คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เจ้าชายเงือก
บทที่ 2 เจ้าชายเงือก
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ ฉันก็รีบออกจากบ้านไปยังทะเล ตรงที่ๆเงือกช่วยฉันไว้เมื่อวาน ชายกระโปรงสีแดงยาวถึงข้อเท้า สะบัดไปมาตามแรงลมทะเลที่พัดเข้ามาปะทะ ถึงจะใส่ชุดสีแดงฉันก็ยังดูเป็นแม่สาวโกธิคอยู่ดี บางทีถ้าฉันมีผมสีทองยาวสลวยแบบเงือกตนนั้นบ้าง ฉันคงดูมีชีวิตชีวามากกว่านี้ ฉันเดินเลีบยไปตามหาด ขณะพยายามมองหาเงือกตนนั้นในทะเลไปด้วย แต่ดูเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตอะไร ที่ตัวใหญ่ไปกว่าปลาขนาดเท่านิ้วก้อย แต่ก่อนที่จะเลิกล้มความหวัง ฉันก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ถ้าสร้อยที่เก็บได้เมื่อวานเป็นของเงือกตนนั้นจริง เขาต้องมาตามหามันแน่ ฉันถอดสร้อยออกแล้วแกว่งไปมา
“ฉันเก็บสร้อยได้ สร้อยของนายรึเปล่า นายเงือก”ฉันโตโกนใส่ทะเล รู้สึกว่าตัวเองช่างเหมือนคนบ้าเสียนี่กระไร
“คือมาให้ข้า” เสียงตอบกลับทำเอาฉันสะดุ้งโหยง ทันใดนั้นเงือกหนุ่มผมทอง ก็โผล่ขึ้นมาจากทะเลให้เห็นครึ่งตัว ที่คาดหน้าผากทำด้วยด้วยทองคำ เปล่งประกายเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์รุ่งอรุณ แปลกจริงทั้งที่พวกเงือกไม่ใส่เสื้อผ้า แต่เขากลับมีเครื่องประดับทำจากทองหลายชิ้น หรือว่ามีขุมทรัพย์อยู่ใต้ทะเลกันนะ
“คืนข้ามา”เงือกหนุ่มยื่นมือออกมา พร้อมกับว่ายเข้ามาใกล้มากขึ้น
“ไม่! จนกว่าจะคุยกันให้รู้เรื่อง” ฉันพูดพร้อมกับถอยหลังเข้าไปในฝั่ง เพื่อความปลอดภัย เงือกคงตามขึ้นมาไม่ได้แน่ พวกเขาไม่มีขานี่นะ
“ข้าไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยกับเจ้า ข้าช่วยเจ้าไว้แล้ว ธุระของเราจบกัน คืนสร้อยมาให้ข้า”เขาพูดขึ้นด้วยเสียงดุดัน แล้วมองมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ถ้างั้นก็ขึ้นมาเอาสิ”ฉันตอบกลับไปอย่างท้าทายแล้วถอยหลังห่างออกไปอีก
“ได้ ข้าจะขึ้นไปเอามาเอง” พูดจบหางของเงือกหนุ่มก็ค่อยๆกลายเป็นขาสองข้าง เช่นเดียวกับขาของมนุษย์ ขณะที่เขากำลังเดินขึ้นมา ละอองสีเงินก็ปรากฏขึ้นรอบๆแล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ๊ตสีขาว กางเกงสีน้ำตาล และรองเท้าบู๊ตหนังสีดำ เหมือนเช่นชุดที่ผู้ชายฐานะธรรมดาๆใส่กัน แต่ก็ไม่วายคาดเข็มขัดใส่ดาบโค้งรูปร่างแปลกไว้เช่นเดิม ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะขึ้นมาได้จริงๆ เมื่อได้สติฉันก็รีบวิ่งหนีทันที เงือกที่อยู่บนบกคงเคลื่อนไหวไม่เร็วนักหรอกน่า แต่ดูเหมือนวันี้ฉันจะเดาผิดทุกอย่าง เขาวิ่งตามมาอย่างรวดเร็วแล้วดึงแขนฉันไว้ พวกเราสองคนเสียหลักล้มลง โดยมีเขานอนค่อมอยู่ข้างบน
