คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บันทึกของบาทหลวงจอห์น
บทที่ 3 บันทึกของบาทหลวง
พ่อมาเคาะประตูห้องปลุกฉันแต่เช้า ให้รีบไปทำงานวันแรกที่ร้านขายขนมเค้ก ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมา ยกมือขึ้นขยี้ตาให้หายงัวเงีย จากนั้นก็มองไปรอบๆ วาเรี่ยนไม่อยู่ในห้องแล้ว เขากลับไปก่อนรุ่งสางอย่างที่บอกไว้เมื่อคืน
“เกรส ตื่นรึยัง?”
“ตื่นแล้วค่ะพ่อ แต่งตัวเรียบร้อยแล้วหนูจะลงไปค่ะ”
“อือ ทำงานวันแรกอย่าไปสายล่ะ” พูดจบพ่อก็เดินลงบันไดไป ฉันคลำไปที่คอตัวเอง สร้อยน้ำตามหาสมุทรสีฟ้าใสยังคงสวมอยู่ที่คอฉัน ไม่ได้หายไปไหน ขณะกำลังจะก้มลงมองรอยปานที่ข้อเท้า ฉันก็เปลี่ยนใจ ไม่มองมันดีกว่า ฉันไม่อยากมองเพื่อที่จะพบว่ามันขยายใหญ่ขึ้น แล้วต้องมานั่งกลุ้มใจโดยที่ทำอะไรไม่ได้ มันคงเป็นความพยายามหลบหนีความจริงอย่างหนึ่ง เมื่อมองหน้าตัวเองในกระจกขณะแต่งตัว ฉันรู้สึกว่าตัวเองช่างดูเหมือนคนป่วยเหลือเกิน ใต้ตาที่ปกติคล้ำหน่อยๆ ตอนนี้ยิ่งคล้ำขึ้นไปอีก อยู่ๆหัวก็รู้สึกปวดขึ้นมา คงเพราะความกังวลที่อัดแน่นอยู่มากมาย ฉันล้มตัวลงนอนบนเตียงสักครู่ แต่แล้วความกลัวก็ทำให้ฉันไม่อยากอยู่ในห้องคนเดียว ฉันควรรีบไปทำงาน ไปอยู่ท่ามกลางผู้คนเยอะๆ แม้ตอนนี้หัวจะปวดอยู่ก็ตาม
ฉันไปถึงช้ากว่าที่ป้าเบ็ตตี้นัดเล็กน้อย แต่ป้าก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วเริ่มสอนสิ่งต่างๆให้ฉันทันที ตั้งแต่จำความได้ จนถึงตอนนี้ ฉันเคยทำเค้กแค่สองครั้งเท่านั้น และมันก็ไม่อร่อยเลยสักนิด เนื่องจากอบนานเกินไปจนไหม้ ป้าเหมือนจะรู้ดีเมื่อเห็นท่าทางเก้ๆกังๆของฉัน เลยให้ไปทำงานง่ายๆก่อน อย่างตีส่วนผสมให้เข้ากัน มันง่ายก็จริง แต่เมื่อต้องคนแป้งเหนียวหนึบติดต่อกันนานๆ แขนของฉันก็ล้าไปหมด และมันคงเจ็บมากแน่หลังจากผ่านคืนนี้ไป บางครั้งฉันก็ต้องไปช่วยล้างถ้วยชามและอุปกรณ์อื่นๆบ้าง ทุกครั้งที่ต้องสัมผัสน้ำ ขนที่ร่างกายก็ลุกซู่ด้วยความกลัวขึ้นมาทันที วิญญาณร้ายพวกนั้นไม่ได้อยู่แค่ในทะเล แต่มันตานฉันเข้ามาในห้องได้ และอาจจะตามมาที่นี่ด้วยก็ได้ เมื่อนึกถึงคำเตือนของวาเรี่ยน ที่บอกว่าให้อยู่ห่างๆน้ำเข้าไว้ ฉันก็ยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก
หลังเลิกงาน ป้าเบ็ตตี้จ่ายเงินให้พนักงานทุกคนเป็นรายวัน แม้จะทำงานวันแรก แต่ป้าเบ็ตตี้ก็ให้เงินฉันเหมือนเช่นพนักงานประจำคนอื่นๆ โชคดีที่วันนี้ผ่านไปด้วยดี ไม่มีอุบัติเหตุหรือความผิดพลาดเกิดขึ้น พรุ่งนี้ป้าเบ็ตตี้จึงให้ฉันมาทำงานต่อ หวังว่าป้าคงให้ฉันทำอย่างอื่นบ้าง นอกจากตีส่วนผสมให้เข้ากัน ฉันเดินออกจากร้านขนมปังและมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นวี่แววของวาเรี่ยนเลยสักนิด ว่าแล้วว่าเขาความตามมาไม่ถูก พวกเงือกไม่น่าถนัดเดินหาสถานที่ต่างๆไปตามถนนนัก ฉันยืนรอหน้าร้านขนมเค้กอีกสักพัก เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมาจึงตัดสินใจเดินไปที่โบสถ์ ท่าทางฉันคงต้องหาข้อมูลคนเดียวซะแล้ว วันนี้จะได้เจอบาทหลวงริชาร์ตรูปหล่อมั้ยนะ อ้าา น่าเสียดายจริงๆที่คนหล่อแบบนั้นไปเป็นบาทหลวง ไม่ ไม่ ไม่ ฉันส่ายหัวไปมาเพื่อไล่ความคิดไม่เข้าท่าออกไป ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาชื่นชมความหล่อของผู้ชาย ฉันเดินอย่างรีบร้อนไปยังโบสถ์ ผ่านถนนเล็กๆที่มีผู้คนเดินประปราย อยู่ๆก็มีใครบางคนดึงแขนไว้ ฉันสะดุ้ง แล้วรีบหันควับไปมองทันที
“ข้าเอง”วาเรี่ยนกล่าวขึ้น
“เฮ่ออออ”ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ลมหายใจยังหอบแรงเนื่องจากความตกใจเมื่อสักครู่ หมู่นี้ไม่ว่าจะได้ยินได้เห็นอะไร ฉันก็คิดว่าเป็นวิญญาณร้ายพวกนั้นไปซะหมด ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปนานๆ ฉันต้องเป็นบ้าตายแน่
