ตอนที่ 3 : ภาค 1 ตอนที่ 2
2
ผมได้เริ่มสอนจริงจังไม่กี่วันต่อมา ได้สอนชั้นมัธยมปลายปี 3 เทียบได้กับม.6 ผมตื่นเต้นหน่อยๆเพราะเพิ่งเคยสอนเป็นครั้งแรก แต่คาบเช้าก็ผ่านไปได้ด้วยดี เด็กเรียนกันบ้าง ไม่เรียนบ้างตามปกติ แต่ก็ไม่มีอะไรให้หนักใจครับ มาหลังกินข้าวนี่สิ พอผมบอกนาโอยูกิว่าจะไปสอนห้อง E เขาก็ถอนหายใจ
“ระวังตัวนะ” เขาพูดแค่นั้น
พอผมเดินไปถึงห้องแล้วส่องดูด้านใน ก็เห็นเจ้าหัวดำนั่งอยู่ท้ายๆ มองออกไปที่ท้องฟ้าด้านนอก ให้ระวังตัวจากเจ้านั่นหรือเปล่า? ผมค่อยๆเปิดประตูเข้าไป มีวัตถุเล็กๆร่วงลงมาโดนหัวผมทันที ควันสีขาวลอยคละคลุ้งจนผมไอแค่ก ต้องเอามือปัดแปรงลบกระดานออกจากหัว แกล้งแบบคลาสสิคเลยนะ เอาแปรงขัดไว้บนประตูเนี่ย ผมขมวดคิ้วแล้วค่อยๆเดินไปที่โต๊ะหน้าห้อง แต่เหยียบเข้ากับอะไรลื่นๆแล้วก็ ..ไถลไปเลยครับ หัวแทบฟาดกับโต๊ะ แต่รู้สึกได้ถึงลมอุ่นๆที่พยุงผมไว้ ผมเลยจับโต๊ะทัน หัวไม่กระแทกกับขอบโต๊ะที่ดูแล้วน่าจะได้เลือดอยู่ ผมระคายเคืองตา คงเพราะผงจากชอล์กเข้า ที่สำคัญผมใส่คอนแทคเลนส์ด้วยสิ
“อา สวัสดี” ผมยังมีแก่ใจทักทาย พอยืนตรงหน้ากระดานได้ปุ๊บ ก้อนกระดาษพุ่งตรงมาหาผมและกระแทกเข้ากับกระดานดำเสียงดัง พวกเด็กนักเรียนยิ้มกริ่ม ผมจ้องไปที่เจ้าเด็กอีกาเป็นคนแรก แต่เขาขมวดคิ้ว มือยังอยู่ในกระเป๋ากางเกง สายตาเขาเหล่ไปที่มุมห้อง
“ตัวซีดขาว แถมผอมบางขนาดนี้ เตะทีเดียวก็หักแล้วมั้ง ? ผู้ชายจริงๆหรือเปล่าเนี่ย” เด็กผู้ชายน่าตาน่ารักแต่นิสัยไม่น่ารักเอาซะเลยตะโกนมาจากหลังสุดของห้อง ผมของเขาสีแดงจัด ดูก็รู้ว่าผิดระเบียบเห็นๆ เด็กเกเรสินะ
“มีตรงไหนที่ไม่เหมือนผู้ชายเหรอครับ ผมมีทุกอย่างเหมือนคุณ กรุณาอย่าตั้งคำถามไร้สาระ เรามาเริ่มเรียนกันเลยดีกว่า” ผมตอบกลับไปเรียบๆ
“วิ้วว ต่อปากต่อคำเว้ย จัดการเลย !!” เสียงเด็กในห้องดังอื้ออึงกันไปหมด เด็กผมแดงคนนั้นแสยะยิ้มแล้วเดินจากโต๊ะตัวเองมาหาผม อะไรหน่ะ ? เขาเดินแวบเดียวก็เข้ามาประชิดตัว พอมาใกล้ๆแล้วตัวเปี๊ยกกว่าผมอีก เอาความกร่างมาจากไหน ไม่ได้เข้ากับหน้าตาเลย เขายื่นมือมาจับคอเสื้อผมกระชากแรงๆทีเดียวกระดุมหลุดไปทั้งแผงผมไม่ทันได้คิดเลยว่าเขาจะทำแบบนี้ เลยไม่ทันได้ระวังตัว ปากเล็กยกยิ้มอย่างพึงพอใจกับผลงานตัวเอง แต่แล้วเขาก็ขมวดคิ้ว
