บทกลอนร้อยรัก - บทกลอนร้อยรัก นิยาย บทกลอนร้อยรัก : Dek-D.com - Writer

    บทกลอนร้อยรัก

    ผู้เข้าชมรวม

    122

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    122

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 ต.ค. 59 / 13:46 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    อักษรารำพัน
    ป๋าหมาก
    หมากสีสุก
    Victoria's secret
    หทัยชนก
    Lady 'n pink

    การันตี ผลงานสุดยอดนามปากกาของคุณ  Jackie Pongsritat



    ๏ ยามระวีละสายก็มายก็เมา
    เฉลิมฉลองก็ถองฉะเหล้า..........บเว้นวาย

    ๏ เมียจะด่าจะว่าจะสาธยาย
    ก็ปล่อยก็วางระหว่างระบาย.........มิสบตา

    ๏ ใจสะทกสะท้านมิหาญมิกล้า
    มินานก็เบื่อเพราะเหลือระอา........ก็ราไป

    ๏ ใช่จะเกรงจะกลัวจะหวาดฤทัย
    กระดกจะซดเพราะอดมิไหว.........มิได้ฟัง

    ๏ ค่อยละเลียดละเมียดละไมมิยั้ง
    มิดื่มสุราละล้าละลัง..................ระทมแสน

    ๏ เมาสะวิงสะวายจะส่ายจะแอ่น
    อุษานภาสว่างก็แจ้น................สิไปถอน

    ๏  มันสะลึมสะลือบ่ชื่นสินอน
    ขยุกขยิกขยักขย้อน................บ่สร่างซา

    ๏ มันผะอืดผะอมระทมอุรา
    ประหนึ่งจะคายสิสังขยา..........และอาเจียน

    ๏ เออฉะนั้นฉะนี้นะพี่จะเพียร
    จะกลมจะแบนจะแว่นจะเวียน....แวะถอนเลย

    ๏ ถึงสะบักสะบอมก็ยอมเพราะเคย
    ก็ขาดมิได้หทัยเฉลย...............สุราริน

    ๏ แล้วก็กรึ๊บก็กรึ๊บบ่ยลบ่ยิน
    ประชดประชันเพราะฉันก็ชิน.....กะเสียงเมีย

    ๏ ถอนซะหน่อยก็บ่อยนะกรึ๊บกะเบียร์
    และตาก็เมียงชะม้ายกะเชียร์......ชะช่วยถอนฯ..

    ______________________________________________

    ๏ เมาสุราก็อย่าไถลตะลอน
    ผละหนีนะพี่มิมีสะออน..............จะนอนคราง

    ๏ ดวดซะให้หทัยไสวสว่าง
    ระรี้ระริกกระซิกมิห่าง.................นะอย่างเคย

    ๏ น้องจะเสริฟจะเปิบอะไรมิเฉย
    กระวีกระวาดมิขาดละเลย...........สิเชยชม

    ๏ พี่มิเมาก็คงมิเคล้ามิดม
    ก็หย่อนและยานก็อ้วนและกลม.....ก็เข้าใจ

    ๏ จึงจะหมายจะมอมและย้อมหทัย
    ซะทีนะพี่พิรี้พิไล.......................มิได้การ

    ๏ หากริหนีนะพี่มิมีสะท้าน
    ระวังนะสากจะฝากประทาน.........กบาลแยก๚ะ๛...(เมีย)

    @@@@@@@@@@@@@@


    คุณค่าของคำว่า "ครู"

    ๐ ผู้เอื่อเฟื้อ..เผื่อแผ่..ให้แก่ศิษย์
    ผู้พร้อมพลี..ชีวิต..อุทิศให้
    คือเรือจ้าง..กลางชล..ร่วมด้นไป
    คือแสงไฟ..ใสสว่าง..นำทางเรา

    ๐ เอื้ออาทร..สอนสั่ง..มิหวังผล
    ให้ศิษย์ค้น..หนทาง..ไกลห่างเขลา
    ตั้งแต่น้อย..คอยดัด..คอยขัดเกลา
    ซ้ำยังเฝ้า..เช้าสาย..มิคลายคลอน
    คุณค่าของคำว่า "ครู"

    ๐ ผู้เอื่อเฟื้อ..เผื่อแผ่..ให้แก่ศิษย์
    ผู้พร้อมพลี..ชีวิต..อุทิศให้
    คือเรือจ้าง..กลางชล..ร่วมด้นไป
    คือแสงไฟ..ใสสว่าง..นำทางเรา

    ๐ เอื้ออาทร..สอนสั่ง..มิหวังผล
    ให้ศิษย์ค้น..หนทาง..ไกลห่างเขลา
    ตั้งแต่น้อย..คอยดัด..คอยขัดเกลา
    ซ้ำยังเฝ้า..เช้าสาย..มิคลายคลอน
    ๐ ถึงลำบาก..ตรากตรำ..ยังจำสู้
    ไม่อดสู..ชูหน้า..ตั้งตาสอน
    คือผู้สร้าง..ทางฝัน..ร่วมสัญจร
    ดุจบิดร..มารดา..ผู้ปรานี

