ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    นักฆ่าแห่งรัตติกาล (จบ)

    ลำดับตอนที่ #2 : ดินแดนนิรันดร์

    • อัปเดตล่าสุด 1 มิ.ย. 55


    “การที่ต้องนอนป่วยทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวโดยไม่มีใครเหลียวแลล่ะมั้ง” ดวงตาสีน้ำเงินยังคงจ้องมองทิวทัศน์เบื้องล่าง
    “...นั่นสินะเป็นข้าเองก็คงกลัวมาก แล้วเจ้ากลัวตายรึเปล่า...”
    “ไม่...”
    โรสแมรี่เงยหน้าขึ้นมองเด็กสาวด้วยสายตางุนงง เธอคิดว่าตัวเองต้องได้ยินผิดแน่
    “ใครๆก็กลัวตายทั้งนั้น ทำไมเจ้าบอกว่าไม่กลัวล่ะ”
    “อาจจะเป็นเพราะหนูเชื่อในดินแดนนิรันดร์ล่ะมั้ง” เอริสตอบพร้อมกับหันมายิ้ม แสงแดดอ่อนยามเย็นจากหน้าต่างกระทบผิดขาวซีด ช่วยให้เธอดูมีชีวิตชีวาอย่างคนสุขภาพดี โรสแมรี่มองเห็นประกายแห่งความหวังในดวงตาสีน้ำเงินของเด็กสาว
    เท่าที่โรสแมรี่รู้ ดินแดนนิรันดร์เป็นเรื่องเล่าที่พวกนักบวชที่ตอนนี้มีเหลือเพียงน้อยนิดเล่าสืบต่อกันมา พวกเขาเชื่อว่าดินแดนนิรันดร์คือจุดหมายสุดท้ายของดวงวิญญาณ สถานที่ซึ่งปราศจากความทุกข์ มีเพียงความสุขอันเป็นนิรันดร์ ผู้ที่จะไปยังที่นั่นได้ต้องผ่านการทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนจิตใจบริสุทธิ์ไร้ซึ่งมลทิล มันเป็นเรื่องเล่าที่งดงงามแต่รายละเอียดหลายอย่างยากเกินกว่าจะเข้าใจ คำสอนพวกนั้นค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา ตอนนี้เด็กบางคนไม่เคยได้ยินคำว่าดินแดนนิรันร์เลยด้วยซ้ำ สำหรับตัวเธอเองที่เป็นพยาบาล ดินแดนนิรันดร์ดูเป็นเรื่องห่างไกลไม่ได้เกี่ยวกับเธอเลยสักนิด ในทางการแพทย์ความตายก็คือการที่ร่างกายหยุดทำงาน และทุกสิ่งทุกอย่างจบลง เธอเคยคิดว่า ในเมื่อเป็นเช่นนั้น มนุษย์จะดิ้นลนมีชีวิตอยู่ไปทำไมกัน คิดแล้วก็อยากฆ่าตัวตายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
    “เป็นอะไรไปเหรอโรสแม่รี่ เงียบไปนานเลย เจ้าไม่รู้จักดินแดนนิรันดร์อย่างนั้นหรือ”
    โรสแมรี่ได้สติ หลังจากจมอยู่ในภวังความคิดอยู่นาน
    “เปล่า...ข้าแค่คิดอะไรเพลินๆน่ะ” พยาบาลสาวยกนิ้วขึ้นกดระหว่างคิ้ว เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดหัว
    “เจ้าเป็นเด็กที่กล้าหาญมากเอริส ข้าชื่นชมเจ้าจริงๆ แต่ข้ามีอีกคำถามที่ยากเหมือนกัน อยากจะถามเจ้า พอจะตอบได้มั้ย”
    “ลองถามมาสิ”
    หฐิงสาวยกมือขึ้นกอดอก ความกังวลใจฉายออกมาทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด แต่สุดท้ายก็ถามออกไปจนได้
    “สมมุติว่าพี่เจ้าเป็นคนไม่ดีล่ะ เจ้าจะทำยังไง” หญิงสาวยกมือขึ้นกุมขมับอีกครั้ง
    “เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับพี่ข้าอย่างนั้นเหรอ”
    “แค่สมมุติน่ะ เจ้าตอบข้ามาก่อนสิ”
    “ก็คงจะเสียใจล่ะมั้ง...ถ้าพี่ทำเรื่องไม่ดีล่ะก็เอริสจะต้องหยุดพี่ให้ได้”
    “เจ้ากลัวที่จะรู้ความจริงรึเปล่า ถ้าเจ้ากลัว เจ้ามีสิทธิที่จะเลือกอยู่โดยไม่รับรู้อะไรต่อไป ข้าจะไม่พูดอะไร”
    เอริสนั่งนิ่ง แต่ในใจเธอกลับสั่นด้วยความกลัว สิ่งที่เธอคาดไว้ถูกต้อง จะเป็นไปได้ยังไงที่สามารถหาหาเงินเยอะๆมาอย่างง่ายดาย ถ้าไม่ใช่การทำเรื่องเลวร้าย ความคิดต่างๆตีกันยุ่ง ทำให้เด็กสาวเครียดจนเริ่มปวดหัว แต่การจะให้หลอกตัวเองไปเรื่อยๆว่าพี่ชายไปคนดีไร้ที่ติ เธอไม่สามารถทำได้ มันไม่ใช่นิสัยของเธอที่กล้าแม้แต่เผชิญกับความจริงว่าตัวเองเป็นโรคร้ายแรง ที่ไม่มีวันรักษาหายขาด
    มือเล็กยื่นไปจับแขนโรสแมรี่ แล้วบีบจนแน่น “เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าพี่ข้าไปทำอะไรมา บอกข้ามาเถอะ ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน ก็ดีกว่าการหลอกตัวเอง”
    “เจ้าแน่ใจแล้วนะ...” หญิงสาวมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงิน อีกฝ่ายมองกลับมาด้วยสายตาที่แม้หวาดกลัวแต่ก็เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
    “งั้นตั้งใจฟังให้ดี พี่เจ้าเป็น...”
