ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    นักฆ่าแห่งรัตติกาล (จบ)

    ลำดับตอนที่ #1 : รัตติกาลสีเลือด

    • อัปเดตล่าสุด 3 มิ.ย. 54


    คอนเชียสเป็นเขตหนึ่งในเมืองหลวงอยู่ทางตะวันตก เมื่อพูดถึงที่นี่ทุกคนต่างรู้กันดีว่าคือที่รวบรวมคนจน ขอทาน คนจรจัด และอาชญากรมากมาย ผู้ที่มีฐานะดีขึ้นต่างย้ายออกไปยังเขตที่น่าอยู่กว่าปลอดภัยกว่า ส่วนผู้ที่มาใหม่นั้นร้อยทั้งร้อยคือผู้ไม่มีที่ไป บ้างก็ล้มละลายถูกเจ้าหนี้ตามล่าจนไม่มีที่ซุกหัวนอน บางคนก็เป็นนักโทษหนีคดีมากบดาล ความอันตรายของที่นี่เป็นที่เลื่องลือจนแม้แต่ตำรวจก็ยังถอดใจ
    ถัดจากจากเขตคอสเชียสไปทางตะวันออก คือเขตเดบิวล่าที่แออัดไปด้วยร้านค้า ตั้งแต่แบกับดิน จนกระทั่งห้างหรูหราที่เต็มไปด้วยของราคาแพง ในคือดึกสงัด ณ ซอยลูวิค 14 อันเป็นที่ตั้งของร้านขายของราคาปานกลาง ที่บัดนี้ปิดไปหมดแล้ว ผู้หญิงอายุประมาณสามสิบสวมชุดกระโปรงยาวผ้าซาตินสีเลือดหมูปักคริสตัล ที่บ่งบอกว่าผู้สวมใส่มีฐานะดีทีเดียว กำลังวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน รองเท้าส้นสูงกระทบพื้นส่งเสียงดังก้อง แต่ไม่อาจปลุกให้ใครตื่นมาช่วยนางได้ ทุกคนที่อยู่รอบๆกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงนิทรา มีความสุขบ้างฝันร้ายบ้าง แตกต่างกันไป
    เสียงฝีเท้าที่ย่ำไปบนหลังคาตึกแถวกำลังใกล้เข้ามาทุกที ผู้ชายสวมชุดสีดำถือดาบคมกริบที่สะท้อนแสงยามต้องแสงจันทร์ ดูน่ากลัวประหนึ่งมัจจุราชผุดขึ้นมาจากนรก แต่ที่จริงเขาก็ไม่ต่างอะไรกับมัจจุราชนักหรอก เพราะเขาคือนักฆ่าแห่งรัตติการผู้ปริดชีวิตคนเพื่อแลกกับเงิน ผู้หญิงในชุดแดงพยายามวิ่งให้เร็วขึ้น ร่างกายที่เหื่อยหอบทำให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางหนาเตอะบูดเบี้ยวจนดูน่าเกลียด ชายในชุดดำกระโดดลงมาจากหลังคา เท้าของเขาแตะพื้นถนนอย่างนุ่มนวลเหมือนแมวจรจัด ผู้หญิงในชุดสีแดงเลือดหมูยังคงวิ่งกระเสือกกระสนต่อไป ไม่มีเวลาแม้กระทั่งคิดหันมาดู เสียงฝีเท้าแผ่วเบาประชิดเข้ามาเรื่อยๆ ไม่นานบางอย่างที่เย็บเฉียบก็ทะลุผ่านร่าง นางนิ่งชะงักแล้วก้มหน้าลงมอง ปลายดาบสีเงินวาวอาบไปด้วยเลือดสีแดงฉานทิ่มทะลุออกมาจากทรวงอก ผ้วหน้าที่โบ๊ะแป้งหนาซีดเผือดจนไร้สี ใบหน้าเหมือนศพหันไปมองมือสังหารช้าๆ นางเห็นเพียงดวงตาสีฟ้าสดที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าปิดหน้า
    “ทำไม...ต้องฆ่าข้า...” เสียงแหบพร่าวเอ่ยถามอย่างยากลำบาก ขณะมองเขาด้วยสายตาอาฆาตแค้น
    นักฆ่าไม่ตอบ เขากระชากดาบออกจากร่างเหยื่ออย่างรวดเร็ว หญิงในชุดสีแดงเลือดหมูกรีดร้องลั่น พร้อมกับเลือดที่พวยพุ่งสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนใบหน้าและลำคอ จากนั้นร่างผอมก็ล้มลงนอนจมบนกองเลือด ดวงตาเบิกโพลงเหลือกขึ้น แม้นางจะจากโลกนี้ไปแล้วแต่สภาพของนางบ่งบอกว่าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น และจะไม่มีวันให้อภัยต่อคนที่ทำให้นางต้องมีสภาพเช่นนี้
