ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เงากระจก ณ ปลายทาง (Shadows at the End)

    ลำดับตอนที่ #1 : ความทรงจำ

    • อัปเดตล่าสุด 3 ต.ค. 53


    “บางครั้ง สิ่งเล็กๆสามารถรื้อฟื้นความทรงจำอย่างมากมายได้”

    รถสีขาวบริสุทธิ์แล่นฉิวบนทางด่วนสายใหม่ที่ตัดผ่านทุ่งหญ้าหมอกลงท่ามกลางกรุงเทพ สาวน้อยที่นั่งอยู่ในรถตู้คันใหญ่คนเดียวถอดหูฟังออกเมื่อรถจอดสนิทหน้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เธอสะพายกระเป๋าสีลูกอมขณะที่ประตูอัตโนมัติเลื่อนเปิดออก มนริสา ลูกสาวคนเดียวของตระกูลภัทรอารีวงศ์ ก้าวเท้าลงจากรถ สูดอากาศภายนอกหลังจากที่โดยสารรถมาเป็นชั่วโมง

    “มิ้นท์!” เสียงหนึ่งเรียกสาวน้อยมาแต่ไกล

                  “ภัทรเองหรอ? สวัสดีจ๊ะ” เธอทักทายด้วยความเป็นมิตร มนริสากับภัทรเดินเข้าอาคารโรงเรียนที่หรูเริดบรรยากาศดีน่าเรียนพร้อมกัน

                    “พรุ่งนี้ ภัทรจะไปงานครอบครัวที่สวนจาไพรินที่เขาใหญ่ด้วย ทุกคนเค้าไปกันหมด มิ้นท์จะไปรึเปล่า? ปีก่อนๆมิ้นท์ไม่เห็นไปเลย” ภัทรถาม เขาเป็นรุ่นน้องของสาวน้อยปีเดียว หน้าตาคมแบบฝรั่ง ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะเป็นไทยแท้ก็ตาม เขาชอบทำตัวเหมือนอยู่รุ่นเดียวกัน ชอบแสดงนิสัยเรียบร้อยต่อหน้าเธอ ลับหลังนั้นซนไม่ใช่เล่น อาจเป็นเพราะว่าความสงบสุขขุม ความเรียบร้อย ความเอาใจใส่ของมนริสา เป็นสิ่งหนึ่งที่ภัทรเรียกร้องมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ เขาถึงได้รู้สึกว่า “เธอ” คนนี้เป็นคนที่เขาอย่างได้มากที่สุด

                  สาวน้อยหยุดคิด ใช่สิ เราไม่ได้ไปงานครอบครัวมาตั้งแต่...ตอนไหนแล้วล่ะ? เธอถอนหายใจเบาๆ แต่ก็ดังพอที่จะให้คนตัวสูงข้างๆได้ยิน

                  “ถอนหายใจทำไมหรอ?”

                  เธอมองหน้าภัทร “อ้อ ไม่มีอะไร มิ้นท์แค่นึกถึงสิ่งอื่นเท่านั้นเอง แล้ววันนี้ภัทรมีสอบอะไรมั้ย? การบ้านทำเสร็จหมดแล้วรึยัง?”

                  เขาขมวดคิ้ว “มิ้นท์ยังไม่ได้ตอบภัทรเลยนะ”

                  “ภัทรก็ไม่ได้ตอบคำถามมิ้นท์เหมือนกัน”

    “คร๊าบคุณพี่ ทำการบ้านเสร็จหมดเหลือแต่คณิต ทีนี้ มิ้นท์ตอบมา”

    “เอ่อ...” เธอหลบหน้า คิด แล้วตอบเพื่อนคนนี้ของเธออย่างรอบคอบ ”ไม่รู้สิ คงไม่ได้ไปหรอกมั้ง? อยากไปเหมือนกัน” แต่คงไม่ได้ไปหรอก...