    ตะเกียงมากมายถูกประดับที่ด้านหน้าโรงแรมดัลแคนแลนด์ ส่องแสงสว่างไสวเชิญชวนให้เข้าไปยิ่งนัก ไซรัสใส่ชุดสีดำสลับบน้ำเงินเข้มกุ๊นขอบด้วยริบบิ้นสีเงิน ที่นายจ้างเตรียมไว้ให้เขา แล้วสวมหมวกปีกกว้าง แค่นี้เขาก็ดูไม่ต่างกับแขกฐานะดีคนหนึ่งแล้ว เพื่อป้องกันเหตุผิดพลาดเขาจึงคาดผ้าปิดหน้าสีดำรอบดวงตาเผื่อไว้ด้วย
    เมื่อมองชุดหรูหราของแขกเกลื่อ ฟังพวกเขาหัวเราะร่าอย่างรื่นเริง บวกกับบรรยากาศอบอุ่นปลอดภัยในย่านคนรวย ไซรัสก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาจับใจเมื่อหวนนึกถึงบ้านเก่าๆที่เขาเกิด ชีวิตคงง่ายกว่านี้มากถ้าเขาและน้องสาวเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย และโชคชะตาคงไม่เล่นตลกให้เขาต้องมาอยู่ที่นี่ในคืนนี้เพื่อฆ่าคนๆหนึ่งแลกกับเงินเพื่อซื้อยารักษาชีวิตน้องสาว
    ไซรัสขยับอาวุธลับที่ข้อมือให้เข้าที่ แล้วขยับเข้าไปในกลุ่มคนใกล้ทางเข้าโรงแรม คืนนี้เขาตั้งใจจะสังหารลอล์ดดัลแคนด้วยลูกดอกอาบยาพิษ ถ้าไม่สำเร็จเขาจะเข้าประชิดตัวแล้วใช้มีดสั้นสังหารแทน หลังจากนาฬิกาจากหอนาฬิกาตีบอกเวลาสองทุ่ม รถม้าสีดำตกแต่งด้วยไม้แกะสลักทาสีทองก็วิ่งช้าๆเข้ามายังบริเวณหน้างาน คนรับใช้เปิดประตูรถออก ชายวัยกลางคนตัวไม่สูงมาก ผมดำหยักศก ไว้หนวดตามแนวขอบปากใส่ชุดผ้ากำมะหยี่สีเขียวเข้ม ก็เดินบนพรมแดงด้วยท่าทางเย่อหยิ่งเข้ามายังบริเวณหน้าโรงแรม เขาหยุดยืนโบกมือทักทายผู้คนที่ด้านหน้าประตู ผู้คนต่างโห่ร้องแสดงความยินดี ไซรัสสบโอกาศจึงปลดกลไกอาวุธลับที่ข้อมือยิงใส่ลอร์ดดัลแคน โชคไม่ดีที่ชายคนนั้นหันตัวพอดี ลูกดอกเลยแค่ถากแขนไปเท่านั้น
    เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้คนที่อยู่รอบๆตื่นตระหนก พวกผู้หญิงต่างกรีดร้องเอะอะโวยวาย แขกเหรื่อวิ่งไปมากลหล ชายหนุ่มรีบถือโอกาศฝ่าฝูงชนเข้าไปประชิดตัวลอร์ดดัลแคล แล้วชักมีดสั้นออกมาแทงชายวัยกลางคนอย่างง่ายดาย ก่อนที่คนคุ้มกันจะมาถึงไซรัสก็หนีหายไปเสียแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่เพียงร่างไร้ชีวิตของลอร์ดดัลแคน
    หลังจากล้างคราบเลือดและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วไซรัสก็ตรงไปยังบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่า ถนนมืดมิดไร้ซึ่งแสงไฟ มีเพียงแสงจากพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวเท่านั้นที่พอส่องเห็นทางได้ลางเลือน ชายหนุ่มไขกุญแจเข้าไปในบ้าน พยายามเดินอย่างแผ่วเบาที่สุดไปยังชั้นบน เมื่อเปิดประตูเข้าไปเทียนก็ถูกจุดขึ้น เอริสนั่งรออยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะกลมตัวเล็ก ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก ต้องมีบางอย่างผิดปรกติแน่ เอริสไม่เคยอยู่รอเขามาก่อน
    “ทำไมถึงไม่นอน เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ”
    เอริสมองไซรัสด้วยสายตาแน่นิ่ง ไม่นานแววตาของเธอเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ปากเธอสั่นระริกแล้วน้ำตาก็ไหลออกมา “หนูรู้แล้วว่าพี่ไปทำอะไรมา”
    “พูดอะไรน่ะเอริส...” ชายหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความงุนงง เอริสจะรู้ได้ยังไงว่าเขาไปฆ่าคนมา
    “หนูเห็นพี่ที่หน้าโรงแรม...ถึงจะไกลแต่หนูจำพี่ได้ พี่ฆ่าลอร์ดดัลแคน” เอริสสะอื้นหนักขึ้นจนหายใจติดขัด
    “เหลวไหลน่าเจ้าพูดเรื่องอะไรกัน เข้าใจผิดแล้วพี่จะไปฆ่าคนๆนั้นเพื่ออะไรกันล่ะ พี่ไม่รู้จักเขาสักหน่อย” ชายหนุ่มพยายามปั้นหน้าใสซื่อ
    “พี่ฆ่าเขาเพื่อหาเงินมาเป็นค่ายาให้หนูใช่มั้ยคะ” ใบหน้าของเด็กสาวบิดเบี้ยวด้วยความทุกข์ระทม เมื่อคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้คนหลายคนต้องตาย
    เอริสรู้มากกว่าที่เขาคิด นี่ไม่ใช่แค่ละเมอหรือพูดเพ้อเจ้อไปเอง เธอรู้ความลับของเขาแล้ว ความจริงที่ว่าพี่ชายของเขาไม่ใช่คนดีอย่างที่เธอวาดภาพไว้
    ไซรัสถลาเข้าไปบีบต้นแขนน้องสาวไว้แน่ แล้วเขย่าอย่างแรง “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้ยังไง!? เจ้าไปที่โรงแรมมาอย่างนั้นเหรอ”
    “ใช่...นะหนูเห็นพี่จากระเบียง...ของโบสถ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม...”
