คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter ︳Two
2 - TWO
หลังจากที่ตกลงกันเรียบร้อยว่าใครคอยทำหน้าที่เป็นคนเฝ้ายาม ทุกคนก็ดูเบาใจกันมากแม้ชานยอลจะทำหน้าไม่ค่อยเต็มใจก็ตาม แต่ร่างสูงก็เตรียมตัวโดยการหลับเอาแรงไปก่อนใครเพื่อน
ตอนกลางวันแสกๆแบบนี้ไม่มีใครคิดที่จะนอน ถึงแม้จะเพลียมากเนื่องจากไม่ได้นอนมาแทบทั้งคืนเลยก็ตาม แต่น่าแปลกที่คนพวกนี้ทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนดูกระฉับกระเฉง เหมือนพยายามหาอะไรทำจนมันดูวุ่นวายไปหมด ดูอย่างมินซอกสิ หมอนั่นนั่งเย็บผ้าในขณะที่เมื่อคืนเพิ่งจะเกิดเรื่องเนี่ยนะ?
พวกเราตัดสินใจให้ชานยอลกับแบคฮยอนนอนเอาแรงในขณะที่คนอื่นๆแยกย้ายกันไปทำอย่างอื่น เมื่อตะวันตกดินก็จะเป็นหน้าที่สองคนนั้นที่คอยเฝ้าดูให้พวกเรา ถ้ามีเหตุอะไรเกิดขึ้น จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งร้องเรียกขอความช่วยเหลือ และปลุกทุกคนให้ออกมาจากห้องเพื่่อช่วยกันเป็นหูเป็นตา
อ๋อ ใช่ ผมลืมพูดถึงเรื่องศพที่อยู่ในเครื่องซักผ้าไปเสียสนิท จงแดกับเทาช่วยกันเอาผ้ามาห่อศรีษะผู้หญิงคนนั้นและเอาไปโยนทิ้งในป่าข้างๆบ้าน ลู่หานกับซูจองคอยเช็ดเลือดที่หยดตามทางและทำความสะอาดเครื่องซักผ้าให้หลงเหลือกลิ่นน้อยที่สุด มินซอกลงความเห็นว่าควรจะทิ้งๆมันไป แต่เครื่องซักผ้าเป็นสมบัติของบ้านนี้ เราไม่มีสิทธิไปทำอะไรอย่างนั้น ทำได้แค่ชะล้างคราบเลือดและปล่อยไว้
มีข้อสงสัยอย่างหนึ่งที่พวกเราไม่เข้าใจ คือร่างของเธออยู่ไหน?
ผมและไคเดินหาทั่วบ้าน ทุกซอกทุกมุม แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไร หรือบางทีมัตนอาจจะอยู่นอกบ้านแต่เราไม่ได้ออกไปหาก็ได้ แต่ตราบใดที่มันไม่ได้ทำให้เราที่อยู่ข้างในเดือดร้อน ก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงออกไปตามหามัน
"คิดอะไรอยู่เหรอ" เสียงทุ้มของชานยอลทำให้ผมหลุดจากโลกส่วนตัว ผมไม่ทันสังเกตุด้วยซ้ำว่าชานยอลตื่นขึ้นมามองผมเหม่อลอยตั้งแต่เมื่อไร ในเ5มื่อสิบนาทีที่แล้วเขาเพิ่งจะหลับบนโต๊ะยาวตัวเดียวกับที่ผมนั่งอยู่
"คิดถึงเรื่องเมื่อคืน ฉันกลัวมันเกิดขึ้นอีก"
"อ่าหะ" ชานยอลลุกขึ้นนั่ง
"ทำไมนายดูไม่ค่อยกลัวเลย"
"ไม่กลัวเรอะ!? หน้าฉันดูยิ้มหรือไง ถึงเป็นหมอแต่ฉันก็กลัวเลือดนะ" ร่างสูงแย้งขึ้นมาแทบจะทันที หน้าของเขาดูซีดกว่าเดิมซะอีก นั่นทำใหผมขำไม่น้อยเลย
"..."
"ยิ้มอะไรของนาย ไหนว่ากลัวไง" ชานยอลเบะปาก
"ก็ขำนายนั่นแหละ หมออะไรกลัวเลือด"
"นี่ หยุดยิ้มเลยนะ" มือหนาผลักหัวผมเล็กน้อยจนตัวเอน ผมรับรู้ได้ถึงความอับอายจากสีหน้าของเขา
"ไม่หยุด จนกว่านายจะบอกว่าเป็นหมออะไร หมอหมาเหรอ?"
"ฉันเป็นหมอด้านจิตวิทยา นายไม่เข้าใจหรอก"
"..." ผมสำรวจเครื่องแต่งกายเขา
อืม...เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน กางเกงขายาวสีดำ สวมชุดกาวด์ของหมอ เขาไม่คิดจะเปลี่ยนชุดหน่อยเหรอ
"ใช่ฉันไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่านายจะแต่งตัวเต็มยศทำไมในสถานการณ์แบบนี้" ผมพูดติดตลก เขาก้มมองชุดตัวเอง
"ฉันไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาต่างหากล่ะ ใครจะไปรู้ว่าต้องมาค้างที่นี่ มีชุดเดียวก็เลยไม่ได้เปลี่ยน"
"แล้วจะทำยังไงเวลาจะอาบน้ำล่ะ?" ผมยังถามต่อ จริงๆมันดูเป็นคำถามที่ไร้สาระไปสักหน่อย มันไม่ได้เป็นธุระกงการอะไรกับผมเลย แต่ไม่รู่สิ ผมก็แค่ถามไปอย่างนั้น ตามประสาคนที่ไม่รู้จะคุยกับใครละมั้ง
"ฉันยืมเสื้อผ้าเทาเอาก็ได้ หมอนั่นบอกว่าจะให้ยืม"
"อ่าหะ แล้วนาย..."