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“ฉันแค่ตกใจเท่านั้น นึกว่านายจะไม่มาซะแล้ว” ฉันมองสำรวจรอบตัววาเรี่ยน เขาใส่ชุดเหมือนเมื่อครั้งแรกที่เห็นเขาเดินขึ้นมาจากทะเล แต่วันนี้มีเสื้อสูทสีน้ำตาลเข้ากับกางเกงสวมทับด้วย ผมสีทองที่ปกติปล่อยสยาย วันนี้ถูกรวบไว้หลวมๆที่ท้ายทอย แต่ถึงเขาจะพยายามทำตัวให้คล้ายมนุษย์ยังไง เขาก็ยังดูแปลกอยู่ดี คงเพราะผมสีทองยาวสลวยและดวงตาสีฟ้าใสที่ออกจะหล่อเกินไปสักหน่อย แต่ที่แปลกที่สุดคงเป็นดาบรูปร่างประหลาดนั่น ตั้งแต่เกิดมาฉันเพิ่งเห็นดาบแบบนั้นเป็นครั้งแรก คนอื่นอาจจะคิดว่ามันเป็นดาบจากต่างประเทศ หรือแย่กว่านั้น คือคิดว่ามันเป็นดาบโจรสลัด
“ข้าไม่อยากเข้าไปหาเจ้า ท่ามกลางผู้คนมากมาย”วาเรี่ยนตอบ หมอนี่รอบคอบใช้ได้ทีเดียว
“เอาล่ะไปกันเถอะ”ฉันกวักมือให้เขาตามมา แล้วรีบสาวเท้าก้าวยาวๆไปยังโบสถ์ ตอนนี้บ่ายสามกว่าๆแล้ว ถ้าคาดไม่ผิดห้องสมุดของโบสถ์คงปิดก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เวลาเหลือน้อยลงไปทุกทีๆ ฉันต้องรีบหาวิธีเอารอยปานนั่นออกไปให้ได้โดยเร็วที่สุด อีกใจหนึ่งก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้ ว่าฉันจะมีชีวิตรอดผ่านคืนนี้ไปได้รึเปล่า
หลังจากเดินจ้ำอ้าวสักพัก ฉันกับวาเรี่ยนก็มาถึงโบสถ์ มันเป็นโบสถ์ขนาดเล็ก ความจริงไม่ได้เล็กอะไรมากมายหรอก แต่ฉันคิดว่ามันเล็กเมื่อเทียบกับโบสถ์ในเมืองหลวง โบสถ์หลังนี้ถูกสร้างด้วยอิฐสีเทาอ่อน หลังคาเป็นยอดแหลมปูด้วยกระเบื้องสีน้ำเงินเข้ม และแน่นอนว่าต้องมีระฆังสีทองแขวนอยู่ข้างบน ตามแบบฉบับของโบสถ์ในศาสนจักร ด้านหน้ามีหน้าต่างทรงสูงอยู่สี่บาน ถูดติดด้วยกระจกสีเป็นรูปดอกลิ่ลลี่ ฉันแหงนหน้าขึ้นมองสัญลักษณ์ดาวหกแฉกสีทองที่อยู่เหนือประตูอย่างกังวลใจ ก่อนจะผลักประตูไม้บานใหญ่เข้าไปในโบสถ์ ในสถานที่แห่งนี้ ฉันจะได้รับการคุ้มครองรึเปล่านะ....
“ขอโทษค่ะ ห้องสมุดอยู่ทางไหนคะ?”ฉันรีบถามขึ้น เมื่อเห็นอโคไลท์คนหนึ่งเดินผ่านมา
“เข้าไปที่ประตูด้านขวา แล้วเดินตรงไปครับ”
“ขอบคุณค่ะ”ฉันรีบเดินเข้าไปทันทีหลังจากได้รับการบอกทาง ส่วนวาเรี่ยนมองไปรอบๆโบสถ์สักครู่แล้วเดินตามเข้ามา
ในห้องสมุดนั้นเงียบกริบไม่มีคนอยู่สักคน บ่งบอกเป็นอย่างดีว่าชาวบ้านคิดอะไรอยู่ ผนังแต่ละด้านเป็นสีขาวเช่นเดียวกับด้านในห้องพิธี ตู้ไม้สีน้ำตาลเข้มสี่ตู้ถูกวางตั้งอยู่ แต่ละชั้นมีหนังสือเรียงไว้แน่น ฉันรีบเดินไปยังตู้หนังสือที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วไล่นิ้วไปมาขณะอ่านชื่อเรื่อง ที่พิมพ์อยู่ที่สันปก
“ไม่ต้องลุกลี้ลุกลนแบบนั้นก็ได้”
“นายไม่ใช่ฉันนี่ ถึงได้ใจเย็นอยู่ได้”ฉันตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด แล้วหาหนังสือต่อไป เมื่อเจอหนังสือที่คิดว่าน่าจะประโยชน์ ฉันก็หยิบมันออกมากองสุมกับไว้บนโต๊ะ
“ข้ารู้ว่าเจ้ากลัว แต่การใจร้อน ไม่ช่วยอะไร” วาเรี่ยนพูดขึ้นขณะดึงเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง ฉันพยายามฟังที่เขาพูด ถึงจะเข้าใจก็จริง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นประโยคที่แปลกๆ แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเงือกใช้ภาษาไม่ซับซ้อนเท่ามนุษย์
“ถ้าว่างมากนักล่ะก็เอาหนังสือเล่มนั้นไปค้นดู ว่ามีอะไรเกี่ยวกับวิญญาณร้ายพวกนั้นเขียนไว้รึเปล่า”ฉันพูดพร้อมกับยื่นหนังสือให้วาเรี่ยน เขารับไปแล้วมองหน้าปกอย่างงุนงง
“คำนี้อ่านว่าอะไร?”เขาถามขึ้น แล้วจิ้มไปยังตัวอักษรสีทองที่เขียนอยู่บนปก ฉันหันไปถลึงตาใส่อย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“นี่นายอ่านไม่ออกเหรอ!?”
