คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ซากศพใต้ทะเล
รถม้าวิ่งช้าๆไปตามทางขรุขระเลียบชายทะเล ผ่านที่โล่งที่มีหญ้าขึ้นอยู่หลอมแหลมเนื่องจากเป็นทรายร่วนริมชายทะเลที่ไม่ค่อยมีแร่ธาตุ ฉันมองไปยังท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่ ที่จรดลงกับทะเลสีฟ้าอมเขียว มันช่างว่างเปล่าเสียจริง เมฆสีขาวบางเบาลอยช้าๆแล้วเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ มีเรือประมงเพียงแค่ไม่กี่ลำกำลังหาปลาอยู่ บรรยากาศอ้างว้างเช่นนี้ ทำให้ฉันคิดถึงความคึกคักในเมืองหลวงขึ้นมา ฉันหันไปมองพ่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ตลอดทางที่นั่งรถม้ามาพ่อไม่ได้พูดสักคำ แถมหน้าต่างทางฝั่งพ่อก็ยังปิดม่านไว้สนิท อยู่ๆฉันก็นึกถึงแม่ขึ้นมา ตอนนี้แม่กำลังทำอะไรอยู่นะ....
หลังจากนั่งรถม้ามาเกือบยี่สิบนาที ฉันเพิ่งนับบ้านที่อยู่ริมทางได้แค่หกหลังเท่านั้น นอกนั้นเป็นทุ่งหญ้าว่างเปล่าและสวนมะพร้าวเป็นส่วนใหญ่ ฉันมองไปยังแปลงปลูกมะเขือเทศ แม้จะมีลูกไม่มากและขนาดไม่ใหญ่ แต่มันก็มีสีแดงน่าทานทีเดียว ไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าของสวนจะพยายามปลูกมะเขือเทศในดินกึ่งทรายแบบนั้น หมู่บ้านคอสเตรโรในความทรงจำของฉันยามเด็กคือสถานที่ที่บ้านนอกมาก แม้มันจะสวยเป็นธรรมชาติ มีวิวทะเลที่งดงาม แต่มันแทบไม่มีสิ่งที่คนหนุ่มสาวสนใจอยู่เลย ฉันจะทนอยู่ในที่แบบนี้ได้มั้ยนะ ให้ตายเถอะฉันอยากไปเดินซื้อของที่ถนนริชชี่ในเมืองหลวง เต้นรำอย่างสุดเหวี่ยงในบาร์ตอนกลางคืน และคุยเจ๊าะแจ๊ะกับหนุ่มๆ
รถม้าค่อยๆวิ่งช้าลงแล้วจอดสนิทหน้าบ้านสีขาว สร้างด้วยอิฐแล้วฉาบปูนหยาบๆคล้ายเป็นลอยคลื่น ด้านหน้ามีระเบียงยื่นออกมา ที่บนระเบียงมีตะเกียงวางอยู่รอบ กระถางปลูกดอกไม้หลากสีถูกวางเรียงไว้หน้าบ้าน ช่วยให้บ้านสีขาวเรียบๆดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ในระเบียบมีโต๊ะเก้าอี้สีขาวทำด้วยไม้วางอยู่ และถูกปูด้วยผ้าปูโต๊ะสีชมพูอ่อนลายดอกไม้ มันแทบไม่ต่างจากที่ฉันเคยเห็นตอนเด็กๆเลย บ้านหลังนี้แหละที่ฉันต้องมาอยู่ เมื่อรถม้าจอดสนิท พ่อรีบเปิดประตูออก แล้วก้าวเท้าลงจากรถม้าไป ฉันตามลงไป สารถียกกระเป๋าที่วางอยู่บนหลังคาลงมาให้ พ่อจ่ายเงินให้เขา สารถีเมื่อได้รับเงินแล้ว ก็รีบฟาดแส้ลงบนหลังม้า ให้วิ่งออกไปอย่างไม่รอช้า
หญิงวัยกลางคนรูปร่างอวบ ผมสีน้ำตาลเกล้าเป็นมวยหลวมๆไว้บนหัว ใส่ชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้มจับจีบยาวถึงข้อเท้า ดึงผ้าคลุมไหล่สีขาวประดับลูกไม้ให้เข้าที่เข้าทาง พร้อมกับรีบเดินออกมาจากบ้านด้วยท่าทางตื่นเต้น ชายกระโปรงยาวส่ายไปมาขณะก้าวเท้าเร็วๆ ป้าเบ็ตตี้นั่นเอง
“ต๊ายยยย เกรสหลานรัก ไม่ได้เจอกันตั้งนานแหน่ะ” ป้าสวมกอดฉันแน่นจนแทบหายไจไม่ออก จากนั้นก็จับฉันหมุนไปหมุนมา แล้วมองอย่างพินิจพิจารณา “ไม่เจอกันหลายปี หลานผอมกว่าเก่าอีกนะเนี่ย น่าสงสารจริง อยู่กับพ่อจนๆอย่างเฮนรี่ คงไม่ค่อยได้กินอะไรสินะ” ป้าเบ็ตตี้ทำหน้าละห้อยด้วยความสงสาร ผิดกับพ่อที่ขมวดคิ้วย่น ป้าเบ็ตตี้มักจะชอบพูดจากถากถางพ่อมาตั้งแต่เด็ก และนี่เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้พ่อไม่อยากอยู่บ้านหลังนี้
“ปีนี้หลานอายุสิบแปดแล้วสินะ ไม่ได้เจอหลายปีเปลี่ยนไปมากจริงๆ เข้าบ้านกันเถอะ ป้าเตรียมของกินอร่อยๆไว้ให้หลานเพรียบเลยล่ะ”ป้าเบ็ตตี้ช่วยฉันถือกระเป๋าเข้าบ้าน โดยไม่แม้แต่จะหันไปมองพ่อเลยด้วยซ้ำ
“เฮ่อออ” พ่อถอนหายใจเบาๆแล้วยกกระเป๋าตามเข้าบ้านไป
ป้าเบ็ตตี้พาฉันไปที่ห้องรับแขก มันมีสีขาวเช่นเดียวกับผนังด้านนอก ตรงกลางห้องมีโต๊ะไม้ยาวทรงสี่เหลี่ยม ปูด้วยผ้าสีครีมลายสก็อต บนโต๊ะมีขนมเค้กน่าอร่อยวางอยู่ในถาด พร้อมกับองุ่นลูกใหญ่ที่คงราคาแพงใช่ย่อย เธอรินน้ำส้มลงในแก้ว แล้วกวักมือเรียกให้ฉันนั่งลง