    ความจริงชายหนุ่มไม่ได้รู้จักผู้หญิงคนนี้เป็นการส่วนตัว เขารู้แค่ว่าสามีของเธอต้องการให้เขาฆ่าเธอเพราะจับได้ว่าเธอมีชู้ แถมชู้คนนั้นยังเป็นขุนนางที่มีอิทธิพลและร่ำรวยมาก เมื่อทำอะไรชายชู้ไม่ได้จึงจ้างมือสังหารไปฆ่าภรรยาเพื่อระบายความแค้น ชายหนุ่มย่อตัวลงแล้วดึงแหวนแต่งงานจากนิ้วนางข้างซ้ายของศพออก เขาต้องนำมันไปเป็นหลักฐานยืนยันกับนายจ้างเพื่อรับเงิน เสียงกรีดร้องโหยหวนเมื่อสักครู่ปลุกบางคนให้ตื่นแสงไฟจากตะเกียงในห้องแถวถูกจุดขึ้น ไม่นานชาวบ้านก็คงออกมาดูว่าเกิดเรื่องอะไร ภารกิจเสร็จแล้ว จะมัวเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกทำไม เมื่อเป็นเช่นนั้นนักฆ่าแห่งรัตติกาลจึงเร้นหายไปในความมืด
    เมื่อมาถึงโบสถ์ร้างในเขตคอนเชียสไซรัสก็ดึงผ้าปิดหน้าออก เขาหยิบไม้ขีดออกมาจากลิ้นชักแล้วจุดเทียน แสงสีเหลืองนวลกระทบใบหน้าขาวจัดที่ถูกล้อมกรอบด้วยผมสีดำคลับยาวประมาณต้นคอ อันที่จริงชายหนุ่มจัดว่าเป็นคนหน้าตาดี จนแทบไม่น่าเชื่อว่าเขาคือนักฆ่าที่ฆ่าคนมาแล้วมากมาย จะมีก็แต่เพียงดวงตาสีฟ้าอ่อนที่แฝงเร้นแววแห่งความตายไว้ อันที่จริงไซรัสเองก็ไม่ค่อยชอบดวงตาสีฟ้าอ่อนของเขานัก เพราะอ่อนมากจนบางครั้งมองเผินๆเหมือนเขามีแต่ตาขาว เด็กบางคนถึงกับวิ่งหนีเมื่อสบตาเขาเพราะเข้าใจผิด คิดว่าเขาเป็นปีศาจ
    ร่างสูงถอดผ้าคลุมเปื้อนเลือดออก เสื้อตัวในเองก็เปื้อนเลือดเช่นกัน มาคิดดูดีๆถ้าเขาไม่ทำรุนแรงแบบนั้นเลือดคงไม่กระฉูดมาก และคงไม่เปื้อนมาถึงเสื้อ แต่ตอนนั้นมันรู้สึกกระหายในการไล่ล่าอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเสือไล่ขย้ำกวางไร้ทางสู้ ที่อยากฉีกทึ้งร่างเหยื่อเพื่อความสะใจ ศีลธรรมของมนุษย์ในตัวเขาเลือนหายไปทุกที อีกไม่นานคงไร้สามัญสำนึกเหมือนสัตว์ แม้จะเพิ่งฆ่าคนมาหยกๆแต่จิตใจของเขาไม่ได้มีความสะทกสะท้านเลยสักนิด กลับรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาอย่างทานข้าว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ใจของข้าด้านชาแบบนี้ ไซรัสรำพึงกับตัวเอง มือเรียวหยิบชุดที่ซ่อนไว้ใต้แท่นบูชาออกมา เขารีบเปี่ยนชุดแล้วกลับไปยังห้องพัก
    มือเรียวค่อยๆไขกุญแจอย่างเบามือเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังจนปลุกน้องสาวให้ตื่นขึ้น ชายหนุ่มก้าวช้าๆอย่างระมัดระวังไปยังเตีงนอนของน้องสาวที่อยู่ริมหน้าต่าง ที่จริงหมอไม่อยากให้เอริสอยู่ใกล้หน้าต่าง เพราะแสงแดดและอุณหภูมิอันไม่คงที่นั้นไม่ดีต่อร่างกายที่บอบบางของเธอ แต่ที่เขาจำใจต้องทำตามคำขอของน้องสาว เพราะเอริสต้องอยู่แต่บ้านตลอดเวลา จึงอยากอยู่ใกล้หน้าต่างเพื่อที่จะได้ดูสิ่งต่างๆที่อยู่ข้างนอกได้
    ร่างผอมยังคงหลับปุ๋ย คืนนี้คิ้วเรียวบางไม่ได้ขมวดย่นเข้าหากัน เธอคงกำลังฝันดีเป็นแน่ ไซรัสยิ้มอย่างอ่อนโยน เมื่อมองน้องสาวผู้เป็นที่รัก เธอคือความสุขอย่างเดียวของเขา เธอสิ่งเดียวที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ในโลกโสมมใบนี้ ไซรัสยื่นมือไปสัมผัสแก้มเอริสเบาๆ เขาลูบไล้ใบหน้าเธออย่างทะนุถนอน แต่อยู่ๆเขาก็เกิดอยากฆ่าเธอขึ้นมา มือเรียวเลื่อนลงมาที่คอเล็กบอบบาง ที่แค่มือข้างเดียวก็แทบจะกำมิด เขาออกแรงบีบ แรงขึ้นและแรงขึ้น จนร่างบางตื่นขึ้นมาดิ้นพล่านด้วยความทรมาน มือเล็กพยายามดึงมือพี่ชายออก แต่ชายหนุ่มแข็งแรงเกินไป ไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยเขายังบีบแรงขึ้นอีก ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเบิกกว้างขณะมองพี่ชายด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว ขาซูบผอมกระตุกไปมาจนที่นอนยับยุ่ง
    “พี่...พี่...”