“โอ๊ยยยย”ฉันร้องครางออกมา ทรายเนื้อละเอียดกับหญ้าที่ขึ้นอยู่ประปราย ไม่ทำให้เจ็บเมื่อยามล้มลง แต่สิ่งที่ทำให้ฉันต้องร้องออกมา คือรอยปานสีแดงอมม่วงที่อยู่ๆก็เจ็บขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“เป็นอะไรรึเปล่า?” ฉันหันไปมองใบหน้างดงามของเขาอย่างงุนงง ไม่คิดว่าเขาจะถามออกมาอย่างเป็นห่วง หลังจากฉันเพิ่งทำเรื่องกวนประสาทใส่เขาไป
“ข้อเท้าฉันเจ็บ” ฉันตอบกลับไป เงือกหนุ่มฉวยสร้อยไปจากมือของฉัน แล้วลุกออกไป จากนั้นก็อุ้มฉันขึ้นมา
“จะทำอะไรน่ะ?” ฝ่ายนั้นไม่ตอบแต่อุ้มฉันไปนั่งที่โขดหินใกล้ๆ จากนั้นก็ถือวิสาสะถอดรองเท้าของฉันออกโดยไม่พูดไม่จา
“นี่นายจะทำอะไรน่ะ”
“ข้อเท้าเจ็บไม่ใช่เหรอ.....” อยู่ๆเขาก็เงียบไป แล้วมองรอยปานที่ข้อเท้าฉัน ด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เมื่อคืนมันมีขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย แต่ตอนนี้มันยาวขึ้นจนเกือบเท่านิ้วก้อยแล้ว เงือกหนุ่มเป่าละอองสีเงินออกจากปาก ใส่ลอยปานนั่น ความเจ็บปวดหายไปแม้รอยปานจะไม่หายไปด้วยก็ตาม ฉันจ้องมองเขาอย่างตกตะลึง นี่ฉันกำลังเจอกับอะไรอยู่เนี่ย ทั้งซากศพในทะเล ทั้งเงือก! แถมเงือกยังใช้เวทมนตร์ได้อีก
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นายเป็นใคร?”
“ข้าชื่อ วาเรี่ยน อควาเรียสตร้า เจ้าชายเงือกลำดับที่สามบุตรของพระราชาเงือกไอโอรอส แห่งทะเลไอโอเนี่ยน มีตำแหน่งเป็นอัศวินแห่งท้องทะเล แล้วเจ้าล่ะ มนุษย์?” คำสาธยายยาวๆนั่นทำให้ฉันงง แต่พอรู้คร่าวๆว่าหมอนี่เป็นเจ้าชาย
“เกรส ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น”
“งั้นเรอะ ที่นี้ว่ามา มีเรื่องอะไรอยากคุยกับข้า?”
บอกตามตรงว่าหมดนี่พูดจาห้วน ไม่สมกันเป็นเจ้าชายเอาซะเลย “เกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานนั่นแหละ ฉันเห็นบางอย่าง บางอย่างที่คล้ายซากศพ มันดึงขาฉันไว้ นายรู้มั้ยว่ามันคืออะไร”
“เจ้าพวกนั้นเคยเป็นมนุษย์ มันเกิดจากวิญญาณของพวกมนุษย์ที่ตายด้วยความอาฆาตแค้น พวกมันรวมตัวกันอยู่ที่ซากเรือโจรสลัดแห่งความตาย” วาเรี่ยนอธิบาย แล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างฉัน
“พวกนั้นเป็นปีศาจอย่างนั้นเหรอ?”
“ข้าไม่รู้หรอกว่าควรจะเรียกอย่างไร ถึงจะถูกต้องตามภาษาของพวกเจ้า แต่พวกเราเรียกมันว่าวิญญาณมรณะ”
“จริงสิ นายกำลังพูดภาษาของเราอยู่นี่ นายพูดภาของมนุษย์ได้!”