“โหย วันๆเคยโดนแดดบ้างไหมเนี่ย” เด็กผมแดงทำหน้าประหลาดแค่แวบเดียวก็หันมายิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนเดิม เอามือมาลูบๆตรงหน้าอกผม ผมรีบถอยหนี รู้สึกราวกับโดนคุกคามแบบแปลกๆ
“ริวทาโร่ !! พอได้แล้ว” เจ้าเด็กกานั่นส่งเสียงมา อ้าว ไม่ได้มาแต่เสียงครับ เดินมาดึงเพื่อนออกจากตัวผม
“คือพวกนายไม่อยากให้ผมมาสอน ? หรือจริงๆก็แค่ไม่อยากเรียนหนังสือ แกล้งทุกคนที่เข้ามาสอนเลยไหมเนี่ย” ผมถามออกไปโต้งๆ ก็ผมสงสัยจริงๆนี่นา ไอ้เรื่องโดนแกล้งหน่ะจิ๊บจ๋อย ผมโดนมาตลอดตั้งแต่สมัยประถม มัธยม มหาวิทยาลัย เรียกว่าโดนจนชิน และผมไม่เคยได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอะไร
ทุกคนเงียบสนิท มองผมเหมือนจะอึ้งๆ ก่อนจะระเบิดหัวเราะกันออกมาลั่นห้อง ผมยืนงง ตาเรียวสีดำใหญ่ยักษ์นั่นหันมาจ้องผมอย่างประหลาดใจ ผมยังหวาดๆกับตาเขาอยู่ มีตาขาวไหมนั่น ?
“ฮ่าๆๆ ตั้งแต่แกล้งมายังไม่เคยเจอใครถามแบบนี้เลย แถมยังไม่รีบเก็บเสื้ออีกต่างหาก จะว่าไปผิวอย่างนี้ซีดไปหน่อยนะ ไปตากแดดวันสองวันนะ รับรองเซ็กซี่”ริวทาโร่มองผมหัวจรดเท้าแล้วทำตาล้อเลียน ในสายตาผมเขาไม่น่ากลัวเลยสักนิด เพราะหน้าน่ารักๆและตัวเล็กๆของเขานั่นแหละ ผิดกับอีกาที่ยืนมองผมด้วยสายตาไม่พอใจ รู้สึกได้ถึงไอประหลาดแผ่ออกมาจากตัว ก่อนที่เขาจะเดินมาดึงเสื้อปิดให้ผมซะเอง แล้วก็ลากข้อมือผมออกมาจากห้อง
“เฮ้ย ฮิโรโตะ พาไปไหนหน่ะ ยังไม่หมดคาบเลย” เสียงร้องเรียกของเด็กๆยังดังลอดออกมา แต่ประตูปิดลงอย่างแรงโดยที่ตัวเขายังไม่ได้สัมผัสโดนประตูเลย ผมเหวอไปนิดๆที่เห็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดต่อหน้าต่อตา
“นั่นไง นายไม่ใช่คนจริงๆด้วย ! ประตูไงล่ะ !” ผมพูดอย่างตื่นเต้น ความกลัวหายไปนานแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าเขาไม่ทำร้ายผม ก็ไม่ได้มั่นใจนักหรอก แต่ตอนนี้เลือดนักวิทยาศาสตร์มันกำลังร้อนระอุ อยากรู้ใจแทบขาด เจ้าเด็กหัวดำยังลากผมด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลไปตามทางเดิน จบที่ห้องพยาบาล
“เอ่อ” ผมโดนผลักเข้าไปในห้อง ครูสาวห้องพยาบาลดูตกใจ คงเพราะหัวที่ขาวโพลนของผม ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร เจ้าเด็กข้างตัวผมก็ยื่นมือไปแตะหัวเธอ แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นเธอก็ล้มลงไป เขาฆ่าเธอ !!
