ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 Our Prelude
แต่ทุกอย่างกลับผิดคาด ...
สายลมหวีดหวิวที่กระทบใบหน้าทำให้ฉันรู้สดชื่นอย่างน่าประหลาด ทัศนียภาพข้างล่างของดินแดนแห่งกาลเวลาช่างสวยงามหาที่เปรียบไม่ได้ อนาคินแบกฉันขึ้นบ่าแล้วพาฉันเหาะข้ามท้องฟ้าราตรีกาล
“นายเหาะได้ด้วยหรอ...” ฉันกระซิบถามเขาที่ข้างหู ถ้ามองไม่ผิดหมอนั่นกำลังยิ้มแบบเด็กๆใสซื่อไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเหมือนทุกครั้ง เขาหัวเราะ แต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามฉัน
ไม่สนใจกันเลยใช่ไหม!
“ถึงแล้วล่ะ...ที่ที่เราเจอกัน”
เขากระโดดลงมาอย่างนุ่มนวล ทันทีเมื่อเท้าสัมผัสพื้นหญ้า พอฉันมองไปรอบๆฉันก็รู้โดยทันทีว่า ที่นี่มันคือ ฟาร์มวัวกระทิง!
“ฟาร์มกระทิง! เฮ้ย! จะฆ่ากันหรอ!” ฉันเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาตงิดๆ
“ยัยโรคจิต ... สมองเธอคงคิดได้แค่นี้สิเนี่ย หน้าตาก็บ่งบอกถึงความโง่แล้ว” เขาดีดหน้าผากฉันเบาๆ แล้วจูงมือฉันเดินไปในกระท่อมที่คุ้นตา
เปียโนแกรนด์ที่แกะสลักจากไม้ หลังใหญ่ ตั้งอยู่กลางห้องโถง ที่นี่มีไวโอลินมากมายที่อยู่ในตู้กระจกรอบๆ นี่เฮียแกจะเปิดนิทรรศการไวโอลินหรือไงเนี่ย
“นาย...สีไวโอลินด้วยหรอ” ฉันมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
“ฉันสีเป็นแล้วมันผิดหรอ...” เขามองฉันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ฉันนั่งลงที่เก้าอี้เปียโน ในขณะที่หมอนั่นกำลังถูๆขัดๆของสะสมของตัวเองอย่างสนุกสนาน
“ฉันสงสัยมานานแล้ว... ทั้งๆที่ที่นี่เป็นดินแดนที่ไม่มีในโลกมนุษย์ แต่ทำไมฉันรู้สึกอย่างกับอยู่ยุโรป -*- ทั้งเครื่องดนตรี ทั้งพิธีแต่งงาน ทั้งตึกรามบ้านช่อง ?”
อนาคินหัวเราะ หึหึ แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ก็เพราะที่นี่เป็นดินแดนแห่งกาลเวลาไง...”
“ช่วยตอบให้มันแจ่มแจ้งแดงแจ๋หน่อยได้ไหมยะ ใครกันแน่ที่ไม่มีสมอง...ชิ”
“รู้แล้วน่ารู้แล้ว ผู้หญิงนี่เรื่องมากจริง” เขาลากเก้าอี้ไม้มานั่งข้างๆฉัน
“เพราะว่าคนที่นี่ เชื่อมต่อกับโลกอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของโลกได้ อันที่จริงมันก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน เราก็เลยได้อารยธรรมบนโลกมารวมไว้ที่ดินแดนนี้ เราจะไปที่ไหนก็ได้จะพูดภาษาอะไรก็ได้ ที่นี่มีทวารกาลเวลาอยู่สามแห่ง คือ ถ้ำมรณะ กับ ทะเลสาบแสงจันทร์ แล้วก็ เพลงเปียโนของฉัน ...”
เขาพูดไปพลางเช็ดไวโอลินอย่างทะนุถนอม สีหน้าดูมีความสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ไอ้เพลงประหลาดที่เล่นแล้วอยากสำรอกนั่นอ่ะนะ เพลงที่นายแต่ง? -_-“ ฉันทำหน้าเหมือนอยากอ้วก เพราะเพลงมันเศร้าจนไม่รู้ว่าฉันทนเล่นมาได้ยังไง
“บังอาจดูถูกเพลงของฉันหรอ ยัยปอบ!” เขาเบนสายตาโหดมาทางฉัน
“ก็มันเรื่องจริง...เอาซะยากจนเวอร์ นายคงเป็นเหลนของโชแปงสิเนี่ย”
“เปล่า...เฟรดริกเป็นเพื่อนฉันต่างหาก ฉันช่วยเขาจีบซองด์ด้วยนะ^^ ” อนาคินยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“เป็นคนที่นี่นี่ดีจังนะ จะไปที่ไหนยุคไหนก็ได้ นายเคยไปไหนมาบ้างหรอ” ฉันถามอย่างตื่นเต้น อันที่จริงความใฝ่ฝันของฉันก็คือการเดินทางแสดงเปียโนทั่วโลก แต่พอมาเจอไอ้หมอนี่ ฉันเริ่มรู้สึกอิจฉาเขาเข้าเต็มประตู
“ก็ เวียนนา วอร์ซอ ปารีส ญี่ปุ่น จีน ... จะให้พูดก็คงไม่หมดหรอก ทำไมล่ะ?...อิจฉาฉันล่ะสิ” เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ใครอิจฉานายกัน! กะอีแค่เวียนนา ฉันก็เคยไปย่ะ เชอะ”
“แต่เธอคงไม่เคยเจอ พระนางอังตัวร์เน็ต แน่ๆ จะบอกให้ว่าขาวสวยกว่าเธอหลายขุม”
จวบจนเฮือกสุดท้าย นายก็ยังไม่เลิกเหยียดสีผิว เออ แกขาวเลยพูดได้นี่หว่า !