“อือ พวกเงือกไม่มีภาษาของตัวเอง พวกเราเลียบแบบภาษาของมนุษย์ที่เราอยู่ใกล้ แต่ใช้ได้ไม่คล่องเท่า และคำหลายคำพวกเราก็ไม่ใช่” วาเรี่ยนตอบเรียบๆ จะว่าไปหมอนี่ก็ดูไม่ใช่เงือกที่เลวร้ายอะไร แต่ฉันก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้ เมื่อนึกเรื่องเล่าที่ว่า เงือกลากชาวประมงลงไปกิน
“จากที่ฟังนายพูดมา คำพูดของนายแปลกจริงๆนั่นแหละ กลับเข้ามาเรื่องเดิมดีกว่า ทำไมวิญญาณพวกนั้นถึงเล่นงานฉันล่ะ”
“มันไม่ได้เจาะจงเล่นงานเธอคนเดียวหรอก พวกเงือกอายุมากกว่าเคยเล่าให้ฉันฟัง วิญญาณมรณะเริ่มอาละวาทเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว และอาละวาทหนักขึ้นเรื่อยๆ” เขากุมดาบไว้แน่นขณะพูด จากนั้นก็หันไปมองยังทะเล ทอดสายตาออกไปไกล เหมือนกำลังตั้งใจฟังอะไรบางอย่าง
“ฉันต้องไปแล้ว พวกนั้นเรียกฉันแล้ว”พูดจบเขาก็รีบลุกพรวดขึ้นทันที
“เดี๋ยว ฉันยังมีเรื่องอยากจะถามนายอีก” ฝ่ายนั้นไม่สนใจ แล้วรีบเดินลงไปในทะเล เสื้อผ้าของเขากลายเป็นละอองสีเงินสลายไป ขาทั้งสองข้างกลับกลายเป็นหางปลา ซึ่งมีเกร็ดสีน้ำเงินเหลือบเขียวอีกครั้ง
“ฉันขอย้ำอีกครั้ง อย่าลงไปในทะเล และอยู่ให้ไกลน้ำเข้าไว้” พูดจบวาเรี่ยนก็กระโจนลงไปในทะเล แล้วดำหายไปในทันที ฉันได้แต่ยืนนิ่ง ไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดี นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตฉันกันแน่ แล้วคำเตือนนั่นอีก นี่ฉันรีบเก็บกระเป๋าแล้วไปหาแม่ที่เมืองหลวงดีมั้ยนะ
ฉันกลับบ้านอย่างกลุ้มใจ ถกกระโปรงยาวสีแดงขึ้นแล้วหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ไม้สีขาว ที่ระเบียงหน้าบ้าน จ้องมองออกไปไกลในทะเล ทะเล....ช่างเป็นสถานที่ที่อันตรายเสียจริง ทั้งลึกทั้งมืดมิด และไม่เป็นมิตรกับมนุษย์เอาเสียเลย ฉันครุ่นคิดถึงสิ่งที่วาเรี่ยนบอกซ้ำไปซ้ำมา ทำไมกันนะ...พวกวิญญาณมรณะถึงได้ไปรวมตัวกันที่ซากเรือ แถมเล่นงานพวกมนุษย์บ่อยขึ้นเรื่อยๆ
“เป็นอะไรรึเปล่า เกรส ”เสียทักของพ่อทำให้ฉันสะดุ้งโหยง เขาคงทนเห็นอาการเหม่อลอยของฉันไม่ได้จนต้องเข้ามาถาม
“ถ้าหนูเล่าไปพ่อคงไม่เชื่อ แต่ว่าหนูเจอ...”บางทีไม่เล่าคงจะดีกว่า
“หนูไปเจออะไรมาเหรอ?”
“ไม่มีอะไรค่ะพ่อ” พ่อมองมาอย่างไม่เชื่อ
“พ่อรู้สึกว่าหนูดูเปลี่ยนไป ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ หนูไม่ชอบที่นี่เหรอ มีอะไรทำให้ไม่พอใจรึเปล่า”
“ก็นิดหน่อยค่ะ”
“งั้นเล่าให้พ่อฟังสิ”
“คงแค่ไม่คุ้นเคยน่ะค่ะ”ฉันพยายามตอบเลี่ยง
“หนูคิดถึงแม่เหรอ?” อยู่ๆพ่อก็หน้าเศร้าขึ้นมา “พ่อขอโทษนะ แต่พ่อกับแม่คงไม่มีวันกลับมาคืนดีกันได้อีกแล้ว...”
