ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 4th Suspense: ทำไมคนเราถึงสนใจเจ้ามือถือเครื่องเล็กๆ มากกว่าคนเป็นๆที่อยู่ข้างๆ
4th Suspense: ทำไมคนเราถึงสนใจเจ้ามือถือเครื่องเล็กๆ มากกว่าคนเป็นๆที่อยู่ข้างๆ
“ควอน ยูริ วันนี้แหละวันนี้ วันนี้เธอต้องไขข้อข้องใจให้ได้ว่าในวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น”
สาวร่างสูงผิวคล้ำกว่าคนเกาหลีทั่วไปพึมพำกับตัวเองขณะแอบตามสาวผมบลอนด์คนหนึ่งไปตามทางเดินภายในโรงเรียน
โดยไม่สนใจสายตาของชาวประชาที่ซุบซิบแล้วมองตรงมาแม้แต่น้อย
ปลายทางของร่างบางตรงหน้านั้นหยุดลงที่ห้องดนตรีในตึกไม้หลังเก่าพร้อมกับประตูที่ปิดลงเมื่อร่างนั้นเดินเข้าไป
“ตอนนี้แหละ ควอน ยูริ ตอนนี้เป็นโอกาสดีของเธอแล้วนะ รวบรวมความกล้าแล้วบุกเข้าไปเลย”
เธอยังคงกระซิบกระซาบกับตัวเอง พยายามตั้งสติให้มั่นคงแล้วเปิดประตูบานนั้นเข้าไป หวังจะได้คุยกับคนเมื่อครู่ให้รู้เรื่องเสียที
แต่เปิดได้ไม่ถึงเสี้ยววินาที เธอก็ปิดมันลงพร้อมกับหน้าที่แดงขึ้นเพราะความเขินอายที่ไร้ซึ่งเหตุผล จากสายตาห้าคู่ที่จ้องตรงมา
“เจสสิก้า ฉันว่าถึงเวลาที่เธอจะกำจัดวิญญาณตามติดตัวนั้นได้แล้วนะ”
ทิฟฟานี่ที่กำลังจะอธิบายแผนงานของชมรมในงานเทศกาลชมดอกไม้ ดูจะอารมณ์เสียอยู่ไม่น้อยกับการถูกขัดจังหวะ
เป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์แล้วที่ ควอน ยูริ ค่อยติดตามเจสสิก้าอยู่ไม่ห่างในเงามืดและตามซอกหลืบต่างๆ
ใช่ว่าคนถูกตามจะไม่รู้ตัว แต่เธอขี้เกียจเกินกว่าจะกำจัดออกไปมากกว่า
ในตอนแรกเจสสิก้าเองก็สงสัยอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ว่าผู้หญิงขี้อายที่เกาะติดเธอเหมือนวิญญาณสิงร่างคนนี้
คือคนๆเดียวกับผู้หญิงหลงตัวเองผู้แสนจะมั่นใจในความงามของตนที่สระว่ายน้ำจริงหรือเปล่า
แต่หลังจากผ่านมาหลายวันเธอก็แน่ใจว่า ตัวดำๆหน้าเหมือนลิงแบบนี้ ในโรงเรียนนี้ ไม่สิ ในโลกนี้ มียัยนี้แค่คนเดียว
แกร๊ก!
เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับร่างบางที่เดินเข้ามาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวไม่แพ้ทิฟฟานี่ปรากฏขึ้น
สายตาคมภายใต้แว่นหนามองปราดไปที่ในหน้าเรียวสวยของสาวนางหนึ่งพี่พยายามอำพรางตัวเองให้กลืนไปกับสมาชิกชมรมคนอื่นๆ
ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางหลุดรอดไปจากสายตาคมกริบคู่นั้นได้ เพราะชมรมนี้มีอยู่แค่สี่คน และเธอ...คือส่วนเกิน
“มาอยู่ที่นี่อีกแล้วนะคะ คุณยุนอา”
แม้จะมีแว่นบังแต่ก็รับรู้ได้ว่าร่างนั้นกำลังส่งสายตาตำหนิมายังเจ้าของชื่อที่นั่งตัวลีบอยู่บนโซฟาแสนนุ่มนิ่ม
ตัวที่ประธานชมรมยกมาเองจากบ้าน พร้อมกลับชุดรับแขกสุดหรูหราที่สมาชิกกำลังใช้นั่งประชุมอยู่
“หนีประชุมบ่อยๆแบบนี้ สภาชิกสถานักเรียนคนอื่นเค้าจะว่าเอาได้นะคะ”
ยังไม่ทันที่ยุนอาจะได้ตอบอะไรกลับไป ซอฮยอนก็ตรงดิ่งมาลากตัวเธอกลับไปนั่งเก้าอี้แข็งๆในห้องประชุมสภานักเรียนทันที
ก็แหม จะไม่ให้เธอโดดประชุมมานั่งเล่นที่นี่ได้ยังไงไหว ในเมื้อโซฟาในห้องนี้มันนุ่มกว่าเก้าอี้ประจำตำแน่งของเธอเป็นไหนๆ
ยิ่งเวลานั่งประชุมนานๆ ยิ่งแสนจะเมื่อยตูด แถมที่นี่ยังมีชาอย่างดีจากอังกฤษให้ชิมฟรีอีกต่างหาก
แต่ก่อนที่สาวเจ้าจะจากไปพร้อมท่านประธานผู้รักความสบาย มือที่ว่างอยู่อีกข้างของซอฮยอนก็จับหญิงอีกนาง
ที่นั่งก้มหน้างุดอยู่กับเข่าของตนภายนอกห้องโยนเข้ามา