ฉันเมินหน้าไปทางอื่น ทอดสายตาผ่านหน้าต่าง ดวงดาวเต็มท้องฟ้า พระจันทร์เหลืองนวลเต็มดวงและลมเย็นๆพัดโชย อากาศที่นี่ดีจริงๆ
“เธอก็อยู่ที่นี่ซะสิ...ฉันจะพาเธอไปทุกที่เลย” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ย...เกิดมาพูดหวานอะไรตอนนี้ ?
ฉันหันหน้าไปทางเขา เขาก็รีบหันหน้าหนี คงจะอายล่ะสิ ที่มาชวนฉัน
“จะดีกว่านี้ถ้านายจะพาฉันกลับบ้าน...”
อนาคินหันหน้ามามองฉันด้วยสายตาเย็นชา สีหน้าที่เคยอ่อนโยนหายไปในพริบตา
“กลับไม่ได้...” อนาคินถอนใจอย่างเบื่อหน่าย
“ทำไมล่ะ
ที่นี่ไม่ใช่บ้านฉัน บ้านของฉันอยู่ที่ประเทศไทย ฉันยังมีเพื่อนๆ มีอนาคต มีความฝันที่ฉันอยากจะทำ!”
“แล้วเธอคิดว่าฉันไม่มีหรือไงล่ะ ไอ้ความฝันเฮ็งซวยนั่นน่ะ!” เขาตะคอกเสียงดังด้วยโทสะ คิ้วเข้มขมวดมุ่นส่อแววถึงอารมณ์โมโหร้าย
“มีแล้วทำไมเธอไม่ทำซะล่ะ ทำไมต้องมาปิดกั้นความฝันของคนอื่นด้วย!” ฉันเถียงกลับอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่ น้ำตาเริ่มคลอเบ้า
“...”
ไม่มีคำๆใดเล็ดลอดจากเรียวปากของเขา เขานิ่งเงียบและมองที่ฉัน ในขณะที่ฉันกำลังร้องไห้โฮด้วยความเสียใจอย่างไม่ปกปิด
“ฉันรู้...เธอกับฉันไม่เหมือนกัน...” อนาคินดูเหมือนว่าจะใจเย็นลงบ้าง น้ำเสียงเกรี้ยวกราดแปลเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนในไม่ช้า
“ฮึก ...รู้แล้วทำไมไม่ส่งฉันกลับ กะอีแค่คำสาปของแม่นาย นายจะฉุดรั้งฉันไว้เพื่ออะไร ฮือ...” ฉันปาดน้ำตาตัวเอง สิ่งเดียวที่ฉันคิดถึงในตอนนี้คือที่ที่ฉันจากมา ไม่ใช่ดินแดนบ้าบอที่ไม่มีตัวตน
“เช็ดน้ำตาก่อน...”
“ไม่ต้องมายุ่ง!!”
เขาปาดน้ำตาให้ฉัน แต่ฉันกลับผลักไสความหวังดีนั้นด้วยการตะคอกอย่างเหลืออด
ความเงียบปกคลุมไปทั้งบริเวณ ไม่มีสรรพเสียงใดเลยนอกจากเสียงสะอื้นไห้ของฉัน ... อนาคินแตะที่ไหล่ของฉันเบาๆแล้วรวบตัวฉันมาอยู่ในอ้อมกอด
“ปล่อย!...ฮึก...” ฉันพยายามดิ้นแต่เขากลับกอดฉันแน่นขึ้น แล้วซบหน้าลงบนไหล่ของฉัน
“ฉันรู้... ฉันรู้ว่าเธอคิดถึงบ้าน...ถ้าหากเธออยากจะลอง...เล่นเพลงนั้นอีกรอบ ฉันจะส่งเธอกลับเอง แต่ตอนนี้ช่วยใจเย็นๆลงหน่อย...ได้ไหม...”