“หนูยอมรับว่าคิดถึงแม่ แต่ไม่ใช่เหตุผลนั้นหรอกค่ะที่ทำให้หนูไม่สบายใจ”
“งั้นเล่าให้พ่อฟังสิ พ่อยินดีรับฟังเสมอ”สายตาห่วงใยของพ่อ ทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้ง แต่จะให้เล่าเรื่องเหลือเชื่อแบบนั้นออกไปคงไม่ดีแน่
“พ่อคะ....พ่อเคยเขียนนิยายเกี่ยวกับแฟรี่ พ่อมด นางเงือก พ่อเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่จริงมั้ยคะ”
“ทำไมถึงถามเรื่องนั้นขึ้นมาล่ะ ปกติหนูไม่สนใจเรื่องพวกนั้นไม่ใช่เหรอ”
“ตอบมาก่อนเถอะค่ะพ่อ”
“สำหรับพ่อแล้ว สิ่งที่ไม่เคยเห็น ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีอยู่จริง แฟรี่ พ่อมด นางเงือก พวกเขาคงอยู่ในที่ๆพวกเขาอยู่นั่นแหละ ในสภานที่แห่งความลับ เพราะพวกเขาคงไม่ต้องการให้มนุษย์รู้”นัยตาของพ่อเปล่งประกายสดใสขณะเล่า ฉันเชื่อว่าพ่อคงเชื่อแน่ว่าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่จริง แต่แล้วอยู่ๆประกายสดสัยในแววตาก็หายไป กลับกลายมาเป็นแววตาเคร่งขรึมของผู้ใหญ่ ในโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
“หนูเองก็เชื่อเช่นนั้นค่ะพ่อ”ฉันยิ้มให้ “หนูชักอยากอ่านนิยายที่พ่อเขียนขึ้นมาแล้วสิ พอจะให้หนูอ่านได้มั้ยคะ”
พ่อเบิ่งตากว้างอย่างตกตะลึง “พ่อคิดว่าหนูชอบอ่านแต่นิยายโรแมนส์ซะอีก เห็นปกติไม่เคยเปิดนิยายของพ่ออ่านเลย”
“หนูไม่ได้ชอบแต่แนวโรแมนส์สักหน่อย”ถึงจะอ่านสัก 90%ก็เถอะ
“ได้เลยเดี๋ยวพ่อไปหยิบมาให้นะ” พ่อรีบวิ่งเข้าบ้านไป ฉันได้ยินเสียงดัง กรุกกรัก สักครู่พ่อก็ออกมาพร้อมกับหนังชื่อว่า อัศวินและเจ้าหญิงแฟรี่ ฉันรับมันมาแล้วเปิดดูด้วยความสนใจ
“เป็นเรื่องที่พ่อเพิ่งเขียนเสร็จไม่นาน ยังไม่ได้ส่งสำนักพิมพ์” สีหน้าของพ่อเศร้าลงหลังจากพูดจบ “ความจริงแล้ว พ่อคิดว่าไม่ส่งไปน่าจะดีกว่า”
“ทำไมล่ะคะ?”
“พ่อกลัวจะถูกปฏิเสธ....เหมือนเรื่องก่อนหน้านี้”
“มั่นใจหน่อยสิคะพ่อ เรื่องนี้อาจจะประสบความสำเร็จ ทำให้พ่อมีชื่อเสียงโด่งดังก็ได้”
“ขอบใจนะเกรส” พ่อตบไหล่ฉันเบาๆ ฉันยิ้มกลับไป
“งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ ถ้าอ่านจบแล้วจะมาวิจารย์ให้”
“จ๊ะ ขอบใจนะ”
การอ่านนิยายของพ่อ ทำให้มีสิ่งให้จดจ่อ ช่วยให้ฉันลืมความกังวลลงไปชั่วคราว แม้ก่อนจะเข้านอน ฉันก็ยังนอนอ่านบนเตียงไม่เลิก ความจริงมันเป็นนิยายที่ไม่เลวนักหรอก ติดที่เจ้าหญิงแฟรี่ออกจะสมบูรณ์แบบไปสักหน่อย แถมมันออกจะราบเรียบเกินไปด้วย ถ้าเพิ่มความขัดแย้งให้คนอ่านต้องคอยเอาใจช่วย คงน่าสนใจมากขึ้น ฉันวางนิยายของพ่อลงบนหัวเตียง