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ มันไม่ใช่ความผิดของข้าอ่านภาษาของเจ้าไม่ได้ทุกคำ”เงือกหนุ่มมองมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ฉันขอโทษ ลืมไปว่านายไม่ใช่....เอ่อ....แต่พวกนายพูดภาษาของเราได้ไม่ใช่เหรอ”
“พวกเราเลียนแบบภาษาของเจ้าก็จริง แต่พวกเราไม่เขียนหนังสือ พวกข้าใช้การสลักหินเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวเท่านั้น การที่ข้าอ่านภาษาของเจ้าได้ครึ่งหนึ่งก็นับว่ามากแล้ว” เขากอดอก และเบะปากหลังพูดจบ
“งั้นเหรอ แล้วพวกนายไม่แต่งกลอนแต่งนิยายหรืออะไรแบบนี้บ้างรึไง”
“พวกเราเล่าเรื่อง แล้วจดจำมันไว้ ข้าเชื่อว่าพวกเรามีความจำที่ดีกว่ามนุษย์”
“อ้อ...งั้นเหรอ”ฉันพูดยานคาง รู้สึกเหมือนถูกหลอกด่า ว่าความจำสั้นยังไงก็ไม่รู้ “ความจริงไม่ใช่ทุกคนในหมู่บ้านที่อ่านหนังสือออก โดยเฉพาะผู้หญิงยิ่งมีน้อย แต่พ่อของฉันเป็นนักเขียนน่ะ เขาเลยสอนฉันอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก”
วาเรี่ยนไม่พูดอะไรต่อ เขาเหลือบมองฉันนิดหนึ่ง จากนั้นก็เปิดหนังสือข้ามไปข้ามมา และหยุดดูอย่างตั้งใจในหน้าที่มีภาพวาดประกอบ เมื่อเป็นดังนั้นฉันจึงกลับมาสนใจคัมภีร์ยูดาซิสที่ถืออยู่ในมือแทน ปกติฉันไม่เคยคิดจะเปิดคัมภีร์ออกมาอ่านเลยสักนิด ถ้าไม่ได้ไปโบสถ์ล่ะก็ การค้นหาของฉันในครั้งนี้จึงสะเปะสะปะ เปิดไปมั่วซั่ว และไม่มีวี่แววว่าจะหาสิ่งที่ต้องการเจอ หรือบางทีมันอาจจะไม่มีให้หาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้....
ฉันพักสายตาแล้วหันไปมองวาเรี่ยน เขากำลังพยายามอ่านหนังสือ ที่อ่านรู้เรื่องเพียงแค่ครึ่งเดียวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง ฉันสัมผัสได้ถึงความพยายามของเขา ทำไมเงือกตนๆนี้ถึงต้องพยายามช่วยฉันมากขนาดนี้ด้วยนะ มันไม่มีเหตุผลที่สมควรสักอย่าง เขาเป็นเงือก ฉันเป็นมนุษย์ และเราเพิ่งพบกัน ที่จริงเขาปล่อยให้ฉันถูกวิญญาณร้ายพวกนั้น ลากลงไปในทะเลตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันก็ยังได้ ทำไมกันนะ ทำไมเขาถึงได้พยายามช่วยฉันมากขนาดนี้
“สวัสดีครับ คุณเกรส”เสียงนุ่มนวลทักขึ้น บาทหลวงริชาร์ตค่อยๆเดินเข้ามาหา ด้วยท่าทางสำรวม “ไม่รู้มาก่อนว่าคุณก็สนใจศึกษาพระวจนะของพระเจ้าด้วย”เขายิ้มออกมา เมื่อเห็นคัมภีร์ยูดาซิสในมือฉัน ขอโทษจริงๆนะหลวงพี่ แต่ถ้าไม่จำเป็นล่ะก็ฉันไม่อยากแตะมันด้วยซ้ำ
“สวัสดีค่ะ”ฉันตอบสั้นๆไม่พูดมาก ด้วยไม่อยากโกหกในโบสถ์
“แล้วคุณคือ....ผมคิดว่าผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อนนะครับ”บาทหลวงริชาร์ตมองวาเรี่ยนอย่างพินิจพิจารณา ฉันคาดว่าเขาคงรู้จักทุกคนในหมู่บ้านเป็นอย่างดี ขนาดเพิ่งพบฉันครั้งเดียว เขายังจำชื่อฉันได้
“เอ่ออ...ข้า..”
“เขาชื่อวาเรี่ยน เป็นเพื่อนฉัน มาจากหมู่บ้านข้างๆน่ะค่ะ”ฉันชิงตอบก่อนที่เขาจะพูดอะไรแปลกๆออกไป
“อ้อ มิน่าล่ะถึงไม่เคยเห็นมาก่อน ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมบาทหลวงริชาร์ต”เขาหันไปยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แล้วมองอย่างสนใจ
วาเรี่ยนรีบก้มหน้าลงเมื่อเผลอสบตาเข้ากับอีกฝ่าย “ยินดี...ที่ได้รู้จัก” เขาตอบออกไปอย่างตะกุกตะกัก ท่าทางดูเกร็งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด บาทหลวงมองเขาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
“ผมรู้สึกดีใจที่หญิงสาวอายุน้อยอย่างคุณ สนใจศึกษาพระวจนะของพระเจ้า หมู่นี้คนหนุ่มสาวมีแต่อยากออกจากหมู่บ้าน เข้าไปหาสีสันในเมืองหลวงกัน”บาทหลวงหนุ่มพูดขึ้น แล้วก้มมองคัมภีร์ในมือฉันอย่างใช้ความคิด ความจริงฉันอยากจะบอกไปเหมือนกัน ว่าฉันเองก็อยากไป แม้บาทหลวงริชาร์ตจะหล่อเหลา แต่ท่าทางนิสัยของพวกเราคงเข้ากันไม่ได้
“ผมเอาหลังสือมาคืน เห็นพวกคุณเข้าเลยเข้ามาทักทาย ผมไม่รบกวนแล้วล่ะครับ ถ้ามีอะไรอยากให้ผมช่วยอธิบาย มาถามได้เสมอ ขอตัวก่อนนะครับ” ขณะที่เขากำลังจะเดินจากไป ฉันก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เดี๋ยวค่ะ!” ฉันรีบร้องห้าม บาทหลวงริชาร์ตหันมามองแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
“คือว่า....ฉันกำลังหาบางอย่างอยู่ คือ...”ฉันนิ่งเงียบไปสักครู่พยายามเรียบเรียงคำพูดให้ออกมาดูแปลกน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ “คุณเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ......วิญญาณที่ดูคล้ายซากศพในทะเลมั้ยคะ?”
“ทะเลที่ไหนเหรอครับ?”เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ทะเลแถวหมู่บ้านนี้น่ะค่ะ”
บาทหลวงริชาร์ตหันไปมองยังหน้าต่างประดับกระจก ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มเป็นสีส้มขึ้นมาแล้ว และคงแดงขึ้นเรื่อยๆเมื่อพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน “ทำไมถึงถามเรื่องนั้นขึ้นมาล่ะครับ?”