    เสียงเรียกอย่างทุรนทุรายทำให้ไซรัสได้สติอีกครั้ง เขาคลายมือออกด้วยความตกใจ นี่ข้าทำอะไรลงไปเนี่ย ข้าจะฆ่าน้องสาวอย่างนั้นหรือ
    หลักจากคอเป็นอิสระเอริสก็ไอออกมายกใหญ่ ร่างกายเหนื่อยอ่อนและเต็มไปด้วยความทรมานเธอเกือบจะตายไปแล้วจริงๆ เมื่อรู้สึกค่อยยังชั่วขึ้น เด็กสาวก็หันมามองพี่ชายด้วยความสับสน
    “พะพี่ทำแบบนั้นทำไม...” เธอพูดอย่างสะลึมสะลือ
    “เจ้าฝันไปน่ะ” ไซรัสดึงน้องสาวเข้ามากอด น้ำตาซึมออกมาจากหางตา “นี่เป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้น น้องรัก นี่เป็นแค่ฝัน หลับซะนะ” ขณะที่ปลอบไป เขาก็ลูบหัวน้องสาวไปด้วย
    “นั่นสินะเรื่องอย่างนั้นจะเป็นจริงได้ยังไง พี่ชายออกจะดีกับหนู” เอริสค่อยๆหลับตาลง
    “ใช่แล้วนี่เป็นแค่ฝันร้าย พี่รักเจ้าที่สุด...หลับซะนะแล้วพรุ่งนี้ทุกอย่างจะเหมือนเดิม” ชายหนุ่มกอดเด็ดสาวไว้ในอ้อมแขนอีกสักพัก จากนั้นจึงประครองเธอลงนอน เขามองดูเอริสสักพักแล้วกลับไปที่เตียงตัวเอง
    หลักจากพลิกตัวไปมาหลายตลบ ไซรัสก็ยังไม่สามารถข่มตาหลับได้สักที มันไร้เหตุผลสิ้นดีกับสิ่งที่เขาทำลงไป และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกอยากฆ่าเอริส อาทิตย์ที่ผ่านมาเขาเห็นภาพตัวเองฆ่าเอริสในหัวสมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า และวันนี้เขาก็ลงมือทำจริงๆ แต่โชคยังดีที่ทำไม่สำเร็จ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ความคิดต่างๆก็วิ่งวนไปมาในสมอง ภาพศพ ภาพการฆ่า คำสาปแช่ง สีหน้าก่อนตายของเหยื่อผุดขึ้นมามากมายเหมือนสายธารที่ไม่มีวันหยุด แต่ที่แย่ที่ทรมานที่สุดคือบางครั้งเขาเห็นใบหน้าของน้องสาวซ้อนทับบนใบหน้าของศพที่เขาฆ่า เขาพยายามหยุดภาพพวกนั้นแต่ทำไม่สำเร็จ ความคิดและภาพต่างๆตีกันให้วุ่นวายในหัว ทำให้เขาแทบเป็นบ้า นานเป็นปีแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกผิดหรือกระวนกระวายกับการฆ่า จนเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ต้องมีบางอย่างผิดปรกติเป็นแน่ หรือว่านี่คือลางบอกเหตุถึงบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น ชายหนุ่มล้มตัวลงนอน แล้วดึงผ้าผ้าห่มมาคลุมหัว คืนนั้นเขาต้องพยายามอย่างยากลำบากกว่าจะข่มตาหลับได้
    เช้าวันต่อมาคุณหมอสมิทมาตรวจอาการเอริสแต่เช้า พยาบาลโรสแมรี่ตามมาด้วยเช่นเคย ตอนที่เจอคุณหมอสมิทครั้งแรกไซรัสไม่เข้าใจเลยว่าทำไมที่หมอฝีมือดีอย่างนี้ถึงรักษาคนไข้อยู่ที่เขตคอนเชียส ทั้งๆที่เขาสามารถหาเงินได้มากกว่าถ้าไปรักษาคนไข้ฐานะดีที่เขตอื่น ต่อมาจึงได้รู้ว่าคุณหมอสมิทเกิดที่เขตคอนเชียสในครอบครัวที่ยากจน เมื่อย่างเข้าวัยรุ่นเขาไปหางานทำที่เมืองเดบิวล่า แล้วจับพลัดจับผลูไปเป็นคนใช้ในบ้านของหมอคนหนึ่ง ที่นั่นเขาได้เรียนรู้อะไรมากมาย คุ
    ณหมอคนนั้นไม่มีลูกและรู้สึกถูกชะตากับหมอสมิทเป็นพิเศษ บวกกับความฉลาดเขาจึงได้รับทุนให้ศึกษาในวิทยาลัยแพทย์ เมื่อเรียนจบคุณหมอสมิทเลือกที่จะทำงานรักษาคนจนแม้จะได้ค่าแรงเพียงน้อยนิด แทนที่จะทำงานในย่านคนรวย มันคงเป็นบางอย่างที่เรียกว่าศรัทธา หรืออุดมการณ์ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ไซรัสสามารถเข้าใจได้ง่ายนัก เขารู้เพียงแค่ว่ามันเป็นสิ่งที่ดี ต่างจากตัวเขาที่ปริดชีวิตคนไปมากมาย พอเจอคนคุณหมอสมิททีไรเขาก็รู้สึกระอายใจขึ้นมาทุกที
    ชายหนุ่มเฝ้ามองหมอตรวจน้องสาวไปเรื่อยๆ เขาเห็นภาพเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเบื่อหน่าย สุขภาพของเอริสย่ำแย่มากจนคุณหมอสมิทต้องมาตรวจและจ่ายยาให้ทุกอาทิตย์ เนื่องจากเมื่อวานนอนไม่หลับไซรัสจึงหาวแล้วหาวอีก ใต้ตาก็ดำคล้ำ บวกกับตาสีฟ้าซีดและผมสีดำสนิททำให้ดูเหมือนผีดูดเลือด ขณะที่ยืนรอชายหนุ่มก็อดกังวลเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ การที่เขาบีบคอเธอจะทำให้เอริสเป็นอะไรรึเปล่านะ
    “อาการคงที่ ไม่ดีขึ้นและไม่แย่ลง แต่ที่แปลกคือเอริสมีอาการเจ็บคอ แถมมีรอยจางๆรอบคอเหมือนถูกบางอย่างรัดด้วย หมอไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง” หมอสมิทยกมือขึ้นลูบคางท่าทางคิดหนัก จากนั้นก็เก็บปรอท หูฟัง และอุปกรณ์บางอย่างลงในกล่องเครื่องมือ
    “หนูไปทำอะไรมารึเปล่าเอริส” หมอถาม
    “เปล่าค่ะ หนูอยู่แต่ในบ้าน เพียงแต่คืนหนูฝันแปลกๆ...” เอริสเงียบไปแล้วหันมามองหน้าไซรัส
    ชายหนุ่มรีบหลบตาอย่างรู้สึกผิด เขาได้ต่ภาวนาให้เอริสเชื่อว่านั่นคือความฝัน เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงเกลียดเขามาก และเขาเองก็คงไม่มีวันให้อภัยตัวเองได้
    “หนูฝันว่าอะไรหรือ” หมอสมิทรอฟังอย่างตั้งใจ
    เอริสมองพี่ชายอีกสักครู่ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...มันก็แค่ความฝัน”
    ไซนรัสถอนหายใจเบาๆด้วยความโล่งใจ
    “ถ้าไม่มีอะไรหมอจะจัดยาให้ตามเดิมก็แล้วกัน ยาฟาราริสซึ่งเป็นยาตัวหลักก็แพงมากซะด้วย ไซรัสเจ้าคงต้องลำบากมากสินะกว่าจะหาเงินมาจ่ายค่ายาได้”
    “ไม่เป็นไร ถ้าเพื่อให้เอริสมีชีวิตอยู่ล่ะก็ ข้าทำได้ทุกอย่าง” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ ดวงตาฉายแววแห่งนักฆ่าออกมาชั่วขณะ ชายหนุ่มรีบหลบตาลงเพื่อซ่อนสายตา มีเพียงโรสแมรี่เท่านั้นที่มองเขาอย่างรู้ทัน
    “ขอโทษนะคะ หนูทำให้พี่ต้องลำบาก...”
