ตอนที่ 40 : ภาค 2 ตอนที่ 12
12
แต่ผมจะกล้าหลอกตัวเองได้ลงเหรอ? ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตอนที่เขาทำร้ายผม ตอนที่พลังเขามันปะทุออกมา ตัวเขาเองก็ได้รับผลกระทบมาก อวัยวะภายในของเขาถูกบีบจนกระอักเลือดออกมาทางปาก ถ้าไม่ได้ยาของกัปปะ และมนตร์ของผมช่วย เขาคงจะแย่ ตอนนั้นผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ผมนึกว่าเขาใช้พลังมากเกินไปร่างกายจึงรับไม่ไหว ผมควรจะไหวตัวเร็วกว่านี้ อย่างผมเวลาใช้พลังมากๆก็แค่อ่อนแรง เหนื่อยง่าย และภายนอกดูโทรม มันไม่มีผลกับด้านในมากนัก ..แต่มันก็น่าคิด ไคริเองก็ดูเจ็บปวดเมื่อเขากลายร่างเต็มออกมา ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะควบคุมพลังได้อย่างดีเยี่ยม และแทบไม่มีผลอะไรกับร่างกายอีกเลย แต่เขาไม่ได้รับผลกระทบเหมือนที่นาโอยูกิเป็น
“เวลาเขาใช้พลังมากๆ อวัยวะภายในของเขาบาดเจ็บ” ผมพูดเสียงแผ่ว มองหน้าท่านผู้เฒ่าอย่างคาดหวัง หวังว่าเขาจะพูดอะไรให้ใจผมที่กำลังสั่นอยู่นี่เลิกกังวล ท่านผู้เฒ่านิ่งงัน ก่อนจะขมวดคิ้ว
“ดูท่าจะแย่แล้วล่ะ”
“แต่เขาเป็นชิมิซึ ท่านผู้เฒ่า ตระกูลเขากินปีศาจ ทำไมเขาถึงไม่เป็นแบบเดียวกัน แต่กลับมีพลังเทพล่ะ ทำไมล่ะ” ผมพูดออกไปอย่างไม่เข้าใจ มันจะง่ายกว่ามากถ้าเขาเป็นแบบไคริ ถึงแม้เขาจะอันตรายกับผม ถึงแม้ว่าเขาอาจจะกินผมได้ทุกเมื่อ แต่ผมไม่สนใจหรอก มันดีกว่าถ้าเขาจะไม่บาดเจ็บ
“เรียวเมย์ เชื้อสายของชิมิซึอ่อนลงทุกวัน เพราะพวกเขาแต่งงานมีลูกกับคนธรรมดา ลูกที่ออกมาจะเป็นลูกครึ่ง หรือไม่ก็คนธรรมดา เชื้อแท้นั้นหาได้ยากแล้ว ถ้าจะมี แสดงว่าทั้งพ่อและแม่เป็นปีศาจ แต่ตระกูลชิมิซึเป็นองเมียวจิ พวกเขาปราบปีศาจ ไม่มีทางสืบเชื้อสายด้วยการผสมพันธุ์กับปีศาจ เจ้าหนุ่มน้อยของนายน่าจะเป็นลูกของคนธรรมดา และเขาไม่ได้รับพลังของชิมิซึ กลับกันเขาได้รับพลังจากเทพ ซึ่งอาจมีเชื้อสายจากฝั่งที่ดูเหมือนคนธรรมดา เชื้อสายของเทพแตกต่างจากเรา เชื้อสายถูกส่งต่อทางพันธุกรรมอย่างเต็มรูปแบบ ไม่มีการลดลงของพลัง แต่เด็กเหล่านั้นจะใช้พลังของตัวเองได้ เมื่อมีจิตใจที่บริสุทธิ์มากพอ หรือเมื่อถูกกระตุ้นด้วยความโกรธ และด้านมืดที่รุนแรงมากพอจะดึงพลังออกมา ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาได้พลังจากพ่อหรือแม่ แต่ดูท่าว่าจะเอาเรื่องอยู่ เขาไม่เคยมีวี่แววของพลังนี้มาก่อนเลยเหรอ” ท่านผู้เฒ่าพยายามคิดถึงตำนานทั้งหลายในหัว
“ไม่ เขาเหมือนคนธรรมดาที่ไม่เก่งอะไรเลยด้วยซ้ำ”
“แปลก แปลกมากจริงๆ เขาน่าจะทำอะไรหลายๆอย่างได้ตั้งแต่เด็ก” ท่านผู้เฒ่าพึมพำ แล้วก็เงียบไป นั่นทำผมกังวลหนักกว่าเดิมอีก