ฉันก้มหน้ามองคัมภีร์พยายามนึกว่าจะตอบอย่างไรดี แต่แล้วก็นึกคำตอบที่เข้าท่าไม่ออกจริงๆ โดยเฉพาะการที่ต้องตอบบาทหลวงนั้นยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ถ้าบอกว่าถูกวิญญาณร้ายเล่นงานล่ะก็ บาทหลวงริชาร์ตอาจจะจับฉันไปรดน้ำมนต์หรือไม่ก็ให้สวดมนต์ยืดยาวเป็นหางว่าวก็ได้
“ปัญหาส่วนตัว ตกลงเจ้ารู้เรื่องพวกนั้นรึเปล่า”วาเรี่ยนถามขึ้นห้วนๆตามแบบฉบับการพูดของเขา
บาทหลวงหนุ่มไม่ตอบ แล้วเดินออกจากห้องสมุดไป
“นี่นาย! พูดแบบนั้นได้ยังไง”
“ข้าพูดอะไรผิด?”
“ช่างเถอะ!”ฉันยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก “ฉันจะไปตามบาทหลวงริชาร์ต ถ้าเขากลับมาล่ะก็นายเงียบไปเลยนะ!”
ไม่ทันที่ฉันจะลุกออกไปตาม บาทหลวงริชาร์ตก็เดินกลับเข้ามา พร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่งในมือ ปกของมันทำด้วยหนังสีน้ำตาล เลี่ยมขอบทอง มีดาวหกแฉกสีทองอันเล็กติดอยู่
“นี่คือบันทึกของบาทหลวงจอห์น” มือเรียวงามยื่นมันให้ฉัน ฉันรับมาแล้วเปิดดูอย่างระมัดระวัง กระดาษค่อนข้างเก่าแต่ยังอยู่ในสภาพดี คาดว่ามันคงเขียนขึ้นเมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อน
“บาทหลวงจอห์นคือใครเหรอคะ?”
“เขาคือหัวหน้าบาทหลวงคนก่อนหน้าบาทหลวงออสติน บาทหลวงจอห์นเขียนหลายสิ่งหลายอย่างลงไปในบันทึกเล่มนี้ และมีเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณร้ายในทะเลที่คุณกำลังหาอยู่ด้วย” บาทหลวงหนุ่มว่า แล้วหยิบบันทึกจากมือฉันไปเปิด ฉันสังเกตุว่าเขาเปิดมันอย่างรวดเร็ว ราวกับจำได้ทั้งหมดว่าอะไรอยู่ที่หน้าไหน
“ดูนี่สิครับ” เขาพูดพร้อมกับเปิดบันทึกยื่นให้ฉันดู
“รูปภาพนั่น!”ฉันร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นภาพวาดรูปซากศพในหนังสือ บาทหลวงจอห์นวาดมันออกมาราวกับเขาเคยเห็นมันด้วยตัวเอง
“ทีนี้คุณบอกผมมาได้รึยังครับ ว่าคุณอยากได้ข้อมูลพวกนี้ไปทำไม”สายตาของเขาจ้องมองฉัน ราวกับจะต้องเค้นคำตอบออกมาให้ได้
“ดูเจ้าเองก็สนใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ เปิดหนังสือคล่องแบบนั้น คงอ่านไปหลายรอบ”วาเรี่ยนพูดขัดขึ้น ให้ตายเถอะหมอนี่ห้ามไม่ฟังเอาซะเลย บอกให้เงียบแล้วยังพูดอีก
“จากบันทึกของบาทหลวงจอห์น เกี่ยวกับวิญญาณร้ายใต้ทะเล ไม่ได้มีคนเจอมันแค่คนสองคน แต่มีบันทึกไว้เป็นสิบ ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่ การที่คุณเกรสถามถึงเรื่องวิญญาณร้ายใต้ทะเลขึ้นมา ผมเลยคิดว่าคุณคงเป็นคนหนึ่งที่เจอมันเข้า แต่ถ้าพวกคุณไม่สะดวกใจที่จะเล่า ไม่ต้องเล่าก็ได้ครับ”
“มีคนเจอเป็นสิบเลยเหรอคะ?”
“ครับ และอาจจะมีมากกว่านั้น แต่ไม่ได้บันทึกไว้”
ฉันครุ่นคิดสักครู่ ถ้ามีคนเคยเจอเหตุการ์ณแบบนั้นหลายคนล่ะก็ บอกความจริงออกไปคงดีกว่า บาทหลวงริชาร์ตคงรู้หลายอย่างเกี่ยวกับพวกนั้น บางทีเขาคงให้คำตอบในสิ่งที่ฉันอยากรู้ได้ “ฉันคิดว่า...ฉันเจอวิญญาณร้ายพวกนั้นเข้า...”
“ผมก็คาดไว้แล้วว่าคงเป็นอย่างนั้น”บาทหลวงริชาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเช่นเดิม ไม่ได้มีท่าทีตกใจแม้แต่น้อย
“เรื่องเป็นยังไงเหรอครับ?”
“ฉันแค่อยากลงไปเล่นน้ำก็เท่านั้น อยู่ๆวิญญาณร้ายพวกนั้นก็เข้ามาดึงขาฉันไว้ เฮ่ออออ”ฉันถอนหายใจ แล้วซบหน้าลงบนฝ่ามือ
“โชคดีที่คุณรอดมาได้นะครับ หลายคนถูกลากลงทะเลหายไปอย่างไร้ร่องรอย” ใบหน้าของบาดหลวงริชาร์ตฉายแววเศร้าออกมาขณะหนึ่ง “ว่าแต่ คุณไม่ได้รับบาดแผลอะไรใช่มั้ยครับ”
“คือว่า............” ให้ตายเถอะฉันไม่อยากนึกถึงรอยปานน่าเกลียดที่ขยายใหญ่ขึ้นนั่นเลย “อยู่ๆก็มีรอยปานเกิดขึ้นที่ข้อเท้าของฉัน ทำยังไงมันก็ไม่ออกไป แถมยังขยายใหญ่ขึ้นด้วย”
“จริงเหรอครับ!?”บาทหลวงริชาร์ตถามขึนอย่างตกใจ พร้อมกับโน้มตัวเข้ามาใกล้ฉัน
“ค่ะ”
บาทหลวงกระเถิบถอยออกไป แล้วยกมือกุมขมับสีหน้าเคร่งเครียด
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
เขามองมาที่ฉัน แล้วทำสีหน้าลำบากใจ เหมือนลังเลว่าควรจะพูดออกมาหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็ค่อยๆเอ่ยขึ้นจนได้ “เรื่องที่ผมจะบอกคุณ ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่....”