                  “นั้นก็ไปสิ ไปกันหลายๆคนจะได้มีความสุขไง” เขาพยายามทำหน้าตารื่นเริง ซึ่งคนข้างๆก็ไม่ค่อยได้มองมากนัก

                  “อืม...” เธอขบริมฝีปากแล้วตอบสั้นๆ “ถึงห้องแล้ว เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ”

                  “เจอกันที่หลังแล้วกัน” ภัทรยิ้มแบบไม่เต็มใจให้มิ้นท์แล้วเดินต่อไป

                  ทำไมถึงต้องเกิดมาตอนนี้ด้วยล่ะ? ทำไมไม่เกิดมาซัก 20 ปีก่อน ชีวิตเราถึงจะได้ไม่ต้องตกต่ำขนาดนี้    

     

    “อรุณสวัสดิ์ทุกคนๆ” เธอทักเพื่อนๆร่วมห้องของเธอซึ่งมากันเกือบครบทันทีที่ก้าวเข้าห้อง ห้องของเธอเป็นห้องที่มาโรงเรียนเช้าที่สุด เข้าเรียน 8.10 แต่มากันตั้งแต่ 7 โมงเช้า คนที่สายที่สุดนั้นมาถึงประมาณเจ็ดโมงครึ่งทุกครั้ง ไม่แปลกที่รางวัลประจำห้องที่มีระเบียบมากที่สุดคือห้องนี้

                  แพม เพื่อนซี้ของเธอเงยหน้าขึ้นจะกองหนังสือวิทยาศาสตร์ที่วางอยู่เต็มโต๊ะกลางของห้อง “หวัดดีมิ้นท์”  เธอทักสั้นๆ แล้วลงมือทบทวนวิทย์ต่อ

                  “สอบหรอ? ทบทวนกันเกือบทุกคนเลย” มนริสามองไปรอบๆ

                  ขิงหัวเราะเบาๆ “มิ้นท์ ห้องอื่นสอบไปตั้งแต่สองอาทิตย์ที่แล้วเล่า ห้องเรายังไม่ได้สอบ”

                  “อ๋อ...จริงด้วย สอบครั้งที่แล้วยากจัง” เธอหันไปหานิตา

                  “แหม...คุณมิ้นท์ สอบได้ 98 เปอร์เซ็นต์ยังหาว่ายากอีกหรอ? ถ้างั้นคะแนนสอบของดิฉันจะเรียกยังไง?”

                  มนริสาอมยิ้ม “นิตาก็สอบได้ 90 ไม่ใช่หรอ?”

                  เธออึ้งไปนิดๆ “จริงด้วย... ลืมไป”

                  “พอเถอะ คนอื่นเค้าจะทบทวนกัน” มาร์คเหลือทนกับบทสนทนาที่รบกวนเวลาทบทวนของเขา

                  ความเงียบปกคลุมห้องเรียน ถึงแม้ว่าจะมีมากกว่า 20 ชีวิตที่อยู่ในห้อง กลับมีแต่เสียงแอร์เป่าไปทั่วห้องเรียนเบาๆ ไม่มีครูคนไหนที่จะไม่อิจฉาครูประจำชั้นของนักเรียนห้องนี้สักคน

    ครูเบญจพร ครูประจำชั้นเดินเข้ามาแล้วบอกให้ทุกคนนั่งลง พลางประกาศว่าอาทิตย์หน้ากีฬาต่างๆเริ่มรับนักเรียนเข้าทีม

                  “เราว่าปีนี้มิ้นท์เข้าทีมวอลเลย์บอลได้อีกแล้วแน่ๆ”

                  “ทีมบาสต้องการเธอนะมิ้นท์” แพมเอ่ย

                  มาร์คช่วยสมทบ “มิ้นท์ต้องช่วยเราชนะแบดเพื่อโรงเรียนเราเหมือนปีที่แล้วไง”

                  “ไม่หรอก มันทับตารางดนตรีของเราน่ะ” มนริสายิ้มแห้งๆเคยชินกับบทสนทนาเช่นนี้ของผองเพื่อนเธอ

                  “ใช่ มิ้นท์มีซ้อมขิมกับระนาดนิ ไหนยังจะมีเปียโนกับแซกโชโฟน ไวโอลินกับฟลุ๊ตด้วย” แพมถอนหายใจ “เพื่อนเรานี่เก่งทุกอย่างทั้งการเรียน ทั้งดนตรี ทั้งกีฬา แต่ทำไมเราโง่ขนาดนี้”