    “มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้นี่นา พวกเรามีกันและกันแค่สองคน ยังไงข้าก็ต้องช่วยเจ้าให้ได้” ชายหนุ่มเดินไปลูบหัวน้องสาว
    “ว่าแต่เจ้าทำงานอะไรหรือ ถึงหาเงินได้มากขนาดนั้น” หมอสมิทถาม
    “อ้อ...ก็หลายอย่างน่ะครับ...”
    หมอสมิทเป็นคนที่ฉลาดมากพอจะดูออกว่าไซรัสลำบากใจที่จะตอบ เขาเองก็ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจึงไม่ถามต่อให้มากความ
    “โรสแมรี่จัดยาตามเดิม แต่เพิ่มยาแอนเฟลาตินสำหรับลดความเจ็บปวดที่กล้ามเนื้อเข้าไปด้วย แล้วเย็นนี้ก็เอามาให้ไซรัสพร้อมกับเก็บเงินด้วยนะ”
    “ทราบแล้วค่ะ” พยาบาลสาวตอบรับ
    “งั้นวันนี้ข้าขอตัวก่อนนะ ยังต้องไปตรวจคนไข้อีกหลายคน”
    “ขอบคุณมากครับ” จากนั้นไซรัสก็เดินไปส่งหมอสมิทและพยาบาลที่ประตู
    เมื่อเขากลับเข้ามาในห้องก็พบว่าเอริสจ้องมองเขาด้วยใบหน้าสับสน
    “มีอะไรเหรอ หน้าพี่มีอะไรไรติดอยู่งั้นเหรอ”
    “ป่าวค่ะ...คือว่า...เมื่อคืน หนูฝันประหลาด...ฝันว่าพี่พยายามฆ่าหนู”
    “เหลวไหลน่า” ไซรัสดุเสียงเข้ม “พี่จะทำอย่างนั้นได้ยังไง”
    เด็กสาวถึงกับอึ้งไป มีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่พี่ชายเสียงดังใส่เธอ
    “ขะขอโทษ หนูฝันร้ายน่ะ เป็นฝันที่น่ากลัวมากเลย” เอริสเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้
    ไซรัสรู้สึกผิด เขาไม่น่าทำให้น้องสาวเสียใจเลย ร่างสูงเดินไปนั่งลงที่ขอบเตียงแล้วโอบกอดน้องสาวไว้
    “ไม่เป็นไรนะ พี่จะปกป้องเจ้าเอง”
     
    ตอนห้าโมงโรสแมรี่มาหาสองพี่น้องที่ตึกแถว เอริสหลับอยู่ไซรัสจึงลงมาคุยกับเธอที่ชั้นล่าง
    “เอริสหลับอยู่สินะ” โรสแมรี่เริ่มบทสนทนาอย่างประหม่า ด้วยคำถามที่เธอรู้ดีอยู่แล้ว การต้องคุยกับไซรัสสองต่อสองทำให้เธออึดอัดใจ
    “อือ”
    พยาบาลสาวยื่นถุงกระดาษสีน้ำตาลให้ชายหนุ่ม “นี่คือยา ทุกอย่างเหมือนเดิมยกเว้นแอนเฟลาตินพี่เพิ่มมาเพื่อรักษาอาการเจ็บกล้ามเนื้อ ให้เอริสทานเช้าเย็นหลังอาหาร ทีละหนึ่งช้อนชาจนยาหมดขวด”
    ไซรัสรับถุงยามา เขาหยิบยาออกมาดูผ่านๆทุกอย่างคุ้นหน้าคุ้นตา เขาจำได้แม่นยำว่าต้องให้ยาตัวไหนกี่เม็ดกี่ช้อน เวลาไหนก่อนหรือหลังอาหาร เพราะเขาจัดยาให้น้องสาวทุกวัน ความจริงชีวิตของเอริสน่าจะกล่าวได้ว่าอยู่ได้เพราะยา
    “ส่วนนี่คือค่ายา ค่าหมอไม่คิด” โรสแมรี่ยื่นกระดาษที่เขียนรายชื่อยาพร้อมราคาให้ชายหนุ่ม
    ไซรัสยื่นมือออกไปรับแต่แทนที่เขาจะหยิบกระดาษเขากลับจับมือเรียวงามของหญิงสาวไว้ แล้วมองเธอด้วยสายตาปรารถนาอย่างโจ่งแจ้ง พวกเขาเคยร่วมรักกันหลายครั้ง ก่อนเธอจะรู้ความจริง แต่กระนั้นทั้งสองก็หาใช่คู่รักกัน โรสแมรี่เคยบอกเขาว่าหลังจากเลิกกับสามีติดเหล้าชอบทำร้ายร่างกาย เธอคงไม่สามารถรักผู้ชายคนไหนได้อีก โรสแม่รี่ไม่ได้รักเขา เธอต้องการเขาเพียงเพื่อสนองความต้องการเท่านั้น หลายเดือนแล้วที่เขาไม่ได้มีเซ็กส์กับเธอ ร่างกายที่บัดนี้อยู่ห่างกันไม่ถึงสองก้าว กลิ่นน้ำหอมเย้ายวนกับสัมผัสนุ่มนวลที่ฝ่ามือ ทำให้เขารู้สึกโหยหาจนแทบทนไม่ไหว
    “เอามือสกปรกของเจ้าออกไป” เธอแค่นเสียงทุ้มต่ำลอดไรฟัน พร้อมกับสำสีหน้าขยะแขยงอย่างไม่คิดจะปิดบัง