“มาถึงกันแล้วเหรอ เดินทางนาน....คงเหนื่อยมากสินะ แค่ก แค่ก”เสียงสั่นเครือแหบพร่าทักขึ้น หญิงชราที่มีผมขาวเกือบทั้งหัว รวมเป็นมวยไว้หลวมๆ ค่อยๆใช้ไม้เท้ายันตัว ขณะเดินเข้ามาในห้องอย่างระมัดระวัง
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะคุณย่า”ฉันลุกขึ้นแล้วดึงเก้าอี้ให้ ส่วนป้าเบ็ตตี้เข้าไปช่วยพยุง เธอดึงชายกระโปรงสีน้ำตาลอ่อนลายทางขึ้นแล้วนั่งลง จากนั้นก็หันมามองฉันใกล้ๆ ดวงตาพร่าเลือนจนแทบจะเป็นสีเทาไปทั้งหมด คุณย่ายกมือสากๆขึ้นสัมผัสหน้าฉัน
“ถึงจะเห็นไม่ชัด แต่หน้าตาเธอคงคล้ายเฮนรี่”
“สวัสดีครับคุณแม่”
“เฮนรี่ ในที่สุดก็กลับมา”เสียงสั่นเทาพูดขึ้น ขณะจ้องมองผู้เป็นลูกชาย ฉันเห็นน้ำใสๆเอ่อขึ้นที่ดวงตาเหี่ยวย่น
“ผมกลับมาแล้วครับ”คุณพ่อเดินช้าๆเข้ามาสวมกอดคุณย่า ด้วยท่าทางคิดถึงไม่แพ้กัน
“ฉันบอกแต่แรกแล้วว่าอย่าไปเลยดีกว่า งานเขียนแบบนั้นไม่มีทางประสบความสำเร็จได้หรอก” พ่อหันมาจ้องป้าเบ็ตตี้ตาเขม็ง แต่แล้วก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรต่อ ป้าเบ็ตตี้ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วตักเค้กช็อกโกแลตใส่จานยื่นให้ฉัน
“ทานสิจ๊ะ เค้กนี่ป้าทำเอง เป็นเค้กที่ขายดีมากเลยล่ะ”ฉันกำลังอ้าปากจะถาม แต่นึกขึ้นได้ว่าป้าเบ๊ตตี้เป็นเจ้าของร้านขายขนมเค้ก เมื่อเป็นดังนั้นฉันจึงอ้าปากทานขนมเค้กแทน
การสนทนาดำเนินไปพักใหญ่ พ่อและป้าเบ็ตตี้หวุดหวิดจะทะเลาะกันหลายครั้ง โชคดีที่มีคุณย่านั่งอยู่ จึงยังมีกรรมการคอยห้ามศึก ความจริงแล้วพ่อไม่ได้อยากกลับมาที่หมู่บ้านคอสเตรโรเลยสักนิด แต่เป็นเพราะงานเขียนนิยายเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ประสพความสำเร็จ สำนักพิมพ์จึงปฏิเสธที่จะรับพิมพ์เรื่องต่อไป เมื่อไม่มีเงินก็ไม่มีค่าเช่าบ้าน ทางเดียวที่จะมีที่ซุกหัวนอนก็คือกลับมาที่นี่ การกลับมาของพ่อคือการกลับมาแบบผู้แพ้ แถมป้าเบ็ตตี้ยังคอยหาช่องซ้ำเติมอยู่เสมอ ขณะที่มองทั้งสามคนคุยกัน ฉันก็นึกสงสารคุณพ่อขึ้นมาจับใจ
“หลานคงเหนื่อยมากแล้ว ไปพักผ่อนก่อนดีกว่า ป้าเตรียมห้องไว้ให้หนูแล้วล่ะ”ว่าพลางป้าเบ็ตตี้ก็ถือกระเป๋าของฉันใบหนึ่งแล้วเดินนำไป ฉันถือกระเป๋าอีกใบเดินขึ้นบันไดตามไป
“ขอบคุณค่ะ”ฉันกล่าวหลังจากป้าเบ็ตตี้วางกระเป๋าลงที่ผนังด้านหนึ่ง
“เป็นไง ชอบมั้ยจ๊ะ?”
“สุดยอดเลยค่ะคุณป้า” ฉันหันไปมองรอบๆ ผนังแต่ละด้านเป็นสีขาวเช่นเดียวกับห้องอื่นๆ แต่มีวอลเปเปอร์ลายดอกไม้เล็กๆสีชมพูอมส้มติดสูงขึ้นมาครึ่งหนึ่งของผนัง เตียงและโต๊ะเครื่องแป้งทำจากไม้แกะสลักสีน้ำตาลอ่อนเข้าชุดกัน มีโคมไฟระย้าห้อยลงมาจากเพดาน แม้จะไม่ใช่การตกแต่งที่เรียกได้ว่าหรูหรา แต่ห้องๆนี้ดีกว่าห้องของฉันที่เมืองหลวงซะอีก
“ขอบคุณมากนะคะ หนูไม่คิดว่าจะได้อยู่ในห้องที่สวยแบบนี้”ฉันเดินไปนั่งลงที่เตียง มีหมอนหนุนหัวและหมอนข้างอย่างละหนึ่งใบวางอยู่ ฉันลองขย่มดู มันนุ่มมากทีเดียว แถมผ้าปูเตียงลายกุหลาบแสนหวานเข้ากับปลอกหมอนก็ถูกใจฉันมากด้วย
“ดีใจที่หลานชอบจ๊ะ ป้าตั้งใจเลือกทุกอย่าง อย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะโต๊ะเครื่องแป้งนั่น กระจกบานใหญ่หลานจะได้แต่งตัวได้สะดวก”ป้าเบ็ตตี้ยิ้มหน้าบาน ฉันหันไปมองโต๊ะเครื่องแป้ง มันทำด้วยไม้ทาทับด้วยสีขาว มีกระจกรูปวงรีบานใหญ่ติดอยู่ตรงกลาง ด้านข้างมีลิ้นชักสำหรับใส่ของ เก้าอี้สีขาวเข้าชุดกันมีเบาะรองนั่งสีชมพูอ่อนถูกวางไว้ข้างหน้า “หนูรู้สึกเกรงใจจังเลย”
“ไม่ต้องหรอกจ๊ะ ป้าไม่มีลูก บางทีก็เหงาๆ ป้าดีใจที่หนูมาอยู่ที่นี่นะ”ว่าพลางหญิงวัยกลางคนก็เข้าไปโอบกอดหลานสาว “พักผ่อนเถอะจ๊ะป้าต้องไปแล้ว”
“ไปไหนเหรอคะ?”