    “ใครเป็นคนบอกเจ้า โรสแมรี่ใช่มั้ย!?” ชายหนุ่มถามเสียงดังจนแทบเป็นตะคอก นอกจากโรสแมรี่จะมีใครอีกล่ะที่รู้ว่าเขาจะฆ่าใครที่ไหน
    เอริสไม่ตอบแต่กลับร้องไห้หนักขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก
    “ต้องเป็นโรสแมรี่แน่ๆ อยู่ดีไม่ว่าดี เสือกปากมากเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาบอก อยู่ที่นี่พี่จะไปจัดการนังนั่น” ไซรัสสั่ง จากนั้นก็ผละออกจากร่างผอม
    “ไม่เกี่ยวกับโรสแมรี่ พี่อย่าไปนะ” มือเล็กดึงชายเสื้อของพี่ชายไว้ แต่กลับถูกอีกฝ่ายปัดมือออกอย่างไม่ใยดี เอริสพยายามร้องห้าม แต่ไซรัสไม่ฟัง เขาเดินออกไปด้วยท่าทางโมโหจัด โรสแมรี่ต้องถูกเล่นงงานอย่างหนักแน่ พี่อาจจะฆ่าเธอก็ได้ เพราะข้าโรสแมรี่จึงต้องเดือดร้อน จะต้องไปห้ามพี่
    ร่างผอมยันตัวลุกขึ้นจากเตียงด้วยความยากลำบาก ตอนที่เธอออกจากบ้านกับโรสแมรี่ไปที่โบสถ์ตรงข้ามโรงแรม ร่างกายที่บอบบางก็ฝืนใช้งานจนเหนื่อยล้ามากแล้ว ตอนนี้เธอแทบไม่มีแรงแม้แต่จะยืน กระนั้นเด็กสาวก็พยายามฝืนสังขารเดินต่อไป แม้จิตใจจะมุ่งมันแต่มันไม่ได้ทำให้ร่างกายแข็งแรงตามไปด้วย เมื่อมาถึงประตูเอริสก็ล้มลงหมดสติไป
    ประตูห้องของโรสแมรี่ถูกถีบออกอย่างรุนแรง เสียงดังสนั่นทำให้หญิงสาวลุกพรวดขึ้นจากเตียงด้วยความตื่นกลัว ร่างสูงปิดประตูกลับไปแล้วใส่สลัก จากนั้นก็เดินตรงไปหาเจ้าของห้อง แสงจันทร์ครึ่งเสี้ยวส่องให้เห็นใบหน้าผู้บุกรุกอย่างเลือนลางแต่ก็พอรู้ได้ว่านั่นคือไซรัส ดวงตาสีฟ้าซีดเปล่งประกายน่ากลัวดุจมัจจุราช เธอไม่เคยเห็นเขาน่ากลัวเช่นนี้มาก่อน  
    “ซะไซรัส...” โรสแมรี่เอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่นเทา ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว เธอรู้ว่าไซรัสต้องมาหาเธอแน่ แต่ไม่คิดว่าเวลาแห่งหายนะจะมาเยือนเร็วเช่นนี้ บางทีนี่อาจจะเป็นคืนสุดท้ายในชีวิตของเธอ
    “ทำไมต้องเอาเรื่องนั้นไปบอกเอริส!!!” ชายหนุ่มตะคอก แล้วผลักโรสแมรี่ลงบนเตียงอย่างแรง
    “เพราะเอริสต้องการที่จะรู้...”
    “เจ้าก็เลยบอกอย่างนั้นเหรอ ทำไมถึงได้ทำตัวงี่เง่าแบบนี้ เจ้ามันสมควรตายจริงๆ” ร่างสูงขึ้นคล่อมหญิงสาวแล้วแล้วบีบคอเธออย่างแรงด้วยโทสะ
    “ปะปล่อย” โรสแมรี่พยายามขัดขืน แต่มีหรือจะสามารถต้านทานนักฆ่าฝีมือดีได้ อากาศแทบไม่ได้เข้าปอด เธอซึ่งเป็นพยาบาลรู้ดีว่าอีกไม่นานตัวเองคงต้องตายแน่
    แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ไซรัสปล่อยมือออกแล้วจ้องมองเธอ โรสแมรี่สัมผัสได้ถึงความเศร้าที่ซ่อนลึกอยู่ในดวงตาของเขา จากนั้นร่างบางก็สะดุ้งโหยงเมื่อมือแข็งแกร่งฉีกกระชากชุดนอนผ้าฝ้ายของเธอออกจนขาดวิ้น เผยให้เห็นทรวงอกอิ้ม ไซรัสยื่นมือมาจับหน้าอกเธอช้าๆ จากนั้นก็เคล้งคลึงอย่างหนักหน่วง
    “ปล่อยนะ!” ร่างบางพยายามปัดป้อง แต่ข้อมือเรียวเล็กกลับถูกกดลงบนเตียง ไซรัสซุกหน้าลงที่ซอกคอของเธอแล้วเริ่มจูบอย่างบ้าคลั่ง
    “จะขัดขืนไปทำไม ทำอย่างกับไม่เคยไปได้ เมื่อก่อนเจ้าต้องการข้าจะตาย พวกเราเคยทำกันตั้งหลายรอบต่อคืน เจ้าลืมไปแล้วหรือไง”
    “นั่นมันก่อนที่ข้าจะรู้ว่าเจ้าเป็นฆาตกร ข้าขยะแขยงมือสกปรกเปื้อนเลือดของเจ้า อย่ามาแตะต้องตัวข้า!”