“แต่เราคงหาคำตอบให้ทุกเรื่องในตอนนี้ไม่ได้หรอก ค่อยเป็นค่อยไปนะเรียวเมย์ มาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนก่อนไหม” ท่านผู้เฒ่ายอมแพ้ และชี้ชวนให้ผมเข้าไปพักในบ้าน แต่ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเข้าไปอยู่คนเดียว .. ในบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำของคนที่ไม่อยู่แล้ว
“ไม่ล่ะ ผมคงกลับเลย ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถ้าท่านผู้เฒ่ารู้อะไรเพิ่มเติม เรียกเด็กๆในกระดาษออกมา แล้วฝากข่าวมาบอกผมที่ศาลเจ้าอินารินะครับ” ผมหยิบชิคิงามิออกมา ส่งให้ท่านผู้เฒ่าเต็มกำมือ จิ้งจอกอย่างเราเรียนรู้การใช้มนตร์ตั้งแต่เด็ก ทุกคนใช้มนตร์ได้ไม่มากก็น้อย แต่มีเพียงจิ้งจอกที่แก่กล้าจนกลายเป็นจิ้งจอกเก้าหางเท่านั่น ที่ตามผมไปอยู่ที่ศาล อ้อ แล้วก็ยกเว้นไอไว้อีกคน
ผมแปลงร่างเต็มและกระโจนลงจากเขา ความคิดของผมตีกันยุ่งเหยิง และผมหลับไม่ลงทั้งคืน ได้แต่งีบบ้างเป็นบางครั้ง ผมใช้เวลาเกือบทั้งวันในการหาม้วนคัมภีร์เก่าๆ ด้วยความหวังที่ว่าอาจเจอบันทึกหรือตำนานเก่าๆที่กล่าวถึงคนที่คล้ายคลึงกับนาโอยูกิ มันต้องเคยมีมาก่อนสิ เขาคงไม่ใช่คนแรกที่เป็นแบบนี้ใช่ไหม นั่นจะยิ่งทำให้ทุกอย่างยากไปหมด ถ้าไม่เคยมีใครเป็นอย่างเขา
“นายท่าน เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเหรอ? พักทานข้าวก่อนดีกว่านะครับ ผมจะทำอะไรให้ทาน ผมไม่บอกคุณนาโอยูกิหรอก” ไอเข้ามายืนข้างๆผม แต่ผมส่ายหัวให้เขา
“ไม่หิว นายไปกินเถอะ” ผมปฏิเสธ
จากนั้นผมก็หาต่อจนเผลอผล็อยหลับไป รู้สึกตัวเมื่อมีคนมาสะกิด ผมสะดุ้งแล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่ในกองคัมภีร์เก่าๆ นาโอยูกิเอียงคอมองผมอยู่
“ไอฟ้องว่าคุณยังไม่ได้กินอะไรเลย เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า เป็นอะไรไหม” เขาขมวดคิ้ว ผมยิ้มออกมาได้ในทันทีเมื่อจับความห่วงใยจากน้ำเสียงของเขาได้ ผมส่ายหัวเชิงว่าไม่เป็นอะไร แล้วลุกออกมาจากกองคัมภีร์และหนังสือเก่าๆที่เต็มไปด้วยฝุ่น นาโอยูกิอยู่ในชุดเป็นทางการ คงเพิ่งกลับจากสอน
“พอดีดูอะไรเพลินๆแล้วเผลอหลับหน่ะ”
“แต่นี่มันทุ่มนึงแล้วนะ คุณไม่กินอะไรทั้งวันเลยได้ยังไงกัน ! มานี่เลย” เขาคว้าแขนผมแล้วดึงไปตามทาง จับผมนั่งลงตรงโต๊ะกินข้าว แล้วก็วิ่งหายไปทางครัว ผมยังไม่ทันได้ขยับตัว เขาก็กลับมาพร้อมถาดและกับข้าวเต็มไปหมด