    ไซรัสอยากจะกระชากเธอมาจูบให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่นึกได้ว่าเอริสนอนอยู่ข้างบน เขาจึงเลือกปล่อยมือหญิงสาว ตั้งแต่โรสแมรี่รู้ว่าเขาเป็นนักฆ่า เมื่อครั้งที่เขาบาดเจ็บหนักเจียนตาย จนต้องยอมเปิดเผยความลับแลกกับการเอาชีวิตรอด โดยการบ่ายหน้าไปให้เธอช่วยทำแผล โรสแมรี่ก็รังเกียจเขาและไม่ยอมให้เขาแตะต้องตัวอีกเลย
    ชายหนุ่มดูตัวเลขบนกระดาษแล้วหยิบเงินออกมาจ่าย โรสแมรี่รับเงินมาแล้วให้เงินทอนไป
    “เมื่อวานมีผู้หญิงคนหนึ่งถูกฆ่าที่ซอยลูวิค 14 เขตเดบิวล่า...” โรสแมรี่เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองชายหนุ่มด้วยท่าทางไม่ใว้วางใจ
    “งั้นเหรอ...” ไซรัสตอบเสียงเรียบ ไม่ได้มีท่าทางตกใจแต่อย่างใจ
    โรสแมรี่เงียบไปสักครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คงไม่ใช่ฝีมือเจ้าหรอกนะ...”
    “ถ้าใช่แล้วจะทำไม” ชายหนุ่มยอมรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับการฆ่าคนเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวันเช่นอาบน้ำล้างหน้า
    “ทำไมถึงได้ทำหน้าตาไม่สะทกสะท้านแบบนั้น นี่เจ้าเพิ่งฆ่าคนมานะ และมันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆที่จะทำใจเย็นอยู่ได้ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเจ้าหายไปไหนหมดไซรัส เจ้ามันช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก ข้าพยายามช่วยชีวิตคนแต่เจ้ากับฆ่าคนเพื่อเงิน” เสียงแหลมสูงยามโมโหของโรสแมรี่ทำให้ไซรัสประสาทเสีย
    “หยุดพล่ามสักทีได้มั๊ย!? ถ้าข้าไม่ทำแบบนี้แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่ายาให้เอริส” ชายหนุ่มตวาดกลับ
     “มันน่าจะมีวิธีอื่นบ้างสิ วิธีที่สามารถหาเงินได้โดยไม่ต้องฆ่าคน”
    “ถ้างั้นเจ้าก็ช่วยบอกทีสิว่ามีวิธีไหนที่ข้าสามารถหาเงินค่ายาฟาราริส ที่ขวดหนึ่งแพงขนาดซื้อห้องเก่าๆนี่ได้ แถมยานั่นหนึ่งขวดใช้ได้แค่สองอาทิตย์เท่านั้น นอกจากเป็นนักฆ่าแล้วข้าก็นึกไม่ออกว่ามีวิธีไหนที่สามารถหาเงินจำนวนมากพอที่จะซื้อยาได้”
    “แล้วเจ้าคิดว่ามันถูกแล้วเหรอที่เอาชีวิตคนอื่นมาต่อชีวิตให้น้องสาวเจ้า...”
    ไม่ทันที่จะได้พูดต่อ ไหลบอบบางก็ถูกมือแข็งแกร่งของไซรัสบีบแน่นจนเจ็บ
    “แล้วทำไมโลกนี้ถึงต้องกลั่นแกล้งพวกเราพี่น้องด้วย ทำไมต้องให้เอริสเป็นโรคที่ต้องใช้ยาราคาแพง นอกจากนั้นยังซ้ำเติมให้พวกเราเกิดในครอบครัวที่ยากจน แถมพ่อแม่ยังตายตั้งแต่ตอนเด็ก ในขณะที่บางคนแข็งแรง และยังเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย สามารถใช้เงินหาความสุขความสำราญไปได้จนแก่ ทำไมโลกถึงไร้ความยุติธรรมเช่นนี้ ไหนลองตอบข้ามาสิ”
    เสียงตวาดดุดันเยี่ยงสัตว์ร้าย กับสายตาที่บ้าคลั่งเหมือนคนเสียสติทำให้ร่างบางหวาดกลัวจนแทบเป็นลม
                “ถ้าข้ารู้ คงไม่ต้องแต่งงานกับผู้ชายติดเหล้าที่ชอบใช้กำลัง แถมยังดุด่าข้าทุกวัน!” พยาบาลสาวตวาดกลับ
    “ไม่ใช่แค่เจ้ากับน้องสาวเท่านั้นที่ต้องเจอกับเรื่องเลวร้าย ซึ่งข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมโลกถึงต้องทำกับพวกเราแบบนี้” โรสแมรี่ตอบทั้งน้ำตา ไซรัสปล่อยมือออกช้าๆ เมื่อไหล่บอบบางเป็นอิสระขาที่สั่นเทาก็ล้มพับลงทันที โรสแมรี่ที่นั่งอยู่บนพื้นหินเย็บเฉียบยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น
                ไซรัสนั่งพิงขอบโต๊ะไม้เก่าคร่ำคร่าด้วยท่าทางเหนื่อยล้า “แล้วจะให้ข้าปล่อยให้เอริสตายอย่างนั้นหรือ...”