“ไคริจัง .. อย่าทำหน้าช็อกขนาดนั้น เธอแค่สลบ มานี่” เขาล็อคประตู ลากผมไปนั่งที่เก้าอี้ ทิ้งครูสาวนอนหลับอุตุอยู่ที่พื้นอย่างไร้เยื่อใย
“ทำไรอ่ะ” ผมผวา เมื่อเขาเอามือมาลูบหัวผม ฝุ่นผงลอยอยู่เหนือหัวผม แล้วปลิวไปลงถังขยะที่มุมห้องอย่างแม่นยำ ผมจดจ้องถังขยะนั้นนิ่ง พยายามคิดหาเหตุผลที่เขาทำให้มันออกมาจากหัวผมได้ เขาจับแก้มผมแหงนขึ้นมองเข้ามาในตา ผมได้เห็นตาเขาชัดๆเป็นครั้งแรก …เขาไม่มีตาขาว !! ไม่ใช่ดำทั้งตา แต่รอบนอกของตาดำเป็นสีน้ำตาลอ่อน พอสะท้อนกับแสงอาทิตย์จะอ่อนลงมากๆ แต่พออยู่ในที่มืดอย่างนี้แล้ว มันเป็นสีน้ำตาลเข้ม มหัศจรรย์มาก ไม่ใช่คอนแทคเลนส์ด้วย ผมกำลังจ้องตาเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เขาก็ยื่นมือมาที่ตาผม รู้สึกแปลกๆที่ตา แล้วคอนแทคเลนส์ผมก็หลุดออกมา ลอยคว้างอยู่บนมือเขา
“หายเจ็บตารึยัง”
“เอ๊ะ” ผมอุทาน เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผงชอล์กเข้าตา แต่ผมลืมความเจ็บไปแล้ว ตั้งแต่เห็นประตูปิดเอง เขาถอนหายใจแล้วดึงสร้อยคอของผมเบาๆ
“ไปเอานี่มาจากไหน ?”
“นี่เหรอ แม่ให้มา บอกว่าใส่แล้วจะโชคดี จะว่าไป ริวทาโร่คุงก็มองเจ้านี่เหมือนกันเมื่อกี้” ผมก้มมองจี้เล็กๆ เหมือนสร้อยพระทั่วๆไป เป็นสัญลักษณ์หยินหยาง ไม่มีอะไรแปลก ผมเห็นคนไทยก็ใส่กันเยอะแยะไป คนตรงหน้าผมเงียบ มองหน้าผมเหมือนชั่งใจ ผมมองเขาไม่ค่อยชัด สายตาผมสั้นมาก
“ไคริจังอยู่ที่ญี่ปุ่นมาตั้งแต่เกิดรึเปล่า”
“อยู่ไทยนะ แต่แม่พูดญี่ปุ่นด้วยตลอด เพิ่งมาที่นี่ไม่ถึงเดือนเลย” ผมตอบ แล้วก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมถึงได้บอกเจ้าเด็กนี่ทุกอย่างเลยนะ
“ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่ใช่ไหม”
“ต้องรู้อะไรล่ะ เรื่องของนายเหรอ อีกไม่นานหรอก จะหาข้อมูลมาอย่างดีเลย นายยอมรับตรงๆได้แล้ว ทำขนาดนี้ นายไม่ใช่คนธรรมดาแล้วล่ะ บอกหน่อยสิว่าเมื่อกี้ทำได้ไง” ผมจับบ่าเขาเขย่าเบาๆ นี่จะเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ คนจะพากันตื่นตะลึง ! ผมตื่นเต้นจนไม่คิดกลัวเขาอีกต่อไป ยังไงก็ต้องรู้ให้ได้ !
“ฮึ่ย อยู่นิ่งๆสิ๊” เขาพ่นลมออกจากจมูก ท่าทางหงุดหงิด จากนั้นก็กระชากสร้อยคอผมแรงๆ แต่มันไม่ขาด เขาสะบัดมือออกจากมันเหมือนถูกช็อต
อาฮ้า ! หรือว่าเจ้าสร้อยที่แม่ให้มานี่มันจะมีพลังจริงๆ พวกเขาทำอะไรผมไม่ได้เพราะสร้อยนี่ใช่ไหม ผมยิ้มกริ่มเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นต่อ และปลอดภัยแน่ๆแล้ว ผมก้าวเข้าหาเขาแล้วกระชากเสื้อเขาออกบ้าง ผมใช้แรงเยอะพอดูกว่ามันจะขาด ไม่เหมือนเด็กหัวแดงนั่นเลย แค่กระตุกทีเดียวหลุดหมด แถมผมยังต้องรูดเอาเนคไทที่คอเขาออก เอาล่ะ ต้องหาปีกให้เจอ ! เขาซ่อนมันไว้ใช่ไหม
“เฮ้ๆ ทำอะไรเนี่ย” ถึงเขาจะส่งเสียงมา แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร ปล่อยให้ผมดึงเสื้อออกจากตัวง่ายดาย หลังเขาเนียนสนิท ไม่มีร่องรอยสิ่งแปลกปลอมที่จะงอกออกมาได้ ผมลูบจากหัวไหล่ลงมาจากแนวกระดูก ทุกอย่างปกติ
“ไคริจัง ถ้าจะลวนลามกันขนาดนี้ ปล้ำเลยไหม” เขาหันมาหาผมแล้วแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าท่าทีที่ทำลงไปมันล่อแหลมขนาดไหน
“เฮ้ย คิดอะไรเนี่ย แค่จะหาปีกของนายเท่านั้นแหละ !!”