    ๐ คือเหล่า"ครู"..ผู้สร้าง..ผู้วางหลัก
    คือเหล่า"ครู"..ผู้รัก..ในศักดิ์ศรี
    คือเหล่า"ครู"..ผู้เมตตา..ผู้อารี
    ร้อยกวี..นี้มา..บูชาครู...ฯ

    @@@@@@@@@


    เพลงเอกจากหนังเรื่อง "โรมิโอ & จูเลียต"

    “A time for us” “เวลาแห่งเรา”

    A time for us, someday there'll be.
    When chains are torn by courage born of a love that's free

    ๏ เวลาสุขแห่งทั้ง........เราสอง
    วันหนึ่งคงสมปอง.......ไม่ช้า
    ในวันที่ตรวนจอง........-จำร่วง หลุดนา
    โดยรักที่หาญกล้า.......ปลดคล้องเธอ-ฉัน...ฯ

    A time when dreams, so long denied.
    Can flourish as we unveil the love we now must hide.

    ๏ ฝันที่ถูกปิดกั้น........มานาน
    จมอยู่ในโลกการ.......ซ่อนเร้น
    ถึงคราอวดรักบาน.....ชูช่อ
    รักที่ตอนนี้เว้น..........ไม่กล้าเปิดเผย...ฯ

    A time for us, at last to see.
    A life worthwhile, for you and me.
    And with our love through tears and thorns
    We will endure as we pass surely through every storm.

    ๏ ถึงคราเชยร่วมชู้......เคียงกาย
    ชีพที่มีความหมาย.....มากล้น
    น้ำตาหลั่งเป็นสาย....อุปสรรค นานา
    เราจะฟันฝ่าพ้น........สิ่งกั้นทั้งผอง...ฯ

    A time for us someday there'll be
    A new world, a world of shining hope for you and me
    A time for us at last to see
    A life worthwhile for you and me.

    ๏ สองเราคงสบคล้อง........สักวัน
    โลกใหม่ที่เธอ-ฉัน.............ร่วมสร้าง
    ความหวังและความฝัน....บรรเจิด
    ควรค่าเราเคียงข้าง..........สู่ห้วงจุดหมาย..ฯลฯ


    @@@@@@@@@@


    ----** ลูกทุ่งฝากตัว **---

    ๐ อันชีวิต..คิดไป..มีใดแน่
    ไม่เที่ยงแท้..แปรไป...เกินใครหยั่ง
    จะอยู่ดี..มี-สุข..ทุกข์ประดัง
    อนิจจัง..หวังใด..ได้แน่นอน

    ๐ หลากเรื่องราว..ก้าวผ่าน..ตามกาลผัน
    ต้องฝ่าฟัน..ดั้นด้น..จนเหนื่อยอ่อน
    กี่สิบปี..ที่คว้าง..ไร้ทางจร
    กี่ร้าวรอน..ชอนไช..จนใจราน

    ๐ แต่เพราะใจ..ใฝ่รัก..ในอักษร
    ตั้งใจหมาย..ร่ายกลอน..อักษรสาร
    ยังเรียงถ้อย..ร้อยคำ..ไม่ชำนาญ
    แต่หลงใหล..ในกานท์..งานร้อยกรอง

    ๐ หนุ่มลูกทุ่ง..มุ่งมา..หาครูสอน
    อยากแต่งกลอน..อ่อนใจ..ไร้สมอง
    สาธยาย..ร่ายคำ..ไม่ช่ำชอง
    ไม่สอดคล้อง..ลองไป..ไร้ตำรา

    ๐ เพื่อนหลายหลาก..มากมาย..ที่รายล้อม
    ต่างยินยอม..พร้อมกัน..เรียกฉัน”ป๋า”
    พร้อมคำสร้อย..ห้อยนาม..ตาม”ป๋า”มา
    เป็นฉายา..”ป๋าหมาก”..คนปากบอน

    ๐ เปิดตัวมา..หามิตร..จิตกุศล
    หมายช่วยตน..พ้นนาม..ที่ตามหลอน
    มาร่วมด้วย..ช่วยกัน..ฉันขอวอน
    มิตรนักกลอน..ถอนหมาก..จากปากที..ฯ

    **ป๋าหมาก** อักษรารำพัน

    @@@@@@@@@@@

    ***หาดทราย พรายคลื่น กับคืนเหงา***

    ๐ สายลมโชย โบยพัด ระบัดพลิ้ว
    ใบไม้ปลิว ร่วงคว้าง ห่างจากที่
    พรากกิ่งก้าน ร่วงหล่น ปนวารี
    ลอยเรื่อยลี้ ลับหาย จมสายธาร