“คืนนี้ป้าค้างที่ร้านน่ะ บางทีถึงจะค้างที่นี่ พักผ่อนเถอะ ป้าไม่รบกวนแล้ว”
“ขอบคุณอีกครั้งค่ะ” ป้าเบ็ตตี้หันมายิ้มให้ฉันแล้วเดินออกจากห้องไป ฉันเปิดกระเป๋าเดินทางออก แล้วค่อยๆหยิบเสื้อผ้าออกมาแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้า ที่เป็นสีขาวเข้ากับผนังห้อง สายลมพัดกลิ่นทะเลเข้ามาจากหน้าต่าง ป้าเบ็ตตี้คงเปิดหน้าต่างไว้ให้อากาศระบาย ฉันมองออกไปข้างนอก จากหน้าต่างห้องของฉันสามารถเห็นทะเลได้ชัดเจน เป็นความรู้สึกที่แปลกดี ช่างแตกต่างจากถนนอันวุ่นวาย เมื่อมองจากหน้าต่างห้องของฉันที่เมืองหลวง พระอาทิตย์กำลังจะลับของฟ้า ท้องฟ้าไม่ได้เป็นสีฟ้าอีกต่อไป หากแต่เป็นสีแดงฉาน อยู่ๆฉันก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา โดยไม่มีสาเหตุ ฉันดึงผ้าม่านลายดอกไม้สีชมพูปิดเข้าหากัน บางทีฉันคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก ในการทำความคุ้นเคยกับทิวทัศน์ของทะเล
วันถัดมา ป้าเบ็ตตี้พาฉันไปดูร้านเค้กของเธอ ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางหมู่บ้าน มันแตกต่างกับสมัยเด็กมาก ป้าเบ็ตตี้ขยายร้านให้ใหญ่ขึ้นถึงสองเท่า ท่าทางกิจการของป้าคงกำไรดีทีเดียว ร้านเค้กถูกสร้างด้วยอิญสีน้ำตาลอ่อน ขอบประตูและหน้าต่างทำด้วยไม้ทาด้วยสีแดง เมื่อมองลอดกระจกใสตรงหน้าต่างเข้าไป ลูกค้าสามารถเห็นเค้กที่ตั้งโชว์อยู่ได้ชัดเจน ซึ่งป้าเบ็ตตี้ตกแต่งไว้อย่างดีเพื่อเรียกลูกค้า ส่วนด้านในนั้นผนังแต่ละด้านถูกติดด้วยวอลเปเปอร์ลายดอกไม้สีม่วงอ่อน ซึ่งเป็นสีโปรดของเธอ ลูกค้าทยอยเข้ามาในร้านเรื่อยๆ พวกเขาคุยกับคุณป้าอย่างคุ้นเคย บางทีพวกเขาคงเป็นลูกค้าประจำ ที่นี่อาชีพต่างๆส่วนใหญ่ถูกผูกขาดโดยผู้ชาย ผู้หญิงได้แต่อยู่บ้านทำงานบ้าน หรือไม่ก็งานเล็กๆ การที่ป้าเบ็ตตี้มีร้านของตัวเองนับว่าเธอเป็นคนที่เก่งมาก หลังจากคุยกันไปเรื่อยๆป้าเบ็ตตี้ก็ถามว่าฉันอยากทำงานที่ร้านของเธอมั้ย ฉันบอกป้าว่าไม่เคยทำขนมมาเค้กก่อน แต่ป้าเบ็ตตี้กลับบอกว่าจะสอนทุกอย่างให้ฉันเอง ร้านของป้าเปิดตอนเก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น เธออยากได้พนักงานกะเช้าเพิ่ม ถ้าเป็นไปได้อยากให้ฉันไปลองทำงานดูก่อน สักครึ่งวันก็ยังดี ดูท่าทางป้าเบ็ตตี้คงอยากให้ฉันไปทำงานด้วยมาก อีกอย่างฉันไม่ค่อยมีเงินเก็บมากนัก ยิ่งหางานได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เมื่อเป็นดังนั้นฉันจึงตอบตกลงไป
เสียงระฆังจากโบสถ์ดังขึ้น “อุ๊ย!”ป้าเบ็ตตี้อุทานออกมา “เกือบลืมไปเลย”
“อะไรเหรอคะ?”
“พรุ่งนี้วันอาทิตย์ ทุกคนต้องไปโบสถ์ หนูมีชุดสีดำรึยังจ๊ะ?”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอคะ”ฉันถามอย่างเซ็งๆเมื่อนึกว่าต้องไปโบสถ์
“ไม่ได้หรอก ที่นี่ไม่เหมือนเมืองหลวง การไม่ไปโบสถ์สักวัน อาจตามมาด้วยเสียงซุบซิบนินทาเป็นเดือน”ป้าเบ็ตตี้ตอบพร้อมกับทำหน้าเซ็งไม่แพ้ฉัน “พวกเราจำเป็นต้องไป เพื่อความราบรื่นในการเข้าสังคม”
“แล้วทำไมต้องใส่ชุดดำด้วยล่ะคะ?”