"จะหยุดถามได้หรือยัง ฉันจะนอนต่อแล้ว"
ชานยอลพูดแทรกจนผมต้องเงียบไป ร่างสูงเอนหลังมานอนตักผมอย่างถือวิสาสะ
"เอ่อ..นายจะนอน..."
"Zzzz" หลับไวจริงๆหมอนี่...
เพล้ง!
"..."
"แบคฮยอน"
ทุกคนในห้องโถงหันมองแบคฮยอนเป็นตาเดียว ที่พื้นมีเศษแก้วน้ำที่แตกละเอียด แบคฮยอนมองผมแวบเดียวและก้มหน้าตาก้มตาเก็บเศษแก้วอย่างเร่งรีบ
"ให้ช่วยมั้ย" ผมกำลังจะลุกขึ้นแต่ลืมไปว่าชานยอลนอนบนตักผมอยู่
"ไม่เป็นไรๆ ฉันเก็บเองได้" ทันทีที่เก็บเสร็จ เจ้าตัวก็รีบเดินดุ่มเข้าไปในครัวทันที
เป็นอะไรของเขา
ตั้งแต่เมื่อคืน ผมว่าสีหน้าแบคฮยอนดูแปลกๆ เหมือนไม่สบายใจอะไรสักอย่าง บางทีอาจจะกลัวเรื่องที่ต้องเป็นคนคอยเฝ้าก็ได้ แต่เท่าที่ผมจำได้เขาเป็นคนสมัครใจเอง และอีกอย่าง ผมก็เตือนเขาไปแล้วด้วย
อี้ชิงเดินถือแก้วน้ำมาทางนี้ ผมจึงเรียกเขาให้มานั่งด้วยกันเพราะดูเหมือนคนอื่นๆจะเริ่มทยอยไปกินข้าวที่ห้องครัวกันหมด
"นายไม่ไปกินข้าวกับพวกนั้นเหรอ"
"ก็เหตุผลเดียวกับนายนั่นแหละ เบื่อความวุ่นวาย"
"ถ้านายเบื่อความวุ่นวายแล้วจะปล่อยให้คนในบ้านเยอะขนาดนี้ทำไม"
"..." ผมถามตามที่ใจคิด อี้ชิงเป็นคนสมรู้ร่วมคิดกับแบคฮยอนในเรื่องนี้ เผลอๆอาจจะเป็นคนแนะนำแบคฮยอนตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยาก
อี้ชิงเงียบไป ผมจ้องเขาเพื่อเอาคำตอบจนร่างสูงเค้นหัวเราะ
"ทำไมอยากรู้ขนาดนั้น ฉันก็แค่ไม่อยากให้คนอื่นเป็นแบบเรา เขาไม่มีที่ไปกันทั้งนั้นในสถานการณ์แบบนี้"
"แต่ตอนนี้ก็เห็นแล้วนี่ว่ามันแย่ขนาดไหน มันวุ่นวาย มัน...น่าเบื่อ" ประโยคหลังผมพูดเสียงเบาราวกับพูดกับตัวเอง
"ใครๆก็เบื่อ คยองซู ไม่มีใครชอบชีวิตที่ไม่เป็นส่วนตัวหรอกนะ ลองคิดกลับกัน ถ้าฉันไม่ชวนพวกนั้นเข้ามา คนในบ้านก็จะมีแค่พวกเรา แล้วคืนนั้นคนที่จะตายก็ต้องเป็นพวกเราถูกมั้ย?"
"..."
"นายอยากจะคิดแบบเห็นแก่ตัวก็ได้ คืออย่างน้อยถ้ามีเหตุฆาตกรรมอีก เปอร์เซนต์ที่นายจะเป็นเหยื่อมันมีน้อย เพราะในบ้านนี้มีตัวเลือกให้โจรฆ่าตั้งเยอะแยะ"
อี้ชิงตบบ่าผมเบาๆและลุกขึ้น
"เดี๋ยวสิ ฉันถามได้มั้ยว่าเมื่อคืนนายกับแบคฮยอนคุยอะไรกัน ก่อนที่แบคฮยอนจะเข้ามาในห้องน่ะ"
"หื้ม? ฉันไม่ได้คุยกับเขาสักหน่อย ฉันอยู่คนเดียวต่างหาก"
"แต่แบคฮยอนบอกว่า..."
"ถ้านายสงสัยว่าเขาคุยกับใคร ฉันเดาว่าคงเป็นชานยอล เพราะคนอื่นเข้าห้องนอนกันหมดแล้วเหลือสองคนนั้นยังยืนอ้อยอิ่งกันอยู่" อี้ชิงยิ้มให้ผมอีกครั้งและเดินเข้าไปในห้อง
"..."
อยู่กับชานยอลงั้นเหรอ? สองคนนี้ไปรู้จักกันตอนไหน?
และที่สำคัญ ทำไมแบคฮยอนต้องโกหก??
ในเมื่อไม่มีใครให้คุย ผมจึงหันไปให้ความสนใจกับมินซอกที่นั่งเย็บเสื้อผ้าของตัวเองอย่างขมักขเม้นแทน
"ไง" ผมทักเขา เจ้าตัวเงยหน้ามายิ้มให้ผม
"นายดูชำนาญเรื่องพวกนี้นะ รอยเย็บนั่นแทบไม่มีตำหนิเลย" ผมพูดยอเขานิดหน่อย แต่มันก็เป็นเรื่องจริงส่วนนึงที่รอยขาดนั่นเนี๊ยบมาก และเจ้าตัวยังเย็บได้เร็วมากๆด้วย เมื่อลองย้อนมาดูฝีมือของตัวเองมันคนละชั้นกับเขาเลย
"ฉันชอบเรื่องพวกนี้น่ะ ไม่ใช่เรื่องกินอย่างเดียวที่ฉันให้ความสนใจสักหน่อย"
"ฮ่ะๆ จริงสินะ"
ปังๆๆ!
เราสองคนมองหน้ากันงงๆ ผมไม่แน่ใจว่าใช่เสียงทุบประตูหรือเปล่า เพราะได้ยินเพียงแว่วๆเท่านั้น พายุฝนข้างนอกทำให้เราแทบไม่ได้ยินเสียงภายนอกเลย
ปังๆๆ!