“มีอะไรก็เข้าไปคุยข้างในสิคะ มานั่งอยู่แบบนี้มันเกะกะทางเดินค่ะ” แล้วเธอก็จากไปพร้อมกับร่างบางของท่านประธานยุนอา
“อะ...เอ่อ...คะ...คือว่า....เฮือก”
ยูริที่ถูกโยนเข้ามาอึกอักแวบนึกด้วยความอายแบบสุดๆจากสายตาของทุกคนที่มองตรงไปที่เธอ
ก่อนจะเป็นลมหมดสติล้มพับไปซะอย่างนั้นเพราะความดันที่ขึ้นสูง
เดือดร้อนซูยองกับแทยอนต้องหามร่างไร้สตินั้นไปยังห้องพยาบาลที่อยู่อีกฟากของโรงเรียน
เป็นอันว่าการประชุมของชมรมในวันนี้ก็มีอันต้องยกเลิกโดยปริยาย ทั้งที่มีเวลาเหลืออีกไม่มากก่อนจะถึงงานเทศกาล
ซึ่งเป็นงานใหญ่ที่จัดขึ้นในต้นเดือนที่สองของเทอมใหม่
“เฮ่อ...เมื่อไหร่ฉันจะหลุดพ้นจากบ่วงกรรมนี่สักทีนะ”
คิม แทยอน กำลังถอนหายใจแล้วบ่นกับตัวเอง ระหว่างเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ใกล้ๆโรงเรียน
“ไหนจะยัยผีนั้น ไหนจะยัยประธานชมรมบ้าๆนี่ ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยฟะ”
ดูเหมือนว่าหญิงสาวตัวเล็กคนนี้ จะรับศึกหนักทั้งจากผีและคน ที่ค่อยวนเวียนก่อกวนความสงบรอบๆตัวเธอ
“แล้วที่สำคัญ...ทำไมทางกลับหอที่เร็วที่สุดต้องเป็นไอ้ขบวนรถชวนอ้วกเฮงซวยนี่อีกนะ”
ในที่สุด ร่างเล็กก็มาถึงสถานีที่ห่างจากโรงเรียนมาสองช่วงตึก
ผู้คนมากมายคลาคล่ำกันอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ทั้งเหล่านักเรียนของโรงเรียนในละแวกใกล้เคียง
และพนักงานของบริษัทใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ข้างสถานี
แทยอนรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมาทันที เมื่ออยู่กลางฝูงชนมากมายเช่นนี้ เพราะเจ้าสิ่งที่มีเพียงเธอเท่านั้นที่มองเห็น
กลุ่มหมอกสีเท่าที่ชวนขยะแขยงอันเกิดขึ้นจากสิ่งเลวร้ายที่ตกค้างอยู่ภายในจิตใจของคนเหล่านั้น มันทำให้เธอคลื่นไส้ทันทีที่สัมผัส
ประตูขบวนรถไฟฟ้าเปิดออก ผู้คนต่างกรุกันเข้าไปเบียดเสียดอยู่ในนั้น ยิ่งทำให้แทยอนรู้สึกสะอิดสะเอียนมากขึ้น
ตามความหนาแน่นของหมอกสีเทาที่อัดแน่นอยู่ในนี้ เพียงแต่วันนี้ดูเหมือนเธอจะมีอาการน้อยกว่าวันอื่นอยู่นิดหน่อย
ระหว่างที่ยืนเบียดเป็นปลากระป๋องอยู่นั้น แทยอนก็เหลือบไปเห็นเด็กน้อยวัยสี่ห้าขวบคนหนึ่งนอนหลับอยู่ในอ้อมอกแม่
ที่มือข้างหนึ่งจับราวยืนโหนด้วยความทุลักทุเล
โดยที่ชายหนุ่มสุขภาพแข็งแรงผู้กำลังนั่งเล่นสมาร์ทโฟนสุดไฮเทคอยู่ตรงหน้าสองแม่ลูกนั้น ไม่ได้สนใจเธอสักนิด
คนสมัยนี้ หาน้ำใจได้ยากจริงๆ นั่นคือสิ่งที่ร่างเล็กคิดอยู่ในใจ
“ทำไมคนเราถึงสนใจเจ้ามือถือเครื่องเล็กๆนั่น มากกว่าคนเป็นๆที่อยู่ข้างๆกันนะ” เสียงที่ฟังดูคุ้นหูชอบกลดังขึ้นใกล้ๆ
มันช่างเหมือนกันมาก กับเสียงแหบนิดๆและต่ำหน่อยๆของยัยประธานชมรมบ้าๆ คนที่เธอไม่เคยหนีพ้น
แทยอนกำลังจะหันไปมองเจ้าของเสียงนั้นให้แน่ใจว่าไม่ใช่คนที่เธอคิด
พร้อมกับขบวนรถที่กำลังจะเข้าจอดในสถานีต่อไปลดความเร็วลงอย่างกะทันหัน
เธอเซไปตามแรงนั้น และทำท่าจะล้มลง แต่มือหนึ่งจากด้านหลังคว้าเอวและหน้าอกข้างหนึ่งของเธอไว้ได้ทัน
เดี๋ยวนะ...หน้าอก แทยอนก้มลงมองมือที่สัมผัสร่างกายเธอ ดีที่มันเป็นมือของผู้หญิงเธอจึงไม่โวยวายออกไป
เธอหันไปหาเจ้าของมือ และต้องตกใจเมื่อคนๆนั้นคือคนที่เธอใช้ความพยายามในการหนีมาหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ
“ไม่เป็นไรนะ?” ทิฟฟานี่ถามกลับมาเพราะสีเห็นหน้าที่ดูซีดเซียวของอีกคน ในขณะที่มือข้างหนึ่งยังคงจับเอวนั้นไว้อย่างลืมตัว