“เพราะบาทหลวงตอนนี้เคร่งมากยังไงล่ะ เฮ่ออออ พูดแล้วก็เหนื่อยใจ ตั้งแต่บาทหลวงออสติน เข้ามาแทนบาทหลวงคนก่อนที่ตายไป เรื่องน่ารำคาญก็ตามมาเพรียบ ไม่ใช่แค่ใส่ชุดดำนะ งานประเพณีบางอย่างก็ถูกให้ยกเลิกไป งานเทศการฉลองเก็บเกี่ยวก็ด้วย ต่อไปคงไม่เหลืออะไรแล้ว”
“ทำไมบาทหลวงออสตินถึงได้มีอำนาจยกเลิกเทศการต่างๆได้ล่ะคะ นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่บ้านไม่ใช่เหรอ”
“ก็บาทหลวงออสตินเล่นคุมลอร์ดแพตตินสันซะขนาดนั้น ช่างเถอะ อย่าพูดเรื่องน่าเบื่อแบบนั้นเลย ไปดูร้านขายหมวกตรงนั้นมั้ย”
“ก็ดีค่ะ”
ป้าเบ็ตตี้คล้องแขนฉันเดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้เป็นว่าเล่น ถ้าเทียบกับผู้หญิงอายุรุ่นราวความเดียว ป้าเบ็ตตี้เป็นผู้หญิงที่ร่าเริงสนุกสนุกสนานมาก หลังจากเดินชมของในร้านค้าไปสักพัก ฉันก็เริ่มรู้สึกเบื่อ อย่างร้านขายหมวก ก็มีแต่หมวกทรงเรียบๆ สีขรึมๆ แตกต่างกับร้านขายหมวกใกล้ๆบ้านของฉันที่เมืองหลวงลิบลับ หมวกที่ร้านนั้นมีหลากสี ทั้งสีชมพู สีฟ้า สีแดง มีดอกไม้ปลอมประดับมากมาย แถมมีดิ้นเงินดินทองอีกต่างหาก นึกแล้วก็เซ็งขึ้นมา ถึงฉันจะทำงานจนมีเงินเก็บ แต่ก็คงไม่ได้ซื้อของ เพราะของแต่ละอย่างไม่ถูกใจเลยสักนิด
ฉันยกมือขึ้นปิดปากหลังจากหาวออกมาหลายรอบ พ่อที่นั่งอยู่ข้างๆสะกิดให้ฉันระวังมารยาท คนอื่นๆในโบสถ์นั่งนิ่งบนม้านั่งยาวทำด้วยไม้สีน้ำตาลเข้ม ฉันคาดว่าคงมีคนแอบหลับเป็นแน่ ฉันมองไปรอบๆ มันเป็นโบสถ์ขนาดเล็กทรงสูง สภาพข้างในดูเรียบง่ายกว่าที่เห็นภายนอกมาก ผนังถูกทาด้วยสีขาว ไม่มีภาพวาดประดับอยู่แม้แต่น้อย ที่เสาแต่ละต้นมีตะเกียงแก้วใสติดอยู่ ที่แท่นพิธีมีดวงหกแฉกสีทองอันใหญ่ตั้งอยู่ พร้อมกับดอกไม้นานาชนิดถูกจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม ทางด้านขวาของเวที บาทหลวงออสตินกำลังร่ายยาวสุนทรพจน์ของเขา ส่วนทางด้านซ้ายมีนักร้องประสานเสียงยืนอยู่ประมาณสิบคน ฉันเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งอายุราวๆยี่สิบห้ายี่สิบหกยืนอยู่ด้านหน้า จากชุดของเขาเดาว่าคงเป็นอโคไลท์(บาทหลวงฝึกหัด)ความจริงฉันไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับศาสนาจักรนักหรอก แม้ว่าทุกคนจะถูกบังคับให้นับถือก็ตาม เขามีผมสีน้ำตาลตัดสั้นหวีเรียบร้อย ใบหน้าสุขุมแต่ดูอ่อนโยน ฉันคิดว่าเขาดูดีเกินกว่าจะเป็นบาทหลวง สาวๆในหมู่บ้านคงเศร้าไปตามๆกัน
“งานรื่นเริง ความบันเทิงทั้งหลาย คือสิ่งขวางทางรู้แจ้ง มันคือสิ่งชั่วร้ายที่มอมเมามนุษย์ให้ลุ่มหลง” เสียงเทศนาของบาทหลวงออสตินไหลเข้าหูฉัน แล้วก็ไหลออกไปโดยไม่มีอะไรหลงเหลือ คนๆนี้น่าเบื่อสุดๆ ถ้าต้องฟังเขาพูดทุกอาทิตย์ฉันคงเป็นบ้าแน่ และถ้าบาทหลวงออสตินได้เห็นสีสันอันฉูดฉาดที่เมืองหลวง เขาก็คงทนไม่ได้เช่นกัน ฉันก้มลงมองชุดสีดำของตัวเอง และรู้สึกไม่ชอบเอาซะเลย มันตัดกับผิวขาวซีดของฉัน ทำให้ดูเหมือนศพ
ในที่สุดพิธีก็จบลง ฉันเดินออกมานอกโบสถ์ไปยังสวนที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับป้าเบ็ตตี้และพ่อ ย่าไม่ได้มาด้วยเพราะท่านชราเกินไป เดินไกลๆไม่ไหว ป้าเบ็ตตี้พาฉันไปแนะนำให้คนมากมายรู้จัก บางทีมันคงเป็นธรรมเนียมเมื่อมีคนหน้าใหม่เข้ามาในหมู่บ้าน ที่เมืองหลวงการที่คนอยู่ข้างบ้านกัน ไม่รู้จักกันนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่นี่ดูเหมือนทุกคนในหมู่บ้านจะรู้จักกันหมด เพราะอย่างนั้นทุกคนจึงต้องระมัดระวังตัว ไม่ทำอะไรผิดแปลกไปจากคนอื่น
“โอ้ รีเบ็กก้า สวัสดีจ๊ะ ไม่ได้เจอกันหลายวันเลย”ป้าเบ็ตตี้ทัก ผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณป้า แต่หุ่นดีกว่าและยังผอมเพรียวเดินเข้ามาหาหลังจากได้ยินเสียงร้องทัก ชายวัยกลางคนลงพุงหน่อยๆใส่ชุดสูทสีดำท่าทางราคาแพง ไว้หนวดเป็นเส้นตรงเดินเข้ามาด้วย