"เปิดประตูให้หน่อย นี่ฉันเอง!"
"นั่นใช่เสียงคนสวนที่นี่หรือเปล่า?" ผมถามเขา
"ลีชินน่ะเหรอ? ใช่มั้ง นายจะให้เปิดมั้ย" มินซอกวางเข็มและเสื้อลงกับโต๊ะและลุกไปจับลูกบิดประตู
"เปิดสิ"
"..." มินซอกจับลูกบิดค้างอยู่อย่างนั้น
"ทำไมเหรอ?"
"นายว่าเราควรเปิดให้เขาเข้ามาเหรอ? ตั้งแต่เกิดเรื่องเราไม่เห็นแม้แต่เงาหมอนี่เลยนะ"
"เขาเป็นคนสวน น่าไว้ใจมากที่สุดด้วยซ้ำ เปิดเถอะน่า" ผมตัดสินใจลุกไปเปิดแทน
น้ำฝนจำนวนมากสาดเข้ามาข้างในจนเปื้อนพื้นไปหมด ผมเปิดประตูกว้างเผยให้เห็นชายร่างสูงที่เนื้อตัวเปียกมอมแมม สภาพดูไม่ค่อยดีนัก เขาที่ว่าก็คือลีชินนั่นเอง มือขวาของเขาแบกจอบที่ไว้สำหรับขุดดินอยู่
ครืน!!
ปัง!!
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นจนเกิดแสงสีขาวขึ้นมาวูบหนึ่งตรงหน้าเขา ลมพายุพัดกระหน่ำจนทำให้ประตูปิดเองอย่างแรง ผมไม่อยากคิดหรอกนะว่าภาพเมื่อกี้มันทำให้ผมขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะเกิดจากความบังเอิญก็เถอะ มันทำให้นึกถึงหนังสยองขวัญโง่ๆตอนที่คนร้ายปรากฏตัว
"เหวย!" มินซอกตกใจกลัวจนต้องหลบมาอยู่ข้างหลังผม ให้ตายเถอะ กลัวอะไรกับฟ้าผ่ากันเนี่ย
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกสติให้กลับมาก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูให้ลีชินเข้ามาอีกครั้ง
"มันเกิดอะไรขึ้น ตอบมาเดี๋ยวนี้!!"
ยังไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากทักร่างสูงก็ชิงตะคอกใส่หน้าผมเสียก่อน ทำเอาผมเรียบเรียงประโยคแทบไม่ทัน
"เอ่อ คือ...มี..มีคน"
"มีอะไร! มีคนตายใช่มั้ย มันเกิดขึ้นได้ยังไง ใครทำ!!!?"
สีหน้าของเขาตอนนี้มันสุดๆไปเลย อารมณ์แบบนี้มันเกินคำว่าฟิวส์ขาดแล้ว ให้ตายเถอะเขาไปกินรังแตนที่ไหนมา!
"ใจเย็นๆก่อนได้มั้ยลีชิน เข้ามานั่งข้างในก่อน ค่อยๆถาม" มินซอกเห็นท่าไม่ดีจึงพูดให้ร่างสูงใจเย็นลง แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นผลซักเท่าไร
"จะให้ใจเย็นงั้นเหรอ! แฟนฉันตายทั้งคน จะให้ใจเย็นได้ยังไง!!!"
"แฟน? นายรู้ได้ยังไงว่าที่นี่มีอะไรเกิดขึ้น ในเมื่อนายไม่ได้อยู่ในบ้าน"
"จะยังไงก็ช่าง บอกฉันมาว่าใครหน้าไหนมันทำกับคนของฉันแบบนี้!!!"
"เฮ้ ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น พวกนายจะขึ้นเสียงใส่กันทำไมเนี่ย"
เซฮุนเดินเข้ามาขัดจังหวะก่อนที่จะเกิดสงครามภายในบ้าน ผมว่าถ้าเขามาช้ากว่านี้หูผมคงหนวกไปแล้ว หมอนี่เล่นตะโกนลั่นบ้านทั้งๆที่อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม
"..." ลีชินหายใจฟึดฟัด เขาขบกรามแน่นจนเส้นเลือดที่ขมับปูดนูนขึ้นจนเห็นชัดเจน มินซอกลากผมออกมาห่างๆราวกับว่ากลัวเขาจะเอาจอบในมือทุบหัวผมอย่างงั้น
"เข้ามานั่งก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรก็ค่อยๆคุยกัน แล้วนั่นนายถือจอบไว้ทำไมน่ะ จะขุดดินเหรอ?"
ผมไม่แน่ใจว่าเซฮุนตั้งใจพูดติดตลกหรือเปล่า แต่มันก็ทำให้ร่างสูงสงบสติลง ลีชินพิงจอบไว้กับกำแพงและเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ถัดจากชานยอล
"ฉัน..เพิ่งไปขุดหลุมมา"
ผมกับมินซอกเดินมานั่งฝั่งตรงข้าม เซฮุนเดินไปเรียกคนอื่นๆให้ออกมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง
"หวัดดีลีชิน ทำไมตัวมอมแมมแบบนั้นล่ะ" จงแดทัก แต่ร่างสูงกับตีหน้านิ่งใส่แทน
"..."
"นายหายไปไหนมาตั้งแต่เมื่อคืน" เทาถาม
"ฉันก็อยู่บ้านปกติ"
"หมายความว่าไงอยู่บ้าน? นายมีบ้านอยู่แถวนี้เหรอ"
"ก็ใช่ บ้านฉันอยู่ติดสนามหญ้านี้เอง เดินไม่กี่ก้าวก็ถึง แต่มันเล็กอย่างกับกะต๊อบ พวกนายไม่ได้สังเกตุหรอก" ผมนึกภาพตอนที่ซูจองโดนลากไปเมื่อวานเลยเมื่อเขาพูด แสดงว่ามันอยู่ตรงนั้นสินะ
"นายรู้หรือเปล่าว่าเมื่อคืน..."
