ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Eerie Family ครอบครัวเรื่องประหลาด!

    ลำดับตอนที่ #2 : เรื่องเล่าประหลาดที่สอง เสียงเรียกของแม่...

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.พ. 57


    เรื่องนี้ผมจะเขียนตอนกลางคืนไม่ได้

    เพราะพอคิดถึงเรื่องเก่า ๆ แล้วมันก็ขนลุก

    อย่างเช่นเรื่องเสียงเรียกของแม่นี้ ครั้งหนึ่งผมกับลูกพี่ลูกน้อง

    เราเคยได้ยินขณะนั่งรับประทานอาหาร

    มีแต่เด็ก ๆ เท่านั้นที่ได้ยิน ทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้เลยเพราะแม่ตัวจริงนั่งอยู่ตรงหน้าเรา

    ใครกันที่ปลอมเป็นเสียงแม่มาเรียก

    และจุดประสงค์มันเพื่ออะไร

    ผมและลูกพี่ลูกน้องไมไ่ด้ขานตอบทั้งคู่

    และพอเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่าต่อไปหากได้ยินก็อย่าขานอีก

    ผมเป็นเด็กดีเชื่อฟัง หลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย

    ถ้าหากเราขานตอบมันจะเกิดอะไรขึ้นนะ

    น่าสงสัยแต่ก็ไม่อยากรู้ต่อจริง ๆ เพราะสมัยนั้นขี้กลัวมาก

    และตอนนี้ก็ยังขี้กลัวอยู่แต่น้อยลง...


     

    เรื่องเล่าประหลาดที่สอง เสียงเรียกของแม่...

                เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกเป็นรอบที่สอง เราสองพี่น้องจ้องหน้ากันพลางกลืนน้ำลายอึกหนึ่งเข้าลำคออย่างยากลำบาก ฉันเชื่อในการมองเห็นของน้องชาย เพราะพวกเรามีบางอย่างที่พิเศษไม่เหมือนกันกับคนทั่วไปอยู่...

                    เอาไงดี จะเปิดมันไหม เมษาเอ่ยถามด้วยสีหน้าท่าทางหวั่น ๆ ขณะที่ฉันก้มหน้าต่ำ ฉันไม่มีความสามารถแบบเขา ฉันเพียงได้ยินเสียงของสิ่งประหลาดที่หลายคนอาจเข้าใจในรูปแบบของพวกภูตผีวิญญาณ

                    รอก่อน ฉันแนบใบหน้าลงกับบานประตูพยายามจะฟังเสียง เผื่อจะได้รู้อะไรบ้างว่าด้านในนั้นมีอะไร และคนที่เข้าไปเป็นใคร

                    ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

                    เงียบไร้เสียงพูดคุยอันใดทว่ากับได้ยินเสียงเคาะประตูครั้งที่สาม แล้ว...

                    ทำอะไรกันอยู่ ทำไมไม่ยอมลงมาทานข้าวสักทีล่ะลูก คุณพ่อกลับมาบ้านแล้วนะ เสียงหวนใสกังวานนี้คือเสียงของคุณแม่กุมภา หญิงสาววัยกลางคนที่ยังดูสวยและสาว ผมสีดำยาวสลวยตัดทรงฮิเมะคัทอย่างญี่ปุ่นนิยม ริมฝีปากสีแดงสดคลี่ยิ้ม เธอมักแต่งตัวสไตล์โกธิคโลลิต้าทว่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาในระดับหนึ่ง

                    คุณแม่!” ฉันเผลอพูดขึ้น ขณะที่เราสองพี่น้องเหลือบตาจ้องมองกันอย่างคิดหนัก

                    เอาไงดี จะเปิดประตูดูเสียตอนนี้เลยดีไหม

                    มีอะไรกันจ้ะ ทำไมท่าทางมีพิรุธ คุณแม่ส่งสายตาสงสัยมาให้ ฉันรู้ดีว่าบ้านเราไม่อาจปกปิดเรื่องแบบนี้กันได้เพราะเราทุกคนถ่ายทอดความสามารถมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว มีเพียงคุณพ่อคนเดียวเท่านั้นที่ไม่มี