    ๐ ภาพความหลัง ย้อนย้ำ ให้ลำลึก
    เปิดผนึก ออกเผย ยามเคยหวาน
    ท่ามคลื่นเห่ ทะเลห่ม กลับล่มลาญ
    พรากตามกาล ผ่านพ้น เกินด้นดึง

    ๐ เหมือนเม็ดทราย พรายคลื่น ที่กลืนซบ
    แล้วเลือนกลบ จบวัน เคยฝันถึง
    ทรายคลื่นยัง หยอกย้ำ ให้คำนึง
    แต่เคยซึ้ง กลับเศร้า คอยเร้ารุม

    ๐ โค้งฟ้าอ้อม ล้อมรอบ จรดขอบสินธุ์
    ภาพกลางจินต์ ผุดพราย คล้ายเพลิงสุม
    ห้วงอกคน เคยรัก ดังกักกุม
    เช่นไฟรุม ยามร้าง อ้างว้างนัก

    ๐ ระลอกคลื่น ตื่นอยู่ ไม่รู้หลับ
    ยามลาลับ ร้างหวาน ลงราน, หัก
    ใจนั้น..ยาก หากหมาย ให้คลายภักดิ์
    ยังประจักษ์ เต้นตื่น ดังคลื่นครวญ

    ๐ สายลมโชย โบยพัด ระบัดพลิ้ว
    ใจคนปลิว ลับไกล ไม่คืนหวน
    หวังพระพาย โผยผ่อน พัดย้อนทวน
    พารักอวล แอบสู่ ผู้อาลัย

    ๐ ห่างร้างแสน ยาวนาน รักรานล่ม
    เพียงสายลม พรมลูบ ก็วูบไหว
    ความอาวรณ์ เร้ารุม ดังสุมไฟ 
    พรากร้างไกล สุดหล้า เกินคว้าครอง

    ๐ ลมทะเล เห่ครวญ หวลสะอื้น
    เคยหวานชื่น รื่นรมย์ กลับตรมหมอง
    อ้อมอุ่นไอ ใครเอ๋ย เคยตระกอง
    วันนี้จ้อง มองหา คว้าเพียงเงา

    ๐ เพียงลมโบก โกรกผ่าน สะท้านวูบ
    ลมไล้ลูบ วูบไหว กับใจเหงา
    กอดตัวเอง เร่งกาย หมายบรรเทา
    โอ้ว่าเรา เหงาจน จะทนแล้ว

    ๐ ยังงดงามน้ำฟ้า สุดตาไกล
    ทะเลไหว ระลอกริ้ว ลมพลิ้วแผ่ว
    เลื่อมวับวาว พราวพร่าง กระจ่างแวว
    ดังเกร็ดแก้ว ประกาย วาบพรายตา

    ๐ คลื่นคลอเคล้า เย้าอยู่ เคียงคู่หาด
    ยามซัดสาด เสียงสั่ง ดังครวญหา
    พลิ้วพลิกคว้าง ใบไม้ ปลิวไกลตา
    ดุจสายใย เสน่หา เลื่อนลาลับ

    ๐ ฟ้ายังครอบ รอบทะเล คลื่นเห่กล่อม
    หากโอบล้อม คืนคลาย แล้วกลายกลับ
    คืออ้อมกอด แห่งรัก ที่หักยับ
    เคยประดับ กลับพัง สุดรั้งไว้

    ๐ หากน้ำตา พาใจ ให้หายเศร้า
    ช่วยบรรเทา เหงาลง ก็จงไหล
    ล้างโศกศัลย์ รันทด ให้หมดใจ
    อย่าเก็ยใย ไว้เยื่อ เป็นเชื้อฟืน

    ๐ เมื่อความช้ำ ค้ำคอ จนท้อแท้
    ยากเกินแก้ แม้ใจ ให้ขัดขืน
    ปล่อยเวลา หาหลัก สักชั่วคืน
    ครั้นพอตื่น ทิ้งไว้ ในวันวาน

    ๐ ลบอดีต กรีดใจ เสียให้หมด
    ความสวยสด งดงาม ยามรักหวาน
    ทอดทิ้งวัน อันท้อ ทรมาน
    เก็บดวงมาน สานฝัน วันต่อไป

    ๐ เสียงคลื่นครวญ หวลหา คล้ายว่ายัง-
    ย้ำความหลัง ครั้งนั้น จนหวั่นไหว
    ในวันที่ หม่นเศร้า ไร้เงาใคร
    คืออาลัย อาวรณ์ ยากผ่อนปรน

    ๐ ตัดสิ้นสาย เยื่อใย จากใครหนึ่ง
    กลับจะตรึง ตรวน-ราน ยิ่งผลาญ-ป่น
    ยิ่งตัดรอน ยิ่งเร้า เข้าหลอม-ลน
    ยากหลุดพ้น รอยหวาน เคยผ่านพบ

    ๐ ดังคลื่นคง ครวญคร่ำ ร่ำอาลัย
    ก็เช่นใคร ช้ำอยู่ ไม่รู้จบ
    หลายระลอก หยอก-เยือน แล้วเลือนลบ
    ยากสงบ ลำนำ ยังคร่ำครวญ

