ความแตกต่างระหว่างคำพยากรณ์อนาคตของพระเยซูคริสต์กับปัจจุบัน - ความแตกต่างระหว่างคำพยากรณ์อนาคตของพระเยซูคริสต์กับปัจจุบัน นิยาย ความแตกต่างระหว่างคำพยากรณ์อนาคตของพระเยซูคริสต์กับปัจจุบัน : Dek-D.com - Writer

    ความแตกต่างระหว่างคำพยากรณ์อนาคตของพระเยซูคริสต์กับปัจจุบัน

    คิดว่าทุกคนน่าจะเคยผ่านตากับบทสุดท้ายในหนังสือพระ-คริสตธรรมคัมภีร์:ภาคพันธสัญญาใหม่(หรือว่า The New Testament) บท"พระวิวรณ์" ซึ่งเป็นบทที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคำทำนายอนาคตในเรื่อง"วันสิ้นโลก"(DOOMSDAY)

    ผู้เข้าชมรวม

    1,068

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    1.06K

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    2
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  19 ก.พ. 51 / 12:29 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    จากความเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก ที่ได้ยังผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิจนเป็นสาเหตุให้จำนวนของการเกิดอุทกภัยธรรมชาติธรรมในโลกเพิ่มปริมาณความถี่ขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วงกว่าสิบปีหลังมานี่.......... สร้างความกังวลเป็นอย่างมากแก่นักวิทยาศาสตร์และบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้อง ความคิด (Idea) เกี่ยวกับกาลอวสานของมนุษย์ชาติ(The End of Mankind)ได้กลับมาเป็นหัวข้อที่กำลังได้รับการกล่าวขวัญถึงและกลายมาเป็นเรื่องใกล้ตัวอีกครั้งหนึ่ง  

    ความเชื่อเกี่ยวกับคำทำนายถึงวันอวสานของโลก (Doomsday) เป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ สาเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  จนปัญญา! พวกเราเองก็ไม่สามารถรู้ได้แน่ชัด ที่เราสามารถรู้ได้และทำได้ก็แค่การวิเคราะห์ทัศนะคติของคนในสมัยโบราณ มาจากหลักฐานที่หลงเหลือตกทอดมาถึงยุคของพวกเราเพียงเท่านั้นเอง และหนึ่งในหลักฐานที่หลงเหลือที่มีการกล่าวถึงเรื่อง  วันเวลาแห่งกาลอวสานของโลก เช่นกันอยู่ในหนังสือพระคัมภีร์เล่มนี้ หนังสือพระคัมภีร์ที่ต่อมาได้กลายเป็นหนังสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เพราะเป็นหนังสือที่มีการตีพิมพ์มากครั้งที่สุด บ่อยที่สุด และมีการแปลออกตีพิมพ์มากภาษาที่สุด หนังสือเล่มนั้นก็คือ หนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์:ภาคพันธสัญญาใหม่

    หนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์:ภาคพันธสัญญาใหม่ ประกอบด้วยกันทั้งหมด27บท ในบทสุดท้ายที่ชื่อ พระวิวรณ์(The Revelation) กล่าวกันว่าเป็นบันทึกที่ได้มาจากการจดบันทึกนิมิตภาพแห่งอนาคตของมวลมนุษย์ชาติที่อัครสาวกจอห์นได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้เป็นผู้จดบันทึกนิมิตเหล่านี้ "เอาไว้เพื่อชี้แจงให้เหล่าผู้รับใช้ทั้งหลายของพระองค์รู้ตัวว่าอะไรจะต้องอุบัติขึ้นในไม่ช้า และที่พระองค์ได้ใช้ทูตสวรรค์ไปสำแดงแก่จอห์นผู้รับใช้ของพระองค์ จอห์นผู้เป็นพยานฝ่ายพระวจนะของพระเจ้าและเป็นพยานของพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นพยานในเหตุการณ์ทั้งสิ้นซึ่งท่านได้พบเห็น ขอความสุขจงมีด้วยแก่บรรดาผู้อ่านและผู้ฟังคำพยากรณ์เหล่านี้ จงถือรักษาข้อความที่เขียนไว้ในคำพยากรณ์เหล่านี้เพราะเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว"

     