“เอะอะก็นายๆๆ มีชื่อนะ โทริโกะฮิโรโตะ จะเรียก ฮิโระก็ได้ ให้สิทธิ์ไคริจังเป็นพิเศษเลย” เขายักคิ้วแล้วก้าวมาหาผม ผมถอยหลังอัตโนมัติ หน้าตาดูไม่น่าไว้ใจขึ้นมาฉับพลัน ว่าแต่โทริโกะ(นก)เนี่ยนะ ? นามสกุลตรงตัวไปหน่อยไหม ไม่มีใครสังเกตเลยเหรอ ผมกำลังจะพูดตอบโต้ แต่ประตูห้องพยาบาลเปิดขึ้นก่อน
“อ่ะ อ้าว โทษทีๆ เห็นไปนาน เลยมาตามหา” เจ้าหัวแดงโผล่เข้ามาแถมขอโทษขอโพยเหมือนเข้ามาขัดจังหวะ ผมร้อนหน้าขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าสภาพของพวกเราดูเป็นยังไง เสื้อผมกระดุมขาดไปหมดแล้ว ไหนจะไอ้นกที่ยืนเปลือยท่อนบนทำหน้าตาไม่รู้สึกรู้สาอีก ผมพูดไม่ออก อ้าปากค้างยืนอยู่ที่เดิม แต่แล้วเขาก็เปิดประตูกลับเข้ามาอีก แล้วยิ้มหื่นๆมาให้ผมและคนข้างตัว
“สรุปเป็นเกย์จริงๆใช่ป่ะ”
“ใช่ซะที่ไหนกันเล่า !” ผมปฏิเสธทันควันแล้วรีบวิ่งออกจะออกจากห้อง แต่มือมารคว้าคอเสื้อผมไว้ทัน
“ริวทาโร่ ถอดเสื้อนายมา” เขาหันไปพูดกับเพื่อน
“อะไรอ่ะ ไม่เอานะ อย่าเอาฉันไปทำกิจกรรมหมู่กับพวกนาย อ้ากก” ริวทาโร่วิ่งหนี เมื่อเจ้านกพุ่งเข้าไปหาแล้วแกะกระดุมเขาออก ถอดเสื้อออกมาในเวลารวดเร็ว ก่อนจะเอาเสื้อตัวนั้นมาใส่ให้ผม
“นายทำ นายก็ต้องรับผิดชอบ แล้วก็เลิกซะทีไอ้นิสัยแกล้งครูที่มาใหม่เนี่ย ทำตัวเป็นเด็กอมมือ” เขาบ่น มือยังติดกระดุมให้ผมอย่างคล่องแคล่ว
“ทำไม นายชอบเขาล่ะสิเลยไม่อยากให้แกล้ง ทั้งๆที่นายก็รู้ว่าเขาเป็นศัตรู อยากโดนฆ่าหรือไง” ริวทาโร่ยักไหล่ ผมเลยมึนงงกับบทสนทนาที่ผมไม่เข้าใจ ศัตรูอะไร ผมเนี่ยนะ ? ว่าแต่นี่ก็พวกเดียวกันเหรอ ริวทาโร่ …ริวทาโร่
“มังกรใช่ไหม !!” ผมชี้นิ้วไปที่เจ้าเด็กหัวแดงริวที่แปลว่ามังกรไงล่ะ
“เงียบน่า กลับไปสอนที่ห้องได้แล้ว” เจ้าหัวดำเข้ามาปิดปากผมแล้วลากออกมาจากห้องพยาบาล เปิดประตูห้องตัวเองแล้วผลักผมเข้าไป แต่ผมยันตัวเองเอาไว้ก่อน เลยยื้อกันอยู่ที่หน้าประตู
“ไม่คิดจะใส่เสื้อก่อนเหรอ” ผมหันไปถามพวกเขาอย่างเบลอๆ สมองยังคงจดจ้องไปที่เด็กหัวแดง น่าสงสัยสุดๆ ที่นี่มีภูตผีปีศาจกี่ตนกันแน่
