หัวใจดวงเล็กๆของเด็กชายพองโตได้ทุกเมื่อ

                    “ขอบคุณค่ะ คุณพ่อ คุณแม่” สาวน้อยโผเข้ากอดบุพการีอย่างแน่นหนา เธอไม่เคยเชื่อว่าความฝันของเธอตั้งแต่เด็กจะกลายเป็นจริง การมีบ้านของตัวเองสักหลังโดยที่ไม่ต้องย้ายไปย้ายมา คงจะมีความสุขตลอดกาล

                    “ชั้นที่ 23A เลขโปรดของหนูเลยนะ”

                    “รู้ใจลูกสาวตัวเองจริงๆเลยนะคะ คุณไกรภพ” อารยาชม

                    “พ่อ...” พสกรกระซิบ “วันเกิดเค้า ผมไม่รู้เลยไม่ได้ของขวัญมา ทำไงดี?”

                    “ไม่ต้องห่วง พ่อเตรียมมาให้เรียบร้อย” ภูนัยหยิบถุงสีทองจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าร่วมอีกคน

                    “น้องพริม ของขวัญจากพสกรจ๊ะ” เขายื่นให้หนุ่มใจกว้างก่อนที่จะให้เขามอบให้สาวน้อย

                    “แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะพริม” รอยยิ้มแห่งความจริงใจวาดไว้บนหน้าเพื่อนสนิท

                    ลัตศิตาไม่กล้าสบตาเขา แต่สุดท้ายก็ได้แค่สบตาแวบเดียวพร้อมกับคำว่าขอบคุณ

                    อยู่โรงเรียนก็ปกติอยู่แล้วนิ ที่จะมองหน้าเขา ทำไมตอนนี้ถึงรู้สึกแปลกๆชอบกลอย่างนี้ล่ะ?

                    เธอเปิดกล่องอัญมณีสีน้ำเงินเข้มในถุงสีทอง ก่อนที่จะเห็น             เครื่องประดับที่งดงามที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา

                    ต่างจากเครื่องประดับปกติของคนชนชั้นระดับสูงที่มีเพชรพลอยและทับทิมเม็ดใหญ่ๆ ต่างหูคู่เล็กที่มีเพชรสีชมพูรูปหัวใจห้อยลงมาเล็กน้อย สร้อยคอที่มีหัวใจที่ทำมาจากเพชรเม็ดประณีตอีกเจ็ดวาววับสะท้อนแสง และแหวนเงินวงเรียบๆที่แกะสลักเป็นหัวใจสองดวงคล้องกัน ทำให้ลัตศิตาตกหลุมรักกับของขวัญชิ้นสุดท้ายมากที่สุด

                    “คุณ...” เขาไม่รอช้าที่จะหยิบแหวนวงนั้นออกจากกล่องแล้วดึงมือเพรียวของลัตศิตาไปสวมให้ ไกรภพ กัญชร ภูนัยและอารยาต่างยิ้มเล็กยิ้มใหญ่ให้กัน

                    “ขอบคุณ...ค่ะ” สาวน้อยไม่ลืมมารยาทในการพูดจาของตนเองก่อนที่จะเก็บกล่องกำมะหยี่ใส่ในถุงแล้วชื่นชมแหวนเงินบนนิ้วกลางของเธอ

                    “หนูพริมชอบก็ดีแล้ว อันนี้นี่คุณอารยาเค้าลงมือดีไซน์เอง ผลิตในต่างประเทศด้วย ไม่ต้องห่วงเรื่องถลอกหรือรอยขีดข่วน คุณภาพดีเยี่ยมแน่นอน อารยาเค้าลงทุนไปสวิสเซอร์แลนด์กับเยอรมนีเพื่อที่จะเลือกเพชรเลือกพลอยเอง”

                    “ไม่ขนาดนั้นหรอกภูนัย” ภรรยาค้อนนิดๆ “คุณก็ช่วยให้ไอเดียด้วยไม่ใช่หรอคะ?”