“ยังไม่ต้องพูดอะไร กินซะ วันนี้อนุโลมให้ ขืนให้ไปยืนทำกับข้าวได้เป็นลมกันพอดี” นาโอยูกิบ่นอุบอิบ ผมไม่ได้สนใจข้าวตรงหน้าเลย ผมได้แต่มองหน้าเขา และเพิ่งตระหนักได้ว่ามันน่ากลัวแค่ไหนถ้าเขาจะไม่อยู่ตรงหน้า ไม่มานั่งบ่นผมเรื่องไม่ยอมกินข้าวอีกแล้ว ผมเอื้อมมือไปหาเขาอัตโนมัติ ผมกอดเขาเข้าหาตัว ลูกไก่น้อยดิ้นเบาๆ แต่แล้วก็เงียบไป ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่ต่อต้าน ผมไม่คิดจะถาม ผมแค่อยากกอดเขา อยากรับรู้ว่าเขาอยู่ตรงหน้า อยากดมกลิ่นของเขา สัมผัสความอุ่นจากร่างกายของเขา
“นาโอยูกิ” ผมพึมพำชื่อเขา ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่านี้ได้
“มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า” เขาเองก็พูดเสียงเบาอยู่กับอกผม มือน้อยๆเริ่มสอดมาที่หลังแล้วกอดผมตอบ ลูบหลังผมไปมาเหมือนจะปลอบ
“ช่วงนี้เจ็บตรงไหนรึเปล่า ไม่ป่วยใช่ไหม” ผมจับแก้มเขา เริ่มสำรวจว่าเขาดูทรุดโทรมลงบ้างไหม แต่เขาปกติดีทุกอย่าง ดูออกจะสดใสเสียด้วยซ้ำ ผมจ้องหน้าเขาที่งุนงงกับคำถามของผม แต่เขาก็พยักหน้าแล้วยิ้มมาให้
“ก็แข็งแรงดีนะ กินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวเป็นลมไปจะทำยังไง” เขาเริ่มดันตัวออกจากผม ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ครับๆ ทานล่ะนะครับ” ผมผละออกจากเขาแต่โดยดี นาโอยูกิย้ายไปนั่งฝั่งตรงข้าม และเริ่มกินข้าวไปพร้อมๆกับผม เราไม่ได้พูดอะไรกัน เพราะผมเอาแต่ครุ่นคิด เขาหน้าเด็กจัง อายุของเขาน่าจะเกือบๆสามสิบแล้ว แต่ยังเหมือนเด็กวัยรุ่นอยู่เลย ผมเริ่มไตร่ตรอง ปีศาจอย่างเราก็เช่นกัน โตช้า แก่ช้า จะเป็นไปได้ไหมว่าเขาเองก็โตช้าและแก่ช้าเช่นกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็ยังมีหวัง ว่าเขาจะยังอยู่ตรงนี้กับผมไปอีกนาน ผมจ้องเขานานจนลูกไก่เริ่มทำตาดุๆใส่
จะว่าไป เขาก็ดูบริสุทธิ์จริงๆ ขนาดโกรธผมแทบเป็นแทบตาย พอรู้ว่าผมไม่กินข้าวทั้งวันก็เป็นห่วง ก็ลากผมมากินข้าว และถึงเขาจะอายุเท่านี้แล้ว ก็ดูจะไม่ค่อยรู้เรื่องอย่างว่าเท่าไหร่ เขาทำไม่เป็นด้วยซ้ำถ้าผมไม่เคยทำให้เขาเห็นหน่ะ
“นาโอะจัง.. แม่ของนายเป็นคนปกติเหรอ” ผมเริ่มถามสิ่งที่ค้างคาเมื่อตั้งสติได้ ผมรู้ว่าฝั่งพ่อของเขาเป็นปีศาจ เพราะเขามีพ่อคนเดียวกันกับไคริ
“หืม ใช่ เป็นคนปกติ ใช้วิชาองเมียวจิได้ตามแบบองเมียวทั่วๆไป”
“อืม” ผมครางรับในลำคอ
หลังจากกินข้าวเสร็จ นาโอยูกิก็สอนผมทำกับข้าวตามเดิม ผมปัดเอาความกังวลทิ้งไป ผมยังไม่อยากให้เขารู้ เกิดเขาลองฝึกใช้พลังมากๆแล้วอายุขัยหดลงล่ะก็ มันต้องแย่แน่ๆ เพราะงั้นผมจะขอเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจก่อน ผมจะหาคำตอบที่แน่ชัด ก่อนที่จะบอกเขา .. อืม เอ๊ะ เหมือนผมลืมอะไรไปบางอย่าง ผมว่าผมรู้จักเทพอยู่นะ สัตว์เทพในตำนาน ..เจ้ามังกรเพื่อนของฮิโรโตะนั่นไง !