ฉันเริ่มใจเย็นลง เมื่อรู้ว่าร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์ อนาคินกอดฉันไว้ในอ้อมแขน นิ่งนาน...
ซักพักเขาจึงลุกขึ้นแล้วนั่งลงบนเก้าอี้เปียโนตัวเดียวกับฉัน พร้อมวางนิ้วลงบนคีย์ ก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงนั้นอีกรอบ
ท่วงทำนองที่ไต่ระดับจังหวะขึ้นทะยานสู่เมโลดี้ที่หลากหลาย แต่แฝงความเศร้าสร้อยและซ่อนเร้นอารมณ์บางอย่าง เขาช่างเหมาะสมกับการเป็นเจ้าของเพลงนี้จริงๆ ฉันได้แต่หลับตาและไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ...
เมื่อเพลงจบจวบจนตัวโน้ตสุดท้าย ฉันค่อยๆลืมตาขึ้น สิ่งที่ฉันอยากจะเห็นคือห้องซ้อมเปียโนที่ฉันคุ้นเคย และเพื่อนที่เป็นกระเทยสุดสนิทที่ฉันโคตรจะคิดถึง
แต่สิ่งที่ฉันเห็น กลับเป็น...สถานที่เดิม...
ทำไมกัน!?
“ฉันบอกเธอแล้ว...คนเดียวที่จะถอนคำสาปได้คือควีนลูเซียเท่านั้น...ดิ้นรนไปก็ไม่มีประโยชน์”
เขาถอนหายใจแล้วลุกจากเก้าอี้เปียโน ก่อนจะหยิบไวโอลินตัวโปรดขึ้นมาเทียบเสียงโดยไม่สนใจเรื่องของฉัน
“เดี๋ยวสิ! ลองอีกรอบไม่ได้หรอ!?” ฉันพยายามขอร้องแต่เขากลับไม่ฟังแถมยังสีไวโอลินเลียนแบบเสียงของฉันอีกต่างหาก
“อย่ามาล้อเลียนกันนะ!” ฉันตะคอก
เหมือนว่าฉันจะพูดเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเขา เขาสีไวโอลินเป็นคำพูดของฉันพลางพูดล้อเลียนไปตามนั้น
“ไอ้ประสาทเอ๊ย!” ฉันเริ่มฉุนแล้วมองอนาคินตาเขียว ก่อนจะงอนตุ้บป่องกระแทกก้นนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่พอใจ
“ฮ่าๆๆๆ ฮาดีไหมล่ะ...”
“ไม่ขำนะเว้ย...”
ฉันปล่อยให้เขาหัวเราะอยู่คนเดียว ในขณะที่ตัวเองยังหน้านิ่วคิ้วขมวด
“เออนี่...ฉันยังไม่เคยฟังเปียโนฝีมือเธอเลย...เล่นให้ฟังหน่อยสิ” คำขอของเขาทำให้ฉันเบิกตากว้าง จริงสินะ... ตั้งแต่ฉันมาที่นี่ฉันมัวแต่ทะเลาะกับหมอนี่ เลยไม่ได้เล่นเปียโนเลย
“อุ๊ยต๊าย...แหม...ถ้าอยากฟังล่ะก็...จ่ายมาก่อนสิ” ฉันยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางแบมือทำท่าขอตังค์ อนาคินยิ้มกระหยิ่มแล้วถอดแหวนเงินที่นิ้วนางข้างขวายื่นให้
“อะไรเนี่ย...ของแท้หรือเปล่า”
“ยัยบ้า! แหวนเนี่ยมันแหวนประจำตัวฉันเชียวนะ เป็นของสำคัญที่สุดของบุรุษลูซิเฟลทุกคน” เขาโฆษณาสรรพคุณของแหวนตัวเองเต็มที่
“บรึ๋ย~ อย่างนั้นนายเก็บไว้เถอะ ฉันไม่เอาหรอก” ฉันยื่นแหวนคืนให้เขา แต่เขากลับบอกปัดและยืนกรานว่าจะให้
“เอาไปเถอะ แหวนมันเหมาะกับสีผิวเธอดีออก” หมอนั่นยัดเยียด พลางใส่แหวนเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของฉัน
ตอนแรกฉันคิดว่ามันหลวมเกินไปเพราะไซส์นิ้วของเขาใหญ่กว่าของฉัน แต่แล้วมันก็กลับยึดเข้าที่นิ้วของฉันแน่นสนิทแถมยังถอดไม่ออก
“เฮ้ย!ทำไมถอดไม่ออกวะเนี่ย” ฉันพยายามดึงจนนิ้วแทบหลุดแต่ก็ปลดพันธนาการแหวนไม่ได้
“ใส่แล้วใส่เลย...รักฉันไปตลอดชีวิต...”
“หมายความว่าไง?”