    ๐ อกใจเอ๋ย เคยแอบ แนบด้วยรัก
    แล้วสลัก รอยช้ำ โศกกำสรวล
    สายใยหวาน ซ่านซึ้ง คล้ายตรึงตรวน
    ยังแย้มยวน หยอกย้ำ ให้คำนึง

    ๐ เสียงคลื่นเห่ ทะเลห่ม ลมสะบัด
    วานช่วยพัด พรากฤทธิ์ ความคิดถึง
    กับร่องรอย เสน่หา เคยตราตรึง
    และพรากซึ้ง แสนเศร้า เคล้าลมลอย..ฯลฯ

    @@@@@@@@@@@

    .....
    เกิดสิงหาฯ..ยิบหก..ศกไม่บอก
    ห่างบางกอก..ออกไป..ก็ไกลแสน
    ถิ่นอิสาณ.."บ้านไผ่"..ยังไร้แฟน
    เมืองดอกคูน..เสียงแคน.."แก่นนคร"

    จากพ่อแม่..แต่เล็ก..เป็นเด็กวัด
    "พงษ์ศรีทัศน์"..คือสกุล..แต่รุ่นก่อน
    ส่วน"แจ็คกี้"..นี่หรือ..คือนามกร
    พเนจร..ร่อนไป..ในแดนดิน

    เข้าเมืองกรุง..มุ่งมา..ศึกษาต่อ
    เมื่อจบมอ..ศอปลาย..ก็ย้ายถิ่น
    เลาะลัดฟ้า..มาที่..ฟิลิปปินส์
    เรียนจบสิ้น..ปริญญา..ไม่ช้านาน

    ชีวิตเดิม..เริ่มเปลี่ยน..หลังเรียนจบ
    ได้ประสบ..พบรัก..สมัครสมาน
    กับเพื่อนสาว..พราวตา..พยาบาล
    ได้แต่งงาน..สานรัก..สลักใจ

    ผ่านขมขื่น..ชื่น-สุข..ครบทุกรส
    ทั้งวิโยค..โศกสรด..และสดใส
    เมื่อรักชืด..จืดจาง..เลิกร้างไป
    จึงลาลับ..กลับไทย..ไม่ยลยิน

    ปักชีวี..ที่กาญจน์..อย่างรานร้าว
    ทิ้งเรื่องราว..คราวหลัง..กลบฝังสิ้น
    ยามชีพร้าง..ร่างนี้..ไร้ชีวิน
    หวังร่างกลบ..ซบดิน..บนถิ่นไทย....ฯ


    @@@@@@@@@@


    สวาทวาง----สวาทวาย

    ๏ เพราะรักซ้อน..ซ่อนซึ้ง..ตราตรึงจิต
    แม้เหลือแต่..แค่สิทธ์..เพียงคิดฝัน
    สุมในห้วง..ดวงมาน..เนิ่นนานวัน
    ย้ำสัมพันธ์..นั้นเข้า..ในเงารัก

    ๏ สวาทซ้อน..ย้อนยอก..จึงชอกช้ำ
    หรือรอยกรรม..หมายผลาญ..ให้ราญ, หัก
    ดับอาวรณ์..ด้วยรอ..ช่างท้อนัก
    คือสลัก..รักซึ้ง..ปักตรึงจินต์

    ๏ แม้ช่วงภพ..สบพ้อง..หมายคล้องเกี่ยว
    ทุกส่วนเสี้ยว..เกลียวใจ..มอบให้สิ้น
    รอจนร่าง-ร่างนี้..ไร้ชีวิน
    ยังถวิล..จักคอย..บนรอยทาง

    ๏ จะมั่นรัก..ภักดี..ถึงที่สุด
    เกินใครหยุด..ฉุดได้..เกินใครขวาง
    จะกี่ภพ..กี่ชาติ..สวาท-วาง
    แทบบาทนาง..นางนี้..มิมิคลาย

    ๏ แม้รักซ้อน..ซ่อนงำ..จนช้ำหมอง
    ยังหมายปอง..คล้องจิต..มิคิดหน่าย
    แม้รอยกรรม..ทำพลาด..สวาท-วาย
    เกิดกี่ครั้ง..ยังหมาย..มิคลายเลือน๚ะ๛


    @@@@@@@@@@


    ๏ ผืนดินร้าง...หว่างผา...ในป่าใหญ่
    มีธารใส…ไหลผ่าน…ลานหินโล่ง
    ไม้หลายหลาก…มากมาย…ระยายโยง
    มองเห็นโพรง…โป่งดิน…ใต้หินทราย

    ๏ มีเนินภู…อยู่ไกล…ในเบื้องหน้า
    หมู่เมฆา…คณานับ…จับเป็นสาย
    ทิวป่าไผ่…ไหวเอียง…อยู่เรียงราย
    ยืนท้าทาย…สายลม…อย่างกลมเกลียว