ข้างๆนิยายโรแมนส์ที่ฉันมีอยู่สิบกว่าเล่ม ความจริงฉันมีมากกว่านี้ แต่แบกมาด้วยไม่ได้ จึงเอาไปขายให้ร้านขายของเก่า เหลือไว้แค่เล่มโปรดเท่านั้น ทำไมฉันถึงชอบอ่านน่ะหรือ ง่ายๆก็เพราะฉันไม่มีคนรักน่ะสิ ไม่ใช่ว่าฉันไม่พยายาม หรือเป็นเพราะฉันไม่สวยพอ แต่มันด้วยเหตุผลไม่เข้าท่าหลายอย่างผสมกัน พี่ชายของลิลลี่เพื่อนฉัน ชื่อสเตฟาน เคยหลงรักฉัน ฉันคิดว่าสเตฟานเป็นผู้ชายที่ไม่เลว และฉันก็เริ่มชอบเขาหน่อยๆแล้วด้วย แต่หลังจากนั้นไม่นาน สเตฟานก็เลิกสนใจฉัน และหันไปชอบยัยผู้หญิงผมทองคนหนึ่ง ที่เจอกันในบาร์ ลิลลี่เล่าให้ฟังว่าพี่ชายเธอ ชมว่าฉันสวยตั้งแต่เห็นครั้งแรก สวยแนวเจ้าสาวแวมไพร์ แต่สิ่งที่ทำให้สเตฟานเลิกสนใจฉันก็คือ ความพูดน้อยไม่ค่อยรับมุก ติดจะเอาแต่ใจหน่อยๆไม่ยอมง้อใคร แถมฉันยังตั้งสเป็กผู้ชายไว้สูงเกินไป จนเขารับไม่ไหว ลิลลี่เล่าว่าพี่ชายเธอพยายามเอาอกเอาใจฉันสารพัด แต่ฉันก็ยังไม่พอใจ ใช่...เขาพยายามเอาใจฉันก็จริง แต่สิ่งที่เขาทำไม่เข้าท่าเลยสักนิด จะให้ดอกไม้ฉันทั้งที ดันให้ดอกกุหลาบแค่ดอกเดียว แถมมันยังช้ำแล้วด้วย น่าเศร้า แต่ผู้ชายแบบนิยายโรแมนส์ คงไม่มีอยู่จริง และถึงมีจริงเขาคงไม่ชอบฉัน เฮ่อออ....ถ้าฉันมีผมสีทองจะมีผู้ชายมาชอบฉันมากกว่านี้มั้ยนะ
ฉันดับเทียนแล้วล้มลงนอนบนเตียง ปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลง ฟังเสียงคลื่นซัดกระทบฝั่งเป็นจังหวะต่อเนื่อง เหมือนเพลงกล่อมเด็ก ไม่นานนักก็เคลิ้มหลับไป ในฝันฉันเดินไปตามถนนในวันที่ฝนตกปลอยๆ ร้านค้ามากมายเรียงรายเต็มไปหมด แม่ค้าพ่อค้าต่างส่งเสียงเรียกลูกค้าอย่างคึกคัก กระโปรงสีดำที่อุ้มน้ำไว้โชกของฉันค่อยๆลากไปตามพื้นถนนอย่างยากลำบาก อยู่ๆบรรยากาศรอบๆก็อึมครึมขึ้นมา น้ำจากพื้นเอ่อขึ้นมาสูงเรื่อยๆจนเกือบถึงเอว ฉันพยายามตะเกียกตะกายวิ่งหนี ต้องวิ่งไปยังที่สูง ที่นั่นฉันจะปลอดภัย ทันใดนั้นบางสิ่งบางอย่างก็ดึงขาฉันไว้
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”ฉันสะดุ้งขึ้นนั่ง พร้อมกับเปิดผ้าห่มออกดังพรึบ แฮ่ก แฮ่ก ลมหายใจหอบแรงด้วยความตกใจกลัว มันเป็นแค่ฝัน ฉันแค่ฝันไป ฉันพยายามปลอบใจตัวเอง แต่อยู่ๆข้อเท้าก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา ฉันเปิดผ้าคลุมออกจนหมดแล้วต้องร้อง กรี๊ดดดดดดดดดดดดขึ้นมาอีกรอบ ซากศพที่มีครึ่งตัวใช้มือที่เหลือแต่กระดูกดึงขาฉันไว้แน่น ฉันพยายามถีบมัน แต่ดูเหมือนมันจะยิ่งดึงแรงขึ้น ปุ๊!ก้นฉันกระแทกเข้ากับพื้น หลังจากที่มันลากฉันลงมาสำเร็จ ฉันยื่นมือคลำสะเปะสะปะไปตามพื้นมันเปียกไปหมด ทันใดนั้นซากศพอีกหลายตัวโผล่ออกมาจากน้ำที่นองพื้นอยู่