เมื่อ ประตูเปิดออกอีกครั้ง ทั้งสองก็โดนผู้โดยสารที่เพิ่มเข้ามาอัดก๊อปปี้ให้แนบชิดกันยิ่งกว่าเดิม ชนิดที่เรียกว่าแทบจะเป็นสามีภรรยากันได้เลย
แทยอนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายและลมหายใจของอีกฝ่าย ใบหน้าขาวซีดกลับมีเลือดฝาดขึ้นอีกครั้ง
ดีแน่รึเปล่านะที่ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันแบบนี้ เพราะมันทำให้เธอเกิดความรู้สึกแปลกๆ พร้อมกับความร้อนที่เริ่มก่อตัวขึ้นบนใบหน้า
เมื่อต้องสบตากับดวงตาคู่สวยคู่นั้น
แม้จะอยู่ในท่วงท่าที่ล่อแหลม แต่คนทั้งขบวนรถกลับไม่มีใครสนใจพวกเธอสักนิด และยังคงจดจ่ออยู่กับเจ้าอุปกรณ์สื่อสารในมือ
“นี่เธอต้องยืนเป็นปลากระป๋องแบบนี้ทุกวันเหรอเนี่ย?” ทิฟฟานี่ที่สูงกว่านิดหนึ่ง ก้มลงไปกระซิบถามแทยอน
เธอได้แต่พยักหน้าหงึก ตอบกลับมาพร้อมกับหลบสายตาของอีกคน ก็นะ ตายิ้มคู่นั้นมันยิ่งมองยิ่งรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดให้เข้าไปใกล้นี่นา
ในที่สุดทั้งคู่ก็ออกมาจากกระป๋องเคลื่อนที่ได้ซะที เมื่อมาถึงสถานีปลายทางอันเป็นที่ตั้งของหอพักเล็กๆแห่งหนึ่ง
หลังจากเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงไปกลับมาได้อีกครั้ง แทยอนก็ต้องนึกแปลกใจเมื่อวันนี้เธอไม่ได้รู้สึกอยากจะอ้วกเหมือนทุกวัน
ตั้งแต่ได้เจอกับทิฟฟานี่บนรถไฟฟ้าขบวนนั้น และอีกเรื่องที่ทำให้เธอแปลกใจยิ่งกว่า คือไม่รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ข้างกันนี้
ตามเธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วทำไมถึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้
“บ้านเธออยู่แถวนี้เหรอ ดูเงียบสงบดีนะ”
ร่างบางเอ่ยออกมาพร้อมกับมองไปรอบๆบริเวณสถานี ทั้งที่อยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองนัก แต่กลับเงียบสงบอย่างมาก
“เธอ...มาทำอะไรตรงนี้เนี่ย?” แทยอนค่อยๆหันไปถามด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ
การ ที่คนๆนี้มาอยู่ที่นี่นั้น มันทำให้เธอเกิดลางสังหรณ์แปลกๆว่าชีวิตอันสุขสงบที่พอจะเหลืออยู่ในหอพัก แสนสบายใกล้นี้กำลังจะเปลี่ยนไป
“เยี่ยมบ้านสมาชิก แล้วบ้านเธออยู่ทางไหนล่ะ นำทางไปสิ”
ทิฟฟานี่ตอบกลับมาหน้าตาเฉย โดยยังคงคิดว่าแทยอนอาศัยอยู่กับพ่อแม่ในบ้านแสนสุข
ก่อนจะดันหลังเล็กๆของแทยอนให้ออกเดินพาเธอไปยังที่อยู่ของคนหน้า
การประชุมสภานักเรียนเสร็จสิ้นช้ากว่ากำหนดไปพอสมควร เนื่องจากท่านประธานมัวแต่อู้แอบไปจิบน้ำชาฟรีอยู่ที่ห้องชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ
“อ่า...เหนื่อยจัง” ยุนอาที่เดินห่อไหล่อย่างอ่อนล้าออกจากโรงเรียนมาพร้อมกับซอฮยอนกล่าวขึ้น
“เป็นประธานนักเรียนเนี่ย มันเหนื่อยจริงๆเลยนะ” เธอที่ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สองยังคงบ่นต่อไป
“แค่นั่งฟังคนอื่นพูดเฉยๆก็เหนื่อยแล้วเหรอคะ”
“เหนื่อยสิ เหนื่อยมากด้วย ให้นั่งฟังรองฝ่ายประถมกับมัธยมต้นเถียงกันตั้งเกือบสองชั่วโมงใครจะทนไหวห๊ะน้องซอ”
เธอหันไปทำหน้าเหนื่อยหน่ายใส่รองฝ่ายมัธยมปลายที่สมาชิกสภาเกรงใจซะยิ่งกว่าประธานอย่างเธอด้วยซ้ำ
“แล้วทำไมไม่สั่งให้พวกนั้นหยุดเถียงกันล่ะคะ เป็นถึงประธานนักเรียนแท้ๆ”
ซอฮยอนยังคงตอบกลับไปด้วยใบหน้านิ่งเฉย ที่ทำให้อีกคนหงุดหงิดขึ้นมานิดๆกับท่าทีแบบนั้น
“โอ้ย ทำไมต้องเลือกฉันมาเป็นประธานด้วยนะ ขอใช้ชีวิตแบบสบายๆเหมือนคนอื่นบ้างไม่ได้รึไง”