    เนื้อหาภายใน พระวิวรณ์ นั้น โดยปกติทั่วไปจะถือเป็นพระคริสตธรรมบทที่เข้าใจยากที่สุด เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นบันทึกจากนิมิตที่เห็น การใช้คำที่เป็นสัญลักษณ์มากมายความที่เป็นปริศนาต้องดีความ และเรื่องราวลึกลับซับซ้อน และเรื่องราวในพระคัมภีร์บทนี้ที่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกัน ทำให้แต่ในละยุคสมัยความคิดในการตีความพระคริสตธรรมบทนี้ของแต่ละยุคสมัยก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน

    แต่ประเด็นที่ผู้อเขียนบทความต้องการตีแผ่ไม่ได้อยู่ตรงสิ่งที่เป็นคำทำนายใน หนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์:ภาคพันธสัญญาใหม่ จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในอนาคตหรือไม่ หรือเน้นไปศึกษาการตีความสัญลักษณ์ภายในภาพนิมิตของจอห์นนั้นๆ แต่ทว่าจุดประสงค์ของผู้จัดทำรายงานนั่นคือต้องการศึกษาที่มาของแนวคิดในเรื่องการทำนายอนาคตเกี่ยวกับเรื่องวันสิ้นโลกในพระคริสตธรรมคัมภีร์:ภาคพันธสัญญาใหม่ บทพระวิวรณ์ และในกระบวนพัฒนาการทางความคิดที่มาจากบทดังกล่าวในพระคริสตธรรมคัมภีร์เล่มนี้ จนมันกลายมาเป็นความคิดความเชื่อที่ในเรื่องวันสิ้นโลกของคนบางพวกบางกลุ่มในปัจจุบัน

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ



      ก่อนอื่นเลยเพื่อที่จะเข้าใจถึงที่มาเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องวันสิ้นโลกในหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์
      :ภาคพันธสัญญาใหม่ เรามีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจในความคิดและความเชื่อของตัวเจ้าของพระคัมภีร์ (หรือเราอาจเรียกได้ว่าตัวบุคคลที่พระคัมภีร์กล่าวถึง เพราะคัมภีร์เล่มนี้ไม่ได้มาจากการเขียนบันทึกของตัวท่านเอง แต่มาจากการรวบรวมงานเขียนบันทึกของผู้ที่เลื่อมใสในตัวท่าน อาจเรียกได้ว่าเป็นลูกศิษย์) ซึ่งก็คือ พระเยซูคริสต์ 

      เรารู้จักพระเยซูคริสต์จากที่ไหน?คำตอบก็วกกลับมาคือใน พระคริสตธรรมคัมภีร์ :ภาคพันธสัญญาใหม่ นั่นเอง จากการศึกษาอ้างจากหนังสือชื่อ ความจริงและนิยายในรหัสลับดาวินชี่ แบ่งกฎเกณฑ์การชำระพระคริสตธรรมคัมภีร์ :ภาคพันธสัญญาใหม่ ที่นักวิชาการทั่วไปและนักประวัติศาสตร์ใช้เป็นหลักในการปะติดปะต่อเรื่องเกี่ยวกับชีวิตพระเยซูในประวัติศาสตร์ ไว้ดังนี้

      -ยิ่งเก่าก็ยิ่งดี- เนื่องจากเรื่องเล่าต่างๆเกี่ยวกับพระเยซู ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของพระองค์กับบุคคลอื่นๆ ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขตามคำบอกเล่าครั้งแล้วครั้งเล่าไปตามกาลเวลา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อและทัศนคติของคนที่เล่าเรื่องเหล่านั้นด้วย ดังนั้นโดยปกติแล้ว หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดย่อมมีเวลาไม่มากที่เรื่องเล่าจะถูกเปลี่ยนแปลงได้มาก เป็นเหตุผลที่นักประวัติศาสตร์ชอบใช้หนังสือพระประวัติฉบับของมาระโกมากกว่าหนังสือพระประวัติฉบับของจอห์นในการศึกษาเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับพระเยซู เพราะหนังสือพระประวัติฉบับของจอห์นนั้นเขียนขึ้นเป็นสิบๆปีหลังจากพระประวัติฉบับมาระโก   