    ๏ ตรงโขดหิน…ดินดาน…บนลานกว้าง
    ต้นไผ่คว้าง…กลางโขด…อย่างโดดเดี่ยว
    เป็นไผ่หลง…พงษ์หมู่…อยู่ต้นเดียว
    อวดใบเขียว…เรียวงาม…ช่างหวามจินต์

    ๏ ไผ่หลงกอ...หน่อไผ่...ไม่ย่นย่อ
    ยังแทงช่อ...หน่อผุด...มิหยุดสิ้น
    ต้นแตกหน่อ...ต่อก้าน...พ้นลานดิน
    คล้ายถวิล...ถิ่นฟ้า...นภางาม

    ๏ หน่อเป็นลำ...ค้ำก้าน...แตกฐานราก
    เป็นหลายหลาก...จากหนึ่ง...จึงสองสาม
    ทุกคืนวัน...ฟันฝ่า...พยายาม
    จนลุกลาม...ท่ามดง...แม้หลงกอ

    ๏ ถึงมองไป...ไร้หวัง...ก็ยังขืน
    คงหยัดยืน...ฝืนไป...ไม่ย่นย่อ
    ขอลองดู...สู้ชะตา...มิรารอ
    จนมีหน่อ...ต่อต้น...จนเป็นลำ

    ๏ ไผ่หลงกอ...ต่อพงษ์…กลางดงป่า
    สู้ฟันฝ่า...พาต้น...พ้นพื้นต่ำ
    กิ่งใบก้าน...สานสยาย...คล้ายร่ายรำ
    สานลำนำ...ระบำไพร...ใต้ฟ้าคราม๛

    @@@@@@@@@@@


    ๏ ก้าวเท้าขึ้น..ยืนก๋า..บนตราชั่ง
    เข็มไม่พัง..ยังดี..ไม่ตีกลับ
    ค่อยค่อยจ้อง..มองไป..ใจตุ๊บตั๊บ
    ลมแทบจับ..อีกหน่อย..ก็ร้อยโล

    ๏ ขืนปล่อยไว้..ไม่นาน..พาลจะแย่
    ตั้งใจแน่..แก้ไข..ตามวัยโจ๋
    ลดน้ำหนัก..สักนิด..ใช่คิดโชว์
    เดี๋ยวพุงโร..โตใหญ่..ให้อายคน

    ๏ ตื่นเช้าหวัง..ตั้งใจ..ไปจ๊อกกิ้ง
    ค่อยค่อยวิ่ง..เหยาะย่าง..ข้างถนน
    เท้าสลับ..ขยับไป..ไม่ร้อนรน
    บอกกับตน..วันนี้..ต้องสี่ไมล์

    ๏ เหมือนโดนแกล้ง..แรงหมด..ให้หดหู่
    ใจมันสู้..สังขาร..พาลไม่ไหว
    หันหลังกลับ..จับจ้อง..มองออกไป
    พึ่งวิ่งได้..ไม่กี่หลา..ช่างน่าอาย

    ๏ บอกตัวเรา..เท่านี้..ก็ดีถม
    เดินกินลม..ชมเรื่อย..พอเหนื่อยหาย
    ก้าวเท้าไป..ได้หน่อย..ค่อยผ่อนคลาย
    ไว้ตอนสาย..หายล้า..ค่อยว่ากัน

    ๏ จึงสอดส่าย..สายตา..หาที่พัก
    เพราะเหนื่อยนัก..พักนิด..จิตสุขสันต์
    ตรงหัวมุม..ซุ้มไม้..รีบไปพลัน
    ถูกใจฉัน..นั่นร้าน..อาหารดัง

    ๏ สั่งขาหมู..หูฉลาม..ตามด้วยไก่-
    ตอนตัวใหญ่..ไม่เบื่อ..ทั้งเนื้อ-หนัง
    น่อง-สโพก..อก-ปีก..อีกทั้งยัง-
    ตะโกนสั่ง..หนังกรอบ..ด้วยชอบใจ

    ๏ พออิ่มหมี..พีมัน..หันหลังกลับ
    ถึงบ้านจับ..ตราชั่ง..ลองครั้งใหม่
    มองเห็นเข็ม..เต็มตา..แทบบ้าไป
    เป็นได้ไง..ไอ๊หยา..ร้อย-ห้าโล....๛
    @@@@@@@@@@@


    ๐ สองหลานยาย...พายจ้ำ...เรือลำน้อย
    ตอนบ่ายคล้อย...ลอยถึง..บึงน้ำใส
    กลางนที...มีบัว...อยู่ทั่วไป
    เพลิดเพลินใจ..ในธาร..ทั้งหลานยาย

    ๐ เก็บปทุม...สุมกอง..บนตองแห้ง
    จนสูรย์แสง..แรงรอน...แดดอ่อนสาย
    จับเป็นกำ...นำเคียง...วางเรียงราย
    ก่อนเอี้ยวกาย..พายเรือ...เพื่อหวนคืน