    “มันน่าจะมีวิธีอื่นบ้างสิ...” โรสแมรี่ตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
    “กลับไปเถอะ ถึงจะคุยกันต่อไปก็ไม่มีทางหาทางออกได้หรอก” ชายหนุ่มเดินเข้าไปพยุงหญิงสาว แต่โรสแมรี่กลับปัดมือเขาทิ้งอย่างรังเกียจ แม้เขากับเธอจะไม่ใช่คนรักกันแต่มันก็ทำให้เขาทั้งเศร้าทั้งโดดเดี่ยว ถ้าเอริสรู้ความจริงแล้วทำกับเขาแบบนี้ เขาคงทุกข์ใจสุดจะประมาณได้
    “ลาก่อน” พยาบาลสาวกล่าวสั้นๆแล้วเดินออกจากประตูไป ไซรัสไม่ได้ตอบอะไร เขาปิดประตูเบาๆแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน เอริสยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง โชคดีที่การทะเลาะกับโรสแมรี่เมื่อสักครู่ไม่ได้ปลุกเอริสให้ตื่น ไซรัสยื่นมือออกไปเพื่อสัมผัสใบหน้าน้องสาว แต่ขณะที่มือเขากำลังจะโดนแก้มเธอ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกอย่างฆ่าเธอขึ้นมา ชายหนุ่มจึงรีบชักมือกลับแล้วเดินไปนั่งลงบนเตียงตัวเอง
    มันเกิดขึ้นอีกแล้วหรือ ทำไมข้าถึงรู้สึกแบบนั้น ข้ากำลังจะเป็นบ้าไปแล้วหรือ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆเห็นทีข้าเองคงต้องฆ่าเอริสเข้าสักวัน
    บ่ายวันถัดมาไซรัสต้องไปหานายจ้าง เอาแหวนแต่งงานจากผู้หญิงที่เขาฆ่าไปยืนยันเพื่อรับเงินค่าจ้าง เขาจึงขอร้องให้โรสแมรี่มาอยู่เป็นเพื่อนน้องสาว
    เอริสอ่านหนังสือไม่ออกเพราะไม่ได้ไปโรงเรียน แต่เธอชอบนิทานมาก เมื่อโรสแมรี่มาจึงไม่มีอะไรสนุกไปกว่าการอ่านหนังสืออีกแล้ว เอริสก็คล้ายๆกับเด็กสาวส่วนมากที่ชอบเรื่องราวชวนฝัน เจ้าหญิงแสนสวยที่ถูกรังแกกับเจ้าชายรูปงามที่คอยปกป้องเธอ สำหรับโรสแมรี่เรื่องราวพวกนั้นค่อนข้างน่าเบื่อ เธอกร้านโลกมากเกินไปจนความโรแมนติกแบบเด็กสาวหายไปหมดแล้ว แต่ในเมื่อเอริสอยากฟัง เธอก็ยอมอ่านให้แต่โดยดี
    “หนูจะมีชีวิตอยู่นานพอได้เจอกับผู้ชายที่เหมือนเจ้าชายในเทพนิยายมั้ยนะ” เด็กสาวพูดเรื่องเศร้าเหมือนเป็นประโยคธรรมดา
    เจอแบบนี้เข้าโรสแมรี่ก็ไม่รู้จะปลอบยังไงเหมือนกัน เธอเป็นพยาบาลที่ดี ขยันทำงานและรอบคอบเสมอ แต่ถ้าเรื่องปลอบใจคนไข้เธอไม่เก่งหมือนหมอสมิท
    “นิทานมักจะดีกว่าโลกแห่งความจริงเสมอ” หญิงสาวตอบสั้นๆ
    “โรสแมรี่คิดว่าพี่คล้ายเจ้าชายในนิทานรึเปล่า” เอริสถามด้วยดวงตาใสซื่อ
    โรสแมรี่คิดว่าเด็กคนนี้อยู่ในโลกคับคับแคบ จึงรู้อะไรกี่ยวกับชีวิตน้อยมาก
    “งะงั้นมั้ง” ที่จริงเธออยากบอกว่าเขาเหมือนปีศาจมากกว่า
    “สำหรับหนูแล้วพี่เป็นคนที่เยี่ยมยอดที่สุดเลยล่ะ พี่คอยดูแลปกป้องเอริสเสมอ ตอนเด็กหนูเคยถูกหมาตัวโตวิ่งไล่ พี่สู้กับมันจนเป็นแผลไปทั้งตัว เลือดของพี่ไหลมากจนแดงเกือบทั้งตัว ลุงบารันที่ผ่านมาพอดีช่วยอุ้มพี่ไปหาหมอ แต่พวกเราไม่มีเงินเลยไม่มีหมอคนไหนยอมช่วย ตอนนั้นหมอสมิทยังไม่มาที่นี่ด้วย หนูกลัวแทบแย่ว่าพี่จะตาย พี่เป็นคนดี หนูรักพี่ที่สุดในโลกเลยล่ะ”
    “งั้นหรือ...” โรสแมรี่รู้อยู่แก่ใจว่าไซรัสไม่ใช่คนดีไร้ที่ติ คนๆนั้นมีด้านดำมือแอบซ่อนอยู่
    “แล้วสุดท้ายไซรัสรอดมาได้ยังไงล่ะ”
    “ลุงบารันให้สัญญากับหมอคนหนึ่งว่าถ้ารักษาพี่ให้เขากับพี่จะมาช่วยซ่อมหลังคากับทำสวนให้หมอคนนั้น พี่เลยได้รักษา เย็บตั้งหลายแผลแน่ะ” เอริสมองออกไปนอกหน้าต่างขณะนึกถึงความหลัง สักครู่เธอก็หันกลับมา
    “แต่บางครั้งพี่ก็ใจร้อนแล้วก็ขี้หงุดหงิดไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วพี่เป็นคนดีนะ โรสแมรี่กลับมาคืนดีกับพี่เถอะนะ”
    “เจ้าเข้าใจผิดแล้วล่ะ ข้าไม่ได้เคยคบกับไซรัส”
    “แต่พี่บอกว่าเคยมีอะไรกับโรสแม่รี่แล้ว”
    หญิงสาวเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “เจ้าบ้านั่นเล่าให้เจ้าฟังเหรอ เล่าให้เด็กอายุสิบเอ็ดฟังเนี่ยนะ!