"ใช่ฉันรู้ ฉันรู้ว่าเมื่อคืนมีคนตาย และคนๆนั้นก็คือแฟนฉันเอง" ลีชินข่มเสียงต่ำ ผมรู้สึกเหมือนเขากำลังควบคุมอารมณ์ตัวเองอยู่
"รู้ได้ยังไงว่านั่นแฟนนาย?" หนึ่งในพวกเราถามต่อ
"ฉันเห็นพวกนายสองคนโยนอะไรบางอย่างเข้าไปในป่า พอแกะผ้าออกก็จำได้ทันทีว่าใคร ฉันเลยต้องขุดหลุมฝังเธอก่อนที่จะมาที่นี่"
"..."
"แล้ว..แล้วฉันก็กลัว ฉันทั้งโกรธทั้งกลัวไปพร้อมๆกัน ฮึก...ทำไม ทำไมต้องเป็นเธอด้วย"
ร่างสูงพูดเพ้อทั้งน้ำตา ใบหน้าเขาดูหม่นหมองเศร้าสร้อยจนผมนึกหดหู่ตาม ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีเพิ่งจะโมโหร้ายใส่ผม แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมืออย่างกับคนละคน
"กลัว? นายหมายความว่ายังไง นายกลัวอะไร"
ลีชินหยุดพูดไปพักใหญ่ เขากวาดสายตามองพวกเราทุกคน ร่างสูงดูอ้ำอึ้งเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูด
"คือ...ฉันก็ไม่รู้ แต่ที่นี่เคยเกิดเหตุการณ์คล้ายๆแบบนี้มาก่อน"
"อะไรนะ!?"
ตอนนี้กลับกลายเป็นพวกเราเองที่ไม่รู้เรื่องอะไร ลีชินหยุดร้องไห้แล้ว ร่างสูงเอาแต่นั่งก้มหน้าไม่ยอมสู้หน้าใคร ผมหันมองแบคฮยอนที่ตอนนี้จ้องลีชินไม่วางตา
"เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่บ้านหลังนี้ นายต้องเล่าให้เราฟังให้หมด" แบคฮยอนพูดแกมข่มขู่
ผมรู้สึกหนาวๆร้อนๆแปลกๆ ใจนึงก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อีกใจมันก็อยากให้จบการสนทนาเรื่องนี้สักที
สายตาทุกๆคนตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับตอนที่กดดันชานยอลสักเท่าไร เพียงแต่มันหนักกว่านั้น ภายในแววตานั่นแฝงความกลัวไว้ด้วย ลีชินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยอมปริปากออกมา
"เรื่องนี้พ่อฉันเล่าต่อมาอีกทีนะ คือว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของย่าของคุณนายอีกที เมื่อก่อนมันเคยอบอุ่นมาก มีญาติๆมาอยู่กันหลายคน แต่ตั้งแต่ย่าท่านเสียไป ทุกคนก็เริ่มมีปากมีเสียงกัน และตอนนั้นคุณนายเองก็มีลูกชายที่กำลังอยู่ในวัยเรียน ทนสภาพแวดล้อมแบบนั้นไม่ไหวเลยพากันย้ายไปอยู่ต่างประเทศ หลังจากนั้นบ้านนี้ก็ไม่เคยอยู่สงบสุข หลายคนย้ายออกไปอยู่ที่อื่น บางคนก็เสียไปแล้ว จนกระทั่งบ้านนี้ถูกทิ้งร้าง คุณนายเลยกลับมาพร้อมกับลูกชาย และกลายมาเป็นเจ้าของบ้านแทนคุณย่า"
"เดี๋ยวก่อนนะๆ เรื่องที่นายเล่ามายืดยาวเนี่ย มันเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมตรงไหนไม่ทราบ?" ไคพูดแทรก
"เอ่อ จริงๆฉันแค่เล่าปูพื้นเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก งั้นข้ามประวัติไปก็แล้วกัน"
ผมโกรธไคอยู่นิดหน่อยที่ไปพูดขัดจังหวะแบบนั้น จริงๆแล้วผมว่าประวัตินี้มันน่าสนใจอยู่มากที่เดียว มันข้องใจอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเป็นจริงอย่างที่เล่ามา แล้วทำไมทุกคนต้องมีปากมีเสียงกันด้วย แล้วทะเลาะกันเรื่องอะไร? ทั้งๆที่ก่อนคุณย่าจะเสียบ้านก็อบอุ่นอยู่แท้ๆ
"เดี๋ยวสิ นายว่าคนพวกนั้นมีปากมีเสียงกัน แล้วอยู่ดีๆก็ย้ายออกไปกันเฉยๆเลยหรอ? ทำไมปล่อยให้ร้างไว้แบบนั้น" เซฮุนถาม ซึ่งผมคิดว่าถามได้ตรงใจผมเป๊ะ
"พวกนั้นไล่ฆ่ากันเอง"
"หะ!?"
"โอ้ย พวกนายจะส่งเสียงดังกันทำไมเนี่ย คนจะหลับจะนอน"
ชานยอลโวยวายเสียงดังเมื่อเสียงร้องอันตกใจของพวกเราทำให้เขาสะดุ้งตื่น
ให้ตายเถอะ! แล้วอย่างนี้จะฟังกันรู้เรื่องมั้ยถ้ามีคนมาแทรกอยู่อย่างนี้ แถมตัวลีชินเองก็ดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะพูดเรื่องนี้ด้วย ดูจากสีหน้าเขาที่ลำบากใจสุดๆ
ร่างสูงที่ดูเหมือนจะรู้เรื่องน้อยที่สุดค่อยๆลุกขึ้นนั่งอย่างสลึมสลือ ปรายตามองทุกคนที่มีสีหน้าไม่พอใจสที่เขามาขัดจังหวะ
"เอ่อ..คือมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า? ประชุมอะไรกันอยู่เหรอ?" ใบหน้าเหรอหรานั่นยิ่งทำให้ผมอยากจะเสยเข้าสักหมัด ตื่นมาได้ไม่รู้เวลาเลยให้ตาย!
"ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่เท้าความเฉยๆ มันก็แค่ประวัติของบ้าน แต่ก็อย่างที่เคยบอก บ้านหลังนี้มีนักท่องเที่ยวมากมายเทียวมาเทียวไปกันบ่อยครั้ง..."
"....คุณนายเองก็มีบ้านอยู่ที่อื่นและดูเหมือนจะไม่ค่อยติดต่อมาเลย ครั้งล่าสุดที่ฉันรับโทรศัพท์จากเขาก็สองปีที่แล้วได้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ข่าวเธออีก ฉันเองก็ทำงานที่นี่มาตั้งแต่จำความได้ พอเธอหายไปแบบนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง เลยเปิดบ้านให้คนมาพักอาศัยชั่วคราวแทน"
"..." ถ้าผมดูไม่ผิด ผมว่าลีชินกำลังหลบสายตาของทุกคน
"มีครั้งหนึ่งที่เป็นช่วงวันหยุดเทศกาล มีผู้คนกลุ่มนึงเข้ามากลางดึก วันรุ่งขึ้นฉันเปิดประตูเข้าไปดู พวกเขาตายกันหมด...และข้าวของส่วนใหญ่ก็หายไปด้วย"
"อย่างเช่นทีวีใช่มั้ย" ซูจองออกความเห็น
"ก็ใช่ และอีกหลายๆอย่าง จนมันว่างเปล่าอย่างที่เห็น"
"ฉันว่าไอโจรโรคจิตนี่มันต้องบ้าแน่ๆ ลงทุนฆ่าทั้งบ้านเพื่อเอาทีวี"
"จริงด้วย น่าส่งมันไปโรงบาลบ้า ฮ่ะๆ" มินซอกกับเทาหัวเราะคิกคักกันสองคน พวกเขาดูไม่ค่อยจริงจังกับเรื่องนี้สักเท่าไร ดูเหมือนไม่เชื่อเรื่องที่ฟังมามากกว่า
"เรื่องมันก็มีแค่นี้แหละ ขอโทษที่นอกเรื่องมากไปหน่อย"
"..."
"แต่เพื่อไม่ให้ประวัติมันซ้ำรอยเดิม พอวันรุ่งขึ้นฉันขอให้พวกนายย้ายออกไปเลยได้มั้ย"
"เอ่อ..." เมื่อจบประโยค ทุกคนก็มองหน้ากันเองเหมือนขอความเห็น แบคฮยอนพยักหน้าให้ผมเป็นเชิงให้กลับ
"งั้นดีเลย เราก็จะกลับพรุ่งนี้พอดี ใช่มั้ยครับพี่จุนมยอน" จุนมยอนที่ถูกอ้างถึงรีบพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
"ขอบคุณทุกคนมากนะที่เข้าใจ ขอโทษที่ต้องพามาเสี่ยงอันตรายแบบนี้ ฉันผิดเองที่เปิดบ้านให้ทุกคนเข้ามาอยู่ เพราะเหตุการณ์นั้นมันก็นานมาแล้ว ไม่คิดว่ามันจะกลับมาซ้ำรอยแบบนี้"
"ไม่เป็นไร ขอบใจนายที่เล่าให้ฟัง เราจะได้ระวังตัวมากขึ้น" อี้ชิงยิ้มแห้งๆให้เขา
"ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะ"
"เดี๋ยวสิ!"
"?"
"ถ้าเรื่องที่นายเล่าเป็นเรื่องจริง ทำไมนายถึงไม่โดนฆ่า"
"ไม่รู้เหมือนกัน..."
จบประโยคร่างสูงก็เดินออกไปโดยไม่ลืมที่จะถือจอบไปด้วย
"..."
"หมอนี่แปลกๆเนอะว่ามั้ย" ชานยอลพูดทำลายความเงียบ
"เห็นด้วย" เกือบทุกคนยกเว้นผมพูดออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
+++++++++
ภายในห้องนอนห้องหนึ่ง จุนมยอนนั่งเก็บข้าวของลงกระเป๋าอย่างเร่งรีบ มือก็เปิดกระเป๋าดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย จนกระทั่งเปิดมาเจออะไรบางอย่างในกระเป๋าแบรนเนมของอี้ฟาน ร่างเล็กถอนหายใจอย่างปลงๆ
ร่างสูงเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยเนื้อตัวที่เปียกโชกพร้อมกับผมที่เพิ่งถูกเช็ดหมาดๆ จุนมยอนหันไปมองตัวปัญหาที่ทำให้เขาหัวเสียสุดๆใน่ช่วงนี้
"อี้ฟาน ฉันรู้นะว่านายคิดจะทำอะไร"
"ทำอะไร?" ร่างสูงถามเสียงเรียบ น้ำเสียงดูไม่เดือดเนื้อร้อนตัวอะไร
"ฉันขอเตือนไว้ก่อนเลยนะว่าถ้านายโดนจับได้ ห้ามเอ่ยชื่อฉันเด็ดขาด เพราะฉันไม่ได้เห็นดีเห็นงามอะไรกับนายด้วยเลยสักนิด"
"ไม่เห็นดีเห็นงามแต่รู้เห็นว่างั้นเถอะ" อี้ฟานยิ้มเยียด
"อย่ามายอกย้อนฉันนะอี้ฟาน ถ้านายไม่ได้ฉันก็อย่าหวังว่าจะทำสำเร็จ เพราะงั้นช่วยนึกถึงบุญคุณฉันไว้ด้วย" ร่างบางยืนประชันหน้ากับเขาโดยไม่นึกเกรงกลัวอะไร ถ้าจะให้พูดถึงสันดานแย่ๆของคนตรงหน้านี้ละก็พูดเท่าไรก็คงไม่พอ มันมีเยอะจนนับไม่ถ้วนเลยล่ะ ที่เขาทนสงบปากสงบคำอยู่แบบนี้ก็เพราะเคยหลวมตัวไปรู้เห็นกับมันครั้งนึงนี่ละ ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่เขารู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้
"บุญคุณ? นายเป็นใครมาจากไหนไม่ทราบ คนอย่างฉันไม่เคยต้องการความช่วยเหลือจากใครอยู่แล้ว นายทำตัวเองทั้งนั้น ฉันไม่เคยชวนนายให้มาทำเลยสักคำ"
"..." เมื่อเถียงอะไรไม่ออกก็ได้แต่ยืนกัดฟันนิ่ง มือหนาเฉดหัวจุนมยอนจนล้มลงไปกับเตียง
"จำเอาไว้นะว่าถ้านายหักหลังฉันเมื่อไรล่ะก็..เราจะได้เห็นดีกัน"
"..."
