ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มณีเวทย์เสน่หา ตอน น้ำตาจันทรา

    ลำดับตอนที่ #4 : 4. ประวัติ น้ำตาจันทรา

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ย. 51


    " อะไรนะ นี่พวกท่านล้อข้าเล่นใช่ไหม " เมโลดีกล่าวออกมา " มันไม่มีทางเป็นไปได้ แล้วมณี น้ำตาจันทราอะไรข้าก็ไม่รู้จักไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ ไม่มีทางแน่นอน " 
    " ซาอุ ถ้าเจ้าจะกรุณา ช่วยเล่าประวติความเป็นมาให้นางฟังก่อนเถอะ แล้วนางจะเปลี่ยนใจ " เป็นครั้งแรกที่นิวไอเค่นพูดจริงจัง และถูก ตามความเห็นของซาอุ เขานึกว่าเจ้าชายองค์นี้จะไม่มีอะไรเหมือนเจ้าชายทั่วไปแล้วซะอีก อย่างน้อย เค้าก็ฉลาด และมีเหตุผล
    " ยินดี เมื่อ 5,000 ปีก่อน..." ซาอุเริ่มเล่าพร้อมกับหันไปมองผู้ฟังทั้ง 2 คนที่นั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
          " ตอนนั้นเมืองมณีเวทย์ตาลัยชื่อเมืองเอกานีส และหาได้รุ่งเรื่องอย่างปัจจุบันไม่ เมืองมณีเวทย์ตาลัยในตอนนั้นมีศัตรูรอบด้านที่คิดจะแย่งชิงผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ท่ามกลางหิมะของเรา " ซาอุหยุดจิบน้ำนิดนึงแล้วเล่าต่อ " วันหนึ่ง เมืองต่างๆต่างทยอยกันมาสู้รบปรบมือกับเมืองเราที่ละเมืองทีละเมืองจนเราเริ่มอ่อนกำลังลง เมืองที่เกือบจะแย่งชิงแผ่นดินเราไปได้คือเมือง เปลวเพลิงพิศนุ ซึ่งร้อนระอุอยู่ตลอดเวลา ขณะนั้นเองเมืองของเรากำลังจะพ่ายหินก้อนโตก้อนหนึ่งที่อยู่กลางเมืองก็เปล่งแสงออกมา ปดติหินก้อนนั้นไม่ได้เป็นที่สนใจอะไรเลย แต่เมื่อมันเปล่งแสงขึ้นราวกับมีวิญญาณแห่งกองทัพสถิทอยู่ เหล่าทหารที่มีอยู่น้อยนิดกลับมีเรี่ยวแรง และต่างรู้สึกว่ามีกำลังวังชามากกว่าเดิมป็นร้อยเท่า พันเท่า ทำให้ชนะศึกครั้งนั้นได้ เมื่อบ้านเมืองเริ่มเข้าที่เข้าทางพระราชาในตอนนั้นทรงสงสัยว่าอะไรอยู่ในหินนั้นที่ทำให้เรืองแสงพระองค์จึงส่งให้สังเกตุบนหินก้อนนั้นพบรอยแยกที่เหมือนกับประตูอยู่ พระองค์จึงมีราชโองการให้เปิดออก แต่ไม่มีใครเปิดออกได้เลยจนพบว่าจะต้องนำอะไรบางอย่างซึ่งเป็นกุญแจมาไขถึงจะสามารถเปิดประตูหินนั่นได้ พระองค์ทรงป่าวประกาศว่า หากผู้ใดสามารถเปิดประตูนี้ออกได้จะแต่งตั้งให้เป็นขุนนางชั้นสูงมียศเทียบเท่าราชครู ซึ่งในสมัยนั้นเป็นตำแหน่งที่สูงมาก