ฉันทำหน้าสงสัย อย่าบอกนะว่า...!!
“ผู้ชายที่นี่จะมอบแหวนให้กับคนที่รักเพียงคนเดียวเท่านั้น ตะ...แต่ฉันไม่ได้พิศวาสอะไรเธอหรอกนะ แค่ตอนนี้ฉันไม่มีเงินหรอก เหอะ!”
“เออ...ให้มันแล้วไป จบแล้วนายก็ถอดของนายออกไปเลย”
“อืม...เอ่อ...นี่ ถ้าไม่รังเกียจ อิมโพไวส์เพลง(แต่งเพลงสด)กับฉันซักเพลงได้ไหม” เขาว่า พลางหยิบไวโอลินขึ้นมา เป็นเชิงจะบอกว่า จะให้ฉันเล่นเปียโนประสานให้
“ได้สิ ไอ้เรื่องนี้ฉันถนัดอยู่แล้ว” ฉันตื่นเต้นที่จะได้เล่นเปียโนจนตัวสั่น ฉันมองตาเขาเป็นคำถามว่า พร้อมรึยัง?
ฉันเริ่มพรมนิ้วลงด้วยทำนองที่สบายๆ แล้วเสียงไวโอลินเศร้าสร้อยแสบทรวงก็แทรกซึมทำลายอารมณ์สดใสของเพลงที่ฉันเกริ่นขึ้นอย่างแนบเนียน
เราเล่นประสานกันได้อย่างลงตัว ท่วงทำนองที่แตกต่างกันกลับผสมกลมกลืนส่อถึงอารมณ์ของผู้เล่นได้อย่างชัดเจน เพียงแค่ฟังเสียงไวโอลินสีหม่นของเขา ฉันก็รู้ได้ทันทีว่า เขาเป็นคนยังไง ... อนาคินคงเจ็บปวดมากที่ต้องแบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเจ้าชายโดยทิ้งความฝันของตนอยู่เบื้องหลัง ต่างกับฉัน ที่ไม่เคยรู้สึกผิดหวัง หรือโดนปิดกั้นความฝันเลยสักนิดเดียว ฉันจึงเชื่อมั่นในความหวัง ฉันเป็นอิสระนอกเหนือกฎเกณฑ์ในขณะที่เขาต้องอยู่ในระเบียบแบบแผนตลอดเวลา
เราคงจะสวนทางกัน...
และแล้วเมโลดี้และคอร์ดก็มาบรรจบกันในมูฟเม้นท์สุดท้าย ต่างฝ่ายต่างเสาะแสวงหาสิ่งที่เรียกว่า ความรัก ต่างฝ่ายต่างเข้าใจถ่องแท้ซึ่งกันและกัน เพราะสิ่งที่เรามีเหมือนกันคือ ความอ้างว้าง... เปล่าเปลี่ยว...และโศกสลด
บทเพลงของเราทำให้ฉันนึกเช่นนี้อย่างไม่เคยคิดมาก่อน...
ถ้าเราอยู่ด้วยกันตลอดไปก็คงจะดี...
ทุกครั้งที่ฉันร้องไห้จนจมทะเลน้ำตา...
เหว่ว้าและเคว้งคว้างกลางผู้คน เจ็บจนไม่อยากหายใจ...
ถูกรักทำร้าย จนเปราะบาง...ขอบฟ้าความหวังซีดจางเหลือเกิน...
แต่บอกกับใจไม่หยุดฝัน อธิษฐานในกาลนิรันดร์
อย่าหยุดศรัทธาสักวันคงได้พบเจอเธอ (เราจะได้พบกัน)
ฉันใช้ชีวิตมืดมนดังคนที่มีแผลใจ
แผ่นดินและผืนฟ้ากว้างไกลมันกลับไม่เหลือทางให้เดิน...
ทอดทิ้งรักแท้ที่ข้างทาง ปล่อยทิ้งความหวังที่พังยับเยิน...
อยากบอกกับใจให้หยุดฝัน อธิษฐานในกาลนิรันดร์
เจ็บกับศรัทธากี่วันก็ไม่พบเจอ...(เราจะได้พบกัน)
อีกครึ่งหนึ่งของ ดวงวิญญาณฉันรออยู่
คนเคยรู้ใจ คนเคยรู้จัก จำฉันได้ไหม เราเคยพลัดพรากกัน
หากเธอกับฉันสวนทางกัน ในความฝัน...
อยากให้สายตา เราได้จ้องกัน อยากให้เธอบอกฉัน ว่าเราข้ามเวลาเพื่อมาพบกัน
*เพลงประกอบหนังสือ The Only Love is real. เราจะข้ามเวลามาพบกัน เขียนโดย ดร.ไบรอัล แอล ไวส์ ขับร้องโดย ก้อย รัชวิน และ ปอยPortrait
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น