+++++
ก๊อกๆๆ
เมื่อผมเปิดประตูออกมาก็ต้องงง เพราะคนที่เคาะคือซูจองที่ตอนนี้หอบหมอนกับผ้าห่มติดมือมาด้วย
"จะว่าอะไรมั้ยถ้าฉันจะขอนอนด้วย" เธอพูดไม่ค่อยเต็มเสียงนัก ถึงแม้จะงงๆอยู่บ้างแต่ผมก็หลีกทางให้เธอเข้ามา
ตอนนี้เริ่มค่ำแล้ว ทุกคนต่างรีบอาบน้ำกินข้าวตั้งแต่หัววันก่อนจะปิดประตูเข้านอนกันหมด ไม่มีใครกล้าเสี่ยงออกมาข้างนอก ยกเว้นก็แต่ชานยอลกับแบคฮยอนที่ต้องทำตามข้อตกลงว่าต้องคอยเฝ้ายามเผื่อมีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลสักแค่ไหน
"มีปัญหาอะไรหรือเปล่าถึงมานอนที่นี่" ผมถามพลางปิดประตูตามหลัง ใจจริงอยากจะล็อคด้วยซ้ำ แต่มันคงดูไม่ค่อยดีซักเท่าไร
"ฉันกลัวเลยไม่กล้าอยู่ในห้องคนเดียว พี่อี้ชิงก็ออกไปข้างนอก เห็นว่าจะไปช่วยชานยอลกับแบคฮยอนคอยเฝ้าอีกแรง ไม่รู้จะไปหาใคร ก็มีนายนี่ล่ะที่ฉันไว้ใจที่สุดในตอนนี้"
"อ๋อ" ผมพยักหน้ารับรู้เป็นพอเข้าใจ
บางทีก็ลำบากใจแทนซูจองเหมือนกันที่มีพี่ชายที่แสนดีออกจะเกินไปแบบนี้ มีเรื่องอะไรก็คอยห่วงคนอื่นอยู่ตลอดจนไม่ได้ใส่ใจน้องเท่าที่ควร ถ้าอี้ชิงไม่บอกว่าซูจองเป็นน้องสาวตอนนั้นผมก็คงคิดว่าเป็นแค่คนรู้จักด้วยซ้ำ สองคนนี้ดูไม่ค่อยสนิทกันซักเท่าไร
พอนึกถึงตอนที่เจอสองคนนี้ครั้งแรกก็ทำให้ผมข้องใจอยู่เหมือนกัน เรื่องท่าทีของเธอในตอนนั้น พอมาอยู่บ้านเดียวกันแล้วเธอก็ดูไม่ค่อยเลวร้ายสักเท่าไร แต่ทำไมถึงทำเหมือนไม่ชอบพวกผม
"นี่" ผมเรียกเธอในขณะที่เราสองคนยืนมองบรรยากาศข้างนอกที่ริมระเบียง
"หื้ม?"
"คือ ไหนๆพรุ่งนี้เราก็ต่างคนต่างกลับกันแล้ว ขอถามหน่อยสิ ตอนนั้นที่เราเจอเธอครั้งแรก ทำไมเธอถึงทำเหมือนกับว่าไม่ค่อยชอบพวกเรา" ผมตัดสินใจถามออกไป
ซูจองถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปทางระเบียงอีกครั้ง
"ฉันไม่ได้ไม่ชอบพวกนายสักหน่อย ตอนนั้นก็แค่หงุดหงิดพี่อี้ชิงที่ไม่ยอมทำตามสัญญา"
"..."
"รู้มั้ย ความจริงแล้วเราเป็นพี่น้องคนละพ่อกัน"
"จริงอะ?" ผมอึ้งไปกับคำพูดของเธอ แปลกใจนิดหน่อยที่ทำไมอยู่ดีๆถึงมาบอกผม แต่ดูจากสีหน้าและแววตาเธอแล้วผมก็ไม่กล้าถามอะไรกลับไป ปล่อยให้เธอได้ระบายในเรื่องที่อยากพูดออกมา
"ใช่ แต่ตอนเด็กๆเราสนิทกันมาก ฉันติดพี่มาก ชนิดที่ว่าพี่ไปไหนฉันต้องไปด้วย แต่พอโตขึ้นพ่อของพี่อี้ชิงก็พากลับไปจีน ส่วนฉันอยู่ที่เกาหลีกับแม่ เราไม่ได้อยู่ด้วยกันหลายปี แต่ก็ยังพอติดต่อกันอยู่บ้าง"
"..."