“พูดมาก เข้าไปทำหน้าที่ตัวเองเถอะไป” เขาลากผมเข้าไปยืนหน้าห้อง แล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง ริวทาโร่เดินมาเฉียดๆตัวผม เหล่มองนิดหน่อย แต่พอเจ้านกส่งเสียงขึ้นมาหน่อยๆ เขาก็เดินไปนั่งที่เดิม นั่งกันทั้งๆที่ไม่มีเสื้ออย่างนั้นแหละ แต่ห้องเรียนค่อนข้างจะอุ่น ผมเลยไม่ต้องห่วงเท่าไหร่ น่าแปลกที่พอผมกลับมาสอน พวกเขาไม่ได้ก่อกวนอะไรแล้ว มีหลับบ้าง เล่นแกล้งกันเองโยนกระดาษกันไปมาในห้อง แทบไม่มีใครฟังผมเลย ส่วนเจ้านกหัวดำกับเด็กหัวแดงนั่งจ้องผมไม่วางตา เกร็งๆจนหมดคาบผมถึงได้ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
“งั้นวันนี้พอแค่นี้นะ” ผมพูดแล้วเผ่นหนีออกจากห้อง ตรงไปยังห้องพักตัวเอง เดินไปที่กระจกส่องดูจี้ที่ผมห้อยคออยู่ ไม่รู้แม่ไปซื้อมาจากไหนซะด้วย
โชคดีที่ทั้งอาทิตย์ผมได้สอนพวกเขาแค่คาบเดียว ผมเลยมีเวลาหาข้อมูลเพิ่มเติม โดยผมไม่เดินเฉียดไปใกล้ห้อง E เลยถ้าไม่จำเป็น และไม่ว่าจะเดินผ่านกี่ครั้ง เจ้าเด็กตาโตอย่างกับใส่บิ๊กอายนั่นก็จ้องผมทุกที
“ไคริจางง … จะไปไหนเหรอ” เสียงทุ้มต่ำและให้ความรู้สึกเย็นๆทุกครั้งที่ได้ฟังลอยมาตามลม ผมสะดุ้งเฮือกหันมองไปรอบตัว ไม่เห็นใคร พอหันกลับมาทางเดิม เด็กผมดำกลับยืนยักคิ้วให้ผมอยู่ ผมขมวดคิ้วแล้วจะเดินหนี คราวที่แล้วผมพุ่งเข้าชน และมันไม่ได้ผล เพราะงั้นผมต้องรู้รายละเอียดของเป้าหมายเสียก่อน ตอนนี้หาข้อมูลยากมากด้วย แต่ล่ะแหล่งก็บอกเหมือนที่นาโอยูกิเคยบอก และไม่มีอะไรมากกว่านั้น ผมยังไม่รู้เลยว่าจะปราบเขายังไง !
อืม แผนผมตอนนี้ก็คือ จู่โจมเขา พอเขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยก็จะแปลงร่าง ถึงมันจะเสี่ยงกับการโดนเขาฆ่าก็เถอะ แต่ทุกการทดลองต้องมีความเสี่ยง
“นี่ ไคริจังไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับสร้อยนั่นใช่ไหม” เขายังเดินตามมาพูดกับผม นี่มันไม่ใช่เวลาพักนะ ออกมาจากห้องทำไมเนี่ย!