สิ่งที่ยุนอาทำได้ตอนนี้คงจะมีแค่การบ่นและโวยวายกับตัวเอง
แต่ทันใดนั้น ขณะที่ทั้งคู่เดินมาถึงบริเวณหอนาฬิกา ดูเหมือนซอฮยอนจะรู้สึกถึงบางอย่างที่ร่วงผ่านอากาศมาจากด้านบน
ด้วยปฏิกิริยาตอบสนองได้รวดเร็วทันสถานการณ์ เธอคว้าแขนยุนอาแน่นจนเจ้าของหันมาด้วยความสงสัย
ก่อนจะออกแรงกระชากร่างผอมบางนั้นให้ออกมาพ้นทางจากเข็มนาฬิกาอันใหญ่ทำจากทองเหลืองที่หล้นโดนพื้นเสียงดังสนั่น
ยุนอาหันไปมองเจ้าเข็มนาฬิกาที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นด้วยความตกใจ ก่อนจะหันมาถามคนที่ช่วยเธอไว้ซึ่งบัดนี้ถูกร่างของเธอทับอยู่
“น้องซอเป็นอะไรรึเปล่า” เธอจับร่างนั้นลุกขึ้นยืน ใช้สายตาสำรวจว่าอีกคนบาดเจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่าก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้าสวย
บัดนี้มันไร้ซึ่งแว่นตาหนาเตอะปกปิดดวงตากลมโตคู่นั้นอีกต่อไป ยุนอาจ้องนิ่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเสียงของอีกฝ่ายเรียกสติเธอกลับมา
“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ แล้วคุณยุนอาล่ะคะเป็นอะไรรึเปล่า” ถึงสติจะกลับมา แต่ยุนอาทำได้แค่ส่ายหน้าตอบกลับไป
ทำไมเธอถึงไม่เคยรู้เลยนะ ว่าภายใต้แว่นตาหนาๆนั่นมีใบหน้าที่แสนจะหน้ารักซุกซ่อนอยู่
“อ่ะ!! แว่นฉัน แตกหมดเลย” ซอฮยอนมองหาแว่นตาอันโปรดของเธอ ก่อนจะพบว่ามันกลายเป็นซากอยู่ที่พื้นไปเรียบร้อยแล้ว
เธอก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นแผลถลอกที่หัวเข่าของยุนอาเข้า
“หัวเข่าเลือดไหลแบบนี้ ยังบอกไม่เป็นไรอีกนะคะ” ร่างบางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋า แล้วค่อยๆใช้มันซับเลือดออกจากแผล
“ไม่เป็นไรหรอกน่า แผลแค่นี้เดี๋ยวก็หายแล้ว ผ้าเช็ดเธอเปื้อนหมดเลยดูสิ” ยุนอาคว้าเอาผ้าเช็ดหน้าของอีกคนมาถือไว้ก่อนจะกล่าวต่อไป
“เอาไว้ฉันจะซื้อผืนใหม่มาให้ ส่วนผืนนี้ฉันจะเก็บไว้เอง”
ว่าแล้วก็ยัดมันใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะออกเดินนำหน้าอีกคนมุ่งไปยังประตูโรงเรียนต่อไป
ทั้งคู่แยกย้ยกันที่นั้น ยุนอาขึ้นรถที่ทางบ้านส่งมารับแล้วแล่นออกไป เมื่อรถคันนั้นหายลับไปจากสายตาแล้ว
ซอฮยอนจึงหันหลังกลับเข้าไปภายในประตูโรงเรียนอีกครั้ง
มุ่งหน้าไปยังรั่วด้านหลังของโรงเรียนที่ติดกับภูเขาขนาดย่อมที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่มืดครึ้ม
กุญแจดอกเล็กถูกล้วงออกมาไขประตูที่เปิดออกสู่ป่านั้น ทางเดินแคบปรากฏอยู่เบื้องหน้า
เรียวขาสวยก้าวไปตามทางนั้น ก่อนจะหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ของคฤหาสน์เก่าแก่ที่ซ่อนอยู่กลางป่า
มันเปิดออก พร้อมกับหญิงสาวสองคนที่เดินออกมาต้อนรับ
“กลับมาแล้วเหรอคะ นายท่าน” สองสาวเอ่ยทักทาย
“กลับมาแล้วจ๊ะ” ซอฮยอนส่งยิ้มหวานกลับไป ก่อนจะส่งกระเป๋านักเรียนให้กับหนึ่งในสองที่ตัวสูงกว่าอีกคน
“เก็บนี่ให้ทีนะจียอน” แล้วหันไปกล่าวกับคนตัวเล็กกว่า
“ โบรัมช่วยไปหยิบกล่องยาให้ฉันหน่อยสิ”
ในขณะที่โบรัมออกวิ่งไปหยิบกล่องยามาให้เจ้านาย จียอนก็สังเกตเห็นบางอย่างที่เคยอยู่บนหน้าสวยนั้นหายไปจึงถามออกมา
“แว่นตา ไปไหนซะแล้วล่ะคะ”
“พังไปแล้วล่ะ เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยนะดีที่คอนแทคเลนส์ไม่หลุดออกมา แต่มือเป็นแผลนิดหน่อย”
เธอยกมือซ้ายที่มีเลือดซึมขึ้นมาดู เมื่อครู่ยุนอาคงจะไม่ได้สังเกตเห็นมันเพราะมัวแต่จ้องหน้าที่ไม่มีแว่นตาบดบังของเธออยู่