“งั้นผมขอตัวก่อน พรุ่งนี้อย่าลืมฝึกทำด้วยล่ะ” นาโอยูกิสอนผมเสร็จก็ล้างมือและเตรียมตัวกลับ
“ครับๆ” ผมตอบรับไปอย่างนั้นเอง
ผมรอจนลูกไก่น้อยกลับไป จนกระทั่งเกือบๆสามทุ่ม ผมได้ออกไปที่บ้านของฮิโรโตะ ผมไม่มาพร้อมกับนาโอยูกิเพราะเดี๋ยวเขาจะถามเอาว่าผมมาทำอะไร ผมรู้ดีว่านาโอยูกิเป็นคนที่นอนแต่หัวค่ำ เวลาประมาณนี้เขาก็เตรียมตัวเข้านอน ผมจึงพร้อมที่จะออกไปหาคำตอบ ผมย่องเข้าบ้านของฮิโรโตะ อันที่จริงมีมนตร์ป้องกันอยู่ แต่ด้วยคาถาขี้โกงเล็กๆน้อยๆ ผมก็แอบดอดเข้ามาได้ทุกที แม้ว่าเจ้ากาที่คอยสังเกตการณ์รอบบ้านจะจ้องผมอย่างน่าขนลุกก็ตาม
“อ๊า เรียวเมย์ซัง เข้ามาทำอะไรเหรอครับ” กัปปะน้อยประจำบ้านของฮิโรโตะโผล่ออกมาทันที เขาทำท่าจะซัดผมอยู่แล้วนะ ถ้าไม่เห็นหน้าผมชัดๆหน่ะ
“มาหาฮิโรโตะ ห้องเขาอยู่ไหน” ผมถามอย่างร้อนใจ
“เอ่อ อย่าเพิ่งเข้าไปเลยคือ ตอนนี้เขาอยู่กับไคริซังนะครับ” มิซากิมีสีหน้าขวยเขินขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ต้องเดาเลยว่าทำอะไรกันอยู่ แต่ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะรอ ผมต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้ในเร็วๆวันนี้ ผมเลยไม่ถามกัปปะน้อย แล้วเดินไปตามทาง ดมกลิ่นเอาเอง กลิ่นความอยากของพวกเขาไง ได้กลิ่นรุนแรงมาเลยทีเดียว กัปปะน้อยวิ่งตามมาหน้าตาตื่น พยายามเกลี้ยกล่อมผมให้หยุด
“โทษที ขอคุยด้วยหน่อย” ผมเปิดประตูพรวดเข้าไปยังห้องที่มีกลิ่นมากที่สุด แล้วก็ชัดเต็มๆสองตา ฮิโรโตะสบถแล้วรีบเอาผ้าคลุมตัวไคริที่นอนหอบอยู่ใต้ตัวเขาในสภาพเปลือยเปล่า คือมันชัดมากจนผมต้องหันหน้าไปอีกทางเพื่อไม่ให้น่าเกลียดเกินไป จะยืนจ้องก็กลัวฮิโรโตะมันพุ่งมาจิกลูกตาผมบอดเอา เล่นแทงกันอยู่จะๆเลย อีโรติคสุดๆ ท่าทางจะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เพราะกว่าจะผละออกมาอย่างยากลำบากก็กินเวลาไปถึงสองสามนาที เจ้ากาคว้าผ้าคลุมมาปิดตัวเองแล้วผลักผมออกมาจากห้อง ปิดประตูเสียเสียงดัง
“มาทำไมตอนนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องด่วน นายตายแน่” เขาขู่ฟ่อ
“มังกรนั่น เอ่อ ริวทาโร่ เพื่อนนายอยู่ที่ไหน”
“ริวทาโร่? มีธุระอะไรกับมัน” เจ้ากาขมวดคิ้ว ท่าทางอารมณ์เสียและพร้อมพุ่งเข้ามาบีบคอผมทุกเมื่อ ได้ยินเสียงกุกกักจากในห้อง ก่อนไคริจะโผล่ออกมาในเสื้อผ้าที่ใส่ไม่ค่อยเรียบร้อยนัก
“เรื่องนาโอยูกิ บอกที่อยู่มาได้แล้ว ฉันรีบ”
“พี่ชายผมทำไม” ไคริแทรกขึ้นทันที ผมเริ่มหงุดหงิดบ้างแล้ว นี่ผมแทบไม่ได้หลับได้นอนจนถึงตอนนี้เลยนะ ถ้าไม่น็อคหลับไปตอนหาพวกหนังสือนั่น ผมก็ยังไม่ได้นอนเต็มๆตาเลย และผมกังวลกับเรื่องนี้มากจนรอให้ถึงตอนเช้าไม่ไหว ผมรีบอธิบายคร่าวๆถึงเรื่องที่ผมรู้เกี่ยวกับพลังของลูกไก่น้อยให้ทั้งสองคนฟัง