                    เค้กวันเกิดชิ้นสุดท้ายถูกตักเข้าปาก ทุกคนอิ่มอร่อยไปกับของหวานที่ฉลองวันเกิดครบรอบ 16 ปีของลัตศิตา

                    มารดาสาวน้อยบอกเธอเบาๆ “เดี๋ยวแม่กับพ่อไปคุยกับคุณภูนัยและคุณอารยาในห้องข้างๆนะลูก หนูอยู่นี่กับพสกรไปก่อน” ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งสี่ทยอยเดินออกจากห้องรับประทานอาหารระหว่างบทสนทนา เหลือเธอและเขาอยู่เพียงสองคน

                    ลัตศิตาถือกระเป๋าสีฟ้าแล้วนั่งลงบนโซฟา สายตาเหม่อมองออกไปเมืองหลวงในยามค่ำ พสกรนั่งลงข้างๆ ดวงตาดำสนิทไม่เคยละจากใบหน้าอันอ่อนหวานของเธอ

                    “สิบปีที่ผ่านมา พริมหายไปไหนหรอ?”

                    ความเงียบในห้องถูกแปลงมาเป็นคำตอบ

                    “รู้มั้ย? ตั้งแต่พริมไปแล้วไม่มีใครนั่งข้างเราตอนอนุบาลเลยนะ”

                    “ค่ะ”

                    “ไม่มีเด็กผู้หญิงคนไหนที่เล่นกับพวกเราอีกเลย”

                    “ค่ะ”

                    “พริมเป็นอะไรรึเปล่า?” มืออันอบอุ่นเลื่อนมาแตะมือเพรียวที่พับไว้เรียบร้อยบนตัก

                    “เอ่อ...” เธอเลื่อนมือออกเบาๆ “ไม่ค่ะ คุณพสกร”

                    “ทำไมเรียกเราอย่างนี้ล่ะ? เมื่อก่อนเธอชอบเรียกเราว่าพกรไม่ใช่หรอ?”

                    ตอนนี้เธอคือพริม ไม่ใช่มิ้นท์ ทำไมเธอถึงไม่กล้าพูดกับเขาล่ะ? เขาไม่ใช่คนที่เธอรอคอยมานานแสนนานหรอ?

                    “พกร...”

                    “เย้! พริมเรียกชื่อเราแล้ว!” เขาเอ่ยอย่างดีใจ

                    สาวน้อยลุกขึ้นไปยืนข้างหน้าต่าง เพื่อนเก่าก็ตามติดไปด้วย

                    “เธอรู้มั้ย ว่าตอนที่เราเพิ่งรู้ว่าเธอคือพริมเนี่ย เราดีใจแย่เลย” เขาเริ่มต่อ “ไม่คิดเลยนะว่าสิบปีผ่านไปจะมาเจอพริมอีก”

                    ลัตศิตาครุ่นคิดก่อนที่คำพูดไหลพรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากที่ได้กลัดกลั้นเอาไว้มาตั้งแต่วันที่ชีวิตเธอเปลี่ยนไป

                    สีหน้าเคร่งเครียดบนใบหน้าของบุพการีทำให้เด็กหญิงแปลกใจ ช่วงนี้ เวลาที่เธออยากให้มารดาอ่านหนังสือก่อนนอนให้ฟัง หรือนั่งบนตักบิดาแล้วเรียนวาดรูป เธอมักจะถูกปฏิเสธ ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่พวกท่านสามารถสละเวลาอันคุ้มค่าให้ลูกแก้วหัวแหวนได้ เมื่อเด็กหญิงลัตศิตากระโดดขึ้นรถอย่างมีความสุข ริมฝีปากของทั้งสองยิ้มจางๆให้กับลูกน้อยที่ไร้เดียงสาของพวกเขา

    เด็กน้อยชอบจินตนาการว่า รถคันใหญ่หรูเป็นขบวนรถม้าพิเศษที่มีองครักษ์ร่างสูงเพรียบพร้อมที่จะเปิดประตูรถให้เธอและครอบครัวเมื่อถึงปลายทาง ในความคิดของเธอ เธอคิดว่าองครักษ์ที่เปิดประตูรถนั้นเป็นผู้ที่กำเนิดสถานที่ที่เธอกำลังจะไป ทุกๆครั้งที่องครักษ์สองคนเปิดประตู ไม่มีครั้งไหนที่เธอจะได้ไปซ้ำกันเลย คราวนี้ เมื่อก้าวเล็กๆลงมาจากรถแล้ว เด็กน้อยเรียนรู้จักการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก

    แทบทุกคนที่อยู่ในท่าอากาศยานลากกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ กระเป๋าเดินทางใบเล็กสีสดใสบินผ่านช่องทางพิเศษที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้ เดินบนพื้นพรมจนถึงเครื่องบิน ได้นั่งบนเบาะที่เป็นโซฟายาวสำหรับตระกูลสุริยไพศาลโดยเฉพาะ โต๊ะอาหารที่มีอาหารขบเคี้ยวและเครื่องดื่มรอคอยตลอดเวลา มีเตียงนอนเดี่ยวอยู่สามเตียงหลังผ้าม่านสองชั้น แค่นี้เด็กหญิงลัตศิตาก็พึงพอใจแล้ว เธอตั้งใจที่จะกลับไปเล่าให้พสกรฟังคนแรก นึกถึงปฏิกิริยาของเพื่อนซี้เมื่อเธอบรรยายถึงความมหัศจรรย์ของห้องเล็กๆที่ชื่อว่า “ตัวเครื่องบิน”

    เมื่อเธอลงจาก “เครื่องบิน” เธอพบว่า ทุกคนที่นี่พูดภาษาอังกฤษหมด ป้ายชี้แจงต่างๆล้วนไม่มีภาษาบ้านของตน ในกรุงนิวยอร์กที่เธออาศัยพักพิงอยู่มีโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง นับได้ว่าติดท๊อปเท็นสำหรับโรงเรียนอนุบาลทั้งรัฐ ก่อนที่เธอย้ายมา โรงเรียนนานาชาติที่เธอเรียนอยู่นั้นสอนหลักสูตรภาษาอังกฤษล้วน ยังมีผู้คนหลากสีผิวในห้องเรียน การที่จะเข้าเรียนกับเพื่อนต่างชาติเป็นเรื่องที่ง่ายดายสำหรับเธอ ไม่นาน เวลาเพียงหนึ่งปีก็โบยบินไปและไม่ย้อนกลับมา

    ก่อนที่กระแสการเรียนภาษาที่สามจะไหลมาตามปัจจุบัน พ่อแม่ของเด็กน้อยตระหนักดีว่าลูกของตนต้องเรียนภาษาอื่นด้วย เมื่อเธอจบอนุบาล พวกเขาตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตในเมือง “แมงมุมแห่งตะวันออก” ตอนแรก ลัตศิตาไม่รู้จักความหมายของชื่อเรียกขานของเมืองนี้ แต่หลังๆเมื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องภูมิศาสตร์พร้อมเพื่อนชาวฮ่องกงในห้องเรียน เธอจึงเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้ ตะวันออกในที่นี้หมายถึงฮ่องกงที่อยู่บนผืนแผ่นดินเมืองจีน แสงไฟกลางคืนจากตึกสูงเหยียดดาดฟ้าของเมืองเล็กแลดูเหมือนใยแมงมุมที่พันกันอย่างยุ่งเยิง พอรวมกันแล้วเลยกลายเป็นชื่อที่เรียกคุ้นหูในที่สุด นี่คือคำอธิบายของเธอที่เธอเรียนมา

    ตลอดแปดปีที่เธอเรียนอยู่ที่ฮ่องกง เธอไม่ได้แค่รับเรียนรู้ภาษาจีนกลางเท่านั้น เธอยังได้ภาษาจีนกวางตุ้งติดปากกลับมาด้วย ถึงแม้ว่าการเขียนและการอ่านของเธอไม่ค่อยแข็งเท่าคนพื้นที่เท่าไร่ อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ใช้ชีวิตในการสื่อสารโดยใช้ภาษาอื่นได้

    “หนูพริม...” วันหนึ่ง สาวน้อยที่เพิ่งพัฒนาเลื่อนขั้นมาเป็นวัยรุ่นถูกยิงคำถามที่เธอไม่เคยคิดรอบสอง “อยากกลับบ้านเรามั้ยลูก?”

    บ้าน...

    ประเทศที่พูดภาษาของตน...

    อากาศร้อนๆ และหน้าฝนที่โปรยปรายเป็นเวลานานนับครึ่งปี...

    เธออยากกลับไปมั้ย?

     “และแล้ว เราก็เดินทางกลับมาที่เดิม แต่ว่าเราไม่ได้ไปโรงเรียนเลย มีแต่ครูวิชาต่างๆมาสอน ขอพ่อแม่ พวกท่านก็ไม่ให้ แต่เราก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไรหรอกนะ ยังไงเราก็เรียนตามคนอื่นที่อยู่รุ่นเดียวกันอยู่แล้ว คงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมากหรอก” ลัตศิตาส่งยิ้มน้อยๆให้หนุ่มใจกว้างที่นั่งฟังอย่างตั้งใจ

    เขาทำหน้ามุ้ย “อ่าว... กะจะถามว่าเรียนอยู่โรงเรียนไหนอีก”

    “แหม รู้ไปแล้วเธอก็คงไม่ย้ายมานิ”

    “เฮ้ย ถ้าพริมอยู่เราก็ไปได้นะ จะขอแม่ให้ได้เลย”

    “แล้วตอนนี้เรียนอยู่ที่ไหนล่ะ?”