แต่พระองค์ก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อไม่มีใครเปิดประตูหินออกได้เลย จนวันหนึ่งมีหญิงสาวคนหนึ่งหลงเข้ามาในเมืองรู้ข่าวรื่องหินนี้จึงเดินทางไปดู นางสังเกตุเห็นลวดลายบนประตูหินเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวงอยู่ข้างๆรอบบุ๋มซึ่งเป็นที่สำหรับใส่กุณแจเข้าไป นางนึกถึงสร้อยประจำตระกูลของนางซึ่งแขวนอยู่ที่คอ มันมีลวดลายเหมือนกัน ไม่สิ เชื่อมต่อกันต่างหาก นางจึงเข้าวังเพื่อแจ้งความประสงค์ที่จะเปิดประตูดู พระราชาซึ่งอายุ เกือบร้อยปีแล้วก็ตอบตกลง พระองค์ต้องให้ทุกคนได้รับโอกาสในการลอง เพราะพระองค์ต้องการรู้ว่าภายในนั้นมีอะไร วันรุ่งขึ้นหญิงสาวทูลว่าต้องวันที่พระจันทร์เต็มดวงเท่านั้นถึงจะเปิดประตูได้ พระองค์จึงได้แต่รอ จนวันนั้นมาถึง เที่ยงคืนพระจันทร์เต็มดวงอยู่ตรงหัวพอดี พิธีจึงเริ่มขึ้น นางพึมพัมอะไรสักอย่างเป็นเวลานาน แล้วถอดสร้อยของนางมาประทับบนก้อนหิน ประตูนั้นสั่งเล็กน้อยแล้วเปิดกว้าง หญิงสาวยิ้มอย่างมีชัย นำพระราชาก้าวลงไปตามขั้นบันไดทันที บนพนังข้างบันไดมีภาพเขียนอยู่เต็มไปหมดแสดงถึงเรื่องราวของอุโมงลับนี้ แต่ขณะเวลานั้นไม่มีใครใจเย็นดูภาพเขียนที่ละภาพแน่ ในที่สุดก็มาถึงห้องๆหนึ่ง ตรงกลางมีมณี 4 อย่างวางอยู่ 
    1. เป็นสีน้ำเงินใส เป็นรูป ดาวมนๆ ต่อมาชื่อว่า รัศมีราดา
    2. ใสไม่มีสี เป็นลักษณะกลมรี ต่อมาชื่อว่า เทวาบาดาล
    3. เป็นสีแดงส้มใส ลักษณะคล้ายๆหมวก ต่อมาชื่อว่า แสงสุริยา
    4. เป็นรูปคล้ายๆหยดน้ำวางในแนวตั้ง ตรงกับช่องที่แสงจันทร์ส่องลงมา จึงให้ชื่อว่า น้ำตาจันทรา 
    พระราชายืนพระหัสต์ของพระองค์ไปหยิบแต่มันหนักมากจนพระองค์ไม่สามารถยกขึ้น หญิงสาวยืนมือออกไปหยิบนางหญิงได้อย่างง่ายดาย มันเปล่งแสงอยู่ในมือของนางและถ่ายเทพลังครึ่งหนึ่งให้แก่นาง นางเป็นเจ้าของมันอย่างสมบูรณ์แล้ว ต่อมามณีทั้ง 4 เป็นที่บูชาของชาวเมืองและมณีทั้ง 4 คอยปกป้องชาวเมืองตลอดมา จนวันหนึ่งวันสุดท้ายของชีวิตหญิงผู้นั้นก็มาถึงเมื่อนางเสียชีวิตน้ำตาจันทราก็ลอยขึ้นแล้วหายไปอยู่ที่ไหนสักแห่งรอให้เจ้าของของมันกลับมา เมื่อมณีขาดไปพลังก็เสื่อมลงเสื่อมลงมาถึงปัจจุบัน และบังเอิญว่าหญิงนางนี้ชื่อ เมโลดี บราวน์ เหมือนกับเจ้า " ซาอุหันไปทางเมโลดีหลังเล่าจบ   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×