      -การสะสมพยานหลักฐาน- เมื่อนักประวัติศาสตร์พบหลักฐานเก่าแก่ที่เป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อกัน แต่ให้ข้อมูลอย่างเดียวกันเกี่ยวกับพระเยซู ย่อมยืนยันได้ว่าหลักฐานทั้งสองชิ้นนี้ไม่ได้เป็นเรื่องแต่งขึ้นเอง แต่ในกรณีเช่นนี้ข้อเขียนดังกล่าวคงลอกมาจากหลักฐานข้อมูลที่เก่ากว่า และอาจเป็นไปได้ว่ามาจากเรื่องจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชีวิตพระเยซู

      -เอกสารที่เขียนผิดจารีต- เอกสารหลักฐานที่ดูจะขัดกับสิ่งที่ชาวคริสต์อยากจะพูดถึงเกี่ยวกับพระเยซู ถือเป็นหลักฐานที่มีค่า เพราะว่าไม่ใช่เรื่องที่คนแต่งขึ้นเพื่อยกยอเชิดชูพระเยซู ถ้าได้มีการนำหลักฐานเหล่านั้นมาใช้อย่างพินิจ บางเรื่องก็จะแสดงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตพระเยซู

      -***บริบท(เกือบ)เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง- สำคัญที่สุดนักประวัติศาสตร์ทุกคนเห็นจริงจังกับข้อยุติในปัจจุบันที่ว่า พระเยซูเป็นคนยิว มีชีวิตอยู่ในช่วงคริสศตวรรษที่1ในปาเลสไตน์ ถ้ามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระเยซูว่าได้ตรัสหรือทำอะไรที่ไม่เข้ากับบริบทดังกล่าวนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่ว่าเรื่องราวเหล่านั้น มีความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ 

      ข้อสุดท้ายที่กล่าวว่า บริบท(เกือบ)เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง นั้นมีความสัมพันธ์กับ พระเยซูในฐานะผู้เผยแพร่พระวจนะของวันอวสานโลกมันทำให้เป็นที่เข้าใจโดยตรงกันว่า จากหลักฐานที่เก่าที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุดของเรา เข้าใจจริงๆว่า พระเยซูเป็นผู้เผยแพร่พระวจนะที่เป็นมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นหลักฐานเหล่านี้ยังชี้ว่า พระเยซูเป็นผู้เผยแพร่พระวจนะที่กล่าวคำพยากรณ์อันแม่นยำชุดหนึ่ง พระเยซูเป็นชาวยิวที่เชื่อในเรื่องวันอวสานโลกเช่นเดียวกันกับชาวยิวก่อนหน้าพระองค์ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงคริสศตวรรษที่ 1 ในปาเลสไตน์ พระองค์เข้าใจว่าพระเจ้าจะเสด็จลงมามีบทบาทในประวัติศาสตร์มนุษย์และทำลายความชั่วในโลก เพื่อสร้างอาณาจักรใหม่บนโลก อาณาจักรที่จะไม่มีความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน ความคิดที่ว่าพระเยซูเป็นผู้ที่เชื่อเรื่องวันอวสานโลกเป็นผลมาจากการตรวจสอบหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่หลงเหลือมาอย่างระมัดระวัง  

      มีหลักฐานสมัยแรกเรื่องประวัติพระเยซูที่ได้รับการตรวจสอบโดยอาศัยกฎเกณฑ์ที่อ้างข้างต้น เช่น หนังสือพระประวัติฉบับของมาระโก พระประวัติฉบับของมัทธิว หรือพระประวัติฉบับของลูกา ซึ่งได้เขียนขึ้นอย่างเป็นอิสระต่อกัน แต่อ้างเหมือนๆกันว่า พระเยซูจะทรงทำนายว่าพระเจ้าจะส่งผู้ทำการพิพากษามาจากสวรรค์ ที่มีฉายานามที่เป็นปริศนาว่า บุตรมนุษย์ ผู้จะสร้างความหายนะแก่ความชั่ว ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ต่อจ้านขัดขวางพระเจ้า และนำโลกแห่งความดีงามมาให้แก่ผู้คนที่อยู่ข้างพระเจ้าในโลกชั่วร้ายใบนี้ ตัวอย่างเช่น

       