    “ยังเรียนอยู่โรงเรียนเดิมน่ะแหละ ไม่ได้ย้ายเลยสักนิด”

    บทสนทนาของทั้งคู่จบลงเมื่อผู้ใหญ่เดินกลับเขามาเรียกกลับบ้าน

    “แล้วบีบีพินน่ะ จะให้รึเปล่า?”

    “เดี๋ยวกลับถึงบ้านแล้วค่อยบอกนะ เผอิญว่าเราลืม” เธอยิ้มแห้งๆให้กับเพื่อนเก่า

    “ไม่เป็นไร งั้นเอาเบอร์มา” ซวยล่ะเรา ถ้าให้เบอร์นี้ก็รู้น่ะสิ ว่าจริงๆแล้วเธอคือมิ้นท์!

    “02 2389238” ไกรภพแทรกเข้ามาระหว่างที่พวกเขาเดินไปจากลิฟต์แก้วด้วยกัน “เบอร์บ้านน่ะพสกร มีเรื่องอะไรโทรมาที่เบอร์บ้านก่อนนะ” หนุ่มใจกว้างไม่รอช้าที่จะจดจำหมายเลขขึ้นใจก่อนที่จะเซฟไว้ในโทรศัพท์มือถือของตน

    บุพการีและตัวเขาเองบอกลาสาวน้อย กัญชร และไกรภพเมื่อรถลิมูซีนคันยาวจอดเทียบหน้าโรงแรม “เจอกันครั้งหน้านะพริม” พสกรดึงตัวเธอไปกอดเบาๆก่อนที่จะขึ้นรถตามพ่อแม่ไป

    “พริม พริม” บิดาเรียก ปลุกให้สาวน้อยตื่นจากภวังค์หลังจากที่รถของเพื่อนเก่าลูกสาวไปแล้ว “โห แค่เค้ากอดเอง ยืนอึ้งอยู่อย่างนี้และ ถ้าเค้าหอมแก้มนี่จะขนาดไหนน้า” ไกรภพล้อลัตศิตาหลังจากที่เห็นเธอแทบจะหยุดหายใจ

    “พ่ออ่ะ” เธอยิ้มอย่างเขินๆ “ก็คนเค้าไม่ได้คิดว่าจะมีเรื่องอะไรอย่างนี้เกิดขึ้นนิ พริมแปลกใจไง” สาวน้อยแก้ตัว แต่ผู้เป็นพ่อพูดต่อ

    “นี่ ดูพ่อกับแม่ซิ” เขาเอามือโอบเอวศรีภรรยาคนสวย “ถ้าพวกเราทำกันแค่นั้นนะ ป่านนี้ลูกคงยังไม่เกิดมาชาตินี้หรอก”

    กัญชรหันขวับไปค้อนสามี “ภพ ที่นี่ที่สาธารณะ พูดจาอะไรเนี่ย” เธอกระซิบ

    “เฮ้อ หนูพริมคงอยากได้น้องสักคนแล้วมั้ง?” เขาแซวจนคนข้างๆตีแขนเบาๆ

    “เงียบเลย รถมาแล้ว ไปกันเถอะพริม อย่าสนใจคนที่คิดแต่เรื่องพวกนี้ไปวันๆ” กัญชรดึงลัตศิตาขึ้นรถ สาวน้อยอดอมยิ้มไม่ได้

    รถยุโรปแล่นออกไป ร้านค้าตามริมถนนเริ่มทยอยกันปิดไฟ ไร้เงาผู้คนที่เดินอยู่ข้างทาง เมืองหลวงบ้านเกิดของสาวน้อยค่อยๆต้อนรับราตรีแสนเงียบเหงา รอคอยวันใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่นานนี้

    หัวใจของเธอที่ไม่เคยแอบรักใครตั้งแต่ที่จากไป เธอมั่นใจว่าเขายังรอเธออยู่ตลอด แต่เธอไม่เคยรู้ว่า เขาเคยให้ใครกุญแจเข้าไปในหัวใจของเขาหรือเปล่า ถ้าเรื่องมันเป็นอย่างนั้นจริงๆล่ะ? วันนี้ เธอยังคงจะมีใจให้เขารึเปล่านะ?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×