“บอกมาเถอะค่ะ” คำพูดของเขาทำให้ฉันกังวล แต่ฉันคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเผชิญกับความจริง
“ดูนี่สิครับ บาทหลวงจอห์นเขียนบันทึกเกี่ยวกันคนไข้รายหนึ่งไว้”บาทหลวงหนุ่มว่า พร้อมกับเปิดสมุดบันทึกให้ฉันดู วาเรี่ยนที่นั่งเงียบอยู่นานชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วย
“รอยปานแบบเดียวกับฉันเลย”ในสมุดคือรูปที่วาดอย่างหยาบๆ ชายคนหนึ่งมีรอยปานพาดไปมาที่แขนข้างหนึ่ง “แล้วหลังจากนั้นผู้ชายคนนั้นเป็นยังไงบ้าง รักษาเขาได้มั้ยคะ?”
บาทหลวงริชาร์ตส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง แล้วพลิกกระดาษไปหน้าถัดไป รูปชายคนเดิมแต่มีรอยปานพาดอยู่ทั่วตัว สภาพของเขาช่างน่าสยดสยองนัก อยู่ๆฉันก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา นี่ฉันจะต้องกลายเป็นแบบชายคนนั้นเหรอ ไม่นะ
“มีคนพบชายคนนั้นนอนหมดสติอยู่ที่หาดเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว ซึ่งนั่นเป็นปีสุดท้ายที่บาทหลวงจอห์นอยู่ที่นี่ด้วย เขาเล่าว่าเขาเป็นชาวประมง ออกไปหาปลากับเพื่อนอีกสองคน อยู่ๆท้องฟ้าก็มืดครึ้มขึ้นมา ทั้งๆที่เป็นยามสายในวันที่อากาศดี คลื่นลมที่เคยสงบกลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนพัดเรือล่ม เขากับเพื่อนพยายามว่ายน้ำเข้าฝั่ง ทัดใดนั้นบางอย่างก็เข้าจู่โจมพวกเขา ชายคนนั้นเล่าว่ามันเป็นสีดำ รูปร่างคล้ายซากศพมนุษย์ จากนั้นเขาก็หมดสติไป แล้วมารู้ตัวอีกทีตอนชาวบ้านช่วยไว้ที่ชายหาด”บาทหลวงริชาร์ตหยุดพักหายใจ เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้ท้องฟ้าเป็นสีแดงฉานราวกับเลือด เมื่อพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ฝูงกาที่กระพือปีกบินกลับรัง ยิ่งทำให้บรรยากาศดูหน้ากลัวขึ้นไปอีก
“จากนั้นเป็นยังไงต่อเหรอคะ”ฉันทนรอไม่ไหว จึงรีบถามต่อ
บาทหลวงริชาร์ตถอนสายตาจากบรรยากาศน่ากลัวข้างนอก แล้วหันกลับเข้ามาสู่บรรยากาศศักดิ์สิทธ์ในโบสถ์อีกครั้ง “รอยปานนั่นทำให้ชายคนนั้นเจ็บปวด หมอพยายามรักษา แต่ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ไม่ได้ผล บาทหลวงจอห์นให้เขาลองดื่มน้ำมนตร์ แถมยังให้พวกบาทหลวงคนอื่นๆช่วยกันสวดมนตร์ให้ด้วย แต่สุดท้ายก็ช่วยเขาไม่สำเร็จ ชายคนนั้นตายลง แต่สิ่งแปลกอย่างมากก็คือ สภาพศพของเขาอืดเหมือนคนจมน้ำตาย แถมรอบๆตัวเขาก็ยังมีน้ำเจิ่งนองเต็มไปหมด ผมอ่านบันทึกซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่เข้าใจจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้น บาทหลวงจอห์นเองก็เขียนบันทึกไว้ว่าเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น ในบันทึกหน้าสุดท้าย บาทหลวงจอห์นบอกว่าเขาทนอยู่ในหมู่บ้านนี้อีกต่อไปไม่ไหวแล้ว จากนั้นเขาก็ย้ายไปที่อื่น.....”บาทหลวงหนุ่มยิ้มแห้งๆหลังเล่าจบ
เมื่อฟังจบหัวของฉันก็รู้สึกปวดตึบๆขึ้นมาทันที ฉันซบหน้าลงบนฝ่า
มือทั้งสองข้าง แล้วเริ่มร้องไห้ออกมา ทั้งหมอทั้งบาทหลวงไม่มีใครรักษาชายคนนั้นได้ ความหวังที่ฉันจะมีชีวิตอยู่เหมือนดับวูบลงไปในพริบตา
“พวกเจ้ารักษาเขาไม่ได้เหรอ?”วาเรี่ยนถามขึ้น
“พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ไม่สำเร็จ...”
“แต่พวกเจ้าเป็นหมอผีไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ใช้เวทมนต์รักษาล่ะ”
“หมอผี!? คุณคงเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ”บาทหลวงริชาร์ตทำหน้างงสุดๆ เขาคงกำลังคิดว่าตัวเองได้ยินอะไรผิดไปรึเปล่า
“แล้วหลังจากนั้นพบคนที่มีอาการรคล้ายชายคนนั้นอีกรึเปล่า?”
“เท่าที่ทราบไม่มีครับ อ้อใช่...ผมรู้จักผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อ กอร์ดอน เขาเป็นคนหนึ่งที่รอดตายจากการจู่โจมของสิ่งชั่วร้ายในทะเลมาได้”
“กอร์ดอน...”ฉันเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาอีกครั้ง คราบน้ำตายังติดอยู่ที่แก้ม “ฉันเคยได้ยินชื่อเขา คุณป้าบอกว่าเขาเป็นคนบ้า”เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบาก ด้วยเพราะริมฝีปากยังสั่นไม่หยุด
“ผมคิดว่าเขาไม่ได้บ้าหรอกครับ แต่บาทหลวงออสตินพยายามให้คนในหมู่บ้านคิดเช่นนั้น การที่ศาสนจักรจัดการปัญหาพวกนั้นไม่ได้ ทำให้ศรัทธาของชาวบ้านคลอนแคลนลง บาทหลวงออสตินจึงตัดปัญหาด้วยการบอกว่า คนที่พูดเรื่องพวกนั้นเป็นพวกเพ้อเจ้อบ้าง เห็นภาพหลอนบ้าง ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมเห็นด้วยสักเท่าไหร่ บางทีพวกคุณน่าจะลองไปคุยกับคุณกอร์ดอนดู แล้วก็....ตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้ลับฟ้าแล้ว ผมต้องปิดห้องสมุดนี่แล้วล่ะครับ”
“แล้วฉันจะไปหาคุณกอร์ดอนเจอได้ที่ไหนคะ?”