“ตกลงแล้วมีปัญหาอะไรกับสร้อย พูดมาเลยนะ ถ้ารู้อะไรก็บอกกันมั่งสิ” ผมเปลี่ยนใจเดินกลับไปหาเขา เริ่มหงุดหงิดแล้วที่ไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียว เจ้าเด็กบ้ายืนยิ้มทำหน้ากวนประสาทใส่ผม ต่อยสักทีดีไหม .. ไม่ดีสิ หุ่นอย่างนี้ถ้าสวนมาผมตายอ่ะ ผมมันเหี่ยวแห้ง เพราะผมไม่สนใจออกกำลังกาย แรงน้อยอีกต่างหาก
“ใส่แว่นอย่างนี้น่ารักนะ” จู่ๆก็เปลี่ยนเรื่อง ผมต้องใส่แว่นตั้งแต่วันที่เขาเอาคอนแทคเลนส์ผมออกจากตานั่นแหละ ยังไม่มีเวลาไปซื้อคู่ใหม่เลย
“เหอะ” ผมทำเสียงขึ้นจมูก พอไม่อยากพูดก็เปลี่ยนเรื่อง แล้วผมไม่ดีใจกับคำชมนั่นหรอก ขนลุกด้วยซ้ำ ผมกับเขายืนนิ่งกันอยู่สักพัก เขายังยืนยิ้ม ก่อนจะค่อยๆโน้มตัวลงมาหาผมแล้วกระซิบกระซาบ
“เรื่องบางเรื่องหน่ะ ไม่รู้จะดีกว่า ไม่ต้องไปพยายามหาหรอก มันอันตราย นะไคริจัง” เขาผละออกมา หน้าห่างจากหน้าผมแค่ไม่กี่มิลลิเมตร แถมยังมาทำยิ้มน่ารักแอ๊บแบ๊วใส่อีก พูดจบเขาก็เดินหนีไปเลย ทิ้งผมยืนครุ่นคิดอยู่ที่กลางโถงทางเดิน ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่ามันอันตราย แต่ให้ตายเถอะ ผมสงสัยนี่ ผมเดินจ้ำไปตามทาง แล้วยืนดักรอเป้าหมายคนที่สองของผม ริวทาโร่ !
“ริวทาโร่คุง มานี่หน่อย” ผมรีบคว้ามือเขาแล้วลากมาตามทาง เมื่อเลิกเรียน เขางงๆแต่ก็ไม่ได้ฝืนตัว ผมลากเขามายังที่ปลอดคน
“นายไม่ใช่คนใช่ไหม” ผมทำหน้าจริงจังแล้วถามเขาเสียงแผ่วเบา
“อุ๊บฮ่าๆๆๆๆๆ มีใครเขาถามจริงจังขนาดนี้ไหม”ริวทาโร่ปิดปากแล้วหัวเราะ คงพยายามกลั้นที่สุดแล้ว แต่ก็ทนไม่ไหวต้องเลื่อนมือลงมากุมที่หน้าท้อง เขาหัวเราะจนหน้าแดง เอ๊ะ .. ตาเขา ตาเขาเป็นสีฟ้าน้ำทะเล นี่มันเด่นสุดๆ ทำไมไม่มีครูคนไหนพูดถึงเขาเลย
“มีอะไรตลก ตกลงนายเป็นอะไร มังกร ? ตานายไม่ใช่สีดำด้วยซ้ำ ไม่มีใครเอะใจเลยเนี่ยนะ” ผมพึมพำ ริวทาโร่เลิกขำแล้วเอียงคอมองผม
“ผมเป็นลูกครึ่ง ส่วนหัวแดงๆเนี่ยย้อมเอา สงสัยอะไรอีกไหมครับคุณครูที่รักของฮิโรโตะ” เขาเอามือจับผมตัวเองแล้วดึงเล่น ผมจ้องไปที่สีแดงสดนั่น แล้วก็ยื่นมือไปดึงมาแรงๆแล้วรีบซ่อนเส้นผมเข้าในกระเป๋าเสื้อ
“โอ๊ย เจ็บนะ ! เป็นโรคจิตเปล่าเนี่ย มาดึงผมคนอื่น”
“ทำไมไม่มีใครยอมพูดเลยนะ ฉันรู้ความจริงแล้ว จะเป็นอะไรไป ยังไงพวกนายก็แข็งแกร่งกว่าเราอยู่แล้ว มีอะไรจะต้องกลัว” ผมพูดอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ไม่ได้กลัว ไม่อยากทำให้กลัวต่างหาก”