                  “แพม ขอความกรุณาอย่าพูดเสียงดังมากค่ะ” เบญจพรเอ่ยขึ้นเมื่อเสียงของแพมเริ่มกลบคำพูดของหล่อน

                  แพมก้มหน้าสีแทนของตนแล้วกล่าวคำขอโทษเบาๆ

                  “เอาล่ะ ไปเรียนต่อได้แล้ว” พูดเสร็จ นักเรียนก็ทยอยออกมาจากห้องและไปเรียนคาบแรก เช้านี้ทุกคนทั้งระดับชั้นเรียนคาบภาษากันทั้งหมด สาวน้อยตรงไปยังห้องเรียนไทย แลเห็นเพื่อนๆร่วมชั้นของเธอ แพร, เรย์, นาย, พสกร และนนท์ เธอเดินไปทักทุกๆคนก่อนที่จะเข้าแถวรออีกคน ครูภศิตา ครูสอนวิชาไทยของนักเรียนห้องนี้เดินถือกองสมุดงานของพวกเขา

                  ภศิตาทักนักเรียนของเธอ “เชิญเข้าห้องเลยคะนักเรียน วันนี้มีสอบนะคะ”

                  “หา!!!” ทุกๆคนร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

                  “สอบการสะกดอย่างเดียวจ๊ะ ง่ายมากๆ 20 คำเอง”

                  “20 คำ!!!”

                  “มันจะ เอง ได้ไงวะ 20 คำนะโว้ย!” พสกรพูดอย่างเสียอารมณ์เบาๆ เกรงว่าภษิตาจะได้ยินเข้า

                  นนท์ตบหลังเพื่อนซี้เบาๆ “เออน่า เดี๋ยวช่วยๆกันนะ”

                  “เหอะๆ แกช่วยข้าแน่นะ โดนจับเหมือนครั้งที่แล้วอยากโทษเรา”

                  “เข้าห้องเถอะ คนอื่นเค้าเข้าไปกันหมดแล้ว” ทนเพื่อนสนิทจอมแสบคนนี้ไม่ได้ นนท์ก็เดินเฉยเข้าห้องไป

                  “สุดท้าย...พยัคฆ์ค่ะ” เสียงของภษิตาดังกังวานไปทั่วทั้งห้องที่เงียบกริบจนสามารถยินเสียงเข็มหมุดล่นพื้นได้ ความตึงเครียดของการสะกดภาษาไทย 20 คำของนักเรียนนั้นคลายลงเมื่อมือต่างๆวางปากกาลงอย่างหมดความคิด

                  “นักเรียนสลับกระดาษคำตอบกับเพื่อนที่นั่งใกล้ๆนะคะ ครูจะเขียนคำทั้งหมดลงบนกระดานค่ะ” และแล้ว เสียงกริกแกรกของปากกาที่คอยตั้งหน้าตั้งตากาถูกกาผิดนั้นก็เริ่มขึ้น รวมทั้งเสียงของนักเรียนเริ่มกระซิบกระซาบบอกคนอื่นว่าผิดข้อไหนบ้าง

                  “เดี๋ยวนักเรียนช่วยบอกคะแนนของตัวเองด้วยนะคะ โกงไม่ได้อยู่แล้วค่ะเพราะครูต้องเอากระดาษคำตอบไปตรวจ” พสกรสบถเบาๆอีก

                  “ได้แค่ 9 เอง ทำไมคำศัพท์มันยากจังเลยวะ?”

                  นายกระซิบใส่พสกร “ข้าได้ 11 เอง อย่าเสียใจดิ”

                  “12 ว่ะ” นนท์กล่าว พร้อมเอามีอเท้าคางอย่างไม่มีอารมณ์ “จะทำอะไรได้”

                  “แพร ได้เท่าไร่ค่ะ?”