                “อือ”
                “เอาอะไรคิดเนี่ย คงไม่ได้เล่าใหคนอื่นฟังด้วยหรอกนะ” มือเรียวจิกผ้าปูเตียงแน่นอย่างหงุดหงิด
                “พี่เล่าให้หนูฟังคนเดียวแล้วบอกให้หนูเก็บเป็นความลับ พี่บอกด้วยว่าโรสแมรี่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย”
                ได้ฟังดังนั้นโรสแมรี่ก็หน้าร้อนผ่าวด้วยความอาย เลือดสูบฉีดไปที่หน้าจนเป็นสีแดงระเรื่อ
                “นั่นแปลว่าพี่กับโรสแมรี่เคยเป็นคนรักกันไม่ใช่เหรอ อภัยให้พี่แล้วกับมาคืนดีกันเถอะนะ พี่คงดีใจมาก”
                หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้แล้วจับต้นแขนผอมบางของเด็กสาวไว้ “ฟังนะ บางทีเรื่องของผู้ใหญ่มันก็ซับซ้อน พวกเรามีอะไรกันก็จริง แต่ก็แค่มีอะไรกัน ไม่ได้เป็นคู่รักกัน แล้วข้าก็เลิกยุ่งกับพี่เจ้ามานานแล้วด้วย เอาล่ะเลิกพูดถึงเรื่องนี้ได้แล้ว เข้าใจใช่มั้ยเด็กดี”
                “ถ้าโรสแมรี่ไม่อยากให้พูดถึง หนูจะไม่พูดก็ได้ คงจะเขินมากสินะถึงได้หน้าแดงขนาดนั้น” เอริสกล่าวเสียงอ่อย
                โรสแมรี่ยกมือขึ้นจับหน้าตัวเอง เธอไม่ใช่สาวน้อยแล้วทำไมถึงต้องอายด้วย
    “แต่ถ้าเป็นไปได้หนูก็อยากให้พี่กับโรสแมรี่แต่งงานกันนะ”
    “ถ้าเจ้ายังพูดต่ออีกข้าจะไม่อ่านหนังสือให้ฟังแล้วนะ” หญิงสาวทำหน้าดุ
    “ก็ได้หนูยอมแพ้แล้ว” เอริสหน้าจ๋อย
    “ถ้าหนูไม่สุขภาพแย่พี่คงไม่ต้องลำบาก...โรสแมรี่...”
    “มีอะไรเหรอ ทำไมอยู่ๆถึงเงียบไป” หญิงสาวหันมามองอย่างสงสัย
    “รู้รึเปล่าว่าพี่ทำงานอะไร”
    “มะไม่รู้หรอก” จะให้ตอบไปตรงๆได้ยังไงกันเล่า
    “ไม่รู้จริงๆเหรอ”
    “ก็จริงน่ะสิ”
    เอริสมองหน้าโรสแมรี่ด้วยสีตาจริงจัง จนหญิงสาวชักรำคาญ
    “ทุกครั้งที่หนูถามพี่ว่าทำงานอะไรพี่ไม่เคยตอบและมักอารมณ์เสียใส่หนู พี่บอกว่าทุกอย่างที่พี่ทำไปนั้นเพื่อหนู แต่หนูคิดว่ามีบางอย่างไม่ปรกติ พี่ไม่ได้ไปทำงานทุกวัน แถมยังไปทำตอนกลางคืนอีกต่างหาก บางทีพี่ก็บาดเจ็บกลับมา หนูถามพี่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พี่ไม่เคยตอบสักที มันต้องเป็นงานที่อันตรายมากแน่ๆถึงได้งินเยอะ...แต่สิ่งที่หนูกังวลก็คือ...พี่ไปทำไปทำเรื่องไม่ดีมารึเปล่า...” คิ้วบางขมวดย่น ใบหน้าขาวซีดของเด็กสาวบ่งบอกว่าเธอกำลังทุกข์หนักด้วยความกังวล
    “โรสแมรี่เจ้าต้องรู้แน่ๆว่าพี่ไปทำอะไรมา เจ้าเป็นคนที่สนิทกับพี่มากที่สุดรองจากหนู ได้โปรดบอกหนูมาเถอะ ขอร้องล่ะ”
    โรสแมรี่ยืนนิ่งไม่ขยับ เด็กคนนี้ค่อนข้างฉลาด เธอคงไม่สามารถหาคำโกหกที่แนบเนียนได้แน่ ใจหนึ่งเธอเองก็อยากบอกความจริงกับเอริส แล้วให้เอริสไปขอร้องให้ไซรัสหยุดฆ่าคน แต่ถ้าไม่ฆ่าแล้วไซรัสจะเอาเงินที่ไหนมาเป็นค่ายาให้เอริสล่ะ ถ้าไซรัสหยุดฆ่าก็เท่ากับเอริสต้องตาย แต่สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือภาพจินตนาการเกี่ยวกับพี่ชายผู้แสนดีต้องพังทลาย ถ้าเป็นเช่นนั้นชีวิตจะเหลืออะไรกันเล่า ในเมื่อสิ่งที่เดียวที่ทำให้เอริสอยากมีชีวิตอยู่คือเพื่อพี่ชาย
    “เงียบไปแบบนี้แปลว่าเจ้าต้องรู้แน่ ได้โปรดบอกหนูมาเถอะ ได้โปรดเถอะ นะนะโรสแมรี่ บอกหนูทีเถอะ”
    “ถามเซ้าอยู่อยู่ได้บอกว่าไม่รู้ก็ไม่รู้ยังไงล่ะ ไม่เข้าใจรึไง!