“พูดอย่างนี้หมายความว่ายอมรับใช่ไหม ใช่ป่ะ! เสร็จฉันล่ะ นายพูดออกมาเองเลยนะริวทาโร่” ผมรัวไปอย่างตื่นเต้นสุดขีด เขาทำหน้าเหมือนหลุดปากอะไรออกมา แล้วก็ทำแบ๊ว ทำตาใสๆใส่ผม แน่นอนว่าเขาทำได้น่ารักกว่าเจ้านกหัวดำนั่นเยอะ แต่ผมไม่หลงใจอ่อนไปกับหน้าน่ารักๆของเขาหรอก
“เซนเซย์ ผมก็ไม่ได้อยากจะทำอย่างนี้หรอกนะ แต่ว่าเซนเซย์มายุ่งเอง”
เสียงเขาเปลี่ยนไปฉับพลัน ผมรู้สึกถึงไอความร้อนที่แผ่อออกมาจากตัวเขา ผมกำลังจะวิ่งหนี จู่ๆเสียงเพลงประหลาดก็ลอยมาตามลม ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ พอผมหันไปมองริวทาโร่อีกครั้งก็แทบเป็นลม เมื่อตาเขากลายเป็นสีเขียวมรกต เกล็ดขึ้นทั่วทั้งตัวเป็นสีแดงเพลิง เขามังกรงอกออกมาที่หน้าผาก เขามังกร ! ผมแทบกลั้นหายใจเมื่อเห็นของจริงตรงหน้า ไอสีดำพวยพุ่งออกจากตัวมาที่ผม
“ริวทาโร่ ! มันไม่ได้ผลหรอก เขามียันต์” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ก่อนร่างใหญ่จะวิ่งเข้ามาหาผม รู้สึกดีใจที่ได้เห็นชอบกล ผมเริ่มกลัวๆเจ้าตัวตรงหน้าผมแล้วเนี่ย เมื่อตาเขียวๆนั้นจ้องเขม็งมา
“นายคิดว่าฉันเป็นใคร แค่นี้ไม่คณามือหรอก”เขากดเสียงต่ำ ผมได้ยินเสียงแตกของสร้อย ก่อนที่จี้จะแหลกเป็นผุยผง ริวทาโร่ยกยิ้มน่ากลัว ผมดิ้นสุดชีวิต เริ่มรู้แล้วว่าเขาเอาจริง มือที่มีเล็บยาวยื่นมาจับคอผมไว้ เขาไม่ได้บีบ แต่ผมกลับหายใจไม่ออก ร้อนเหมือนโดนไฟเผา ตัวผมมีควันพุ่งออกมาจากผิวหนังรอบคอ ร้อนจนทรมาน ผมเหล่ตาไปมองฮิโรโตะ
“ช่วย..” ผมเค้นเสียงออกมาได้แค่นั้น มันปวดไปหมด
“พอแล้ว จะฆ่าเขาหรือไง”
สายลมเย็นพัดวนรอบร่างผม บรรเทาความร้อนลงไปจนเกือบหมด แต่ที่รอบคอนั้นยังคงแสบร้อนไปหมด ริวทาโร่เหล่มองเพื่อน
“ไม่ฆ่าเขา สักวันเขาก็ฆ่าเรา”
เอาอะไรมาพูด ! ผมไม่ฆ่าใครทั้งนั้นแหละ !
“ไคริจังไม่ทำอย่างนั้นหรอก ปล่อยเขาได้แล้ว ไม่งั้นฉันเล่นนายแน่” เขากดเสียงลงเย็นยะเยือก ได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นด้านนอกอาคาร ผมขนลุกซู่ รู้ว่าไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติแน่ๆ
“นี่เห็นไอ้นี่ดีกว่าเพื่อนงั้นใช่ไหม ! หลงมันจะแย่ล่ะสิ เหอะ อยากได้คืนก็เอาไป” เขาปล่อยมือออกจากคอผม ผมรีบถอยห่างออกมา ไอแค่กๆ พอจับคอก็แสบจนต้องร้องออกมาเบาๆ ฮิโรโตะยื่นมือมาแตะคอผมเบาๆ อะไรบางอย่างแล่นจากปลายนิ้วเขามาที่ผิวหนังผม แล้วความเจ็บก็หายเป็นปลิดทิ้ง
“ไม่ได้เห็นว่าดีกว่า แต่เราไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์ นายจำไม่ได้หรือไง ? แล้วก็กลับร่างได้แล้ว เดี๋ยวคนมาเห็นเข้า”
“นายก็เก็บไอ้สายฟ้าบ้าๆนั่นเสียที แตะนิดแตะหน่อยต้องโมโหด้วย”
เขาเรียกไอ้การกระทำเมื่อกี้ว่าแตะนิดแตะหน่อยเรอะ!