                  “18 ค่ะครูนก” สาวร่างสูงที่สนิทกับมื้นท์อีกคนตอบ

                  “เก่งจังเลย ต่อค่ะ มิ้นท์ ได้เท่าไร่ค่ะ?”

                  “20 ค่ะ” เธอเอ่ยด้วยความไม่เต็มใจ

                  “โห!!!!” นักเรียนทั้งห้องอุทานพร้อมกัน

                  “เป็นไปได้ไง มันยากจริงๆนะ”

                  “ไม่จริงหรอก คงรู้ว่าครูเค้าจะสอบคำศัพท์คำไหน”

                  “อีกแล้วหรอ? ทำไมมิ้นท์เก่งจัง” เสียงซุบซิบของเพื่อนๆร่วมห้องนี้แหละ ทำให้มนริสาต้องรู้สึกไม่สบายใจ พวกเขาเห็นว่าเธอยังเป็น “เด็กใหม่” ทั้งๆที่เธอย้ายมาได้ประมาณ 2 ปีแล้ว และยังคิดว่าเธอไม่ไฮโซเหมือนพวกเขาอีกด้วย

                  ภษิตาต้องเรียบเรียกชื่อคนต่อไปเพื่อที่จะให้เสียงเหล่านี้ดับลง พอเสร็จกับการจดคะแนน คาบเรียนที่ 1 ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

     

    ณ โรงอาหารที่วุ่นวาย เสียงของนักเรียนนับพันกินข้าวร่วมกัน ต่างคนต่างต้องตะโกนกันถึงสื่อสารกันรู้เรื่อง

                  สาวน้อยเขย่งเท้าเพี่อที่จะหาโต๊ะกินข้าวกับแพรและแพม เธอกกวาดสายตาแล้วเจอเพื่อนชายคนนึ่ง “เรย์! ขอนั่งกินข้าวด้วยนะ!” ไม่รอช้า สาวน้อยวางจานข้าวที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่คนอื่นๆมีแต่ไก่ทอดกับแฮมเบอเกอร์นั่งลงข้างๆเรย์ เขาเป็นเพื่อนอีกคนที่มิ้นท์สนิทด้วย ชายหนุ่มร่างโปร่งสูงถึง 190 เซนติเมตรทำให้สาวน้อยข้างกายแลดูตัวเตี้ยและน่าทะนุทะนอม แก้มแดงๆเริ่มเหงื่อออกเพราะอากาศเมืองร้อนในโรงอาหาร

                  พอเรย์และมนริสาคุยกันได้อย่างออกรส แพมและแพรถือถาดข้าวของตัวเองแล้วเลือนมานั่งด้วยกัน ทั้งสี่คุยกันเพลินจนไม่ได้สังเกตเห็นร่างต่างๆที่ยืนอยู่ข้างหลัง

                  “หวัสดีสาวๆ ดีเว้ยไอเรย์” นนท์ หนุ่มสุดป่วนประจำระดับชั้นทักมินท์และเพื่อนๆของเธออย่างกวนอารมณ์ นายและพสกรนั่งลงข้างแพรและมิ้นท์ ส่วนนนท์เลื่อนมานั่งข้างแพมโดยไม่พูดไม่จา

                  สาวน้อยผมประบ่าขมวดคิ้วแล้วมองหน้านนท์ “นี่ ใครเชิญพวกเธอมาเนี่ย ยังไม่ได้บอกว่าให้นั่งเลย อีกอย่าง คนอย่างพวกเธอน่ะ นั่งเก้าอี้เป็นด้วยหรอ? นึกว่าเป็นพวกที่สี่เท้าติดอยู่กับพื้นซะอีก”

                  “แพมครับ แหม ปากหวานเชียว กินข้าวต่อซะจะได้หุบปากหมาๆของแกลง”

                  “อะไรนะ เรียกเราเป็นหมาหรอ? หึ แล้วคนอย่างเธอล่ะ? คงเรียกเป็นตัวเงินตัวทองแล้ว”

                  “เรียกซะเต็มยศเลยนะ เรียกว่าตัวเหียก็ได้”

                  “เงียบไปเลย คนอื่นเค้าจะกินข้าวกัน สงสารหูชาวบ้านบ้างสิ”