    ๐ ครั้นถึงบ้าน...หลานจูง..ยายมุ่งหน้า
    สู่ศาลา..ท่าน้ำ...ใจฉ่ำชื่น
    ช่วยสานจีบ..กลีบบัว...ไม่มัวยืน
    ยายพักตร์พริ้ม...ยิ้มรื่น...อย่างชื่นชม

    ๐ วางโกสุม…ปทุมาลย์...บนพานแก้ว
    ตั้งจิตแน่ว..แล้ววาง...อย่างเหมาะสม
    จุดธูปหอม...พร้อมเทียน...เวียนประณม
    แล้วจึงโน้ม...ก้มกาย...ถวายบัว

    ๐ พานบงกช...จรดข้าง...กระถางธูป
    ยายคว้าหลาน...มาจูบ...พลางลูบหัว
    แล้วสอนว่า...อย่าให้...ใจหมองมัว
    อันดีชั่ว...ตัวหนู...ย่อมรู้ดี

    ๐ เรื่องชั่วดี...มีอยู่...เคียงคู่โลก
    อีกทุกข์โศก...โรคภัย...ไม่อาจหนี
    ไม่มีใคร...ไหน-พ้น...ทั้งจนมี
    แต่เรานี้...มีสิทธ์..จะคิดทำ

    ๐ อันกิเลส...เภทภัย...มิใช่เคราะห์
    ทำไม่เหมาะ...เพราะใจ...นั้นใฝ่ต่ำ
    อ้างพล่อยพล่อย...รอยหนุน...ของบุญ-กรรม
    จึงไร้สิ้น...ศีลธรรม...ประจำใจ

    ๐ จงจดจำ...คำยาย...อย่าหน่ายแหนง
    เรื่องบุญทำ...กรรมแต่ง...จงแจงใหม่
    อันกุศล...ผลกรรม...ที่ทำไป
    จะถูกใช้...ตัดสิน...เมื่อสิ้นลมฯ

    ๐ มนุษย์นั้นอันชีวิต......พึงลิขิตให้เหมาะสม
    ขมขื่นหรือรื่นรมย์.......สุดแต่ใครจะไขว่คว้า

    ๐ เกิด-ดับและเจ็บ-แก่..พุทธองค์แผ่พระปัญญา
    วัฏสังขารา...............อนัตตาไร้ตัวตน

    ๐ โลโภทั้งโทสัน........อีกโมหันอันหมองหม่น
    มีทั่วทุกตัวคน............ยากหลุดพ้นพึงสังวรณ์

    ๐ อันศีลควรเลี่ยงละ.....ธรรมะคือคุณากร
    ยึดมั่นมิสั่นคลอน........หลักคำสอนพุทธองค์

    ๐ ศีลธรรมน้อมนำจิต...หากชีวิตมิปลิดปลง
    สิ่งล้วนควรธำรง.....อย่างมั่นคงตราบวายปราณ

    ๐ ตามรอยพุทธบาท....แม้นมิอาจลุ-นิพพาน
    ยามละซึ่งสังขาร........ทิพย์วิมานใช่ไกลเลยฯ

    @@@@@@@@@@


    มอบให้คนใจช้ำทุกคนนะจ้า

    ๏ ไร้สุรีย์..สีทอง..ฉายส่องฟ้า
    ม่านเมฆา..คลุมครอบ..รอบบุหลัน
    ดาวกระพริบ..ลิบไกล..เย้ยใครกัน
    ยังไหวสั่น..ดังย้ำ..ให้คำนึง

    ๏ ครั้งหนึ่งนั้น..จันทร์ดาว..สกาวใส
    เคยถ่ายโอน..สู่ใจ..ต่างใฝ่ถึง
    สัมพันธ์สอง..คล้องขวัญ..นั้นตราตรึง
    บัดนี้หนึ่ง..ดาวดับ..สิ้นวับวาว

    ๏ พิณบรรเลง..เพลงป่า....เวลาค่ำ
    น้ำค้างฉ่ำ..หยดหยาด..อากาศหนาว
    ไม่มีฝัน..ฝากไว้..ในเดือนดาว
    เพียงเรื่องราว..รอยช้ำ..ย้อนรำลึก

    ๏ ข่มตานอน..อ่อนล้า..กับฟ้าหลัว
    ในเวหน..หม่นมัว..ทั่วฟ้าดึก
    เก็บเรื่องราว..คราวช้ำ..ในสำนึก
    ทั้งรู้สึก..โศกเศร้า..รอเช้าเยือน๛

    @@@@@@@@@@@




    ๐ มาพบพานเพื่อนครั้ง.....เยาว์วัย
    ปีผ่านเดือนผันไป..............ไม่น้อย
    ต่างตัวแต่หัวใจ..................มิต่าง
    วัยย่างเกินครึ่งร้อย............ต่างใกล้วัยเกษียณ..ฯ