“ก็เลยคิดว่าริวทาโร่จะรู้สินะ” ฮิโรโตะสรุป
“เขาเป็นสัตว์เทพ! ต้องรู้อะไรบ้างแหละน่า รีบๆพาไปสักทีจะได้ไหม” ผมเริ่มเร่ง เจ้ากากับไคริมองหน้ากัน
“งั้นผมไปด้วย”
“ไคริไปผมก็ไป ไปกันทั้งหมดนี่แหละ” ฮิโรโตะพูดเองเออเอง แล้วก็คว้าตัวไคริแนบอกไว้ ก่อนจะคว้าแขนผมข้างนึงแล้วกางปีกบินขึ้นฟ้าโดยไม่มีการรีรอ เพราะผมบินไม่ได้ ผมเลยได้แต่โดนเขาลากขึ้นไปสูงเสียดฟ้า เขาบินด้วยความเร็วที่ค่อนข้างสูง ผมล่ะเสียวร่วง เพราะเขาจับแค่แขนผมแล้วลากเอา ส่วนไครินั้นเขากอดเอาไว้ทั้งตัว แหงล่ะ สถานภาพมันต่างกันนี่ เราทะลุผ่านกลุ่มเมฆมากจนตาลาย แถมยังหนาวอีกด้วย เดินทางไปได้สักพักก็เจอบ้านขนาดใหญ่บนกลุ่มเมฆ มันใหญ่มากจริงๆ ฮิโรโตะปล่อยมือผม ผมร่วงลงบนเมฆ ทั้งๆที่ตกใจและคิดว่าร่วงแน่ๆ แต่กลับยืนบนเมฆได้สบายๆ ผมยืนตะลึงอยู่เป็นนาน ไม่คิดว่ามีที่แบบนี้อยู่จริงๆ อะไรกันหน่ะ สวรรค์?
“ริวทาโร่ นอนอยู่เปล่า !!” ฮิโรโตะเดินดุ่มๆเข้าไปใกล้บ้านนั้นทันที มีสาวสวยเดินออกมาต้อนรับ บอกให้เราไปรอที่ห้องรับแขกข้างใน คงจะจำเจ้ากาได้
“อะไร เวลานี้กูยังไม่นอนหรอก แอ้มสาวอยู่ .. หือ? เรียวเมย์?” ริวทาโร่เดินยิ้มแฉ่งลงมาพร้อมกับหัวแดงๆของเขา ดูแปลกใจที่เห็นผมนั่งรออยู่ พอริวทาโร่นั่งลง พวกเราก็เริ่มพูดถึงนาโอยูกิทันที
“มีคนรู้จักที่เป็นแบบนี้บ้างไหม” ผมถามออกไป เมื่อเห็นริวทาโร่นิ่งสนิท
“ไม่.. ไม่มีนะ ปกติถ้าเป็นเทพก็มีพลังตั้งแต่เกิด แต่อาจจะค่อยๆหายไปเมื่อจิตใจถูกปนเปื้อน แต่นี่ค่อยๆมีพลังโผล่ออกมา มันแปลกมาก แต่อาจจะเป็นเพราะเขาก็มีเชื้อของชิมิซึนะ เหมือนอย่างไคริ”
“อะไรนะ?” ผมร้องออกมา ทุกคนทำตาโตแล้วจ้องริวทาโร่
“มันเป็นพลังสองด้านที่ต่างกัน มันลบล้างกันเองและทำให้เขาดู.. ธรรมดา นี่แค่คาดเดาหรอกนะ พาเขามาที่นี่สิ แล้วจะดูให้”
“แน่ใจนะว่านายจะดูอย่างเดียว” ผมหรี่ตามอง ผีเห็นผีครับบอกเลย เจ้านี่ท่าทางกระล่อนน่าดู และอยู่ได้นานกว่าผมเยอะเลยด้วย มังกรนะครับอยู่ยืนยาวค้ำฟ้าเลย ริวทาโร่หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยักไหล่ ทำท่าเสียดายที่ผมรู้ทัน
“นั่นพี่ชายผม อย่าทำเจ้าชู้กับเขาล่ะ” ไคริรีบพูดขึ้น
“อะไรๆ ผมไม่ทำเจ้าชู้กับนาโอะจังหรอก ถ้าจะทำทำไปนานแล้ว ก็เขาสอนที่โรงเรียนพวกเรานี่ แต่เวลาแกล้งให้เขาตกใจก็สนุกดี เขาน่ารักดี อืม เอาจริงๆ ผมเองยังไม่เคยเห็นว่าเขาดูมีพลังอะไรเลยนะเมื่อสองสามปีก่อน เขาดูธรรมดามาก มันต้องมีจุดเปลี่ยน เขาใช้พลังได้ครั้งแรกตอนไหน ตอนที่เขาส่งวิญญาณได้หน่ะ ใช่ตอนที่ไปช่วยไคริคราวนั้นไหม” ริวทาโร่กลับเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง ไคริรีบพยักหน้า ใช่ เขาไม่เคยลองใช้มนตร์ส่งวิญญาณดูเลย ถ้าองเมียวปกติใช้ ก็แค่สลายดวงวิญญาณหายไปเท่านั้น ครั้งแรกที่เขาใช้มนตร์ผมไม่ได้อยู่ด้วย ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำได้ แต่พวกที่เหลือนี่อยู่ในเหตุการณ์