ก่อนจะรับยามาจากโบรัม แล้วจัดการกับแผลนั้นด้วยตัวเอง
“ควอน ยูริ วันนี้แหละวันนี้ วันนี้เธอต้องไขข้อข้องใจให้ได้ว่าในวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น”
สาวร่างสูงผิวคล้ำกว่าคนเกาหลีทั่วไปพึมพำกับตัวเองขณะแอบตามสาวผมบลอนด์คนหนึ่งไปตามทางเดินภายในโรงเรียน
โดยไม่สนใจสายตาของชาวประชาที่ซุบซิบแล้วมองตรงมาแม้แต่น้อย
ปลายทางของร่างบางตรงหน้านั้นหยุดลงที่ห้องดนตรีในตึกไม้หลังเก่าพร้อมกับประตูที่ปิดลงเมื่อร่างนั้นเดินเข้าไป
“ตอนนี้แหละ ควอน ยูริ ตอนนี้เป็นโอกาสดีของเธอแล้วนะ รวบรวมความกล้าแล้วบุกเข้าไปเลย”
เธอยังคงกระซิบกระซาบกับตัวเอง พยายามตั้งสติให้มั่นคงแล้วเปิดประตูบานนั้นเข้าไป หวังจะได้คุยกับคนเมื่อครู่ให้รู้เรื่องเสียที
แต่เปิดได้ไม่ถึงเสี้ยววินาที เธอก็ปิดมันลงพร้อมกับหน้าที่แดงขึ้นเพราะความเขินอายที่ไร้ซึ่งเหตุผล จากสายตาห้าคู่ที่จ้องตรงมา
“เจสสิก้า ฉันว่าถึงเวลาที่เธอจะกำจัดวิญญาณตามติดตัวนั้นได้แล้วนะ”
ทิฟฟานี่ที่กำลังจะอธิบายแผนงานของชมรมในงานเทศกาลชมดอกไม้ ดูจะอารมณ์เสียอยู่ไม่น้อยกับการถูกขัดจังหวะ
เป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์แล้วที่ ควอน ยูริ ค่อยติดตามเจสสิก้าอยู่ไม่ห่างในเงามืดและตามซอกหลืบต่างๆ
ใช่ว่าคนถูกตามจะไม่รู้ตัว แต่เธอขี้เกียจเกินกว่าจะกำจัดออกไปมากกว่า
ในตอนแรกเจสสิก้าเองก็สงสัยอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ว่าผู้หญิงขี้อายที่เกาะติดเธอเหมือนวิญญาณสิงร่างคนนี้
คือคนๆเดียวกับผู้หญิงหลงตัวเองผู้แสนจะมั่นใจในความงามของตนที่สระว่ายน้ำจริงหรือเปล่า
แต่หลังจากผ่านมาหลายวันเธอก็แน่ใจว่า ตัวดำๆหน้าเหมือนลิงแบบนี้ ในโรงเรียนนี้ ไม่สิ ในโลกนี้ มียัยนี้แค่คนเดียว
แกร๊ก!
เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับร่างบางที่เดินเข้ามาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวไม่แพ้ทิฟฟานี่ปรากฏขึ้น
สายตาคมภายใต้แว่นหนามองปราดไปที่ในหน้าเรียวสวยของสาวนางหนึ่งพี่พยายามอำพรางตัวเองให้กลืนไปกับสมาชิกชมรมคนอื่นๆ
ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางหลุดรอดไปจากสายตาคมกริบคู่นั้นได้ เพราะชมรมนี้มีอยู่แค่สี่คน และเธอ...คือส่วนเกิน
“มาอยู่ที่นี่อีกแล้วนะคะ คุณยุนอา”
แม้จะมีแว่นบังแต่ก็รับรู้ได้ว่าร่างนั้นกำลังส่งสายตาตำหนิมายังเจ้าของชื่อที่นั่งตัวลีบอยู่บนโซฟาแสนนุ่มนิ่ม
ตัวที่ประธานชมรมยกมาเองจากบ้าน พร้อมกลับชุดรับแขกสุดหรูหราที่สมาชิกกำลังใช้นั่งประชุมอยู่
“หนีประชุมบ่อยๆแบบนี้ สภาชิกสถานักเรียนคนอื่นเค้าจะว่าเอาได้นะคะ”
ยังไม่ทันที่ยุนอาจะได้ตอบอะไรกลับไป ซอฮยอนก็ตรงดิ่งมาลากตัวเธอกลับไปนั่งเก้าอี้แข็งๆในห้องประชุมสภานักเรียนทันที
ก็แหม จะไม่ให้เธอโดดประชุมมานั่งเล่นที่นี่ได้ยังไงไหว ในเมื้อโซฟาในห้องนี้มันนุ่มกว่าเก้าอี้ประจำตำแน่งของเธอเป็นไหนๆ
ยิ่งเวลานั่งประชุมนานๆ ยิ่งแสนจะเมื่อยตูด แถมที่นี่ยังมีชาอย่างดีจากอังกฤษให้ชิมฟรีอีกต่างหาก
แต่ก่อนที่สาวเจ้าจะจากไปพร้อมท่านประธานผู้รักความสบาย มือที่ว่างอยู่อีกข้างของซอฮยอนก็จับหญิงอีกนาง
ที่นั่งก้มหน้างุดอยู่กับเข่าของตนภายนอกห้องโยนเข้ามา
“มีอะไรก็เข้าไปคุยข้างในสิคะ มานั่งอยู่แบบนี้มันเกะกะทางเดินค่ะ” แล้วเธอก็จากไปพร้อมกับร่างบางของท่านประธานยุนอา
“อะ...เอ่อ...คะ...คือว่า....เฮือก”