                    คุณแม่ บ้านหลังนี้เคยมีใครอาศัยอยู่แล้วตายไหม? คำถามนี้เป็นของเมษา ฉันหันไปมองเขาอย่างตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะตั้งคำถามตรงตัวแบบนี้ คุณแม่กุมภาคลี่ยิ้มก่อนจะสาวเท้าเดินขึ้นบันไดมาหยุดยืนอยู่ตรงชั้นเดียวกับพวกเราแล้วส่ายหน้า              

                    ไม่มีหรอกจ้ะ ลูกเจอกับอะไรมางั้นเหรอ บอกแม่ได้นะ คุณแม่กุมภาเดินเข้ามาจับบ่าเราทั้งสอง ฉันเงยหน้าขึ้นก่อนจะมองไปขอความเห็นจากน้องชายอีกครั้ง

                    เสียงเคาะประตูเงียบลงไปแล้ว...

                    ผมเห็นผู้ชายสวมชุดโค้ทสีน้ำตาลเข้มเดินเข้าไปในห้องพี่ ตอนที่เรา...กำลังยืนคุยกันอยู่ตรงนี้ หลังประตูปิดเอง และพี่ได้ยินเสียงเคาะที่ไม่ใช่พวกเราในบ้านทำมัน เมษาเอ่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แก่คุณแม่ฟัง ฉันกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง เมื่อคุณแม่ไม่ตอบเพียงยิ้มและดันพวกเราให้เดินออกห่างประตู และเธอก็เปิดมัน...

                    แอ๊ด...บานประตูที่กำลังถูกผลักออกอย่างช้า ๆ พาให้หัวใจของฉันเต้นเสียงดังระทึก ด้านในที่เคยเปิดไฟกลับถูกดับไฟเสียสนิท ยิ่งพาให้มั่นใจว่าไม่ใช่สิ่งปกติที่คนทั่วไปได้เจอ

                    คุณเป็นใครงั้นหรือคะ พวกเราเป็นครอบครัวใหม่ที่ย้ายเข้ามา ดิฉันสืบประวัติแล้วบ้านนี้ไม่มีคนตายอยู่ ช่วยตอบคำถามจะได้ไหม ฉันไม่รู้ว่าแม่กำลังคุยกับใครในที่ที่มีแสงริบหรี่จนคราคล้ายว่าจะมืดมิด เพราะฉันมองไม่เห็นทว่าได้ยินเต็มสองหูรู

                    มาตามหาของ ไม่ได้จะมาทำร้าย...เสียงทุ้มแหบพร่าลากเสียงยานครางชวนให้ขนลุก ฉันเหลือบมองใบหน้าของเมษาที่ดูซีดเผือด เขาคงจะมองเห็นผู้ชายคนนั้น...

                    ค่ะ หวังว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน บ้านดิฉันมีสัมผัสที่หกคนละแบบ ส่วนดิฉันทั้งสามารถได้ยินเสียงและมองเห็น หากคุณหาของพบแล้ว รบกวนกลับไปที่ของคุณนะคะ คุณแม่เอ่ยบอกกับชายคนนั้นที่ฉันได้ยินเพียงเสียงอย่างชัด ๆ เขาไม่ตอบคำถาม แต่เมื่อหันไปมองเมษาพบว่าเขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ฉันทายว่าเขาคงกลับไปแล้ว

                    ลงไปทานข้าวกันเถอะจ้ะ และไม่ต้องเล่าอะไรให้คุณพ่อฟังนะ คุณแม่คนสวยผู้แสนใจดีหันมายิ้มให้กับเรา ฉันสงสัยทว่าก็ทำเพียงพยักหน้ารับ เราทั้งสามคนรู้กันว่ามันเป็นเรื่องไม่ปกติเลยสำหรับคนธรรมดาทั่วไป

                    ค่ะคุณแม่ ฉันรับคำ ขณะที่ยังทอดมองเข้าไปยังห้องนอนซึ่งว่างเปล่า ไร้ความผิดปกติ นึกเสียดายตัวเองเหมือนกันที่มองไม่เห็นแต่กลับได้ยินเพียงเท่านั้น

                    วิญญาณนั้นไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายหรอกพี่มีนา เพราะไม่อย่างงั้นพี่ก็คงจะได้กลิ่นเหม็นแล้วใช่ไหม เมษาพูดขึ้นขณะที่เราเดินลงบันไดไปด้วยกัน ฉันจ้องมองเขาอย่างกับเห็นทางสว่าง

                    นั่นสิ ฉันลืมนึกไปเสียสนิท คงเพราะเราไม่ได้เจอกับอะไรแบบนี้มานานพอสมควรแล้ว... ฉันพูดเสียงกระซิบเบา ๆ ที่ทำให้ได้ยินกันสองพี่น้อง เมษาหัวเราะ

                    ใช่เรื่องน่ายินดีสักหน่อย ถ้าไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย แบบนั้นจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ เด็กหนุ่มขี้เล่นที่ต่างจากเมื่อครู่เอ่ยขึ้น

                    นั่นสินะ...