      ภายหลังเมื่อคราวลำบากนั้นพ้นไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์ไม่ส่องแสง ดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้าและบรรดาสิ่งซึ่งมีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือน เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์มาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพและพระสิริเป็นอันมาก เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้เหล่าฑูตสวรรค์ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์เลือกสรรไว้แล้วทั้งสี่ทิศนั้น ที่ตั้งแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกถึงที่สุดขอบฟ้า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าคนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนสิ่งทั้งปวงนั้นบังเกิดขึ้น (มาระโก 13:24-27,30)

       

      เหตุการณ์ฉะนั้นพวกเขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร เมื่อเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นเช่นนั้น บุตรมนุษย์จะได้ใช้ทูตของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิดและบรรดาผู้ที่กระทำความชั่ว ไปจากแผ่นดินของท่าน และจะทิ้งลงไปในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินของพระบิดาของเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูจงฟังเถิด (มัทธิว 13:40-43)

       

      มีคำกล่าวมากมายไปหมดทำนองนี้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ : ภาคพันธสัญญาใหม่ ที่เป็นข้อความเกี่ยวกับวันสิ้นโลกที่เป็นพระดำรัสของพระเยซู ซึ่งได้มาจากหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุด หลักฐานเหล่านี้ถือเป็นหลักฐานที่เป็นอิสระต่อกัน มีความน่าเชื่อถือได้ทั้งหมดในบริบทของตัวหลักฐาน ยิ่งกว่านั้นพระดำรัสบางอย่างของพระเยซูเกี่ยวกับวันสิ้นโลก ยังเป็นคำพูดที่ผิดจารีตซึ่งชาวคริสต์ในสมัยแรกอาจจะอยากพูด แล้วถ้าเช่นนั้นทำไมชาวคริสต์จึงเก็บรักษาพระดำรัสของพระเยซูเหล่านี้? จึงเป็นที่แน่ชัดว่านี่เป็นพระดำรัสของพระเยซูเอง ที่ชาวคริสต์ได้เก็บรักษาพระดำรัสเหล่านี้ไว้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่ได้เปลี่ยนไปตามความคิดเห็นของพวกเขาเอง

      แต่เมื่อพระเยซูตรัสถึงเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าที่จะเกิดขึ้น พระองค์ไม่ได้พูดถึงอาณาจักรทางจิตวิญญาณ(หรือพูดถึงการขึ้นสวรรค์เมื่อคนสิ้นชีวิต) แต่พูดถึง การปรากฏขึ้นเป็นตัวตนแท้จริงของพระเจ้าบนโลก คำเอ่ยอ้างอาณาจักรของพระเจ้าที่เป็นตัวตนจริงนั้นปรากฏทั่วไปหมดในบันทึกเก่าที่สุดของพระเยซู เช่นเดียวกับผู้เชื่อเรื่องวันสิ้นโลกในสมัยก่อนและหลังของพระองค์ พระเยซูคิดว่าพระเจ้าจะขยายอาณาเขตครอบครองพระองค์จากสวรรค์มายังโลก เพื่อจะได้มีอาณาจักรที่เป็นตัวตนจริง ณ ที่นี้ โลกที่เป็นสวรรค์ที่พระเจ้าปกครองผู้คนที่จงรักภักดีต่อพระองค์

      แต่ก่อนที่อาณาจักรของพระเจ้าจะเกิดขึ้น ย่อมประกอบด้วยการพิพากษาครั้งใหญ่ในโลกเสียก่อน และนั่นก็คือ วิวรณ์: คำพยากรณ์ล้างโลก

       

      ข้าพเจ้าได้เห็นพระที่นั่งใหญ่สีขาว และเห็นท่านผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นเมื่อพระองค์ทรงปรากฏแผ่นดินโลกและท้องฟ้าหายไป และไม่มีที่อยู่สำหรับแผ่นดินโลกและท้องฟ้าเลย ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายไปแล้วทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น และหนังสือต่างๆก็เปิดออก หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็เปิดออกด้วย คือหนังสือชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมดก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น และตามที่เขาได้กระทำ (วิวรณ์20:11-12)

       

      แต่ว่าผู้คนที่ถูกเลือกเหล่านี้เป็นใครกัน ทำไมจึงถูกคัดเลือกให้หลุดจากการการประหัตประหารและได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า? ...เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา คนที่ต่ำต้อย ที่ถูกเหยียดหยาม ที่ถูกกดขี่ จะได้เป็นคนที่ได้รับสืบทอดอาณาจักรที่จะมาถึง เพราะว่าพระเจ้าจะอยู่เคียงข้างผู้ที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อพระองค์จากพวกตัวมารที่เข้าครอบครองโลกซึ่งก็คือบุคคลที่มีฐานะสูงส่งและมีอำนาจ... 