“เขาอยู่ทางเหนือของหมู่บ้าน ไปที่ถนนลองวู๊ด7 แล้วถามคนแถวนั้นดู ไม่มีใครไม่รู้จักเขา”
“ขอบคุณค่ะ งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะคะ”ฉันค่อยๆยันตัวลุกขึ้น แต่ขาเหมือนไร้เรี่ยวแรง ทันใดนั้นฉันก็เซไปข้างหลัง โชคดีที่วาเรี่ยนมาประครองไว้ทัน ไม่งั้นคงล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว
“เจ้าเดินไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวข้าจะอุ้มเจ้าไป”วาเรี่ยนถามขึ้นอย่างเป็นห่วง แต่ถ้าจะให้อุ้มเดินไปตามถนนคงไม่ไหวแน่ ชาวบ้านคงได้ลือกันให้แซด
“ไม่เป็นไรแค่ประครองก็พอ บาทหลวงริชาร์ต ขอบคุณนะคะที่ช่วยให้ข้อมูล”ฉันหันไปกล่าว
“ต้องขอโทษด้วย ที่ผมไม่อาจช่วยคุณได้มากกว่านี้”ใบหน้างดงามของเขาเศร้าขึ้นมา ชายคนนี้ช่างอ่อนโยนและเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนมนุษย์ สมกับเป็นบาทหลวงเหลือเกิน
“ขอบคุณ”วาเรี่ยนเอ่ยสั้นๆ แล้วช่วยประครองฉันเดินออกไปอย่างระมัดระวัง
“ขอพระเจ้าคุ้มครอง...”เสียงแผ่วเบาเอ่ยร่ำลา ตามมาด้วยเสียงปิดประตู
ฉันเดินอย่างกลุ้มใจไปตามถนนสายเล็ก ปูด้วยกระเบื้องสีน้ำตาลอ่อน โดยมีวาเรี่ยนช่วยประครองอยู่ข้างๆ ท้องฟ้ามืดแล้ว ฉันไม่มีตะเกียง แต่โชคดีที่มีแสงไฟจากคบเพลิง ที่ติดอยู่ตามหน้าบ้าน จึงยังทำให้พอมองเห็นถนน หญิงแก่สองคนเดินผ่านมา พวกเขาเหล่ตามองฉันแล้วหันไปซุบซิบกัน ฉันนึกขึ้นมาได้จึงผละออกจากวาเรี่ยน แล้วเดินต่อไปอย่างอ่อนแรง จากร้านขนมเค้กไปถึงบ้านใช้เวลาสามสิบนาที แต่การเดินทางในครั้งนี้เหมือนใช้เวลาสามชั่วโมง ระหว่างทางก่อนถึงบ้านวาเรี่ยนคอยดูแลฉันเสมอ เขาเสนอตัวช่วยประคองหลายครั้งแต่ก็ถูกฉันปฏิเสธ
เงือกหนุ่มก้มลงแล้วกระซิบถามข้างหูฉัน“คืนนี้ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้ามั้ย?”
ฉันหันควับไปมอง “นายหมายความว่ายังไง!?”
“ข้าเห็นเจ้าหวาดกลัว เลยคิดว่าอาจนอนไม่หลับ ถ้าต้องอยู่คนเดียว”
“แล้วนายไม่ต้องกลับบ้านกลับช่องรึไง ตกลงนายเป็นเงือกจริงๆรึเปล่า?”
“หลังขึ้นจากทะเล ข้าสามารถอยู่บนบกได้สามวัน”
“สะดวกจังนะ แต่ถึงนายอยู่มันก็ไม่มีความหมาย แม้ฉันจะไม่โดนวิญญาณมรณะฆ่าตาย แต่ฉันก็ต้องตายด้วยรอบปานนั่นอยู่ดี!”ฉันตอบกึ่งตวาดแล้วเดินอย่างซังกะตายไปตามถนนขรุขระ ที่สองข้างทางมีบ้านตั้งอยู่ห่างๆ
“อย่าพูดอะไรสิ้นหวังแบบนั้สิ พรุ่งนี้พวกเราไปหาชายที่ชื่อกอร์ดอนกัน เขาอาจจะรู้วิธีช่วยเจ้า”วาเรี่ยนพยายามปลอบ แต่มันไม่ช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาเลย
“ไร้ประโยชน์....”
วาเรี่ยนเดินมาขวางหน้าฉันไว้ “ทั้งๆที่ข้าพยายามช่วยเจ้า แต่ทำไมเจ้าถึงได้พูดอะไรสิ้นหวังแบบนั้น มันเป็นเรื่องของเจ้าแท้ๆ ทำไมเจ้าถึงไม่พยายาม มนุษย์เป็นแบบนี้ทุกคนรึไงนะ!”
“ในเมื่อมันเป็นเรื่องของฉัน แล้วนายจะมาแส่ทำไม!”
“เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าตายน่ะสิ!”ดวงตาสีฟ้าจ้องมองฉันแน่นิ่ง “ไม่ว่าเจ้าจะว่ายังไง พรุ่งนี้พวกเราต้องไปหาชายที่ชื่อกอร์ดอนด้วยกัน ข้าจะมาหาเจ้าตอนบ่ายสามเหมือนเช่นวันนี้ และไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน ข้าก็จะหาจนพบ”เงือกหนุ่มพูดเสียงหนักแน่น พร้อมมองมาด้วยสายตาจริงจัง หมอนี่พยายามเพื่อฉันมากกว่าที่ฉันพยายามเพื่อตัวเองเสียอีก
“นายนี่มัน....ฮึ่มม ก็ได้ๆอยากทำอะไรก็เชิญทำตามสบายฉันไม่อยากเถียงกับนายแล้ว”
“ว่าง่ายๆแบบนี้ตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง ตกลงคืนนี้จะให้ข้าอยูด้วยรึเปล่า?”