            ฉันเพียงรับคำสั้น ๆ เป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้ ครอบครัวของเรา ต้นตระกูลเก่าคุณแม่ พิจวิหค สามารถรับรู้ถึงการมีตัวตนของสิ่งแปลกปลอมที่มนุษย์ไม่เห็น ภูตผี วิญญาณ ปีศาจ เรารับรู้ถึงตัวตนของมัน

                    แม่เปิดร้านทำนายดวงชะตาโดยรับดูวันละ 1 คน โดยความสามารถที่ทั้งมองเห็นและได้ยินนี้บวกกับการเรียนรู้วิชาชีพด้านโหราศาสตร์เพิ่มทำให้เธอยิ่งทรงพลัง และบางครั้งพวกเราก็ต้องตามแก้ปัญหาเกี่ยวพันกับวิญญาณบ้างเป็นบางทีที่จำเป็น

                    ส่วนฉัน มีนา วิจิตรา เรียกสั้น ๆ ว่า มีนา ได้รับการถ่ายทอดความสามารถในการได้ยินเสียง และเขาเด็กหนุ่มซึ่งสูงราว 170 เซนติเมตรที่เดินขนาบข้างกันไปชื่อ เมษา เขาได้รับการถ่ายทอดความสามารถในการมองเห็นสิ่งลี้ลับ

                    สวัสดีจ้า มากันแล้วเหรอ ดีเลยๆ จำน้องคณินได้ไหม ลูกชายป้าจันท์ที่เคยอยู่บ้านหลังแรกของเราไง ชายวัยกลางคนหน้าตาเรียบร้อยสวมแว่นตาทรงหนาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี ที่ด้านข้ามตรงฝั่งเก้าอี้นั่ง มีผู้ชายวัยรุ่นราวคราวเดียวกันกับฉันนั่งอมยิ้มรออยู่

                    ไงมีนา ไม่เจอกันนานเลยนะ เธอดูน่ารักขึ้นเยอะ เสียงทุ้มกังวานเอ่ยทัก เขาชื่อ คณิน อายุ 19 ปี รุ่นราวคราวเดียวกับฉัน เพื่อนบ้านสมัยเด็ก ๆ ที่มักเคยเล่นด้วยกันอยู่เสมอ บัดนี้เขาโตเป็นชายหนุ่มรูปงามใบหน้าคมสันแบบเข้ม ๆ และรูปร่างกำยำเหมือนนักกีฬา ฉันยิ้มรับเล็กน้อยให้เขา

                    สวัสดีคณินเกือบสามปีเชียวนะที่ไม่ได้เจอกับนาย สูงขึ้นเยอะแถมพกกล้ามมาอวดซะน่าอิจฉา ทุกคนในบ้านหัวเราะร่า เพราะคำพูดของฉันมันติดตลก คณินไม่ได้ถือสาเพราะรู้ว่าฉันเป็นคนยังไง

                    ฮ่ะๆ นั่นสิ เธอจะอิจฉาฉันไปทำไม ไม่ได้เป็นผู้ชายสักหน่อย บ๊องไม่เปลี่ยนเลยนะ คณินยิ้ม ขณะที่ฉันเพียงส่งยิ้มตอบกลับ เราแซวกันแรง ๆ แบบนี้เป็นปกติ

                    ว่าแต่ก็น่าแปลกดีนะ สามปีนี้...เราไม่เจอกันเลย จริงอยู่ที่บ้านเราไกลจากบ้านเดิมไปมาก และเราย้ายบ้านถี่ แต่ถึงกระนั้นก็อยู่ในจังหวัดเดียวกันคือจังหวัดสระบุรี เป็นไปได้เชียวเหรอที่จะไม่เจอกันตามห้างสรรพสินค้าบ้าง มันจงใจเกินไปแล้ว