“อีกอย่าง ถ้าเป็นคนธรรมดาเขาตายไปแล้ว นี่ไหม้แค่ผิวนอก นายจะปกป้องเขาทำไม เป็นอะไรตัวเขาเองยังไม่รู้เลย” ริวทาโร่กลับร่างเป็นเด็กน่ารักคนเดิม เขามังกรก็หดกลับไปเหมือนไม่เคยมี เดี๋ยวๆ ผมก็คนธรรมดานะ จะบอกว่าผมเป็นตัวประหลาดเหมือนพวกเขางั้นเรอะ
“กลับบ้านเถอะ นายก็เลิกยุ่งกับเขาได้แล้ว มาๆไคริจัง”เขาตัดบทแล้วดึงผมให้ออกเดิน ข้างนอกฝนตกหนัก ฟ้าคำรามดังน่ากลัว ผมมองคนข้างตัวเขายังขมวดคิ้วยุ่ง พาผมเดินออกมา ทั้งๆที่ฝนตกหนัก แต่เราสองคนไม่เปียกเลยสักนิด ฝนเอียงออกจากตัวเหมือนมีร่มที่มองไม่เห็น
“ฉันเป็นเหมือนพวกนายเหรอ” ผมพูดเสียงเบาหวิว จะเป็นไปได้ยังไง มีชีวิตมาตั้ง 25 ปีผมไม่เคยรับรู้ถึงความผิดปกติในร่างกายเลย
“ไม่ใช่ ก็บอกแล้วไงว่าให้อยู่เฉยๆ ไม่อยากอยู่แบบคนปกติธรรมดาหรือยังไง เลิกอยากรู้อยากเห็นได้แล้ว ไปช่วยตลอดไม่ได้หรอกนะ” เขาพูด ยังสัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดในน้ำเสียง มือเขาก็ยังลากผมไปจนถึงที่พัก
“เอ่อ ขอบคุณ” ผมขอบคุณจากใจจริงๆ เขามาช่วยผมสองครั้งแล้ว
“ฉันแค่ไม่ชอบรังแกคนไม่มีทางสู้ และไม่ชอบเห็นคนโดนรังแกเหมือนกัน” เขาปล่อยมือออกจากข้อมือผม มองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เป็นฮีโร่ว่างั้น” ผมยังไม่วายแอบเหน็บเขาไป จำได้ว่าในประวัติ การาสุเทนกุนั้นรักความยุติธรรม ไม่ยักรู้ว่าจะเป็นเรื่องจริง
“ปีศาจกับฮีโร่มันคนละเรื่องกันเลย แล้วฉันก็ฆ่ามาเยอะแล้ว ถ้านายอยากจะรู้ กลับเข้าไป แล้วช่วยทำตัวดีๆทีเถอะ ถ้าไม่อยากโดนเหมือนเมื่อกี้ กลัวเป็นบ้างไหมเนี่ย”เขาบ่นแล้วผลักผมเข้าด้านใน
ผมก็เดินเอื่อยๆขึ้นห้องอย่างมึนงง ถามว่ากลัวไหม มันก็กลัวแหละ ไม่กี่นาทีที่รู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง ร้อนประหลาดด้วยพลังที่มองไม่เห็น แต่พอเขาโผล่มา ความกลัวผมก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง เหมือนผมเชื่อใจเขา ว่าเขาจะต้องช่วยผมแน่ๆ ตอนนี้ผมรู้แน่ชัดแล้วว่าพวกเขามีตัวตนอยู่จริง ยิ่งหวาดกลัวยิ่งอยากรู้ มันก็คล้ายๆกับมนุษย์เจอภัยพิบัติ บาดเจ็บและหวาดกลัว หลังจากนั้นจึงต้องศึกษาและหาวิธีมาป้องกัน
ขอโทษทีนะ แต่ผมคงอยู่เฉยๆอย่างที่เขาพูดไม่ได้หรอก
------------------------------------------------------------------------------------------
つづく
นิสัยโดยพื้นฐานของการาสุเทนกุ อย่างฮิโรโตะคุง ค่อนข้างดีค่ะ เพราะงั้นคงไม่ยอมให้ไคริจังโดนรังแกหรอก หึหึ
แล้วไคริเป็นใคร อยู่ดีๆคนธรรมดาคงไม่พัวพันกับปีศาจเยอะแยะขนาดนี้
ความลับจะค่อยๆเผยออกมาเอง รอลุ้นกันนะคะ ^_________^
ปล. เย้ เริ่มมีคนหลงมาแล้ว มาเข้าโลกแฟนตาซีแดนอาทิตย์อุทัยไปพร้มกันเลยค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ยัยน้องทำไมซนขนาดนี้
ไครินี่ความสงสัยชนะทุกสิ่งใช่มั้ยย555