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”ฉันร้องอย่างสุดเสียง ด้วยหวังว่าคงมีใครตื่นขึ้นมาช่วย เงาร่างหนึ่งกระโดดเข้ามาจากหน้าต่าง ใบดาบในมือของเขาสะท้อนกับแสงจันทร์เปร่งประกายวาววับ และมันก็ยิ่งเปล่งประกายสว่างไสวมากขึ้นไปอีก เมื่อเจ้าของใช้มันฟันซากศพพวกนั้นขาดกระจุยกระจาย วาเรี่ยนนั่นเอง วิญญาณมรณะพยายามจู่โจมเขา แต่วาเรี่ยนก็ต่อสู้อย่างชำนาญ พวกมันจึงไม่สามารถเข้าใกล้ตัวเขาได้แม้แต่น้อย เมื่อซากศพถูกฟัน พวกมันก็อันตรธานหายไปจนหมด
“เป็นอะไรรึเปล่า!”เขาหันมาถามหลังจากจัดการพวกนั้นเสร็จ ฉันอ้ำอึ้งพูดไม่ออกเนื่องจากความกลัว วาเรี่ยนเมื่อเห็นดังนั้นจึงไปจุดเทียนให้ห้องสว่างขึ้น แล้วเข้ามาพยุงฉันลุกขึ้นไปนั่งบนเตียง โดยไม่รู้ตัวฉันเผลอเกาะแขนเขาไว้แน่น วาเรี่ยนจึงจำเป็นต้องนั่งลงบนเตียงข้างๆฉัน
“เสียงร้องเพลงของข้าจะทำให้เจ้าดีขึ้น” พูดจบเขาก็ร้องเพลงด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เป็นเพลงที่ฉันฟังไม่รู้เรื่องว่าเป็นภาษาอะไร หากแต่บทเพลงนั้นช่างไพเราะและอบอุ่น อยู่ๆความกลัวในใจฉันก็ค่อยๆหายไปในน้ำเสียงอ่อนโยน
“เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“วาเรี่ยน...”ฉันหันไปมองใบหน้าคมคาย ดวงตาสีฟ้าสด และผมสีทองยาวสลวย เป็นเขาจริงๆด้วย “นายมาช่วยฉันไว้...”มือเรียวของฉันยังดึงแขนเขาไว้แน่น ซึ่งวาเรี่ยนไม่ได้ดึงออก แถมยังกอดฉันไว้อีก
“ไหนนายบอกว่า ธุระของเราจบลงแล้ว แล้วฉันก็คืนสร้อยให้นายแล้วด้วย ทำไมถึงตามมาช่วยอีกล่ะ”หลังจากได้สติคืนมา คำพูดของฉันก็เริ่มกลับมากวนอีกครั้ง ถึงจะรู้ตัวดี แต่มันแก้นี้สัยนี้ไม่ได้จริงๆ
“ข้าช่วยเจ้าแล้ว ก็เลยอยากช่วยให้ถึงที่สุด อีกอย่างการที่พวกมันเข้ามาเล่นงานเจ้าในห้องนี้ได้ ก็เพราะข้าเอาสร้อยคืนไปนั่นแหละ”
“หมายความว่ายังไง!?”
วาเรี่ยนไม่ตอบ แต่ปล่อยแขนออกจากฉัน อยู่ๆฉันก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์วงแขนอบอุ่นนั่นขึ้นมา
“จะทำอะไรน่ะ!?” วาเรี่ยนถกชายชุดนอนฉันขึ้นไปถึงเข่า แล้วยกเท้าขึ้นมามองรอยปานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ฉันหันไปมองตาม มันใหญ่ขึ้นจนแทบจะพันเป็นวงกลมแล้ว
“รอยนี้แหละคือสิ่งที่ทำให้พวกมันตามหาเจ้าพบ บางทีพวกมันอาจจะตามเจ้ามาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วก็ได้ แต่เพราะมีสร้อยน้ำตามหาสมุทรอยู่ พวกมันจึงเข้ามาใกล้ไม่ได้” หลังจากดูจนพอใจ วาเรี่ยนก็วางเท้าฉันลงเหมือนเดิม
“ทำไมพวกวิญญาณมรณะถึงกลัวสร้อยนั่นล่ะ?”