“หมู่นี้ไม่แวะไปซื้อขนมเค้กที่ร้านฉันบ้างเลยนะ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ ว่าจะไปสั่งทำเค้กอยู่พอดี แล้วนี่ใครล่ะ”เธอหันมามองฉัน
“อ้อ นี่เกรส หลานสาวฉันเอง”ป้าเบ็ตตี้เดินอ้อมมาข้างหลัง แล้วดันฉันไปข้างหน้า ให้ผู้หญิงคนนั้นดูใกล้ๆ
“ส่วนนี่ เลดี้แพตตินสัน ภรรยาผู้ใหญ่บ้าน อ้อใช่ นี่คือ ลอร์ดแพตตินสันผู้ใหญ่บ้านจ๊ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”ฉันตอบไปพร้อมกับถอนสายบัว
“หน้าตาเหมือนพ่อเธอมาก”ลอร์ดแพตตินสันพูดอย่างอารมณ์ดี
“แม่ของหนูล่ะจ๊ะ”เลดี้แพตตินสันถาม
“หย่ากันแล้วล่ะ”ป้าเบ็ตตี้ชิงตอบ ฉันสังเกตุว่าใบหน้าของลอร์ดและเลดี้แพตตินสันดูตะขิดตะขวงใจ การหย่าร้างคือสิ่งที่แย่มากในสังคมที่เคร่งศาสนาแบบที่นี่ หลายคู่ต้องทนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เพื่อรักษาหน้าตาในสังคม การที่พ่อกับแม่ของฉันหย่ากันคงไม่ใช่สิ่งที่น่าพูดถึง ในสังคมที่นี่
“เสียใจด้วยนะ...จากนี้ไปขอใช้ชีวิตในคอสเตรโรอย่างมีความสุข ยินดีต้องรับ มีปัญญาอะไรมาบอกฉันได้เสมอ”ลอร์ดแพตตินสันกล่าว
“ค่ะ”ฉันตอบสั้นๆ และคิดว่าการที่เขามีศักดิ์เป็นลอร์ดคงไม่ใช่เพราะเป็นผู้ใหญ่บ้าน แต่คงเป็นตำแหน่งที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ
หลังจากลอร์ดและเลดี้แพตตินสันเดินจากไปไม่นาน อโคไลท์หนุ่มรูปหล่อก็เดินเข้ามา ใจฉันชักจะเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นขึ้นมาแล้วสิ ถ้าที่เมืองหลวงล่ะก็ ฉันคงไม่ตื่นเต้นนัก แต่ในหมู่บ้านชนบทที่ไม่ค่อยมีหนุ่มหล่อ ชายคนนี้เลยดูโดดเด่นขึ้นมาถนัดตา
“สวัสดีครับคุณเบ็ตตี้ ช่วงนี้กิจการเป็นไปด้วยดีมั้ยครับ”เสียงนุ่มนวลทักขึ้น ทำเอาฉันเริ่มเคลิ้ม
“ตั้งแต่บาทหลวงออสตินสั่งยกเลิกงานประเพณีต่างๆ ยอดสั่งจองเค้กของฉันก็ลดลงเยอะอยู่เหมือนกัน”ป้าเบ็ตตี้ตอบ อโคไลท์หนุ่มก้มหน้าอย่างสำนึกผิด เมื่อได้ฟังเช่นนั้น
“ช่างเถอะๆ ไม่ใช่ความผิดของคุณ”ป้าเบ็ตตี้โบกมือไปมา “อ้อ นี่ เกรสหลานสาวของฉัน เพิ่งมาถึงคอสเตรโรเมื่อไม่กี่วันมานี้”
ฉันย่อตัวลงถอนสายบัว ช้อนตาขึ้นมองแล้วยิ้มให้ “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”บรรจงใช้น้ำเสียงให้หวานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฝ่ายนั้นโค้งให้เล็กน้อย แล้วมองฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย พูดตามตรงว่าฉันค่อนข้างมั่นใจในความสวยของตัวเอง แม้จะสวยแนวโกธิคด้วยผิวขาวซีดและผมดำขลับก็ตาม แต่เมื่อเจอหน้าเรียบๆของคนๆนี้ ทำเอาความมั่นใจของฉันหดหายลงไปเยอะ
“นี่คือบาทหลวงริชาร์ต”คุณป้าหันไปแนะนำอีกฝ่ายบ้าง
“บาทหลวง!”ฉันเผลอพูดออกไปอย่างตกใจ “ยังอายุน้อยอยู่เลยนี่”
“บาทหลวงริชาร์ตเป็นอโคไลท์ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ นอกจากตั้งใจเรียนแล้ว ยังมีความประพฤติที่ดีมาก ทำให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นบาทหลวงอย่างรวดเร็วน่ะ”
“อ้อ เหรอคะ สาวๆในเมืองคงเศร้าแย่ อุ๊บ!”ฉันรีบยกมือขึ้นปิดปากหลังจากรู้สึกตัว ว่าเผลอพูดเรื่องไม่เข้าท่าออกไป คุณป้าหันมาถลึงตาใส่อย่างตกใจ
“ชิวิตของผมอุทิศให้ศาสนจักร และพระผู้เป็นเจ้า ผมตั้งใจว่าจะเป็นบาทหลวงไปตลอดชีวิต” ช่างเป็นคำพูดที่สมกับเป็นบาทหลวงเสียจริง
“เหรอคะ ดีจัง” ฉันตอบไปงั้นๆ เพราะนึกคำพูดที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว
“ฉันคิดว่าคงต้องขอตัวกลับแล้วล่ะค่ะ ต้องไปเตรียมอาหารกลางวันน่ะค่ะ” ป้าเบ็ตตี้ฉีกยิ้มปากกว้างให้บาทหลวงริชาร์ต แล้วรีบลากฉันออกมาก่อนที่จะพูดอะไรแย่ไปกว่านี้ บาทหลวงออสตินที่บังเอิญเดินผ่านมา หยุดยืนจ้องมองการสนทนาเมื่อสักครู่อย่างเงียบๆ ด้วยสายตาไม่พอใจ