“ไม่ต้อง ขืนถูกจับได้ว่ามีผู้ชายอยู่ในห้อง ฉันได้ซวยน่ะสิ”ฉันยกมือกุมขมับ หลังจากใช้พลังไปเยอะ ในการพยายามพูดให้เงือกเข้าใจ “ส่งฉันแค่นี้พอแล้ว เดี๋ยวฉันเดินเข้าบ้านเอง”
“อือ เจ้าไปเถอะ ข้าจะยืนดูอยู่ตรงนี้จนกว่าเจ้าจะเข้าบ้านไป”ฉันหันไปมองเขาอย่างงุนงง หมอนี่จะเป็นห่วงฉันไปถึงไหน
“ขอบใจนะ เจอกันพรุ่งนี้” ฉันไม่ร่ำราให้ยืดยาววุ่นวาย แค่โบกมือให้เล็กน้อยแล้วเดินเข้าบ้านไป โดยไม่หันกลับไปมองเขาอีก
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในบ้าน กลิ่นอาหารหอมๆก็ลอยมาเตะจมูก แต่เรื่องราวที่ได้ฟังมาในวันนี้ ทำให้ต่อมอยากอาหารของฉันไม่ทำงาน ถึงจะมีอาหารน่าอร่อยแค่ไหนมาวางอยู่ตรงหน้า ฉันก็คงกินไม่ลง
“กลับมาแล้วเหรอเกรส พ่อนึกว่าลูกจะมาไม่ทันอาหารเย็นซะอีก”
“วันนี้หนูไม่ค่อยหิวค่ะ” เสียงเนือยๆของฉัน ทำให้พ่อมองมาอย่างเป็นห่วง
“หนูเป็นอะไรรึเปล่า ท่าทางเหนื่อยเชียว นี่ป้าใช้งานลูกหนักขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ไม่ใช่เพราะป้าเบ็ตตี้หรอค่ะ หนูขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ”
“ไม่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนเหรอ”
“ไม่หิวเลยน่ะค่ะ”ขณะที่กำลังจะก้าวออกไปจากห้อง สีหน้าเศร้าสร้อยของพ่อก็เหมือนกับจะดึงขาฉันไว้ โดยไม่รู้ตัวฉันดึงก้าวอี้ออก แล้วหย่อนก้นลงนั่งช้าๆ
“อาหารนี่ พ่อทำเองเหรอคะ?”
“อือ นานๆจะทำที ไม่รู้จะอร่อยรึเปล่า แหะๆ”
“งั้นหนูทานสักหน่อยดีกว่า”
“ขอบใจนะ”พ่อยิ้มออกมา
“แล้วคุณย่าล่ะคะ?”
“ทานยาแก้ปวด แล้วง่วงเลยนอนหลับไปแล้วน่ะ”ว่าพลาง พ่อก็ตักซุปใส่ถ้วยยื่นให้ฉัน ฉันตักซุปขึ้นมาเป่าเบาๆแล้วลองชิมดู
“รสชาติไม่เลวทีเดียวค่ะ”
“หึ” พ่อยิ้มน้อยๆ “ลูกสาวพ่อไม่เคยประจบใครเลยจริงๆ ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็คงชมว่าอร่อย”
“แหะๆ” ฉันยิ้มแห้งๆ พยายามทานต่อ แม้จะไม่รู้สึกอยากอาหารเลยก็ตาม ความจริงที่ฉันยอมทานนี่ก็เรียกว่าประจบแล้วนะ
“อ่านนิยายของพ่อรึยังล่ะ?”รอยยิ้มอย่างตื่นเต้นปรากฏบนใบหน้า แววตาของพ่อดูสดใสเหมือนเด็กๆ บางทีนี่คงเป็นเรื่องที่พ่อตั้งหน้าตั้งตารอถามฉัน
“อ่านไปเกือบครึ่งเล่มแล้วล่ะค่ะ”
“เป็นไงบ้าง” พ่อยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างสนใจ
ให้ตายเถอะ ฉันแค่คิดว่าจะนั่งลงทานอาหารเล็กน้อยพอเป็นมารยาทแล้วรีบขึ้นห้องไปพักผ่อน แต่ดูท่าทางพ่อจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ฉันคนซุปไปมา เหม่อมองเทียนที่จุดอยู่กลางโต๊ะ ถ้าฉันต้องตายจริงๆล่ะก็เวลาที่จะได้คุยกับพ่อคงเหลือไม่มาก บางทีฉันน่าจะคุยกับท่านให้มากๆ ก่อนที่จะไม่มีโอกาศได้คุยกันอีก
“โดยรวมแล้วเป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยค่ะ อ่านได้เรื่อยๆ แต่หนูคิดว่ามันยังไม่ถึงขึ้นที่ว่าทำให้คนอ่านต้องลุ้นระทึกอย่างใจจดใจจ่อ ว่าเนื้อเรื่องจะเป็นยังไงต่อไป”
“งั้นเหรอ...”พ่อหน้าเจือนไป บางทีฉันคงพูดตรงเกินไป “แล้วยังไงต่อ?”ทันใดนั้นพ่อก็ถามขึ้นมาอย่างกระตือรือร้นอีกครั้ง
“ถ้าเพิ่มความขัดแย้งให้รุนแรงกว่านี้หน่อยคงจะดีค่ะ แต่หนูอาจจะยังอ่านไม่ถึงก็ได้ แล้วก็เจ้าหญิงแฟรี่ หนูคิดว่าเธอดูสมบูรณ์แบบเกินไป ก็เข้าใจล่ะนะคะว่าเธอเป็นเจ้าหญิง แต่ถึงยังไงเธอก็น่าจะแสดงอารมณ์ความรู้สึก หรือสิ่งที่คิดออกมามากกว่านี้หน่อย คนอ่านจะได้มีความรู้สึกร่วมไปกับเธอ”
“นั่นสินะ พ่อลืมสนิทเลย เอาแต่คิดว่าเจ้าหญิงต้องงามสง่า สูงศักดิ์ กล้าหาญเด็ดเดี่ยว”
“ที่พูดมานั่น มีแต่คุณสมบัติเลิศๆทั้งนั้นเลยนะคะ”
“ฮ่าๆ จริงด้วย”
บทสนทนาดำเนินต่อไปอีกเนิ่นนาน แม้ฉันจะวิจารย์ไปมากมาย แต่พ่อก็ยังถามคำถามใหม่เรื่อยๆไม่หยุดหย่อน พ่อบอกว่าฉันวิจารย์ในฐานะคนอ่านมันจึงเป็นคำวิจารย์ที่สนุก ถึงออกจะสับสนไปหน่อยก็ตาม ฉันรู้สึกว่าพ่อเป็นนักเขียนที่ตั้งใจทำงานมาก เขาแก้งานหลายครั้งหลายหน แต่น่าเศร้าที่งานเขียนของเขาไม่ประสบความสำเร็จ เข้าข่ายความพยายามดีแต่ไม่ถูกใจคนอ่าน แม้ฉันอยากคุยกับพ่อต่อ แต่ร่างดูเหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว ฉันหาวออกมาเกือบสิบรอบระหว่างทานอาหาร
“ท่าทางหนูคงอยากไปพักผ่อน”พ่อถามขึ้น แต่ฉันรู้ดีว่าพ่อยังอยากคุยต่อ
“ค่ะ”ฉันตอบสั้นๆ พ่อไม่พูดอะไรต่อ เขาลุกจากเก้าอี้เดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่น แล้วกลับมาพร้อมกับซองจดหมายสีขาวในมือ
“จดหมายจากแม่ถึงหนู”น้ำเสียงพ่อแฝงแววเศร้า ขณะยื่นจดหมายให้ฉัน
“แม่เขียนถึงพ่อด้วยรึเปล่าคะ?”