                  เรย์กลอกตาด้วยความเคยชินของการทะเลาะกันของเพื่อนคู่นี้ เอามือป้องปากตัวเองแล้วพูดกับทุกๆคนร่วมโต๊ะอย่างเสียงดัง

                   “2 คนนี้นี่ ชาติที่แล้วคงอยู่คนละซีกโลกเลยนะเนี่ย หรือไม่ก็คงเกิดมาคนละยุคสมัยกัน ชาตินี้ถึงกัดกันทุกวัน” เขาประชดจนแพมและนนท์หันขวับ

                  “เฮ้อ แพรว่าปล่อยพวกเค้าไปเถอะ เดี๋ยวแพรกับมิ้นท์ลากไปที่อื่นเอง” แพรหันไปหานายและพสกร “พานนท์ไปด้วยนะ แหกปากอยู่แถวนี้เดี๋ยวครูเค้ามาว่าให้หรอก”

                  บทสนทนาสุดไม่ลื่นหูจบลงเมื่อทุกคนต่างคนต่างเก็บจานของตัวเองและแยกย้ายไปซื้อขนมมารับประทาน พวกเขาเดินไปคุยไปกินไปแล้วหยุดอยู่ข้างสนามเด็กเล่นของนักเรืยนเกรด 1 เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความสุขของเด็กตัวเล็กวิ่งไล่จับกัน บางคนเล่นทราย บางคนเล่นกระดานลื่น ทุกๆคนหวนคิดถึงอดีตที่เคยใช้ชีวิตแบบไร้ความกังวลกับอนาคตหลังจากที่ต้องออกไปในโลกกว้างภายนอก

                  แพมอมยิ้มพร้อมกับตักไอศกริมรสหวานใส่ปาก “10 ปีผ่านไป ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่สนามเด็กเล่นนี่ยังอยู่เลย จำได้มั้ย? ที่พวกเรา 6 คนชอบวิ่งไล่จับกันน่ะ ตอนนั้นเด็กผู้ชายต้องเล่นกับเด็กผู้ชายอย่างเดียว เด็กผู้หญิงก็ต้องเล่นกับเด็กผู้หญิงอย่างเดียว”

                  “แต่ปลากตรงที่ว่า ทุกๆครั้งที่คนไหนมีปาร์ตี้ ก็จะส่งบัตรเชิญให้ทุกคนในห้องเลย ไม่เว้นว่าจะเป็นเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชาย ถ้าเป็นธีมเจ้าหญิงเจ้าชาย ก็แต่งกันอย่างนั้นจริงๆ หรือไม่ก็ธีมสตาร์วอร์ส ขนาดเด็กผู้หญิงยังถือดาบถือโล่เลย” นายเสริม เมื่อแพมเริ่มรื้อฟื้นอดีตที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันล้ำค่า

                  “อะแฮ่ม” มนริสากระแอมดังๆ “สงสารคนที่เพิ่งย้ายโรงเรียนมาไม่ถึง 2 ปีบ้างสิ”

                  “คร้าบ คุณมิ้นท์” นายประชดอย่างไม่หน้าด้าน

                  “ไม่ต้องมาประชดเลย เราก็...” เคยเล่นที่สนามเด็กเล่นแห่งนี้ ไปปาร์ตี้กับพวกเธอเหมือนกัน... มนริสาเก็บคำพูดเอาไว้ทัน ก็ที่ทุกอย่างจะรั่วออกไปจากริมฝีปากคู่หวานของคน

                  “ก็อะไร?” พสกรถาม

                  มนริสายิ้มฝืดๆ “แหะๆ ไม่มีอะไรหรอก” เธอจิบน้ำชามะนาวแล้วหลบสายตาคนอื่นที่มองเธอทุกคน

                  พสกรอดคิดไม่ได้ว่า เพื่อนคนนี้ของเขาช่างเหมือนกับเพื่อนในอดีตเหลือเกิน เขาจำได้ว่า เธอเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวที่เล่นกับเด็กผู้ชาย ชอบเล่นอย่างโลดโผน เอาใจคนอื่นง่าย เป็นที่รักของทุกๆคน สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ แทบจะเป็นคนเดียวกันไม่ผิด ด้านหลังแว่นตาสีเงินวาววับ ดวงตาที่เป็นประกายยามอรุณที่อบอุ่น มีชีวิตชีวา รอยยิ้มที่เขาไม่มีวันลืมได้ลง ล้วนเป็นสิ่งที่มนริสามีอยู่ แต่ว่า เธอทั้งสองคนนี้ เป็นคนเดียวกันมั้ยนะ?