“สร้อยนี่สำคัญต่อฉันมาก มันคือสัญลักษณ์ประจำตัวเจ้าชาย ท่านพ่อมอบให้ฉันและลูกชายทุกคน”วาเรี่ยนถอดสร้อยออกแล้วยื่นให้ฉันดู “หินสีฟ้าอันนี่เกิดจากการรวมตัวกันอย่างเหมาะสมของพลังแห่งท้องทะเล แสงอาทิตย์ และแสงจันทร์ ทำให้เกิดพลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้น วิญญาณมรณะจึงกลัวมัน”
“ข้าจะให้เจ้ายืมมัน”พูดจบเขาก็คล้องสร้อยให้ฉัน
“แต่ว่า...สร้อยนี่สำคัญกับนายมากไม่ใช่เหรอ มันเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเจ้าชายนี่”
“รับไปเถอะ ข้าสู้กับพวกมันได้ แต่เจ้าอ่อนแอเกินกว่าจะสู้กับพวกมัน”
“ถึงฉันจะไม่ชอบการพูดจาของนาย แต่ก็....ขอบคุณ”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจหยาบคาย แต่การพูดของพวกเราไม่ซับซ้อนเท่าพวกเจ้า” เขี้ยวแหลมๆโผล่ออกมาขณะพูด นี่ยังว่าไม่ได้ตั้งใจเสียมารยาทอีกเหรอไง
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ว่าแต่รอยปานนั่นล่ะ มันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนจะวนรอบขาฉันแล้ว”
“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้จะช่วยยังไงเหมือนกัน พวกเจ้ามีหมอผีไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ไปถามเขาล่ะ”
“หมอผี?”ฉันหันไปมองด้วยความงงสุดขีด “นายหมายถึงใคร พวกเราไม่มีหมอผี”
“มีสิ ผู้ชายใส่ชุดขาว ที่นำพวกเจ้าร้องเพลง กับพูดอะไรแปลกๆในวันอาทิตย์”
และแล้วฉันก็ถึงบางอ้อ บาทหลวงนี่เอง
“นั่นไม่ใช่หมอผี พวกเราเรียกเขาว่า บาทหลวง”
“นั่นเป็นคำศัพท์ที่ข้าลืมไปแล้ว บาทหลวง....ข้าจะพยายามไม่ลืมอีก”
“ไปหาบาทหลวงออสตินก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาหรอก ขนาดเวทมนตร์ของนายยังเอาปานนั่นออกไปไม่ได้ บาทหลวงไม่มีทางช่วยอะไรได้แน่”
“พวกนั้นไม่มีเวทมนตร์ แล้วทำไมพวกเจ้าถึงเคารพเขา”
“พวกนั้นเป็นตัวแทนของศาสนจักร เป็นผู้เผยแพร่คำสอนในคัมภีย์ยูดาซิส อ๊ะ ใช่แล้ว คัมภีย์ยูดาซิส!!!!”
“สิ่งนั้นคืออะไร?”
“มันคือหนังสือที่รวบรวมคำสอนและเรื่องราวต่างๆไว้ บางทีมันอาจจะวิธีปราบผีเขียนไว้ก็ได้”
“หนังสือเวทมนตร์ของพวกเจ้า?”
“ก็ไม่เชิง พรุ่งนี้ฉันจะไปที่ห้องสมุดของโบสถ์ บางทีฉันอาจจะหาวิธีรับมือกับพวกวิญญาณร้ายเจอได้ที่นั่น”
“ถ้างั้น ข้าไปด้วย”
ฉันหันไปมองอย่างงงๆ นี่ฉันฟังผิดไปรึเปล่า “นายจะไปจริงๆเหรอ?”
“ข้าเองก็อยากกำจัดเจ้าพวกนั้นเช่นกัน วิญญาณมรณะไม่เพียงแต่ทำร้ายมนุษย์ แต่มันยังสร้างความเดืออร้อนให้เหล่าเงือกด้วย”
“ฉันว่านายอย่าไปดีกว่า” มองสภาพหมอนี่แล้วอดกังวลไม่ได้ ชาวบ้านคงได้ลือกันให้แซด
“ข้าจะไป”เสียงตอบห้วนๆแฝงแววเอาแต่ใจ ทำเอาฉันแทบพูดไม่ออก ขนาดเจ้าชายยังขนาดนี้ แล้วเงือกทั่วไปจะขนาดไหน
“ก็ได้ๆ พรุ่งนี้ฉันเริ่มทำงานวันแรก ที่ร้านขายขนมเค้ก เลิกประมาณสามโมง แต่ถ้านายไม่รู้จักร้านล่ะก็ไม่ต้องไปก็ได้นะ”
“พรุ่งนี้ข้าจะไปหาเจ้าตอนสามโมง อย่าลืมสัญญาล่ะ”
“นายไปถูกเหรอ?”