      นี่เองเป็นสาเหตุที่พระเยซูเข้าข้างพวกผู้คนต่ำต้อยเมื่อพระองค์ทำการเผยแพร่ศาสนา เพราะว่าพวกเขาเป็นพวกที่จะได้สืบทอดอาณาจักรของพระเจ้าที่จะมาถึง ในอาณาจักรที่ว่านี้จะเกิดขึ้นเพื่อคนจนและคนต่ำต้อย ไม่ใช่สำหรับคนมั่งคั่งและมีอำนาจ  

      สรุปคือพระเยซูทรงสอนว่าวันพิพากษาจะมาถึงพร้อมกับการปรากฏตัวของบุตรมนุษย์ผู้จะนำการกลับตาลปัตรครั้งใหญ่มา คนมั่งมีจะถูกลงโทษ คนที่ทุกข์ทรมานจะได้รับพร ในคำกล่าวเกี่ยวกับวันสิ้นโลกนี้มีคำเตือนเรื่องการทำลายล้างที่หลีกหนีไม่ได้ สำหรับคนที่ไม่เชื่อถือคำสอนของพระเยซูและไม่ยอมหันไปหาพระเจ้า  

      นั่นคือความเข้าใจเกี่ยวกับอนาคตของคนในอดีต แต่ว่าอนาคตศาสตร์ในปัจจุบันหาเป็นเช่นนั้นไม่? แตกต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิงตรงที่ว่า... วันสิ้นโลกอาจจะเป็นสิ่งที่เราสามารถหลีกเลี่ยงก็เป็นได้ ทั้งนี้เพราะอนาคตนั้นสามารถเป็นไปได้หลายรูปแบบ หลายอย่าง หลายลักษณะ เป็นอนาคตทั้งที่เราพึ่งประสงค์ และเป็นอนาคตที่เราไม่พึงประสงค์   แต่ที่สุดแล้วเส้นทางสายอนาคตที่แท้จริงจะมีอยู่เพียงเส้นทางเดียว เพราะอนาคตที่แท้จริง ก็จะมีเพียงอนาคตเดียว คือ เส้นทางแห่งอนาคตที่เราเลือกเดินไปตามทางเส้นนั้นในปัจจุบัน

       

      ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ที่กำลังเป็นที่ประชาสัมพันธ์กันไปทั่วทั้งโลกเกี่ยวกับภาวะคลื่นความร้อนที่กำลังพรากชีวิตผู้คนในแถบทวีปอเมริกาเหนือ และในทวีปยุโรปอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงประวัติศาสตร์ กระแสการเดินของน้ำอุ่นและน้ำเย็นในมหาสมุทรที่กำลังแปรเปลี่ยน พายุเฮอริเคนที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้นและแต่ละครั้งก็ทวีความรุนแรงขึ้นทุกที ภาวะที่แหล่งน้ำแห้งหดหายไปเสียเฉยๆแล้วก็ไม่กลับมามีน้ำไหลผ่านต่อไปอีก การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรในโลกชนิดก้าวกระโดด ที่สำคัญที่สุดภาวะน้ำแข็งที่ขั้วโลกกำลังละลายเนื่องจากโลกกำลังร้อนขึ้นทุกวันๆ อันเป็นผลมาจากสาเหตุปรากฏการเรือนกระจก ซึ่งคือการที่มนุษย์โลกปล่อยก๊าซคาร์บ่อนไดออกไซด์จำนวนมากขึ้นๆในทุกๆปี เพราะมีความจำเป็นต้องเร่งจำนวนการผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมวัสดุต่างๆ เพื่อเดินสู่ความก้าวหน้าในกระบวนการแข่งขันในโลกของทุนนิยมที่เปิดเสรีในการแข่งขันกันของประเทศต่างๆ หลังจากเกิดการพยายามแข่งขันกัน ผลิต อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก ทรัพยากรตามที่ต่างๆในโลกถูกดูดมาใช้เพื่อการผลิต น้ำมันกลายเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในโลกเพราะสามารถทำให้กระบวนการผลิตมีพลังงานในการเดินหน้าต่อไปได้ แต่สิ่งที่หลงเหลือจากการแข่งขันกัน ผลิต ของนานาประเทศอุตสาหกรรมนั้นคือ สิ่งมีพิษ ที่ไม่สามารถใช้กระบวนการย่อยสลายตามธรรมชาติที่กินเวลานานปรับตัวได้ทัน เป็นผลให้โลกปัจจุบันกำลังเสียการทรงตัว เสียสมดุลถึงขนาดที่มีการคาดการกันว่าในอีกเวลาเพียงสิบห้าปีโลกจะร้อนขึ้นๆจนน้ำแข็งที่บริเวณขั้ว-โลกเหนือ และ ขั้วโลกใต้ละลาย เป็นสาเหตุให้น้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกมีปริมาณมากขึ้นจนล้นเข้าท่วมผืนแผ่นดินที่อยู่ในบริเวณที่เป็นที่ราบต่ำกว่า ๓,๐๐๐ ฟุต (ซึ่งรวมถึงดินแดนในแถบภาคใต้และภาคกลางของประเทศไทยรวมทั้งกรุงเทพมหานครด้วย) เหล่าเหตุการณ์ที่มีชื่อเรียกรวมกันทั้งหมดว่า ปัญหาภาวะโลกร้อน (Global Warning) นี่ต่างหากคือแนวคิดเรื่องวันสิ้นโลกของยุคปัจจุบัน

       

      โดยที่หลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการพยากรณ์อนาคตในปัจจุบัน (-แนวคิดที่การพยากรณ์อนาคตในสมัยอดีตไม่มี-) ก็คือ การพยากรณ์อนาคตอย่างวิทยาศาสตร์ (Foresight) การพยากรณ์อนาคตอย่างวิทยาศาสตร์ คือ ความพยายามอย่างเป็นระบบที่จะคาดการณ์วิทยาศาสตร์,เทคโนโลยี เศรษฐกิจ,สิ่งแวดล้อม และสังคม ในระยะยาว เพื่อบ่งชี้เทคโนโลยีพื้นฐานใหม่ๆ และขอบเขตของการวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ที่จะเอื้อประโยชน์สูงสุดแก่เศรษฐกิจสิ่งแวดล้อมและสังคม การพยากรณ์อนาคตในปัจจุบันจึงเป็นการมองอนาคต (Foresight) วิธีการคิดแตกต่างจากการพยากรณ์อนาคตในอดีตเพราะการพยากรณ์อนาคตในปัจจุบันไม่ใช่การทำนาย (Forecast) อันนั้นเป็นวิธีการที่นักพยากรณ์ในอดีตกาลใช้ วิธีการทำนายซึ่งสันนิฐานอนาคตเพียงรูปแบบเดียว เช่นที่พระเยซูคริสต์สันนิฐานอนาคตว่า อีกไม่นานวันพิพากษา(กาลอวสานของโลก)จะมาถึงพร้อมกับการปรากฏตัวของบุตรมนุษย์(พระผู้เป็นเจ้า) ผู้จะนำการกลับตาลปัตรครั้งใหญ่มา คนมั่งมีจะถูกลงโทษ(คนที่ทำความเลวจะต้องตายไปแล้วตกนรก) คนที่ทุกข์ทรมานจะได้รับพร(ส่วนคนที่ทำความดีตายไปแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์) จากข้อสันนิฐานเช่นนี้ของพระเยซูสามารถสรุปได้ว่า อนาคต ที่พระเยซูคิดเอาไว้มีเพียงแบบเดียวเท่านั้น

       

      แต่การมองอนาคตสนใจที่จะร่างอนาคตที่อาจเป็นไปได้ในหลายรูปแบบจากหลายชุดสมมติฐานเกี่ยวกับทิศทาง แนวโน้ม และโอกาสใหม่ๆ ที่น่าจะเกิดขึ้น ในที่สุดแล้วอนาคตแบบใดที่จะเกิดขึ้นจริงขึ้นอยู่กับการเลือกในปัจจุบัน การมองอนาคตจึงนับเป็นการให้โอกาสในการออกแบบอนาคตผ่านการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด    