"มีวันนึงพี่อี้ชิงโทรบอกฉันว่าจะมาหาและพาไปเที่ยวในที่ที่อยากไปในวันเกิด ฉันดีใจมาก ฉันบอกแม่ บอกทุกคนที่อยู่แถวนั้น แต่กลับได้รับคำตอบมาว่า 'อี้ชิงมันไม่ใช่พี่แกอีกต่อไปแล้ว แกเป็นลูกคนเดียว'"
"ฉันเสียใจมาก ฉันไม่กล้าไปเที่ยวกับพี่ กลัวแม่จะว่าฉันและพ่อของพี่ก็ไม่ค่อยชอบฉันด้วย จนเมื่อวานนี้พี่อี้ชิงมาเกาหลีโดยไม่บอกใคร พี่มาหาฉันคนแรก บอกว่าจะพาไปที่ๆอยากไปตามสัญญา"
"ฉันอยากไปต่างประเทศ แต่ดูเหมือนพี่เขามีนัดกับใครคนนึงไว้แล้ว พี่บอกว่าคนๆนั้นของพี่อยู่ในเมืองนี้ ก็เลยพาฉันมาด้วย ฉันทั้งน้อยใจทั้งโมโหเลยเป็นอย่างที่เห็น"
"อ่า..." ผมทำได้เพียงนั่งรับฟังนิ่งๆข้างๆเธอ
ซูจองเงยหน้าพร้อมกระพริบตาถี่ๆไล่น้ำตาที่คลออยู่ออกไป
"ขอโทษที อธิบายซะยาวเลย ฉันแค่..."
"ฉันแค่คิดถึงพี่น่ะ แล้วก็เป็นห่วงพี่มากๆด้วย"
"ฉันเข้าใจ" ผมยิ้มให้ร่างบาง
"อยากให้ถึงพรุ่งนี้ไวๆ ฉันอยากกลับบ้าน ไม่อยากเที่ยวแล้ว" เธอเบะปากเหมือนเด็กๆเตรียมตัวจะร้องไห้อีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดปลอบใจเธอ เสียงโครมครามจากข้างนอกก็ดังขึ้นเสียก่อน เราสองคนหันไปมองด้วยความตกใจ
"เกิดอะไรขึ้นน่ะ!?"
ผมเดินไปทางประตูห้องก่อนที่มันจะเปิดอ้าอย่างเบามือโดยใครบาง
"ชู่วว อย่าส่งเสียง อย่าออกไปข้างนอกเด็ดขาด"
เป็นชานยอลที่เปิดประตูเข้ามาและรีบปิดมันอย่างเบามือ ร่างสูงมีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
"มีอะไรชานยอล เกิดอะไรขึ้น" ซูจองพูดเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่ตรงนี้
"มันเกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครออกไปข้างนอกเลย ทางที่ดีอยู่แต่ในห้องปลอดภัยสุด"
"แล้วพี่อี้ชิงล่ะ พี่อี้ชิงอยู่ไหน!?"
"แบคฮยอนด้วย ทำไมนายไม่พาเขามาด้วยล่ะ" ผมกับซูจองแทบจะแย่งกันพูด
ตอนนี้ผมไม่ได้ห่วงเรื่องความปลอดภัยเลยสักนิด อย่างแรกที่คิดได้เลยคือแบคฮยอน ชานยอลบอกว่าไม่มีใครออกมาจากห้องเลย ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่แบคฮยอนกับอี้ชิง แล้วถ้าเกิดมันทำอะไรเขาขึ้นมาล่ะ!?
"เอาเถอะน่า อย่างน้อยอยู่เป็นเพื่อนฉันก่อนก็ได้ ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว แล้วอีกอย่าง สองคนนั้นมันเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว คงจะหลบอยู่ในห้องไหนสักแห่ง" ชานยอลลากเราสองคนให้มาอยู่กลางห้องแทนที่จะยืนออกันอยู่หน้าประตู ผมเพิ่งสังเกตุว่าเขาไม่ได้ใส่ชุดกาวด์ของหมอและชุดเดิมอีกแล้ว คงจะยืมชุดของเทามาใส่
"แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าเกิดเรื่อง นายเห็นเหตุการณ์หรอ"
"ก็แค่เหมือนจะเห็นแวบๆอะ แต่รู้แน่ว่ามันต้องหาเหยื่อ เพราะฉะนั้นนั่งนิ่งๆกับฉันอยู่ในนี้แล้วล็อคกลอนซะ มันจะดีมากถ้าพวกเธอไม่พูดมากให้มันได้ยิน"
ให้ตายเถอะ หมอนี่มันขี้ขลาดยิ่งกว่าผู้หญิงอย่างซูจองซะอีก หมอบ้าอะไรยืนตัวสั่นหงกๆอยู่ข้างหลังผู้หญิงตัวเล็กๆกันเนี่ย!? ยิ่งหมอนี่พูดแบบนี้ผมยิ่งกระวนกระวายเข้าไปใหญ่ ป่านนี้แบคฮยอนจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ ผมไม่มีทางทิ้งเขาไว้แน่ๆ
"ฉันจะไปหาแบคฮยอน!"
"เฮ้ อย่าเปิดประตูนะคยองซู!" ผมไม่ฟังคำเตือนของชานยอล มือเล็กค้วาลูกบิดประตูแล้วบิดมันออกทันที
หลังจากที่ออกมาจากห้องนั้นได้ ผมก็กวาดสายตามองไปทั่วบ้าน ไม่พบสิ่งที่ผิดแปลกใดๆ และก็ไม่พบใครเช่นกัน ทุกอย่างดูเงียบเชียบ...มันเงียบเกินไป ราวกับว่าแต่ละคนตั้งใจไม่ส่งเสียงใดๆออกมา
การตะโกนเรียกชื่อจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมทำ และผมก็จะไม่มีทางทำมันด้วย ผมจะเดินย่องเบาๆทั่วบ้านไปเพื่ออะไรล่ะจริงมั้ยถ้าไม่กลัว'มัน'มาเห็นซะก่อน ยังดีที่ห้องโถงและห้องครัวมีไฟเปิดอยู่หลายที่ ผมไม่จำเป็นต้องเพ่งมองในความมืด เพียงแค่ต้องใช้เวลาเดินหาพวกเขา ผมเดินจนทั่วชั้นล่างแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆเลย จึงตัดสินใจที่จะขึ้นบันไดไปชั้นบนแทน
ผมเดินไล่ดูทุกห้อง แต่มันก็ปิดล็อคจนเกือบหมด เหลืออยู่สองสามห้องที่เปิดอ้าไว้ ผมไม่รู้ว่าเป็นห้องของใครบ้างแต่ก็ลองแง้มๆดูไม่พบใครจึงลองเดินเข้าไปข้างใน
ขณะนั้นมือทีไม่รู้โผล่มาจากไหนก็ดึงผมเข้าไปตู้เสื้อผ้าทันที!