    ชายหนุ่มกดร่างบางไว้แน่น “นี่คือการลงโทษที่เจ้าแส่ไม่เข้าเรื่อง” เขากล่าวแล้วดันแก่นกายเข้าไปในร่างหญิงสาว
    โรสแมรี่กรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
    แสงแดดยามเช้ากับเสียงร้องสะอึกสะอื้น ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมา เขามองไปรอบๆ เห็นโรสแมรี่ผมเผ้ายุ่งเหยิงร่างกายมีรอยฟกช้ำนอนอยู่ข้างๆ ที่นอนยับยู่ยี่ฟ้องว่าเหตุการณ์เมื่อคืนนั้นรุนแรงแค่ไหน เมื่อโทสะหายไปความรู้สึกผิดก็เข้ามาแทน ถึงโรสแมรี่จะผิดต่อเขาที่บอกความลับของเขากับเอริส แต่การข่มขืนอย่างทารุณก็เป็นการลงโทษที่โหดร้ายเกินไป สำหรับโรสแมรี่ที่เคยถูกสามีทำร้ายร่างกาย เหตุการณ์เมื่อคืนคงทำให้เธอสะเทือนใจมากกว่าผู้หญิงคนอื่นหลายเท่า
    ไซรัสยื่นมือไปลูบแก้มหญิงสาวเบาๆ เธอยังคงนอนร้องไห้ ร่างกายและจิตใจเหนื่อยล้าจนไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน ถึงโรสแมรี่จะไม่ใช่คนรัก แต่ไซรัสก็เคยชอบเธออยู่ไม่น้อย การที่เธอเจ็บปวดเขาก็เจ็บปวดไปด้วย ถ้าเมื่อคืนเขาพอมีสติควบคุมความโกรธได้ คงไม่ทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นลงไป ร่างสูงนอนลงบนเตียงแล้วโอบกอดร่างบางจากด้านหลังด้วยความรู้สึกอยากปลอบประโลม
    “สำนึกผิดงั้นเหรอ...” หญิงสาวถาม
    ไซรัสไม่ตอบ เขาซุกหน้าไปที่ต้นคอเธอจากนั้นก็จูบไหล่เธอเบาๆ
    “ไปให้พ้น ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก” เธอกล่าวด้วยเสียงเย็นชา
    เมื่อถูกไล่เช่นนั้น ไซรัสจึงหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวม แม้เขาจะรู้สึกผิด แต่อัตตาของเขามันก็มากเกินกว่าจะยอมเอ่ยคำขอโทษ ถึงเขาจะทำรุนแรงเกินไป แต่ยังไงเสียเธอก็มีส่วนผิดที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง
    ไซรัสเดินออกจากบ้านเช่าที่โรสแมรี่เช่าห้องพักอยู่ ผ่านถนนสายแคบที่มีร้านค้าขนาดเล็กดูยุ่งเหยิงขนาบสองข้าง ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีเทาขมุกขมัว คงมีไม่กี่คนที่เลวกว่าข้า...ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง เขาเดินต่อไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย กลัวเกินกว่าจะกลับบ้าน เขาเคยฆ่าคนมามากมาย เสี่ยงอันตรายมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่มีสิ่งใดที่น่ากลัวไปกว่าดวงตาที่มองเขาด้วยความผิดหวังของน้องสาว เอริสคงเกลียดเขามาก
    สำหรับไซรัสเขาไม่ได้ชอบโลกใบนี้เลยแม้แต่น้อย เมื่อเขาโตพอที่จะคิดและเข้าใจสิ่งต่างๆบนโลกนี้ เขาไม่เคยพอใจในชีวิตเลยสักวัน เขตคอนเชียสนั้นน่าขยะแขยง เต็มไปด้วย ขอทาน คนจรจัด โจรโขมย รวมทั้งอาชญากรที่ฆ่าคนได้เพื่อเงินเพียงเล็กน้อย ทุกวันเขาต้องอยู่ด้วยความหวาดผวา พ่อของเขาต้องทำงานหนักในโรงงานผลิตสารเคมีที่อันตรายเพื่อให้ครอบครัวมีเงินพอใช้ แม่ที่เครียดจัดมักดุด่าและตีเขากับน้องสาวเสมอ เขาเคยขอร้องให้พ่อพาพวกเขาไปอยู่ที่อื่น แต่พ่อกับแม่บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ พวกเขาไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเช่าบ้านที่ดีกว่านี้ และพ่อก็ไม่ใช่คนที่มีความสามารถอะไรที่จะทำงานดีๆได้ แล้วสถานการณ์ก็เลวร้ายถึงขีดสุดเมื่อพ่อเจออุบัตติเหตุสารเคมีระเบิดใส่จนเสียชีวิต ครอบครัวขาดรายได้ แม้เด็กชายอยากจะเป็นคนดี แต่สภาพแวดล้อมบีบให้เขาต้องลักเล็กโขมยน้อยตั้งแต่เด็ก เพื่อไม่ให้อดตาย ถ้าไม่มีเอริสที่อ่อนโยนเหมือนเทพธิดาตัวน้อยคอยเป็นหลักยึด ศีลธรรมในใจเขาคงเลือนหายไปหมดสิ้น