“งั้นนั่นอาจเป็นเพราะความรู้สึกต้องปกป้อง พลังเทพของเขาเกิดเพราะความรักอย่างที่ผู้เฒ่าจิ้งจอกของนายบอกนั่นแหละ เพราะเขารักไคริจัง ก็เลยดึงพลังออกมาเพื่อปกป้องน้องชาย เขาไม่เคยรู้ว่าเขาทำมันได้ จนถึงเวลาคับขันจริงๆ”
“พี่..” ไคริพูดเสียงแผ่ว คงกำลังนึกถึงพี่ชายตัวเองอยู่
“นายคิดว่าเขาจะอยู่ไปได้อีกนานไหม พลังทำร้ายเขารึเปล่า” ผมถามต่อ ผมไม่สนใจเรื่องอื่นนอกจากชีวิตของเขา ให้ตาย ผมยอมทำอะไรก็ได้เผื่อให้เขาอยู่กับผมไปนานๆ ..อะไรก็ได้
“จากที่นายเล่า พลังทำร้ายเขาแน่นอน แต่มันไม่มากมายนักหรอก ไม่ว่าปีศาจหรือเทพ ใช้พลังที่ไม่คุ้นเคยมากเกินไปก็ทรุดทั้งนั้น แต่ถ้าอวัยวะภายในเป็นอย่างที่นายพูดก็อันตรายมาก ขอเดาว่าเป็นเพราะว่าเขาโกรธ โกรธมากจนดึงเอาพลังทั้งหมดมาใช้ ถ้าเขาใช้ในแบบปกติ ไม่น่าจะส่งผลกระทบร้ายแรงอะไรนะ”
“ก็หวังว่าอย่างนั้น.. เดี๋ยวก่อน เทพเจ้าของพลังนั่นมีอยู่จริงไหม นายเคยเจอเขาไหม” ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ ทำไมไม่ไปถามกับเจ้าตัวตรงๆเสียเลยล่ะ
“เรียวเมย์.. เทพหน่ะมีอยู่จริงแน่นอน พ่อกับแม่ของฉันก็เป็นเทพถ้านายอยากจะรู้นัก แต่ไม่ขอพูดถึงพวกเขาแล้วกัน แต่เทพที่นายพูดถึงหน่ะอยู่ในนรก นายลงไปไม่ได้ ใครก็ลงไปไม่ได้ .. ถ้าไม่ตายเสียก่อน แล้วเธอก็ไม่ใช่เทพที๋อ่อนหวานใจดีอะไรเสียด้วย ยิ่งพวกนายเป็นปีศาจมันยิ่งแล้วใหญ่ ไม่มีเทพที่ไหนญาติดีกับปีศาจ มีแต่ตายกับตายถ้านายคิดจะไปหา อืม แต่อันที่จริงก็ไม่เคยเห็นตัวจริงหรอกนะ ผมไม่ได้คลุกคลีกับเทพมากนัก พวกเขาเข้าใจยากและมีพลังที่ร้ายกาจ ถ้าพวกเขาไม่พอใจจะโดนหางเลขเมื่อไหร่ก็ได้ ผมว่านั่นไม่คุ้มเสี่ยงนะ”
“แล้วจะให้ทำยังไง!! มันมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ แต่ไม่มีใครให้คำตอบได้ นายก็แค่คาดเดาไม่ใช่เหรอ เกิดเขากำลังนับถอยหลังล่ะ เกิดวันนี้พรุ่งนี้เขาตายไปจะทำยังไง !” ผมพูดขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหว
“นายกำลังกลัวอะไรเหรอ นายกำลังกลัวจะสูญเสียเขา? ตลกสิ้นดี”
“มีอะไรที่มันตลก?” ผมคว้าคอริวทาโร่เอาไว้ด้วยความหงุดหงิด เขาไม่มีท่าทีกลัวอะไร แต่จ้องลึกเข้ามาในตาของผม ไม่มีวี่แววล้อเล่นอยู่เลย
“ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ไม่ว่ายังไงนายก็เสียเขา ไม่ว่ายังไงเขาก็จากนายไป อยู่ที่ว่าจากเป็นหรือจากตายก็แค่นั้น นายรู้อยู่แก่ใจ ต่อให้เราอายุยืนเป็นพันปี แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ เราจะตายวันตายพรุ่งไม่มีใครรู้ นายจะกลัวอะไร ?”