ยูริที่ถูกโยนเข้ามาอึกอักแวบนึกด้วยความอายแบบสุดๆจากสายตาของทุกคนที่มองตรงไปที่เธอ
ก่อนจะเป็นลมหมดสติล้มพับไปซะอย่างนั้นเพราะความดันที่ขึ้นสูง
เดือดร้อนซูยองกับแทยอนต้องหามร่างไร้สตินั้นไปยังห้องพยาบาลที่อยู่อีกฟากของโรงเรียน
เป็นอันว่าการประชุมของชมรมในวันนี้ก็มีอันต้องยกเลิกโดยปริยาย ทั้งที่มีเวลาเหลืออีกไม่มากก่อนจะถึงงานเทศกาล
ซึ่งเป็นงานใหญ่ที่จัดขึ้นในต้นเดือนที่สองของเทอมใหม่
“เฮ่อ...เมื่อไหร่ฉันจะหลุดพ้นจากบ่วงกรรมนี่สักทีนะ”
คิม แทยอน กำลังถอนหายใจแล้วบ่นกับตัวเอง ระหว่างเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ใกล้ๆโรงเรียน
“ไหนจะยัยผีนั้น ไหนจะยัยประธานชมรมบ้าๆนี่ ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยฟะ”
ดูเหมือนว่าหญิงสาวตัวเล็กคนนี้ จะรับศึกหนักทั้งจากผีและคน ที่ค่อยวนเวียนก่อกวนความสงบรอบๆตัวเธอ
“แล้วที่สำคัญ...ทำไมทางกลับหอที่เร็วที่สุดต้องเป็นไอ้ขบวนรถชวนอ้วกเฮงซวยนี่อีกนะ”
ในที่สุด ร่างเล็กก็มาถึงสถานีที่ห่างจากโรงเรียนมาสองช่วงตึก
ผู้คนมากมายคลาคล่ำกันอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ทั้งเหล่านักเรียนของโรงเรียนในละแวกใกล้เคียง
และพนักงานของบริษัทใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ข้างสถานี
แทยอนรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมาทันที เมื่ออยู่กลางฝูงชนมากมายเช่นนี้ เพราะเจ้าสิ่งที่มีเพียงเธอเท่านั้นที่มองเห็น
กลุ่มหมอกสีเท่าที่ชวนขยะแขยงอันเกิดขึ้นจากสิ่งเลวร้ายที่ตกค้างอยู่ภายในจิตใจของคนเหล่านั้น มันทำให้เธอคลื่นไส้ทันทีที่สัมผัส
ประตูขบวนรถไฟฟ้าเปิดออก ผู้คนต่างกรุกันเข้าไปเบียดเสียดอยู่ในนั้น ยิ่งทำให้แทยอนรู้สึกสะอิดสะเอียนมากขึ้น
ตามความหนาแน่นของหมอกสีเทาที่อัดแน่นอยู่ในนี้ เพียงแต่วันนี้ดูเหมือนเธอจะมีอาการน้อยกว่าวันอื่นอยู่นิดหน่อย
ระหว่างที่ยืนเบียดเป็นปลากระป๋องอยู่นั้น แทยอนก็เหลือบไปเห็นเด็กน้อยวัยสี่ห้าขวบคนหนึ่งนอนหลับอยู่ในอ้อมอกแม่
ที่มือข้างหนึ่งจับราวยืนโหนด้วยความทุลักทุเล
โดยที่ชายหนุ่มสุขภาพแข็งแรงผู้กำลังนั่งเล่นสมาร์ทโฟนสุดไฮเทคอยู่ตรงหน้าสองแม่ลูกนั้น ไม่ได้สนใจเธอสักนิด
คนสมัยนี้ หาน้ำใจได้ยากจริงๆ นั่นคือสิ่งที่ร่างเล็กคิดอยู่ในใจ
“ทำไมคนเราถึงสนใจเจ้ามือถือเครื่องเล็กๆนั่น มากกว่าคนเป็นๆที่อยู่ข้างๆกันนะ” เสียงที่ฟังดูคุ้นหูชอบกลดังขึ้นใกล้ๆ
มันช่างเหมือนกันมาก กับเสียงแหบนิดๆและต่ำหน่อยๆของยัยประธานชมรมบ้าๆ คนที่เธอไม่เคยหนีพ้น
แทยอนกำลังจะหันไปมองเจ้าของเสียงนั้นให้แน่ใจว่าไม่ใช่คนที่เธอคิด
พร้อมกับขบวนรถที่กำลังจะเข้าจอดในสถานีต่อไปลดความเร็วลงอย่างกะทันหัน
เธอเซไปตามแรงนั้น และทำท่าจะล้มลง แต่มือหนึ่งจากด้านหลังคว้าเอวและหน้าอกข้างหนึ่งของเธอไว้ได้ทัน
เดี๋ยวนะ...หน้าอก แทยอนก้มลงมองมือที่สัมผัสร่างกายเธอ ดีที่มันเป็นมือของผู้หญิงเธอจึงไม่โวยวายออกไป
เธอหันไปหาเจ้าของมือ และต้องตกใจเมื่อคนๆนั้นคือคนที่เธอใช้ความพยายามในการหนีมาหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ
“ไม่เป็นไรนะ?” ทิฟฟานี่ถามกลับมาเพราะสีเห็นหน้าที่ดูซีดเซียวของอีกคน ในขณะที่มือข้างหนึ่งยังคงจับเอวนั้นไว้อย่างลืมตัว
เมื่อ ประตูเปิดออกอีกครั้ง ทั้งสองก็โดนผู้โดยสารที่เพิ่มเข้ามาอัดก๊อปปี้ให้แนบชิดกันยิ่งกว่าเดิม ชนิดที่เรียกว่าแทบจะเป็นสามีภรรยากันได้เลย
แทยอนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายและลมหายใจของอีกฝ่าย ใบหน้าขาวซีดกลับมีเลือดฝาดขึ้นอีกครั้ง
ดีแน่รึเปล่านะที่ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันแบบนี้ เพราะมันทำให้เธอเกิดความรู้สึกแปลกๆ พร้อมกับความร้อนที่เริ่มก่อตัวขึ้นบนใบหน้า
เมื่อต้องสบตากับดวงตาคู่สวยคู่นั้น
แม้จะอยู่ในท่วงท่าที่ล่อแหลม แต่คนทั้งขบวนรถกลับไม่มีใครสนใจพวกเธอสักนิด และยังคงจดจ่ออยู่กับเจ้าอุปกรณ์สื่อสารในมือ
“นี่เธอต้องยืนเป็นปลากระป๋องแบบนี้ทุกวันเหรอเนี่ย?” ทิฟฟานี่ที่สูงกว่านิดหนึ่ง ก้มลงไปกระซิบถามแทยอน
เธอได้แต่พยักหน้าหงึก ตอบกลับมาพร้อมกับหลบสายตาของอีกคน ก็นะ ตายิ้มคู่นั้นมันยิ่งมองยิ่งรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดให้เข้าไปใกล้นี่นา
ในที่สุดทั้งคู่ก็ออกมาจากกระป๋องเคลื่อนที่ได้ซะที เมื่อมาถึงสถานีปลายทางอันเป็นที่ตั้งของหอพักเล็กๆแห่งหนึ่ง
หลังจากเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงไปกลับมาได้อีกครั้ง แทยอนก็ต้องนึกแปลกใจเมื่อวันนี้เธอไม่ได้รู้สึกอยากจะอ้วกเหมือนทุกวัน
ตั้งแต่ได้เจอกับทิฟฟานี่บนรถไฟฟ้าขบวนนั้น และอีกเรื่องที่ทำให้เธอแปลกใจยิ่งกว่า คือไม่รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ข้างกันนี้
ตามเธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วทำไมถึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้
“บ้านเธออยู่แถวนี้เหรอ ดูเงียบสงบดีนะ”
ร่างบางเอ่ยออกมาพร้อมกับมองไปรอบๆบริเวณสถานี ทั้งที่อยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองนัก แต่กลับเงียบสงบอย่างมาก
“เธอ...มาทำอะไรตรงนี้เนี่ย?” แทยอนค่อยๆหันไปถามด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ
การ ที่คนๆนี้มาอยู่ที่นี่นั้น มันทำให้เธอเกิดลางสังหรณ์แปลกๆว่าชีวิตอันสุขสงบที่พอจะเหลืออยู่ในหอพัก แสนสบายใกล้นี้กำลังจะเปลี่ยนไป
“เยี่ยมบ้านสมาชิก แล้วบ้านเธออยู่ทางไหนล่ะ นำทางไปสิ”
ทิฟฟานี่ตอบกลับมาหน้าตาเฉย โดยยังคงคิดว่าแทยอนอาศัยอยู่กับพ่อแม่ในบ้านแสนสุข
ก่อนจะดันหลังเล็กๆของแทยอนให้ออกเดินพาเธอไปยังที่อยู่ของคนหน้า
การประชุมสภานักเรียนเสร็จสิ้นช้ากว่ากำหนดไปพอสมควร เนื่องจากท่านประธานมัวแต่อู้แอบไปจิบน้ำชาฟรีอยู่ที่ห้องชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ
“อ่า...เหนื่อยจัง” ยุนอาที่เดินห่อไหล่อย่างอ่อนล้าออกจากโรงเรียนมาพร้อมกับซอฮยอนกล่าวขึ้น
“เป็นประธานนักเรียนเนี่ย มันเหนื่อยจริงๆเลยนะ” เธอที่ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สองยังคงบ่นต่อไป
“แค่นั่งฟังคนอื่นพูดเฉยๆก็เหนื่อยแล้วเหรอคะ”
“เหนื่อยสิ เหนื่อยมากด้วย ให้นั่งฟังรองฝ่ายประถมกับมัธยมต้นเถียงกันตั้งเกือบสองชั่วโมงใครจะทนไหวห๊ะน้องซอ”
เธอหันไปทำหน้าเหนื่อยหน่ายใส่รองฝ่ายมัธยมปลายที่สมาชิกสภาเกรงใจซะยิ่งกว่าประธานอย่างเธอด้วยซ้ำ
“แล้วทำไมไม่สั่งให้พวกนั้นหยุดเถียงกันล่ะคะ เป็นถึงประธานนักเรียนแท้ๆ”
ซอฮยอนยังคงตอบกลับไปด้วยใบหน้านิ่งเฉย ที่ทำให้อีกคนหงุดหงิดขึ้นมานิดๆกับท่าทีแบบนั้น
“โอ้ย ทำไมต้องเลือกฉันมาเป็นประธานด้วยนะ ขอใช้ชีวิตแบบสบายๆเหมือนคนอื่นบ้างไม่ได้รึไง”
สิ่งที่ยุนอาทำได้ตอนนี้คงจะมีแค่การบ่นและโวยวายกับตัวเอง
แต่ทันใดนั้น ขณะที่ทั้งคู่เดินมาถึงบริเวณหอนาฬิกา ดูเหมือนซอฮยอนจะรู้สึกถึงบางอย่างที่ร่วงผ่านอากาศมาจากด้านบน