ฟึ่บ!
"อ๊ะ..."
"ชู่ววว"
ไคเอามือปิดปากผมไว้แน่นพร้อมกับทำท่าให้เงียบๆ ผมใช้เวลาอยู่สักพักก่อนจะยอมสงบสติลงและพยักหน้าเบาๆกลับไป มือหนาจึงปล่อยผมให้เป็นอิสระ
"นายลากฉันเข้ามาในนี้ทำไม" ผมพูดเสียงเบา
ตอนนี้พวกเรานั่งอัดกันเป็นปาท่องโก๋อยู่ในตู้เสื้อผ้าเล็กๆของห้องนี้ ดูเหมือนไคจะหลบอยู่ในนี้มาได้สักพักแล้ว ร่างสูงมองภายนอกได้จากช่องตรงกลางของตู้เสื้อผ้า
"ฉันต่างหากที่ต้องเป็นคนถาม นายมาด้อมๆมองๆอะไรในห้องอี้ฟาน"
"ว่าไงนะ? นี่ห้องอี้ฟานเหรอ" ผมเผลอพูดเสียงดังจนไคต้องรีบเอามือตะครุบปาก นี่ผมไม่ได้ตั้งใจจะบุกรุกห้องเขาเลยจริงๆนะ
"ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกน่า แล้วเราจะได้รู้กันว่าคนอย่างไออี้ฟานน่ะ มันเป็นยังไง"
ไคแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ร่างสูงส่องช่องข้างหน้าก่อนจะรีบหันกลับมา เพราะเจ้าของห้องได้เดินเข้ามาแล้ว
"ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย" ผมขยับปากพูดโดยไร้เสียง ไคไม่ฟังผม เอาแต่จ้องภาพข้างหน้าไม่วางตา แถมยังเรียกผมให้มาดูด้วยกันอีกด้วย
เมื่อไม่มีทางเลือก บวกกับผมก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นด้วยจึงส่องดูบ้าง เห็นอี้ฟานมีท่าทีลุกลี้ลุกลนกำลังเก็บข้าวของและหยิบเงินเป็นปึกๆออกมาจากกระเป๋าเพื่อย้ายมาใส่อีกใบหนึ่ง
มันทำเอาผมอึ้งไปเลย เงินจำนวนมากขนาดนี้เขาจะพกไว้ทำไมกัน?
และแต่ละแผ่นที่บรรจุอยู่ในปึกใหญ่ๆนั้นเป็นแบงค์พันทั้งนั้น มีไม่ต่ำกว่ายี่สิบปึก
ร่างสูงยัดๆมันเข้ากระเป๋าอย่างเร่งรีบจนหมด ก่อนที่จะสะพายมันและวิ่งออกไปจากห้องโดยทิ้งกระเป๋าเสื้อผ้าและของอื่นๆไว้ที่เดิม
"ไงล่ะ อี้ฟานผู้เพอร์เฟค สุดท้ายมันนั่นแหละที่เป็นคนทำ" ไคดูสะใจเป็นอย่างมากที่เห็นสีหน้าผม
แต่ใครจะยอมหน้าเสียกันล่ะ เรื่องแค่นี้มันคอนเฟิร์มอะไรไม่ได้หรอก ผมไม่มีทางมองคนผิด
"นั่นอาจเป็นเงินเก็บเขาก็ได้ นายจะไปว่าเขาเสียๆหายๆได้ยังไง"
"นี่ยังศรัทธาในตัวมันอยู่อีกเหรอ? เหอะ"
"ก็ใช่ไง แล้วเขาก็..."
กึก...
"..."
ไคเอามือตะครุบปากผมอีกรอบ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนร่างสูงจะมีสีหน้าที่ตึงเครียดมากกว่าครั้งก่อน
ผมเดาว่าคนที่เข้ามาใหม่รอบนี้ไม่ใช่อี้ฟานเสียแล้ว...
ตึก...
เราสองคนนั่งเกร็งนิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกนิ้ว ผมลอบกลืนน้ำลายพลางหลับตาแน่น
มืออีกข้างของไคบีบมือผมเบาๆ ผมลืมตาขึ้นมาเห็นใบหน้าเขาห่างเพียงแค่คืบ
ฉึก!
เฮือก!
"!!!"
เราสองคนเบิกตากว้าง เมื่อมีดเล่มนึงถูกแทงเข้ามาในตู้ทางช่องที่ผมและไคเคยส่อง ปลายแหลมของมันห่างจากหน้าผากผมไม่กี่เซน ผมกลัวจนต้องกลั้นหายใจ
ฉึก!
"!!!"
มันถูกดึงกลับไปและแทงเข้ามาอีกในที่ใหม่ มันทำซ้ำอยู่อย่างนั้นจนแน่ใจว่าไม่มีใครหลบซ่อนอยู่ในนี้จึงเดินออกจากห้องไป
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก น้ำตามันไหลอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเพิ่งผ่านพ้นวินาทีชีวิตไป
ไคเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างเบามือ แต่มันมีอะไรที่ผิดแปลกไป...
...มันได้กลิ่นคาวเหมือน..เลือด
"ไค!!"
++++++
อัพช้าแต่ยาวนะ แหะๆ >w<
ตอนนี้อืดแท้ แต่มันสำคัญน้าา เค้าตัดออกไม่ได้ 55555
ขอบคุณสำหรับเม้นต์นะคะ ส่วนเรื่องแท๊กในทวิต.... TTTwTTT ไม่เป็นไร ไม่ต้องแท๊กก็ได้ เค้าไม่เป็นไร
ฮรึก YYOYY ไม่เป็นไรจริงๆนะ ...
ความคิดเห็น