เมื่อกลับมาถึงบ้านฉันรีบเดินขึ้นไปที่ห้อง แล้วถอดชุดดำออกทันที สายลมเย็นพัดเข้ามากระทบผิว ฉันหันไปมองหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ ซึ่งนั่นทำให้ฉันงงมาก ฉันแน่ใจว่าปิดมันไว้ตั้งแต่เมื่อคืน หรือว่าคุณป้าขึ้นมาเปิด แต่คุณป้าไปโบสถ์กับฉัน หรือว่าเป็นคุณย่า ฉันปล่อยให้ลมพัดผ้าม่านปลิวอยู่อย่างนั้น แล้วเปลี่ยนเสื้อโดยไม่สนใจ แถวนี้ไม่มีบ้านคนอยู่เลย ใครจะมาแอบดูกัน ฉันนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วหยิบหวีขึ้นมา ค่อยๆหวีผมสีดำสนิทอย่างเบามือ เคยมีคนชมว่าผมของฉันสวย แต่ฉันกลับไม่ชอบนัก เมื่อมันอยู่คู่กับผิวสีขาวซีด แถมใต้ตาก็ยังคล้ำอีก ไม่ว่าจะมองกระจกสักกี่ครั้ง ก็รู้สึกว่าตัวเองช่างสวยสยองเสียจริง ยิ่งใส่ชุดดำด้วยแล้วล่ะก็ เหมือนแม่มดไม่มีผิด ทันใดนั้นฉันก็คิดอะไรเพี้ยนๆออกมา บางทีฉันน่าจะลงไปเล่นน้ำทะเล ให้ผิวมีสีแทนขึ้นมาสักหน่อย ฉันจัดแจงติดกระดุมชุดสีฟ้าอ่อนให้เข้าที่เข้าทาง แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวเดินออกจากบ้านไป
บริเวณรอบๆบ้านมีต้นไม้อยู่เล็กน้อย และมีหญ้าขึ้นนิดหน่อย หลังจากเดินออกมาห่างจากตัวบ้านพอสมควร ฉันก็ค่อยๆถอดชุดออก แล้ววางพาดบนกิ่งไม้ เหลือเพียงแค่ครอเซทและกางกางชั้นในสีขาวยาวแค่เข่า ใจหนึ่งก็กังวลขึ้นมา จะมีคนมาแอบดูรึเปล่านะ แต่ช่วยไม่ได้ฉันไม่มีชุดว่ายน้ำที่รัดกุมกว่านี้ ครั้นจะให้ลงไปทั้งชุดกระโปรงสีฟ้าก็คงไม่ได้ ฉันถกกางเกงชั้นในขึ้นจนถึงต้นขา แล้วมองไปรอบๆอีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร ฉันก็ค่อยๆก้าวเท้าเดินออกจากพุ่มไม้ไป หาดทรายสีขาวละเอียดให้ความรู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อขณะเดินผ่าน น้ำในทะเลก็ช่างมีสีฟ้าใสดีจริงๆ ใสขนาดที่ว่าเห็นโขดหินที่จมอยู่ใต้น้ำได้ชัดเจน ฉันยื่นเท้าลงไปแตะน้ำทะเล มันเย็นกำลังดี ฟองคลื่นสีขาวกระทบฝั่งไม่ขาดสาย นานหลายปีแล้ว ตั้งแต่สมัยเด็กที่ฉันไม่ได้เล่นน้ำทะเล ฉันใช้มือกวักน้ำไปมา มันเปร่งประกายสดใสเมื่อกระทบกับแสงแดด บรรยากาศรอบๆช่างงดงามและทำให้รู้สึกดีจริงๆ ถ้าแม่ได้มาเล่นน้ำทะเลด้วยกันคงจะดี....
ฉันก้าวลงไปในทะเลลึกขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งน้ำถึงเอว คลื่นๆที่ซัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เดินโอนเอนไปมา จากนั้นฉันก็เดินไปนั่งลงยังโขดหินที่อยู่ไม่ไกล เมฆค่อยๆจับกลุ่มกันหนาขึ้นเรื่อยๆแล้วบังพระอาทิตย์จนมิด อยู่ๆความหวาดกลัวก็เข้าคลอบงำ คงเป็นเพราะท้องฟ้าแจ่มใสเมื่อสักครู่ เปลี่ยนเป็นท้องฟ้ามืดครึ้มอย่างฉับพลัน กลิ่นเหม็นเน่าโชยมากระทบจมูก ลางสังหรณ์ไม่ดีทำให้ฉันรีบตะเกียดตะกายลงจากโขดหิน พยายามเดินขึ้นฝั่งอย่างทุลักทุเล ทัดใดนั้นเหมือนมีอะไรมารั้งขาฉันไว้ ฉันพยายามดึงขาออกแต่ดูเหมือนมันยิ่งรัดแน่นขึ้น สาหร่ายอย่างนั้นหรือ?! แต่เมื่อก้มลงมองน้ำทะเลฉันถึงกับต้องร้อง กรี๊ดดดดดดดดดด! ออกมา บางสิ่งบางอย่างที่ดูคล้ายซากศพเน่าเปื่อยดึงขาฉันไว้ ฉันพยายามดิ้นหนีอย่างทะรนทุราย แกว่งขาดิ้นไปมาด้วยหวังว่าจะหนีออกไปได้ มือนั่นเอื้อมมาดึงขาฉันไว้อีกข้าง แล้วลากลงไปในน้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งจมมิดหัว ฉันพยายามหายใจแต่กลับมีน้ำเข้าไปในปอดแทน มันทั้งอึดอัดทั้งทรมานราวกับจะตายให้ได้ ก่อนที่จะสิ้นสติไป ฉันเห็นอะไรบางอย่างรูปร่างคล้ายปลาขนาดใหญ่พุ่งเข้ามา มันเข้าโจมตีใส่ซากศพนั่น จากนั้นฉันก็ไม่เห็นอะไรอีกเลยนอกจากทะเลอันมืดมิด
เสียงน้ำทะเลซัดเข้ากระทบฝั่งดัง ซ่า ซ่า ฉันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่เย็นเฉียบสัมผัสไปตามแผ่นหลัง แล้วครอเซทที่รัดเอวแน่นก็คลายลง บางอย่างพลิกตัวฉันให้นอนหงายขึ้น แล้วกดหนักลงบนหน้าอกฉัน หลายต่อหลายครั้ง น้ำทะเลรสเค็มทะลักออกมาจากปาก ฉันเปิดตาขึ้น แล้วไอออกมาอย่างกระอักกระอ่วน เส้นผมสีทองเปียกน้ำห้อยลงมาสัมผัสเนินอก เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่ามีชายหนุ่มผิวออกสีแทน ในตาสีฟ้าสด ผมสีทองยาวสลวยนั่งค่อมฉันอยู่