    ๐ เคยเรียนเคยเล่นร้อง.....ร่วมกัน
    เกิดก่อความสัมพันธ์.........แน่นแฟ้น
    มิตรภาพเนิ่นนานวัน..........มิเปลี่ยน
    ถึงต่างเมืองต่างแคว้น.......ต่างร้อยรวมใจ.. ฯ

    @@@@@@@@@@@


    ณ เนินกว้างทางไหนก็ไม้ดอก
    ที่ผลิออกอวดชูเต็มภูเขา
    แดดเช้าฉายไม้ช่อจึงก่อเงา
    สายลมเบาโบกคว้างอยู่กลางดิน

    เขาเงยหน้าตาหลับสดับเสียง
    แม้แผ่วเพียงลมพัดสัมผัสหิน
    แม้เสียงปีกกำดัดนกหัดบิน
    และได้ยินคำบอกของหมอกโปรย

    ภารกิจอยู่ยังอีกฝั่งฟาก
    เธออาจฝากข่าวไปหากไห้โหย
    ลมวสันต์กรรโชกจะโบกโบย
    เขารู้โดยยินแค่กระแสลม

    แม้มิใช่มนุษย์คนสุดท้าย
    เขายอมตายไม่พร้อมจะยอมล้ม
    มีความฝันวันตื่นไว้ชื่นชม
    ไม่ยอมก้มศีรษะต่อชะตา

    ในท้องน้ำค่ำไหนคงไม่ต่าง
    ทุกเดินทางคำตอบคือขอบฟ้า
    คงมีเรื่องเล่าฝากจากปากกา
    จะกลับมาสวมกอดเมื่อจอดเรือ

    ..จงเข้มแข็งเพื่อฉันอย่าหันหลัง
    หากเธอยังเชื่อมั่นเหมือนฉันเชื่อ
    หวั่นศรัทธาถอยห่างจนจางเจือ
    อย่าน้อยเนื้อต่ำใจยามไกลจร

    ถ้าใจน้อยบ่อยครั้งจะฝังราก
    จนลึกมากเกินหยั่งหรือรั้งถอน
    ถ้าคิดถึงทุกคราวก่อนเข้านอน
    ก็ยากคลอนใจคลายให้หน่ายกัน

    แหวนดอกไม้วงน้อยดูด้อยค่า
    สวมเถิดถ้าวันหนึ่งคิดถึงฉัน
    อาจเก็บไว้ใส่ตลับคอยนับวัน
    อย่าปล่อยมันทิ้งขว้างลงกลางทราย

    แหวนที่มือหยาบกร้านฉันสานจีบ
    ทุกก้านกลีบมาลีมีความหมาย
    มีสุขทุกข์เจ็บปวดเป็นลวดลาย
    ขมวดปลายเป็นขดแทนอดทน

    หวังหนาวหน้าฝ่าคลื่นมายืนคู่
    ฝ่าฤดูมรสุมและกลุ่มฝน
    ผ่านวันล่วงเลยล่องเราสองคน
    คงข้ามพ้นความเหงาแห่งเยาว์วัย

    จะเรียนรู้ใจกันเมื่อวันห่าง
    ระยะทางเปลี่ยนแปรเราแค่ไหน
    ฉันจะยังคงรอเธอก่อไฟ
    โปรดอย่าให้ไฟสรวงนั้นร่วงลง

    ทะเลค่ำน้ำเค็มไร้เข็มทิศ
    เมื่อมืดมิดเรือน้อยคงลอยหลง
    ถ้าแสงสรวงดวงนั้นยังมั่นคง
    ก็โปรดจงส่องสว่างนำทางเรือ

    ฉันจะรอดาวรุ้งจนรุ่งฟ้า
    นำนาวาเดินทางด้วยหางเสือ
    หวั่นเขม่าเร้ารุมจนคลุมเครือ
    อาจเป็นเหยื่อมัจฉาให้ปลากิน

    ฉันจะใช้การกระทำแทนคำพูด
    บทพิสูจน์ชายชาญคืองานหิน
    เมื่อภาระผ่านพ้นไร้มลทิน
    นกขมิ้นอาภัพจะกลับรัง….
    ........................................

    แล้วเรือลำน้อยน้อยก็ลอยล่อง
    สู่ห้วงท้องธารพรากไปจากฝั่ง
    เธอยืนมองท้องน้ำตามลำพัง
    ก่อนจะหลั่งน้ำตาอย่างล้าแรง

    จึงจับแหวนดอกไม้ที่ไร้ค่า
    เคยสัญญากับเขาจะเข้มแข็ง
    กลับผิดคำสัญญาสองตาแดง
    กลายเป็นแอ่งหยดน้ำแทนคำลา

    เพียงหวังการเดินทางใช่ลางร้าย
    ยังคาดหมายพบกันในวันหน้า
    แลเรือน้อยลอยลับไปกับตา
    ขณะฟ้าจรดน้ำเริ่มค่ำลง....