“ตราบใดที่เจ้ายังสวมสร้อยน้ำตามหาสมุทรอยู่ ข้าจะตามหาเจ้าจนพบ”วาเรี่ยนจัดการขยับเข็มขัดห้อยดาบให้เข้าที่เข้าทาง “ข้าต้องไปแล้ว”ขณะที่เขากำลังจะเดินไป ฉันก็คว้าแขนเขาไว้อีกครั้ง โดยที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงทำเช่นนั้น
“เจ้ายังมีอะไร อยากจะพูดกับข้าอีกเหรอ?”เขาหันมามองมือที่กำไว้แน่น ด้วยใบหน้าสงสัย
“ฉันกลัว....ฉันคงนอนไม่หลับถ้าต้องอยู่คนเดียว”
“งันคืนนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า และจากไปก่อนรุ่งสาง” พูดจบเขาก็แกะมือฉันออก แล้วเข้ามาโอบจากด้านหลัง จากนั้นก็โน้มตัวฉันนอนลงบนเตียง
“นี่นายจะทำอะไรน่ะ!”ฉันร้องออกไปอย่างตื่นตระหนก
“อยู่เป็นเพื่อนเจ้ายังไงล่ะ”
“เดี๋ยวสิ!!”
“รีบหลับได้แล้ว” วาเรี่ยนสั่ง ยังคงกอดฉันไว้แน่น
“นี่นายห้ามทำอะไรฉันนะ!”
“ทำอะไร?” ฉันถึงกับอื้งเมื่อเขาถามกลับ แต่ดูท่าทางเขาจะไม่เข้าใจความหมายของฉันจริงๆ
“ตอบมาสิ หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าออกไป” แขนกำยำของเขาค่อยๆคลายออก แล้วกระเถิบห่างออกไป ฉันรีบพลิกตัวไปอีกด้านแล้วดึงเสื้อเขาไว้
“ตกลงเจ้าจะเอายังไงกันแน่”ฝ่ายนั้นเริ่มทำหน้ารำคาญปนหงุดหงิดเล็กๆ
“คืนนี้ฉันต้องการให้นายอยู่กับฉัน....” ถึงแม้จะกังวลว่าเขาอาจทำอะไรฉัน แต่ว่าความหวาดกลัวเมื่อสักครู่ทำให้ฉันไม่อาจทนอยู่คนเดียวได้จริงๆ ถ้าวิญญาณร้ายพวกนั้นกลับมาอีก ฉันคงถูกลาดลงไปในทะเลเป็นแน่ อยู่ๆน้ำตาก็ไหลเอ่ออาบแก้มทั้งสองข้าง ฉันยกมือขึ้นปาดน้ำตา ด้วยหวังว่าจะหยุดร้องไห้โดยเร็ว แต่กลับกลายเป็นว่า น้ำตายิ่งไหลต่อเนื่องไม่ยอมหยุด วาเรี่ยนโอบกอดฉันไว้อีกครั้ง แล้วลูบผมสีดำของฉันอย่างเบามือ
“ฉันกลัว...ฉันยังไม่อยากตาย ฮือ ฮืออ” เสียงพูดจาสะอึกสะอื้นลอดออกมาจากปากอย่างยากลำบาก
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง แล้วพรุ่งนี้พวกเราไปที่โบสถ์ ช่วยกันหาวิธีรักษารอยปานนั่นกัน”วาเรี่ยนปลอบฉันด้วยน้ำสียงอ่อนโยน ไม่อยากจะเชื่อเลย ทั้งๆที่เพิ่งพบกันไม่นาน ทำไมเขาถึงได้เป็นห่วงฉันขนาดนี้
“ขอบใจนะ เรื่องที่เกิดขึ้นเล่าให้ใครฟัง ก็คงไม่มีใครเชื่อ ฉันมีแต่นายเท่านั้น”
“รีบนอนเถอะ เจ้าต้องพักผ่อน”พูดจบเขาก็โน้มตัวฉันลงบนเตียง แล้วปิดเปลือกตาลง แม้จะกังวลว่าเขาอาจทำอะไร แต่ทุกความกังวลก็ไม่น่ากลัวเท่ากับ การถูกวิญญาณร้ายลากลงไปในทะเล ลมหายใจแผ่วเบากระทบเข้าที่ข้างใบหู อ้อมกอดนั่นช่างอบอุ่นอย่างน่าประหลาด โดยไม่รู้ตัว ฉันก็เผลอหลับไปในวงแขนของวาเรี่ยน
ความคิดเห็น