“นายไม่มีคนรัก นายก็พูดได้” ผมสะบัดมือออกจากคอเขา
“ไม่คิดว่านายจะรักพี่ขนาดนี้” ไคริหันมาหาผมด้วยสีหน้าประหลาด ผมเงียบ เครียดจนไม่อยากตอบโต้อะไรอีก จะให้ผมทำยังไง ทำใจ? ยอมรับว่าเขาอาจจะอยู่กับผมไม่นานนักก็ได้อย่างนั้นเหรอ หรือควรจะมองโลกในแง่ดีว่าเขาคงอยู่ไปอีกนานอาจจะหลายร้อยปี แต่พอเขาจากไปจริงๆ ผมจะได้เสียใจแทบบ้าอย่างพี่ผมใช่ไหม ผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำยังไงกับความรู้สึกหวาดกลัวที่มันพุ่งขึ้นมาไม่หยุดนี่ เหมือนจู่ๆผมก็เกิดจินตนาการเรื่องเลวร้ายหลายๆอย่างไม่จบสิ้น
“เรียวเมย์ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด นายใช้เวลาที่นายมีให้มันคุ้มค่าก็พอแล้ว นายจะได้ไม่รู้สึกเสียดายทุกวินาทีที่ผ่านไป ชีวิตมันก็แค่นี้ แค่นายใช้เวลาที่มีทำให้เขามีความสุขมันก็พอแล้ว แล้วรู้อะไรไหม ต่อให้นายอายุยืนมากแค่ไหน นายก็อยู่ไม่ถึงพันปีหรอก นายไม่มีทางรู้ว่าฉันเจออะไรมาบ้าง ความเจ็บปวดพวกนั้นทำไมฉันจะไม่รู้จัก เจ็บเจียนตายทำไมจะไม่เคยสัมผัส นายนึกออกไหมว่าการต้องอยู่คนเดียวเป็นพันปีแล้วพยายามจะไม่รักใคร มันน่ากลัวแค่ไหน นายไม่รู้อะไรก็อย่าพาลเลย” ริวทาโร่พูดนิ่งๆ เขาไม่ได้โกรธผมเสียด้วยซ้ำ แต่ราวกับกำลังสั่งสอน สั่งสอนผมด้วยหน้าของเด็กมัธยมวัยละอ่อนแอ๊บแบ๊วเนี่ยแหละ
“ขอโทษที” ผมยอมพูดออกไปเมื่อตระหนักได้ว่าเขาคงเจ็บมาเยอะกว่าผมหลายเท่านัก ริวทาโร่ยิ้มบางไม่ถือสาอะไร
“นายแค่ยังไม่เคยเจอ นายเลยหวาดกลัว ทำใจให้สบาย เป็นอย่างที่เป็น ทำอย่างที่นายอยากทำ แล้วเขาจะเป็นยังต่อ อันนี้ก็ต้องปล่อยมันให้เป็นไปตามธรรมชาติ” ริวทาโร่ตบบ่าผมไปมา ผมได้แต่พยักหน้า ไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านี้
“กลับไปสงบสติเถอะ นายคิดมากเกินไปแล้ว” แม้แต่เจ้ากาเองยังเข้ามาตบบ่าผม ผมไม่ตอบโต้อะไร
ฮิโรโตะพาผมกลับลงมาที่พื้นดินด้านล่าง สมองผมมันวุ่นวายไปหมด ผมไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมถึงได้คิดมาก คิดบ้าคิดบออะไรไม่หยุด ผมกลับไปที่ศาลเจ้า กว่าจะข่มตาหลับได้ก็ต้องขอยามาจากไอถึงสองเม็ด ช่วงเวลาที่หลับนั้นช่วยผมไว้ได้มาก ราวกับปิดความคิดที่ฟุ้งซ่านของผมออกไปจนหมด ไม่รู้ผมหลับไปนานไหม แต่ตื่นมารู้สึกปวดเนื้อปวดตัว แล้วก็รู้สึกร้อนๆพิกล
“ไง ตื่นแล้วเหรอ” เสียงใสๆดังอยู่ตรงหน้า ผมหรี่ตามอง รู้สึกเหนื่อยๆ