ด้วยปฏิกิริยาตอบสนองได้รวดเร็วทันสถานการณ์ เธอคว้าแขนยุนอาแน่นจนเจ้าของหันมาด้วยความสงสัย
ก่อนจะออกแรงกระชากร่างผอมบางนั้นให้ออกมาพ้นทางจากเข็มนาฬิกาอันใหญ่ทำจากทองเหลืองที่หล้นโดนพื้นเสียงดังสนั่น
ยุนอาหันไปมองเจ้าเข็มนาฬิกาที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นด้วยความตกใจ ก่อนจะหันมาถามคนที่ช่วยเธอไว้ซึ่งบัดนี้ถูกร่างของเธอทับอยู่
“น้องซอเป็นอะไรรึเปล่า” เธอจับร่างนั้นลุกขึ้นยืน ใช้สายตาสำรวจว่าอีกคนบาดเจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่าก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้าสวย
บัดนี้มันไร้ซึ่งแว่นตาหนาเตอะปกปิดดวงตากลมโตคู่นั้นอีกต่อไป ยุนอาจ้องนิ่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเสียงของอีกฝ่ายเรียกสติเธอกลับมา
“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ แล้วคุณยุนอาล่ะคะเป็นอะไรรึเปล่า” ถึงสติจะกลับมา แต่ยุนอาทำได้แค่ส่ายหน้าตอบกลับไป
ทำไมเธอถึงไม่เคยรู้เลยนะ ว่าภายใต้แว่นตาหนาๆนั่นมีใบหน้าที่แสนจะหน้ารักซุกซ่อนอยู่
“อ่ะ!! แว่นฉัน แตกหมดเลย” ซอฮยอนมองหาแว่นตาอันโปรดของเธอ ก่อนจะพบว่ามันกลายเป็นซากอยู่ที่พื้นไปเรียบร้อยแล้ว
เธอก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นแผลถลอกที่หัวเข่าของยุนอาเข้า
“หัวเข่าเลือดไหลแบบนี้ ยังบอกไม่เป็นไรอีกนะคะ” ร่างบางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋า แล้วค่อยๆใช้มันซับเลือดออกจากแผล
“ไม่เป็นไรหรอกน่า แผลแค่นี้เดี๋ยวก็หายแล้ว ผ้าเช็ดเธอเปื้อนหมดเลยดูสิ” ยุนอาคว้าเอาผ้าเช็ดหน้าของอีกคนมาถือไว้ก่อนจะกล่าวต่อไป
“เอาไว้ฉันจะซื้อผืนใหม่มาให้ ส่วนผืนนี้ฉันจะเก็บไว้เอง”
ว่าแล้วก็ยัดมันใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะออกเดินนำหน้าอีกคนมุ่งไปยังประตูโรงเรียนต่อไป
ทั้งคู่แยกย้ยกันที่นั้น ยุนอาขึ้นรถที่ทางบ้านส่งมารับแล้วแล่นออกไป เมื่อรถคันนั้นหายลับไปจากสายตาแล้ว
ซอฮยอนจึงหันหลังกลับเข้าไปภายในประตูโรงเรียนอีกครั้ง
มุ่งหน้าไปยังรั่วด้านหลังของโรงเรียนที่ติดกับภูเขาขนาดย่อมที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่มืดครึ้ม
กุญแจดอกเล็กถูกล้วงออกมาไขประตูที่เปิดออกสู่ป่านั้น ทางเดินแคบปรากฏอยู่เบื้องหน้า
เรียวขาสวยก้าวไปตามทางนั้น ก่อนจะหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ของคฤหาสน์เก่าแก่ที่ซ่อนอยู่กลางป่า
มันเปิดออก พร้อมกับหญิงสาวสองคนที่เดินออกมาต้อนรับ
“กลับมาแล้วเหรอคะ นายท่าน” สองสาวเอ่ยทักทาย
“กลับมาแล้วจ๊ะ” ซอฮยอนส่งยิ้มหวานกลับไป ก่อนจะส่งกระเป๋านักเรียนให้กับหนึ่งในสองที่ตัวสูงกว่าอีกคน
“เก็บนี่ให้ทีนะจียอน” แล้วหันไปกล่าวกับคนตัวเล็กกว่า
“ โบรัมช่วยไปหยิบกล่องยาให้ฉันหน่อยสิ”
ในขณะที่โบรัมออกวิ่งไปหยิบกล่องยามาให้เจ้านาย จียอนก็สังเกตเห็นบางอย่างที่เคยอยู่บนหน้าสวยนั้นหายไปจึงถามออกมา
“แว่นตา ไปไหนซะแล้วล่ะคะ”
“พังไปแล้วล่ะ เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยนะดีที่คอนแทคเลนส์ไม่หลุดออกมา แต่มือเป็นแผลนิดหน่อย”
เธอยกมือซ้ายที่มีเลือดซึมขึ้นมาดู เมื่อครู่ยุนอาคงจะไม่ได้สังเกตเห็นมันเพราะมัวแต่จ้องหน้าที่ไม่มีแว่นตาบดบังของเธออยู่
ก่อนจะรับยามาจากโบรัม แล้วจัดการกับแผลนั้นด้วยตัวเอง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น