                  “ถึงเวลาขึ้นห้องแล้ว ไปกันดีกว่า” นนท์มองนาฬิกาข้อมือเรือนแพงแล้วเอ่ยขึ้น

                  “อ๊ะ!” มนริสาชะงัก เมื่อตัวเองสะดุดขั้นบันไดเตี้ยๆที่อยู่ข้างสนามเด็กเล่น

                  หนุ่มใจกว้างเอื้อมมือเข้ามาช่วยเธอทัน “ไม่เป็นไรนะ คราวหลังระวังตัวหน่อยซิ โตป่านนี้แล้วยังสะดุดอีก” พสกรหยุดกึก นึกถึงเมื่อก่อนตอนที่เขาเคยพูดอะไรอย่างนี้มาก่อน

     

                  “พริม! ไปเล่นวิ่งไล่จับกับพวกเรามั้ย? นั่งอยู่คนเดียวไม่สนุกหรอก ทุกคน! พริมเป็นตำรวจแล้วนะ! เด็กชายพสกรประกาศให้เพื่อนๆที่เล่นวิ่งไล่จับรู้ทั่วทัน เด็กผู้ชายนับสิบๆคนวิ่งไปคนละทิศทางอย่างเสียงดัง รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขอยู่บนใบหน้าของพวกเขา

                  สาวน้อยร่างเล็กกว่าเพื่อนไม่รอช้า กระโดดข้ามขั้นบันได 3 ขั้น หวังว่าคราวนี้จะประสบความสำเร็จ แต่อีกครั้ง เธอล้มลงบนพื้นเมื่อกระโดดลงมา

                  เด็กน้อยใจกว้างหันหลังมาเห็นลัตศิตาล้มลงบนพื้น เขารีบวิ่งเข้าไปหา

    “ไม่เป็นไรนะ คราวหลังระวังตัวหน่อยซิ ตัวกะเปี๊ยกแล้วยังจะกระโดดข้ามบันได 3 ขั้นอีก”

    “ก็พริมอยากกระโดดได้เหมือนคนอื่นบ้าง ขนาดพกรยังกระโดดได้เลย” ลัตศิตาขมวดคิ้ว

    เด็กชายพสกรถอนหายใจเบาๆ “เราชื่อพสกร พด-สะ-กอน เข้าใจมั้ย? ไม่ใช่พกรซักหน่อย”

    “พริมว่าชื่อพกรเรียกง่ายกว่านะ” สาวน้อยยิ้ม แล้วแปะที่ไหล่ของพสกรเบาๆ “พกรเป็นตำรวจแล้วนะ!” เธอวิ่งไปที่อื่นด้วยเสียงหัวเราะที่สดใส ปล่อยให้เด็กชายใจกว้างเหม่อมองเธอตาม คอยดู โตขึ้นมาแล้วผมจะแต่งงานกับพริมแน่นอน!

     

    “นี่ พวกเธอสองคนถ้าจะเล่นจ้องตา ไปจ้องแถวอื่นเถอะ ขึ้นห้องได้แล้ว เข้าเรียนสายเดี๋ยวโดนทำโทษอีก” แพร คนที่เดินตามหลังเพื่อนๆคนสุดท้ายสังเกตเลยเรียก

                 มนริสาหลุบตาแล้วลุกขึ้นเดินไปข้างๆแพร พสกรจะรู้ไหม ว่า “พริม” ที่เขารู้จักในอดีต คือ “มิ้นท์” ที่ยืนอยู่ตรงนี้เอง


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×