       

      และวิธีการพยากรณ์อนาคตอย่างวิทยาศาสตร์ก็ไม่ใช่การสื่อสารด้วยจิต แต่เป็นวิธีการที่นำเอาหลักวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์สถิติ ที่เรียกว่า การพยากรณ์อนาคตโดยวิธีการต่อแนวโน้ม (Trend Extrapolation) การพยากรณ์อนาคตด้วยวิธีการต่อแนวโน้มนี้ นักอนาคตศาสตร์จะมองดูสภาพความเปลี่ยนแปลงในอดีตที่ผ่านมาของสิ่งหรือประเด็นที่น่าสนใจ แล้วต่อมามองหาแบบแผนการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมา เพื่ออาศัยแบบแผนการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมาพยากรณ์แนวโน้มที่จะเกิดต่อไปในอนาคต โดยที่แบบแผนการเปลี่ยนแปลงที่จะใช้ในการพยากรณ์แนวโน้มที่ได้อาจจะเป็นแบบแผนเปลี่ยนแปลงแบบตรง เช่น กราฟเส้นตรง หรือแบบแผนการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ตรง เช่น กราฟที่เขียนออกมาได้ในลักษณะที่เป็นเส้นโค้งของพาราโบล่า หรือเป็นแบบเป็นรูปวงกลมเหมือนเป็นวัฏจักร ซึ่งการพยากรณ์อนาคตด้วยวิธีการต่อแนวโน้มนี้จะได้ผลดีสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่มีแบบแผนแน่นอน สามารถเขียนออกมาเป็นสมการคณิตศาสตร์ เขียนเป็นกราฟ หรือเป็นแผนภูมิได้  

       

      วิธีการนี้คือ วิธีการพยากรณ์อนาคต ที่ในภาพยนตร์ประเภทสารคดีที่มีนัยยะสำคัญที่กระตุ้นให้ผู้คนในสังคมโลกได้ตระหนักถึงผลกระทบจากอุณหภูมิของโลกที่ร้อนขึ้นเรื่อง แอน อินคอนวิเนี่ยนท์ ทรู(An Inconvenient Truth: a global warning, 2006) ใช้เพื่อสร้างที่มาของชุดคำพยากรณ์วันสิ้นโลกยุคปัจจุบัน โดยมีผู้ดำเนินเรื่องชื่อนายอัลเบิร์ต กอร์ อดีตรองผู้นำสหรัฐอเมริกา  กอร์นำเสนอแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของมลภาวะและสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบโลกรวมทั้งมนุษย์และสัตว์ชาติพันธุ์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนแนวคิด(คำพยากรณ์)ของเขาว่าโลกกำลังร้อนขึ้น และมันกำลังส่งผลกระทบอย่างไรต่อเราในปัจจุบัน จากผลกระทบที่สังเกตได้เหล่านี้อะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต(ซึ่งก็คือโลกกำลังจะถึงกาลอวสานในอนาคตเมื่อน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกละลายจนหมด ทำให้น้ำเอ่อล้นมหาสมุทรกลืนกินส่วนที่เป็นพื้นแผ่นดินทั้งหมดและเมื่อถึงวันนั้นก็อาจจะไม่สามารถมีสิ่งมีชีวิตที่มีชื่อว่า มนุษย์ หลงเหลืออยู่ในโลกอีกเลย) เพราะฉะนั้นอัล กอร์ก็นับเป็นตัวอย่าง(ที่ดีที่สุด)ที่เป็นนักอนาคตศาสตร์ตามความหมายปัจจุบัน เพราะสิ่งที่เขานำเสนอต่อมาก็คือทางเลือกที่มีหลากหลายรูปแบบ นั่นเพราะว่าอนาคตของเรานั้นสามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ พวกเราสามารถเลือกทางให้โลกที่จะเป็นได้ เลือกอนาคตที่พึงประสงค์ ดังที่เขากล่าวแนะนำไว้ในตอนท้ายของภาพยนตร์สารคดีชิ้นเยี่ยมเรื่องนี้

      ....................................................................................................

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×