    ในขณะที่ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นเมื่อไซรัสโตพอที่จะทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ เรื่องเลวร้ายก็เกิดขึ้นอีก เอริสป่วยหนัก หมอตรวจพบว่าเธอเป็นโรคลิ่มเลือดแข็งตัวมากผิดปรกติ ต้องใช้ยาฟาราริสซึ่งสกัดจากดอกฟรอริสที่ปลูกได้เฉพาะที่เทือกเขาสูงทางเหนือเพื่อช่วยละลายลิ่มเลือด ถ้าขาดยาลิ้มเลือดจะแข็งตัวทำให้เลือดหมุนเวียนไม่ได้ แล้วถึงแก่ความตายในที่สุด ไซรัสจึงจำใจต้องเข้าร่วมกับกลุ่มอิทธิพลมืดเพื่อหาเงินให้พอกับค่ารักษา เขาเริ่มจากการทำเรื่องเล็กเช่นขนสินค้าหนีภาษี ใช้กำลังทวงหนี้ จนกระทั่งเป็นนักฆ่าในที่สุด ที่เขาทำไปทุกอย่างก็เพื่อให้เอริสมีชีวิตอยู่ ถ้าปราศจากรอยยิ้มของเอริสเขาก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม โลกโสมมใบนี้ไม่ได้ให้ความสุขอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย ตรงข้ามมันกับประเคนความทุกข์ต่างๆนาๆมาให้เขาแบกไม่รู้จักหมดสิ้น
    ขณะที่ไซรัสกำลังเดินเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นมือหนาหนักก็กดทับลงบนไหล่ของเขา ชายหนุ่มเบี่ยงตัวแล้วคว้าแขนคนผู้นั้นไว้ด้วยสัญชาตญาณอันรวดเร็วราวสัตว์ป่า ชายวัยกลางคนมีสีหน้าบูดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เมื่อไซรัสพบว่าเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยจึงปล่อยมมือออก ที่แท้เขาคือฟาบิโอสมาชิกระดับสูงขององกรณ์มืด ผู้ที่เป็นนายหน้าจัดหางานให้เขา
    “ปฏิกิริยาตอบโต้ว่องไวสมกับเป็นนักฆ่าจริงๆ” ชายวัยกลางคนกล่าวชมพร้อมกับเหยียดยิ้ม
    “ไปหาที่เงียบๆคุยกันเถอะ” ไซรัสกล่าวอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
    “อือ”
    เมื่อเป็นดังนั้นไซรัสจึงพาฟาบิโอไปที่ตรอกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นทางตันไม่มีผู้คนเดินผ่าน
    “มาหาข้ามีธุระอะไร” ชายหนุ่มถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
    “เจ้าเป็นอะไรไป มีปัญหาอะไรหรือ เมื่อวานงานก็สำเร็จด้วยดีนี่นา”
    “ไม่มีไรหรอก ก็แค่เรื่องผู้หญิง อารมณ์เสียนิดหน่อยแต่เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง” ไซรัสตอบไปมั่วๆ เพราะไม่อยากถูกถามเซ้าซี้
    “อ้อ เรื่องเล็กแค่นี้เอง ผู้หญิงมีมากมายอย่าไปใส่ใจมากนักเลย ถ้านางเริ่มทำให้เจ้าอารมณ์เสียก็แค่เปลี่ยนคนซะก็เท่านั้น หึหึ” ฟาบิโอหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
    “ว่าแต่ท่านมาหาข้ามีเรื่องอะไร พูดมาสักทีเถอะ”
    “งั้นเข้าเรื่องเลยละกัน อันตัวข้าก็ใช่ว่าจะว่างมากซะที่ไหน คืองี้นะไซรัส ข้ามีงานสำคัญจะให้เจ้าทำ ข้รู้ว่าเมื่อทำงานตาดกันสองคืนเจ้าคงเหนื่อยมาก แต่นายข้าต้องการให้เจ้าทำงานนี้จริงๆ เขาว่าเจ้าเป็นนักฆ่าที่เก่งกาจและไม่เคยทำงานผิดพลาน งานนี้นายท่านจึงไม่ไว้ใจให้ใครทำนอกจากเจ้า”
    “ให้นักฆ่าคนอื่นไปได้มั้ย คืนนี้ข้าทำงานไม่ไหวจริงๆ เมื่อคืนข้าเหนื่อยมากและแทบไม่ได้นอนเลย” ชายหนุ่มกอดอก แสดงความเบื่อหน่ายออกมาทางสีหน้าอย่างไม่ปิดบัง
    “งั้นเจ้าก็ไปนอนพักผ่อนซะสิ ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะค่ำ”
    “ได้โปรดเถอะฟาบิโอ ข้ารับงานนี้ไม่ไหวจริงๆ สมองข้าเหนื่อยล้าจนแทบทนไม่ไหวแล้ว”
    ชายวัยกลางคนยื่นมือมาบีบไหล่ชายหนุ่มไว้แน่น แล้วมองด้วยเขาด้วยสายตาล้ำลึก “ฟังนะไซรัส นักฆ่าอย่างเจ้าเวลาทำงานต้องไร้หัวใจ อย่าเอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเด็ดขาด จงกลับไปนอนพักผ่อนซะ แล้วคืนนี้จงตื่นขึ้นมาเป็นนักฆ่าที่เหี้ยมโหดไร้หัวใจเหมือนเดิม เพราะไม่ว่ายังไงเจ้าก็ไม่อาจปฏิเสธงานนี้ได้ เจ้าก็รู้นี่ว่านายใหญ่น่ากลัวแค่ไหน ถ้าคืนนี้เจ้าไม่ทำงาน อาจจะเป็นเจ้าที่ต้องตายเสียเอง”
    ไซรัสยืนนิ่ง เขาเข้าใจที่ฟาบิโอพูดดี แม้คืนที่ผ่านมาจะมีปัญหามากมายจนเขาอ่อนล้าทั้งกายและใจจนไม่อยากทำงาน แต่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้
    “ก็ได้ฟาบิโอ ข้าจะทำ...บอกมาสิว่าวันนี้ใครต้องตาย”
     
    เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องเด็กสาวในชุดสีขาวหม่นก็ลืมตาตื่นขึ้นทันที พี่ชายกลับมาแล้ว เธอรีบยันตัวลุกขึ้นจากเตียง ขยี้ตาให้หายงัวเงีย
    ไซรัสยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องด้วยสีหน้าสำนึกผิด
    “พี่ทำอะไรโรสแมรี่ พี่คงไม่ได้ฆ่านางหรอกนะ” เอริสถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
    “เปล่า พี่ไม่ได้ฆ่านาง...”
    เอริสยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก
    “แต่สิ่งที่พี่ทำลงไปก็เลวร้ายไม่ต่างอะไรกับฆ่านางทั้งเป็น...”
    ได้ฟังดังนั้นเอริสก็หน้าซีดอีกครั้ง
    “พี่ทำอะไรโรสแมรี่”
    “...เรื่องแบบผู้ใหญ่น่ะ เจ้าไม่รู้น่าจะดีกว่า...”
    ถึงอายุสิบเอ็ดแต่เอริสก็พอเดาออกว่าพี่ชายหมายความว่ายังไง เมื่อเป็นดังนั้นเธอจึงไม่ถามต่อ แม้ไม่เข้าใจรายละเอียดแต่ถ้าพี่ชายบอกว่ามันเลวร้ายเหมือนตายทั้งเป็น มันก็คงเลวร้ายมากนั่นแหละ โรสแมรี่ที่น่าสงสารต้องมาเดือดร้อนเพราะเธอ เมื่อคิดดังนั้นเด็กสาวก็ปวดใจยิ่งนัก
    เอริสนั่งมองพี่ชายสักพัก จากนั้นก็อ้าแขนออกเป็นการบอกอ้อมๆให้พี่ชายเข้ามากอด ไซรัสยืนนิ่ง เขารู้สึกว่าตัวเองสกปรกเกินกว่าจะโดนตัวเอริสที่แสนอ่อนโยน
    “หนูอยากกอดพี่” เอริสขอร้อง
    ไซรัสเดินเข้าไปหาน้องสาวช้าๆด้วยท่าทีหมดอาลัยตายอยาก แล้วสวมกอดเธอเบาๆ
    “เกลียดพี่รึเปล่า...”
    เอริสไม่ตอบแต่กอดไซรัสแน่นขึ้นพร้อมกับร้องไห้ออกมา
    “ต่อจากนี้พี่เลิกฆ่าคนได้มั้ย”
    “ถ้าพี่ไม่ฆ่าคนแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อยาให้เอริสล่ะ”
    “มันไม่มีทางอื่นแล้วเหรอ”
    “...”
    ตอนนี้สมองของชายหนุ่มเหนื่อยล้าเกินกว่าจะตอบคำถามยุ่งยากพวกนั้นไหว เขาได้แต่กอดร่างผอมไว้แน่น แทนคำพูดว่ารักเธอมากแค่ไหน ทั้งสองกอดกันเงียบๆอยู่นานจนกระทั่งไซรัสผลอยหลับไปในอ้อมแขนของเอริส
    เมื่อกลางคืนมาเยือนไซรัสลืมตาตื่นขึ้นบนเตียงของน้องสาว มีเอริสนอนหลับอยู่ข้างๆ เขาหยิบนาฬิกามาดูใต้แสงจันทร์ที่ส่องลอดมาจากหน้าต่าง เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว ยังพอมีเวลาเตรียมตัวก่อนการสังหารในคืนนี้ ชายหนุ่มหันไปมองร่างบอบบางที่นอนอยู่บนเตียง แม้อยากหยุดแต่จะให้เขาปล่อยผู้เป็นที่รักให้ตายไปได้อย่างไร มือเรียวแต่แข็งแกร่งไขกุญแจตู้ออก จากนั้นก็หยิบมีดสั้นมาสอดไว้ที่รองเท้าบูทสีดำ ที่ทำช่องพลางเก็บมีดไว้เป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้คนอื่นสังเกตุเห็น ไซรัสคาดเข็มขัดที่เอวแล้วใส่ดาบลงไปที่ห่วง จากนั้นก็หยิบผ้าคลุมขึ้นมาสวม เขาพร้อมแล้วสำหรับการสังหารในคืนนี้ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะก้าวออกจากห้องตะเกียงก็ถูกกจุดขึ้น
    “พี่จะไปฆ่าคนอย่างนั้นเหรอ” เสียงเล็กใสเอ่ยถาม
    “พี่จำเป็นต้องทำ ขอโทษด้วย...” ไซรัสยื่นมือไปผลักประตู
    “เดี๋ยว!”
    ร่างสูงชะงัก
    “ถ้าพี่ไปหนูจะฆ่าตัวตาย พี่จะได้ไม่ต้องฆ่าใครอีก”
    ไซรัสหันควับด้วยความตกใจ ใบหน้าของเขาซีดเผือด เมื่อเห็นเอริสใช้มีดสั้นของเขาจ่อคอตัวเองอยู่
    “ถ้าพี่ก้าวออกไปจากห้องหนูจะใช้มีดนี่ทิ่มอกตัวเองซะ”
    “วางมีดลงซะเอริส” ชายหนุ่มสั่ง แต่เด็กสาวไม่มีท่าทีจะทำตามแม้แต่น้อย
    “อย่าฆ่าคนอีกเลยนะพี่ หนูไม่อยากให้พี่ต้องทำเรื่องชั่วช้าแบบนั้นเพื่อหนู”
    “ถ้าพี่ไม่ทำแบบนี้แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อยาให้เจ้าล่ะ เข้าใจพี่บ้างสิ พี่ทำทุกอย่างเพื่อเอริสนะ”
    “เพราะอย่างนั้นแหละ คืนนี้หนูถึงต้องหยุดพี่ให้ได้ หนูคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ที่ใช้ชีวิตคนอื่นมาต่อชีวิตให้หนู”
    “ถ้าอย่างนั้นจะให้ทำยังไงล่ะ ปล่อยให้เจ้าตายอย่างนั้นเหรอ”
    ขณะที่เอริสมองพี่ชายน้ำตาก็ไหลพรากออกมาราวกับสายธาร “บางทีหนูอาจจะไม่สมควรมีชีวิตอยู่ก็ได้”
    “แล้วใครเป็นคนตัดสินกัน ว่าใครควรหรือไม่ควรมีชีวิตอยู่ พี่ไม่เห็นว่าคนที่พี่ฆ่าไปสมควรมีชีวิตอยู่มากกว่าเอริสตรงไหน โลกนี้มันไม่ยุติธรรมแต่พี่จะทำให้มันยุติธรรมขึ้นเอง” ชายหนุ่มกล่าวพลางเดินเข้าไปใกล้เอริส
    “ถอยออกไป ไม่งั้นหนูจะแทงตัวเองเดี๋ยวนี้” ร่างผอมขยับมีดใกล้หน้าอกมากขึ้น
    ไซรัสเบิ่งตากว้างด้วยความตกตะลึง ท่าทางรังเกียจที่เอริสมีต่อเขาทำให้เจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ ขาของเขารู้สึกเหมือนไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ยอมถอยออกไปโดยดี
    “พี่เชื่อเรื่องดินแดนนิรันดร์รึเปล่า...”