    กลอนครู


    @@@@@@@@@@@


    ------กลับบ้าน------(ฉบับแก้ไข)

    ๏ รถอีแต๋น..แกนผุ..บุโรทั่ง
    รอบตัวถัง..บังไว้..ด้วยไม้ฝา
    ผ้าใบขึง..ตรึงรั้ง..เป็นหลังคา
    ไม้มะค่า..มาขัด..ดัดเป็นโครง

    ๏ นั่งจากเช้า..เข้าสาย..ยันบ่ายคล้อย
    เห็นต้นไม้..ใหญ่น้อย..จิตพลอยโปร่ง
    เถาวัลย์คละ..ประปราย..ระยายโยง
    สงบเงียบ..เรียบโล่ง..ถึงโค้งฟ้า

    ๏ ทางลูกรัง..ทั้งแห้ง..และแดงจัด
    เลื้อยเลาะลัด..ตัดทาง..ไปข้างหน้า
    ที่คอยรอ..ก็พร่าง..กระจ่างตา
    ถิ่นที่พราก..จากลา..มาแสนนาน
    ...................................................

    ๏ อีแต๋นเก่า..เพลา,แหนบ..ที่แทบหลุด
    ก็มาหยุด..สุดทาง..ที่ข้างบ้าน
    ขนของฝาก..มากล้น..อย่างลนลาน
    รีบเดินผ่าน..ลานกว้าง..เป็นอย่างไว

    ๏ สาดตามอง..จ้องไป..อย่างใจจ่อ
    น้ำตาคลอ..พอแล..บนแคร่ไผ่
    ภาพพ่อตอน..นอนหลับ..ช่างจับใจ
    มือแม่ปัด..กวัดไกว่..คอยไล่ยุง

    ๏ ก้มกายลง..ตรงเข้า..กราบเท้าท่าน
    แทนทุกคำ..พร่ำขาน..หนุ่มบ้านทุ่ง
    ทักพี่น้อง..ผองน้า..อา,ป้า,ลุง
    กลับจากกรุง..มุ่งมา..บ้านนาเรา
    ......................................................

    ๏ หอมไอดิน..กลิ่นหญ้า..เวลาพลบ
    ตะวันหลบ..ดวงสู่..หลังภูเขา
    ภาพที่ยัง..ฝังใจ..ครั้งวัยเยาว์
    ทยอยเข้า..มาเยือน..เตือนความจำ

    ๏ “เคยถือเบ็ด..คู่กาย..สะพายข้อง
    ไปยังหนอง..คลองตื้น..แต่ชื่นฉ่ำ
    ได้ปลามาก..หลากแท้..ให้แม่ทำ
    ทั้งแกงส้ม..ต้มยำ..อย่างสำราญ

    ๏ ปั้นดินไว้..ใส่พก..ยิงนกเอี้ยง
    นั่งเฝ้าเถียง..เลี้ยงควาย..ท้ายหมู่บ้าน
    นอนนับดาว..พราวฟ้า..ราตรีกาล
    แสนชื่นบาน..บ้านป่า..เมื่อครานั้น”
    .....................................................

    ๏ หากไม่ท้อ..พอเพียง..จะเลี้ยงปาก
    แต่จำพราก..จากไป..เพราะไฟฝัน
    เพื่อครอบครัว..ทั่วหน้า..จึงฝ่าฟัน
    เพียงหมายมั่น..วัน”สุข”..เพื่อทุกคน

    ๏ เจ็ดวันลา..มาพัก..สุขนักเจ้า
    วันที่เรา..เฝ้าคอย..กว่าร้อยหน
    เมื่อได้พบ..สบผอง..พี่น้องตน
    ช่างระรื่น..ชื่นกมล..ใจคนคอย

    ๏ ครบวันลา..มาพัก..เศร้านักจิต
    เหมือนชีวิต..ติดค้าง..เกินร้างถอย
    พรุ่งนี้จำ..อำลา..บ้านป่าดอย
    ใจก็พลอย..หงอยตรม..จนซมซาน
    ..........................................................

    ๏ รถอีแต๋น..แสนคร่ำ..สีดำด่าง
    ก็ค่อยค่อย..ถอยห่าง..จากข้างบ้าน
    หนุ่มบ้านนา..ลาลับ..กลับทำงาน
    สร้างตำนาน..สานวัน..ที่ฝันรอ....๛

    @@@@@@@@@@


    กี่ห้วงกาล..ผ่านไป..มิไหวหวั่น
    ความสัมพันธ์..นั้นแน่น..ดุจแผ่นผา
    จะคำนึง..ถึงกัน..ขอสัญญา
    มิตรภาพ..ตราบหล้า..ฟ้ามลาย

    แม้ต่างตัว..หัวใจ..กลับไม่ต่าง
    มิแรมร้าง..จางจิต..มิตรสหาย
    ไม่ลืมเลือน..เพื่อนกัน..ตราบวันตาย
    คล้องเป็นสาย..สัมพันธ์..นิรันดร


    @@@@@@@@@@@


    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×