“ไม่....บางทีแม่คงไม่อยากติดต่อพ่ออีก”ดวงตาสีน้ำตาลหลบลงต่ำจ้องมองจานอาหารว่างเปล่าแน่นิ่ง
“ไม่มีทางกลับมาคืนดีกันได้เลยเหรอคะ”ฉันถามกลับไป ใบหน้าของพ่อยิ่งเศร้าขึ้นกว่าเดิม บางทีฉันคงไม่ควรถามคำถามนี้อีก
“ไปพักผ่อนเถอะ หนูเหนื่อยมากไม่ใช่เหรอ”พ่อจับใหล่ฉันให้ลุกขึ้น ถึงเขาไม่ได้พูดอะไร แต่ฉันก็พอเดาได้ว่าพ่อคงไม่อยากคุยเรื่องแม่อีก จึงพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”
“แล้วอ่านนิยายของพ่อให้จบไวๆล่ะ”
“ค่ะ”ฉันหันมายิ้มให้เล็กน้อยแล้วเดินขึ้นบันไดไป
ทันทีที่เปิดประตูเข้าห้องนอนเข้าไป ฉันรีบตรงไปจุดเทียนให้มีแสงสว่าง จากนั้นก็นั่งลงบนเตียงแล้วฉีกซองจดหมายออกอ่านทันที แม่เล่าข่าวดีให้ฉันฟังมากมาย ฉันรู้สึกดีใจไปด้วยจนกระทั่ง....
“ให้ตายเถอะ!!!”ฉันแทบอยากจะฉีกจดหมายทิ้ง เมื่ออ่านถึงประโยคที่ว่า เขาเป็นเจ้าของธนาคารคงต้องรวยมากแน่ๆ แล้วท่าทางเขาก็สนใจแม่ไม่น้อยเลยล่ะ ถ้าได้แต่งงานกับเขาล่ะก็คงมีเงินใช้อย่างสุขสบาย แล้วแม่จะรับหนูมาอยู่ด้วยกัน หนูคิดว่าไงจ๊ะ ฉันคิดยังไงน่ะเหรอ เสียใจน่ะสิ ฉันไม่ได้อยากเป็นคุณหนูสักหน่อย สิ่งที่ฉันอยากได้คือให้พ่อกับแม่กลับมาคืนดีกับต่างหากล่ะ! ฉันหยิบจดหมายยับๆที่เพิ่งขยำไปเมื่อกี้ขึ้นมาอ่านต่อจนจบ แม่กำลังไปด้วยดีกับผู้ชายคนใหม่ คงเพราะอย่างนี้แม่ถึงไม่เขียนจดหมายถึงพ่อ ฉันพับจดหมายเก็บใส่ซองแล้วเดินไปหน้ากระจก จากนั้นก็ถอดชุดกระโปรงออก ตามด้วยการแกะริบบิ้นผูกครอเซท ให้ตายเถอะ! ผู้หญิงต้องใช้เวลาในการแต่งตัวแต่ละวันนานเหหลือเกิน ฉันนั่งท้าวคางหน้ากระจกแล้วนึกถึงคำพูดของแม่ แม่เคยบอกว่าเธอรู้สึกเสียใจที่แต่งงานกับพ่อ มันเป็นความผิดพลาด แม่เห็นพรสวรรค์ในตัวพ่อ และคิดว่าเขาคงกลายเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงในเวลาไม่นาน แต่ผลกลับไม่เป็นเช่นนั้น เวลาผ่านไปนานหลายปีพ่อก็ยังเป็นแค่นักเขียนจนๆ แม่บอกว่าเธอน่าจะเลือกแต่งกับคนรวยจะได้มีชีวิตที่สุขสบาย แม่บ่นพ่อก็จริง แต่ฉันก็แอบรู้สึกน้อยใจไปด้วย คำพูดของแม่เหมือนบอกว่าไม่ต้องฉันกลายๆ แม่เป็นคนสวย ความจริงแล้วก่อนที่จะเลิกกับพ่อก็มีผู้ชายมาสนใจแม่มากมาย และนั่นคือเหตุผลหลักๆที่ทำให้พวกเขาสองคนทะเลาะกัน
ฉันถอนความคิดกลับมาสู่เหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง แม้วิญญาณร้ายจะตามฉันมาไม่ได้เมื่อสวมสร้อยน้ำตามหาสมุทรอยู่ แต่ในไม่ช้าฉันจะต้องตายด้วยรอยปานนั่น ฉันถกชายชุดนอนขึ้น แล้วก้มลงมองที่ขา รอยปานขยายใหญ่ขึ้น มันเลื้อยพาดไปมาตั้งแต่ข้อเท้าขึ้นมาจนถึงครึ่งน่องแล้ว
“เฮ่อออ”ฉันถอนหายใจแล้วรีบดึงชายเสื้อลงไปคลุมไว้ดังเดิม รอยปานขยายเร็วกว่าขึ้นฉันคิดไว้มาก ถ้ามันขยายเร็วเท่านี้ไปเรื่อยๆ คงลามไปทั่วตัวฉันภายในเวลาไม่ถึงอาทิตย์ แล้วทำให้ฉันตายลงด้วยสภาพสยดสยองคล้ายชายในบันทึกของบาทหลวงจอห์น
ความคิดเห็น