    “มันก็แค่นิทานหลอกเด็ก เป็นความฝันลมๆแล้งๆที่พวกนักบวชพยายามใช้ปลอบใจผู้คน พูดถึงมันททำไมเหรอเอริส”
    “ถึงพี่จะไม่เชื่อแต่หนูรู้ว่าดินแดนนิรันดร์มีอยู่จริง มนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อรับการทดสอบ ว่าเราสามารถต้านทานต่อสิ่งล่อลวงให้ถลำลึกลงไปในความชั่วร้ายได้รึเปล่า เพื่อทดสอบว่าความดีในจิตใจของเรามั่นคงมากแค่ไหน เพื่อเรียนรู้ความหมายของชีวิต ความรักและความเมตตา ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัวเมื่อเทียบกับการมีชีวิตอยู่อย่างมืดมน หนูไม่กลัวที่จะตาย แต่หนูไม่อาจทนให้พี่ชายที่หนูรักออกไปทำเรื่องชั่วร้ายอย่างฆ่าคนได้ หยุดเถอะพี่ชาย...หนูขอร้อง...”
    เมื่อได้ฟังคำอ้อนวอนของน้องสาวน้ำตาของไซรัสก็พลอยไหลพรากไปด้วย นานเป็นสิบปีแล้วที่เขาไม่ได้ร้องไห้
    “ถึงเจ้าไม่กลัวที่จะตาย แต่พี่จะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีเจ้า เอริสเจ้าคือทุกสิ่งทุกอย่างของพี่ เจ้าคือความหมายหนึ่งเดียวที่ทำให้พี่อยากมีชีวิตอยู่ อย่าทิ้งพี่ไป พี่ไม่เหลือใครแล้วนอกจากเจ้า” ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนพื้น
    เอริสนิ่งเงียบเธอจนปัญญาที่จะตอบคำถามของพี่ชาย เธอรู้ดีว่าตัวเองสำคัญกับพี่มากแค่ไหน
    “วางมีดลงเถอะ พี่ต้องรีบไปแล้ว ถ้าคืนนี้พี่ไม่ฆ่า พี่ต้องเป็นฝ่ายถูกนายใหญ่ฆ่าเสียเอง”
    เอริสส่ายหัว “ถ้างั้นพวกเราก็หนีไปด้วยกันสิ หนูเบื่อที่นี่เต็มทนแล้ว ไปใช้ชีวิตช่วงสั้นๆก่อนตายในชนบทที่ห่างไกลผู้คนสักที่ นะคะพี่” เด็กสาวยิ้มอย่างอบอุ่นให้พี่ชาย
    “ไม่! พี่ปล่อยให้เจ้าตายไม่ได้ พี่อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้า”
    “ถ้างั้นพี่ช่วยมีชีวิตอยู่แทนหนูได้มั้ย...”
    ไซรัสเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวด้วยความงุนงง “มีชีวิตอยู่แทนเจ้างั้นเหรอ?”
    “ใช่ มีหลายอยากที่หนูอยากทำแต่ทำไม่ได้ พี่ช่วยทำแทนหนูได้มั้ย พี่สุขภาพดีแถมมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ถ้าพี่มีชีวิตอยู่พี่ต้องทำเรื่องดีๆได้หลายอย่างแน่ หนูน่ะอยากเป็นนักบวชมากเลยล่ะ ทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงสวดหนูรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก น่าเสียดายที่พวกนักบวชไปจากที่นี่หมดแล้ว เหลือไว้แต่เพียงโบสถ์ร้าง”
    “พี่เข้าใจแล้วล่ะเอริส พี่สัญญา พี่จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำทุกอย่างที่เจ้าอยากทำ เอาล่ะส่งมีดมาให้พี่ได้แล้ว” ไซรัสยื่นมือออกไป
    เอริสยิ้มให้อย่างรู้ทัน “ถอยออกไปเถอะพี่ชาย หนูจะเอามีจ่อคอตัวเองไว้ทั้งคืน พี่จะได้ไปทำงานไม่ทัน เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วพี่ก็จะไม่มีทางเลือก นอกจากพาหนูหนีไป”
    “นี่เจ้าฉลาดขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
    “ก็หนูเป็นน้องของพี่นี่นา” เด็กสาวยิ่มร่า ไซรัสหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
    “ระหว่างรอให้ถึงเช้า พวกเรามาเล่นเกมส์กันเถอะ ทายปริศนาดีมั้ย”
    “พีไม่มีอารมณ์จะเล่นหรอก...” ไซรัสเอนหลังพิงกำแพงอย่างยอมแพ้
    “งั้นหนูร้องเพลงให้พี่ฟังก็แล้วกัน เพลงที่ตอนเด็กๆพวกเราเคยร้อง” เอริสหลับตาลงหวนนึกถึงบนเพลงในวันวาน จากนั้นเธอก็เปล่งเสียงกังวาลใสร่ายบทเพลงแห่งฤดูใบไม้ผลิออกมา
    บทเพลงแล้วบทเพลงเล่าถูกขับขานแต่เอริสก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยล้า เธอยังคงกำมีดไว้แน่น ไซรัสมองดูนาฬิกา มันเลยเวลาที่ต้องลงมือมาหลายชั่วโมงแล้ว ภารกิจในคืนนี้เป็นอันล้มเหลว
    “อีกไม่นานก็จะตีสามแล้ว พวกเราควรรีบไปก่อนที่ฟ้าจะสาง” ไซรัสกล่าว