    เสียงตวาดของโรสแมรี่ทำให้ร่างผอมสั่นสะท้านด้วยความกลัวระคนตะใจ นี่เป็นครั้งแรกที่โรสแมรี่ตวาดใส่เธอ
    “เจ้าต้องรู้แน่ว่าพี่ชายทำอะไร มันเป็นเรื่องเลวร้ายใช่มั้ย...เมื่อหนูถามโรสแมรี่กับพี่ถึงได้อารมณ์เสียใส่หนู...” เด็กสาวถามเสียงสั่น แต่ก็ยังหวังว่าจะได้คำตอบ
    “บางอย่างไม่รู้อาจจะดีกว่าก็ได้...” โรสแมรี่หันไปทางอื่นไม่อยากสบตา
    ทันใดนั้นทั้งสองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดมา
    โรสแมรี่รีบตรงเข้าไปเอริสด้วยท่าทีลนลาน “ต้องเป็นไซรัสแน่ อย่าบอกพี่เจ้านะว่าพวกเราคุยอะไรกัน สัญญาสิ”
    “อือ” เด็กสาวตอบอย่างขอไปที
    “พี่กลับมาแล้ว” ไซรัสเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับกล่าวทักทาย
    “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน” เอริสตอบพยายามแสร้งทำตัวให้เป็นปรกติ
    “กำลังทำอะไรกันอยู่เหรอ” ชายหนุ่มถาม
    “อ่านหนังสืออยู่น่ะ” โรสแมรี่ตอบ
    “อ้อ คงสนุกมากเลยล่ะสิ ถ้าเอริสอ่านหนังสือออกก็คงจะดี ขอบใจนะโรสแมรี่ที่ช่วยอยู่ดูแลน้องสาวข้า”
    “ไม่เป็นไร”
    ไซรัสเดินไปใกล้เอริสแล้วลูบหัวเธออย่างเอ็นดู “คืนนี้พี่มีงานด่วน อาจจะกลับดึก หรือไม่ก็เช้าเลย พี่แวะกลับมาบ้านเพื่อบอกเจ้า อีกเดี๋ยวคงต้องไปแล้ว ระหว่างที่พี่ไม่อยู่เป็นเด็กดีนะ”
    “ไม่ไปไม่ได้เหรอ...” เด็กสาวมองตาพี่ชายอย่างอ้อนวอน
    ไซรัสมองเธอกลับด้วยดวงตาเศร้า “ถ้าไม่ไปก็ไม่มีเงินมาจ่ายค่ายาให้เจ้าน่ะสิ...” เขาจูบหน้าผากน้องสาวแผ่วเบาแล้วลุกขึ้น
    “ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มหันไปหาพาบาลสาว “ไปคุยกันข้างล่างหน่อยสิโรสแมรี่”
    “อือ” จากนั้นทั้งสองก็เดินลงบันไดไป
    ร่างสูงยืนพิงราวบันไดที่ชั้นล่าง เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าอย่างกังวล “คืนนี้ข้ามีงานต้องทำ เจ้าช่วยอยู่เป็นเพื่อนเอริสได้มั้ย”
    “ไปฆ่าคนอย่างนั้นหรือ” โรสแมรี่มองเขาด้วยสายตาดูหมิ่น
    “เจ้าก็รู้อยู่แล้วนี่”
    “แล้วคืนนี้คนที่ต้องตายคือใครล่ะ”
    “ลอร์ดดัลแคน เขาจะงานเปิดตัวโรงแรมดัลแคนแลนด์ที่ซอยลูวิค 12 คืนนี้ ข้าจะฆ่าเขาที่นั่น”
    “ลงมือในที่ๆผู้คนมากมายแบบนั้น เจ้าอาจจะถูกจับได้นะ”
    “เพราะผู้คนเยอะแยะต่างหากข้าถึงต้องลงมือที่นั่น ลอร์ดดัลแคนเป็นคนที่มีศัตรูเยอะ เวลาปรกติมีคนคุ้มกันมากมายใครก็เข้าใกล้ตัวเขาไม่ได้หรอก ถ้าเป็นที่นั่นข้ามาสารถปะปนเข้าไปในฝูงชนเพื่อเข้าใกล้ตัวเขาได้ ข้าต้องรีบไปเตรียมตัวแล้ว ฝากดูแลเอริสด้วยนะ” กล่าวจบชายหนุ่มก็หยิบกระเป๋าขึ้นคล้องไหล่แล้วเดินออกจากบ้านไป
    โรสแมรี่กลับขึ้นไปข้างบนแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆเตียงของเอริส
    “มีอะไรรึเปล่าโรสแมรี่ ดูเจ้าไม่สบายใจ” เอริสถาม เธอคาดว่าต้องมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ข้างล่างแน่
    “เอริส...” โรสแมรี่มองเด็กสาวด้วยสีหน้าจริงจัง
    “หือ?” เอริสครางสีหน้างุนงง
    “สิ่งที่เจ้ากลัวมากที่สุดคืออะไร”
    เด็กสาวนิ่งเงียบไป “เป็นคำถามที่ยากจัง ทำไมอยู่ๆโรสแมรี่ถึงถามล่ะ”
     “แค่อยากรู้เท่านั้นแหล่ะ ไม่มีอะไรหรอก ถ้าไม่ยากตอบไม่ต้องตอบก็ได้”
    “ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ต้องใช้เวลานึกก่อนน่ะ เอ...อะไรนะที่ข้ากลัวที่สุด” เอริสมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ข้างนอกไม่ได้เจริญหูเจริญตานัก มีแต่บ้านเก่าๆที่มีคราบสกปรกและตะใคร่เกาะ พระอาทิตย์สีแดงยามใกล้ตกดินยิ่งชวนให้หดหู่ สมกับคำถามที่เธอกำลังคิดหาคำตอบ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×