                    โชคดีนะว่าพ่อเจอคณินที่ร้านซ่อมรถ วันนี้พ่อรถเสีย เอ้อ!คณินอยู่มหาลัยเดียวกับลูกแน่ะมีนา เขาขับรถไปเรียน ไว้ไปเรียนด้วยกันสิ จะได้มีเพื่อน ไม่อันตรายดีด้วย พ่อเอ่ยบอก ฉันทำหน้าตกใจเพิ่ม เราเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันด้วยงั้นเหรอ นั่นก็เท่ากับว่าเราอาจเดินสวนกันไปมาในมอเกือบปีแล้วสิ

                    จริงเหรอ ทำไมฉันถึงไม่เคยเจอนายเลยเนี่ย ตลกจริงๆ ฉันยกมือขึ้นเกาศีรษะ คณินเพียงยิ้มรับ หลังจากนั้นเราก็นั่งลงรับประทานอาหารและพูดคุยอะไรกันตามประสาคนเคยสนิทแต่ไม่พบหน้ากันมานาน

                    จนกระทั่งมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น...

                    มีนา....มีนา... ฉันได้ยินเสียงแม่เรียกฉัน ทว่าแม่กลับนั่งตรงหน้าฉันซึ่งกำลังพูดคุยอย่างออกรสกับคุณพ่อไม่ได้มองมา แถมก็เห็นอยู่เต็มตาว่าไม่ได้เรียกฉัน

                    มีนา...มีนา เสียงเรียกดังขึ้นก้องในหูอีกหน ฉันวางช้อนส้อมลงอย่างเบามือ พยายามเงียหูฟังและจ้องใบหน้าไปทางน้องชายซึ่งบางทีเขาอาจจะเห็นอะไรบ้าง

                    มีนา....

                    ครืด...ครืด.... ครั้งนี้มีเสียงคล้ายกับการลากบางอย่างดังขึ้นมาด้วย ทว่าไม่มีปฏิกิริยาจากเมษา แล้วเสียงนี่มาจากไหน?

             “เป็นอะไรไปมีนา... เสียงทักนี้คือของคณิน เขาคงสังเกตเห็นว่าฉันดูแปลก ๆ ฉันหันใบหน้าไปสบสายตาคมสีดำคู่สวย ก่อนเสียงเรียกชื่อฉันจะดังขึ้นอีกครั้ง

                    มีนา!”

          คราวนี้คล้ายกับจะตำหนิที่ไม่ขานตอบ ฉันหันใบหน้ามองไปทั่วทุกทิศทาง ทว่าไร้ความผิดปกติ...

                    อย่าตอบนะ... จู่ ๆคุณแม่ตัวจริงก็พูดขึ้นพลางชำเลืองสายตามามองทางเรา เรางั้นเหรอ...หมายความว่ายังไง

                    อย่าสนใจ อย่าขานกลับ และทุกอย่างจะจบด้วยดี แม่เพียงพูดเบา ๆ ขณะที่เปลี่ยนเรื่องสนทนาเพื่อไม่ให้พ่อต้องสงสัยโดยการตักอาหารและถามว่าฝีมือเธออร่อยไหม ฉันหน้าซีดเผือด ทว่าเสียงกระซิบเบา ๆ ของคนข้าง ๆ ก็ทำให้ฉันต้องตกใจเพิ่ม

                    เธอได้ยินเสียงแม่เรียกเธอใช่ไหม ฉันก็ได้ยินเหมือนกัน... คณินเอ่ยขึ้นให้เพียงได้ยินกันสองคน ฉันหันกลับมองใบหน้าหล่อคมของเพื่อนทันที

                    คณิน...

            “มันเริ่มขึ้นเมื่อตอนอายุสิบห้า ก่อนที่เราจะแยกจากกัน จำคืนวันที่ไปเล่นท้าความกล้าได้ไหม

                    ราวกับว่าเรื่องเล่าใหม่ที่มาจากเพื่อนเก่ากำลังทำฉันขวัญผวา

    ฉันนึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนย้ายบ้านหลังแรกที่จะจดจำไม่มีวันลืม...

    มันเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองที่สุดในความทรงจำของฉัน


    โปรดติดตามตอนต่อไป...


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×