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย”เขาถาม
แค่ก แค่ก ฉันไอเอาน้ำทะเลที่เหลือออกมาอีก รู้สึกว่าสภาพของตัวเองนั้นช่างดูไม่ได้เอาเสียเลย
“ขอบคุณ...” ฉันกล่าว ชายคนนี้คงเป็นชาวประมงหรือคนแถวนี้ที่เผอิญผ่านมา โชคดีที่ได้เขาช่วยไว้ ไม่งั้นฉันอาจจะตายไปแล้ว ขณะที่กำลังนึกขอบคุณ ฉันก็รู้สึกได้ถึงเรือนผมสีทองที่ไล้ไปมาบนหน้าอกตามการเคลื่อนไหวของเขา เมื่อก้มลงมองถึงได้รู้ว่ามันเปลือยเปล่า เผยให้เห็นอกอิ่มและยอดถันอย่างชัดเจน ครอเซทของฉันถูกตัดจนขาดวางอยู่ข้างๆ
“นี่นาย อยู่ๆมาถอดเสื้อฉันออกได้ยังไง!”ฉันถามออกไปด้วยความตกใจปนไม่พอใจ แล้วรีบดึงผมมาปิดหน้าอก
“ก็พวกมนุษย์ชอบใส่ชุดรัดๆแบบนี้ทำไมกันล่ะ ถ้าข้าไม่ถอดเสื้อเจ้าออก แล้วผายปอดให้ล่ะก็ ป่านนี้เจ้าคงหายใจไม่ออกตายไปนานแล้ว” ชายหนุ่มนิ่วหน้า ขณะตอบอย่างหงุดหงิด ฉันนึกถึงคำพูดของเขา พวกมนุษย์ ผู้ชายคนนี้พูดอย่างกับตัวเองไม่ใช่มนุษย์ ขณะนั้นฉันรู้สึกว่าอะไรแข็งๆสัมผัสโดนขา เมื่อก้มลงไปดูก็แทบอยาก กรี๊ดดดดด ออกมาอีกรอบ ถ้ามีแรงเหลือพอ ผู้ชายคนนี้มีท่อนล่างเป็นปลา ฉันหันกลับมาจ้องหน้าเขาด้วยความตกใจ แล้วก้มลงมองลำตัวเปลือยเปล่า มีแค่เครื่องประดับที่ทำด้วยทองสวมอยู่ จากนั้นก็มองต่อไปเรื่อยๆจนถึงเอว ที่มีเข็มขัดหนังกับดาบรูปร่างแปลกๆห้อยอยู่ ในใจก็ภาวนาให้สิ่งที่เห็นต่อไปคือขาสองข้าง แต่แล้วสิ่งที่ได้เห็นจริงๆกลับกลายเป็นเกร็ดสีน้ำเงินเหลือบเขียว ครีบและหางปลา
“จะมองอีกนานมั้ย”เขาถามขึ้นพร้อมกับพลิกตัวออกจากจากฉัน แล้วใช้แขนกำลำเลื่อนตัวลงทะเลไปอย่างคล่องแคล่ว
“ต่อจากนี้ไประวังตัวด้วยล่ะ อย่าลงไปในทะเลอีกเป็นอันขาด”พูดจบเงือกหนุ่มก็ว่ายน้ำจากไป ทิ้งให้ฉันได้แต่นั่งมองอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ บางทีแดดคงแรงมากจนทำให้เห็นภาพหลอน ฉันค่อยๆยันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ความรู้สึกเหนื่อยล้า รสเค็มของน้ำทะเล ความจุกแน่นที่หน้าอก ความเจ็บปวดที่ขา เลือดที่ไหลซึมจากข้อเท้าเพราะถูกหินบาด หลังจากพยายามดิ้นหนีซากศพนั่น ทุกอย่างฟ้องว่ามันเป็นเรื่องจริง ให้ตายเถอะ ฉันยืนกอดอกด้วยความหนาวสั่น ฟันกระทบกันไปมา กึก กึก ด้วยความหวาดกลัว ทันใดนั้นสายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นบางอย่าง เปร่งประกายอยู่บนชายหาด ฉันค่อยๆเอื้อมมือที่สั่นเทาไปหยิบมันขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆ มันคือสร้อยทองที่ขาดออกจากกัน มีอัญมณีสีฟ้ารูปหยดน้ำห้อยอยู่ แต่ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่ามันเหลือบสีต่างๆคล้ายไข่มุขด้วย น้ำทะเลเย็นยะเยือกซัดเข้ากระทบปลายเท้า ฉันรีบชัดเท้าออกแล้ววิ่งขึ้นฝั่งอย่างตกใจ จากนั้นก็รีบหยิบชุดสีฟ้าที่พาดกิ่งไม้ไว้ขึ้นมาสวมอย่างลุกลี้ลุกลน เมื่อสวมเสร็จก็รีบวิ่งกลับบ้านทันที
ฉันก้าวเท้าอย่างรีบเร่งผ่านกระถางดอกไม้แล้วเดินขึ้นไปบนระเบียงบ้าน เมื่อมาถึงพ่อและป้าเบ็ตตี้ที่นั่งอยู่ที่บนเก้ากี้ไม้สีขาว ก็มองมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นสภาพเปียกปอนของฉัน
“เกิดอะไรขึ้น?”พ่อถามอย่างตกใจบวกเป็นห่วง
“หนู...หนู เดินเล่นที่โขคหินน่ะค่ะ มันลื่นเลยตกลงไปในทะเล...หนูขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ”พูดจบฉันก็รีบวิ่งเข้าบ้านไปทันที ไม่เปิดโอกาศให้พ่อและป้าได้ถามต่อ
ฉันรีบอาบน้ำสระผมให้เสร็จโดยเร็ว แล้วเอาผ้าเช็ดตัวขยี้ผมสีดำเปียกน้ำที่ดูคล้ายสาหร่ายทะเล จากนั้นก็หยิบชุดนอนสีขาวยาวถึงข้อเท้าขึ้นมาสวม แล้วล้มตัวนอนลงบนเตียง ฉันจ้องมองโคมไฟระย้าที่ห้อยลงมาจากเพดาน นี่ฉันไม่ได้ฝันไปจริงๆเหรอ ไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริงๆ ฉันพยายามลุกขึ้นนั่งแต่ร่างกายเหนื่อยล้าจนแทบขยับไม่ไหว ในที่สุดก็เผลอหลับไป ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ป้าเบ็ตตี้ถึงขึ้นมาปลุกฉัน
“เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ เกรส ถ้าไม่เป็นอะไรล่ะก็ ลงไปทานอาหารเย็นด้วยนะจ๊ะ” อาหารเย็นอย่างนั้นเหรอ? นี่ฉันเผลอหลับไปนานอย่างนั้นเชียว
“หนูรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวตามลงไปนะคะ”ฉันค่อยๆยันตัวลุกออกจากเตียงอย่างยากลำบาก แล้วจุดเทียนขึ้น สร้อยที่เก็บได้ไม่ได้หายไปไหน ยังคงวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน บางทีสร้อยเส้นนั้นคงเป็นของเงือกที่ช่วยฉันไว้ ฉันเปิดตู้เสื้อผ้าออก แล้วหยิบครอเซทออกมาใส่ พลางนึกเสียดายตัวที่ถูกตัดขาดไป แม้ว่าเงือกตัวนั้นจะตัดครอเซทออกเพื่อช่วยชีวิตฉัน แต่ก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีผู้ชายเห็นหน้าอกฉัน แถมเขายังจับมันอีกต่างหาก หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เดินลงไปข้างล่าง พ่อ ป้าเบ็ตตี้ และคุณย่า นั่งอยู่พร้อมแล้วที่โต๊ะอาหาร
“หนูไม่เป็นอะไรแน่นะ”พ่อถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรค่ะ วันหลังหนูจะไม่ไปเดินที่โขดหินอีกแล้ว” ฉันพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จากนั้นก็ตักซุปเข้าปาก บรรยากาศการทานอาหารเย็นเป็นไปด้วยความเงียบ แม้แต่ป้าเบ็ตตี้ที่ชอบทะเลาะกับพ่อ ก็ยังเงียบแล้วคอยหันมามองฉันอย่างเป็นห่วงอยู่บ่อยๆ
“คุณป้าคะ พอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับ เอ่อ...พวกตำนาน เกี่ยวกับเงือก หรือวิญญาณร้ายในทะเลบ้างมั้ยคะ?”
“ไหงอยู่ๆถามเรื่องแบบนี้ขึ้นมาล่ะ” ป้าเบ็ตตี้ทำหน้างง “จะหาเรื่องช่วยเฮนรี่เขียนนิยายเหรอ?” พ่อหันไปมองป้า ด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ คงกำลังคิดว่าป้าจะหลอกด่าอยู่รึเปล่า
“หนูแค่อยากรู้เท่านั้นเอง แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรค่ะ”
“ตำนานพวกนั้น...มีมากมายเลยล่ะ”คุณย่าพูดขึ้น “หลายคนบอกว่าเคยเห็นเงือก...บ้างก็ว่าพวกนั้นมาช่วย บ้างก็ว่าพวกนั้นลากชาวประมงลงไปกิน”
“แต่มันก็แค่เรื่องเล่า คนที่เล่าคงอยู่ในทะเลนานจนเพี้ยน อย่างอีตากอร์ดอนนั่นไงล่ะ”ป้าเบ็ตตี้พูดขึ้น แล้วตั้งหน้าตั้งตากินต่อไป
“หมอนั่นยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอ”พ่อถามขึ้นแบบไม่ได้หวังว่าจะได้คำตอบ จากนั้นป้าก็เปลี่ยนไปบ่นเรื่องบาทหลวงออสตินยกเลิกงานประเพณีหลายงาน ทำให้ยอดสั่งเค้กตก
คืนนี้ฉันเข้านอนด้วยความหวาดวิตก ครั้นจะให้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนอื่นฟัง ก็คงไม่มีใครยอมเชื่อ ดีไม่ดีอาจจะถูกหาว่าเป็นคนเสียสติก็ได้ ถ้าต่อจากนี้ไปไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้น ฉันคงลืมมันไปเอง แผลถลอกที่เท้าทำให้ฉันเจ็บจนต้องลุกขึ้นจากเตียง บางทีฉันควรหายามาใส่ แต่เมื่อก้มลงมอง ฉันกลับพบว่าที่แผลถลอกมีรอยสีม่วงอมแดงเป็นจุดประมาณปลายนิ้วก้อย คล้ายรอยปานโผล่ขึ้นมา ฉันพยายามถูมันออก แต่มันกลับไม่ออก และเจ็บมากขึ้นด้วย สิ่งนี้คงมีความเกี่ยวข้องกับบางอย่างที่คล้ายซากศพ ที่ดึงขาฉันไว้แน่ ฉันรู้สึกกังวลจนแทบอยากร้องไห้ออกมา ขณะนั่งซึมอยู่นานบนเตียง อยู่ๆฉันก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ฉันเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง แล้วหยิบสร้อยขึ้นมาซ่อม น่าแปลกที่มันซ่อมง่ายกว่าที่คิด อัญมณีสีฟ้าเปร่งประกายวาววับ เมื่อกระทบกับแสงเทียน มันดูคล้ายดวงตาสีฟ้าสดของเงือกหนุ่มที่ช่วยฉันไว้ ฉันหยิบสร้อยขึ้นมาคล้องคอแล้วเข้านอน โดยที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมถึงทำเช่นนั้น
ความคิดเห็น