    “อือ” เอริสตอบรับด้วยความยินดี
    “แล้วเจ้าอยากไปไหนล่ะ”
    “หนูได้ยินว่าทางตอนใต้อากาศอบอุ่น ช่วงนี้ดอกไม้กำลังบาน ผู้คนไม่มากนักแถมทะเลยังสวยด้วย หนูอยากไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นก่อนตาย”
    “ถ้าเจ้าอยากไปพี่ก็จะพาเจ้าไป เอาล่ะไปเก็บของกันเถอะ”
    เอริสวางมีดลงแล้วช่วยพี่ชายเก็บของอย่างเงียบๆ
    ไซรัสควบม้าที่ถือวิสาสะเอามาจากคอกของใครบางคน แต่ได้ให้เงินจำนวนหนึ่งไว้ ควบช้าๆเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังมารับเอริสที่หน้าบ้าน เขาผูกสัมภาระที่มีอยู่ไม่มากติดกับอานม้า จากนั้นก็ช่วยยกตัวเอริสขึ้นหลังม้า เขาขึ้นตามมาที่ด้านหลังจากนั้นก็ควบม้าหายไปใต้ผืนฟ้าที่คราครั่งไปด้วยดวงดาว
    ช่วงเวลาที่สองพี่น้องอยู่ด้วยกันที่ริมหาดทางตอนใต้ แม้เอริสจะเจ็บปวดจากโรคร้ายแต่เวลาที่เธอเป็นปรกติเด็กสาวดูมีความสุขมากอย่างที่ไซรัสไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเขาคุยกันทุกเรื่องอย่างไม่มีการปิดบังอีกต่อไป มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ทั้งสองเปี่ยมไปด้วยความสุข ทุกครั้งที่เอริสร้องเพลงสวด ไซรัสรู้สึกเหมือนจิตใจของเขาถูกชำระล้างไปด้วย เขารู้สึกสงบขึ้นมาก แต่จากนั้นไม่นานจริยธรรมที่ฟื้นคืนกลับมาก็ให้ทำให้รู้สึกผิดอย่างมากกับเรื่องที่ทำลงไป เมื่อหวนนึกถึงอดีต เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าตัวเขาเองกล้าทำสิ่งเหล่านั้นลงไปจริงๆ
    และแล้วก็ถึงวันที่ยาหมดลง ชายหนุ่มรู้สึกกระวนกระวายอย่างมาก แต่เอริสกลับสงบนิ่งเช้าวันรุ่งขึ้นเอริสชวนเขาไปเดินเล่นที่ชายหาดเพื่อให้พี่ชายรู้สึกสบายใจขึ้น
    “ถ้าหนูตายแล้วพี่อย่าลืมทำตามที่สัญญานะ”
    “อือ พี่จะทำงานรับใช้โบสถ์ตามที่สัญญา เจ้าไม่ต้องห่วง” ไซรัสตอบแล้วยิ้มให้น้องสาวอย่างอ่อนโยน
    เอริสยิ้มตอบขณะเดินย่ำบนทรายสีขาวต่อไปเรื่อยๆ “ใช่แล้วล่ะ พี่จะได้ไถ่โทษต่อความผิดที่ทำลงไปด้วย แค่นี้หนูก็สบายใจแล้ว”
    “นั่นสินะ พี่ทำความผิดลงไปมากจริงๆ” ชายหนุ่มมองออกไปยังทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
    “...เกลียดพี่รึเปล่า...”
    เอริสส่ายหัว “ไม่เลย...หนูรักพี่เสมอ และจะรักพี่ตลอดไป...ขอโทษนะที่หนูไม่อาจอยู่กับพี่ได้นานกว่านี้”
    “ไม่เป็นไร ได้เป็นพี่ชายของเอริสนับว่าป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตแล้ว...พี่จะจดจำเรื่องราวของพวกเราตลอดไป”
    เด็กสาวยิ้มให้อีกครั้ง แต่ทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเจ็บปวด เธอรีบคว้าแขนไซรัสไว้ทันก่อนที่จะล้มลง
    “เอริส เอริส!” ไซรัสกอดร่างผอมไว้แน่น
    “นะหนูคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้วล่ะ...แล้วเจอกันที่ดินแดนนิรันดร์นะคะพี่...ทะที่นั่นพวกเราจะอยู่อย่างมีความสุขด้วยกันไปชั่วนิรันดร์...” ร่างบอบบางเริ่มกระตุก ใบหน้าขาวซีดบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เธอร้องครางด้วยความทรมาน
    “เอริส ทำใจดีๆไว้ เอริส! เอริส!” ไซรัสตะโกน น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม ยาหมดแล้วไม่มีทางไหนช่วยเธอได้ เอริสกำลังจะจากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ
    “พะพี่ชาย...” ร่างผอมหยุดสั่น เธอมองแหงนหน้ามองพี่ชายด้วยท่าทางสงบ พร้อมกับยิ้มให้ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข เปลือกตาที่มีขนตาหนาเป็นแพปิดลงพร้อมกับลมหายใจที่ดับสนิด
    “เอริส เอริสสสสสสสสสสสส!”
    ดวงวิญญาณอีกดวงหนึ่งกำลังเดินทางต่อไปเพื่อมุ่งสู่ดินแดนนิรันดร์
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×