“นายท่านหลับไปเป็นวันเลยครับ ข้าวปลาไม่ได้กินสองวันติด ได้กินมื้อเดียวที่คุณนาโอยูกิมาหา ผมนึกว่านายท่านจะแย่ซะแล้ว” ได้ยินเสียงไออธิบายมาแว่วๆ แต่ผมหูอื้อ ไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย หัวมันหนักจนยกไม่ขึ้นด้วย
“คุณตัวร้อนจี๋เลย ปีศาจเจ้าเล่ห์อย่างนี้ก็ป่วยเป็นด้วยเหรอ หึหึ ก็งี้แหละ ยังไงคุณก็ต้องกินต้องพัก นั่งก่อน ไอทำข้าวต้มมาให้แล้ว” มือนิ่มๆประคองตัวผมขึ้นพิงหมอน ผมมึนตื้อไปหมด นี่ผมป่วยเหรอ ? ผมเป็นไข้ ? บ้าน่า ตั้งแต่เกิดมาเคยเป็นแค่ตอนเด็กๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นมานานแล้วด้วย ผมมองนาโอยูกิที่เอาแก้วน้ำมาให้ผมดื่ม จากนั้นก็เริ่มตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าๆแล้วป้อนผม สายตาผมค่อยๆปรับโฟกัส เห็นเขาชัดมากขึ้นแล้ว แต่เวียนหัวจนพูดอะไรไม่ออกเลย
“อ้าปากสิ” เขาดุ ผมค่อยๆอ้าปากรับข้าวต้มนั้นเข้าไป
เขายิ้มอย่างโล่งใจ รอยยิ้มที่แสนสว่างไสว ใบหน้าที่ห่วงใย และกลิ่นหอมเย็นที่สูดดมแล้วทำให้รู้สึกดี ทุกอย่างมาจากตัวเขา ราวเขาเป็นเทวดาที่มีตัวตนอยู่จริง ไม่มีที่ติเลย ผมตกหลุมรักเขาจนไม่รู้จะไปไหนรอดแล้ว ยิ่งเขาอ่อนโยนต่อผมขนาดนี้ทั้งๆที่ยังมีเรื่องบาดหมางในใจอยู่ลึกๆ แต่เขาก็ยังอยู่ตรงนี้
เขารักผมขนาดไหนกันนะ
.
.
ที่ผมรักเขา มันเทียบได้สักครึ่งที่เขามีให้ผมรึเปล่า ?
------------------------------------------------------------------------------------------
つづく
เรียวเมย์ไอ้จิ้งจอกขี้นอย กังวลจนชาวบ้านชาวช่องกลัวตามกันไปหมด
คงเหมือนกรรมตามสนองไปหลอกใครเขาไว้เยอะ พอมาตกหลุมรักเองก็กลัวจะเสียเขาไป
ส่วนนาโอะจัง พ่อเทวดาน้อย ความสามารถที่เราซุ่มไว้ จากสกิลเทพแล้ว เป็นคนที่เก่งที่สุดในเรื่องก็ว่าได้
แต่ดูเหมือนอ่อนมาตลอดเลย หึหึหึ
ตอบความเห็นเล็กน้อยยย
lock_kim , Tanee Lov >> นาโอะจังมีความเมพที่ไม่เคยรู้ตัวเลย 555 เท่นะคะจะบอกให้
โหล่วโล้ >> อืม.. คงยากหน่อย เพราะนาโอะจังไม่ใช่ปีศาจ ไปแนวเดียวกับมังกรเลยค่ะ (อู้วว)
=_=!!!KwAnZ@ >> พลังของนาโอะจังค่อยๆเผยออกมาแล้ว
อีกาสีขาว >> นอกจากเป็นคนใช้แล้ว ยังทำจิ้งจอกเป็นบ้าด้วย 555 ซึมเศร้า เครียด วิ่งวุ่นอยู่คนเดียวเลย
Yokai >> พักหื่นมาหวานบ้าง 55 มันไม่ง่ายเท่าไคริจัง เพราะไม่มีใครเอะใจมาก่อนเลย ว่านาโอะจังไม่ใช่คนปกติ
ตอนนี้เรียวเมย์กลัวสุดอะไรสุด นึกภาพตามคงเป็นหมาใหญ่หงอยนะคะ ฮา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ช่วงนี้พี่ยักษ์กับน้องแมวนี่หายเข้ากลีบเมฆไปเลย 5555556
ใช้เวลาด้วยกะนให้เต็มที่สิ จะได้ไม่เสียใจ