ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC EXO SCHOOL HORROR [END]

    ลำดับตอนที่ #3 : SCHOOL : CHAPTER1

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12.79K
      45
      1 ก.ค. 56

    ก่อนอ่านแนะนำให้เปิดลำโพงดังๆ เพื่ออรรถรส
    ขอบคุณค่ะ  ^^


    CHAPTER1

     

    วันนี้อากาศไม่เป็นใจให้ผมเลยสักนิด ทั้งมืดและครึ้ม ฝนเตรียมจะตกอยู่รอมร่อ

    ทั้งๆที่วันนี้เหมือนจะเป็นวันดีด้วยซ้ำ เป็นวันเปิดเทอมวันแรกในโรงเรียนใหม่ของผม

    พ่อที่ตอนนี้อยู่สวิตเซอร์แลนด์ได้ส่งเมล์มาหาผมเมื่ออาทิตย์ก่อนว่าสงสัยจะได้อยู่โรงเรียนนี้อีกยาว

    ดูแล้วท่าจะให้ผมเรียนที่นี่จนจบแน่ๆ ฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไรนัก หลายครั้งที่พ่อบอกว่าจะอยู่ไปตลอด

    สุดท้ายก็ต้องส่งผมย้ายโรงเรียนอีกตามเคย แถมแต่ละที่มักจะต้องห่างไกลกันเป็นแถบ

    ภายในสามสี่ปีมานี้ผมย้ายโรงเรียนปีละครั้ง ไปมาหลายประเทศ ด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นของพ่อ

     

    แต่ครั้งนี้เหมือนพ่อจะพูดจริง เพราะดูจากแผนรายได้ที่พ่อส่งมาให้ผมแล้ว มันดูน้อยลงจนน่าใจหาย

    พ่อส่งผมมาเรียนที่เกาหลี และบอกทิ้งท้ายไว้ว่าจะอยู่สวิตไปซักพัก เพราะวีซ่ามันแพง

    ผมพอจะรู้การเงินของเราสองพอลูกมาบ้าง จึงไม่อยากจะขัดใจอะไร และปล่อยเลยตามเลย

     

    ทันทีที่พ่อบ้านขับรถมาถึงหน้าประตูโรงเรียน ผมรีบลดกระจกลงมาดูด้วยความตื่นเต้น

    โรงเรียนที่นี่ไม่ใช่เล่นๆเลย เป็นตึก4ตึกใหญ่ต่อกันเป็นรูปตัวยู มีทั้งหมด8ชั้นทุกตึก

    ตัวตึกถูกทาด้วยสีแดงฉาน มองไปมองมาก็ดูน่ากลัวแปลกๆ แถมแต่ละชั้นแต่ละห้องก็จะมีกระจกใสสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงสูงติดอยู่เยอะแยะมากมาย บางบานก็ใหญ่เท่าๆกับประตูเลยทีเดียว

     

    ตุ๊บ!

     

    “อะ!!

     

    ผมเผลอร้องออกมาอย่างตกใจ ในขณะที่กำลังสอดส่องตัวตึกอยู่ดีดี มือปริศนาก็โผล่มาทุบกระจกชั้น5อย่างแรงพลางขูดกระจกจนเป็นรอยลงมาช้าๆ เลือดสีแดงข้นไถลลงมาตามรอยมือ

     

    “มีอะไรเหรอครับ” พ่อบ้านหันกลับมาถามผมที่ร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ พลางหันหน้าไปทางเดียวกับที่ผมมอง แต่ก็ต้องสงสัย เพราะดูเหมือนจะไม่เห็นอะไรเหมือนผม

    “ป..เปล่า”

     

    น่าแปลก มือนั่นซีดเซียวราวกับหิมะ

    หรือว่าตาฝาด….

     

    ผมสะบัดหัวเบาๆเพื่อไล่ความคิดแปลกๆออกไปและเงยหน้ามองกระจกใบนั้นอีกครั้ง

     

    ….!!!

     

    “ฮเฮ้ยยย”   ผมร้องออกมาอย่างสุดเสียง

    กระจก กระจกบานใหญ่ที่เปื้อนเลือดนั้นมีคนยืนอยู่ เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ

    ผมยาวที่เคยปกปิดใบหน้าอยู่เริ่มแหวกออก เผยให้เห็นใบหน้าที่เรียบเกลี้ยงของเธอ

    เธอ..เธอไม่มีหน้า !!!

    ไม่มีแม้แต่ตา หู จมูก ปาก ใบหน้าเธอขาวซีดเหมือนกระดาษ

     

    !!!!

     

     

    “ถึงแล้วครับ”

    …….”  

    ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย มองบรรยากาศรอบๆ ผมอยู่บนรถคันเดิม

    พ่อบ้านหันมาบอกผมเมื่อจอดมาถึงหน้าประตูโรงเรียน นี่ผมเพิ่งมาถึงเหรอ

     

    แต่ถึงแม้ว่าเรื่องเมื่อกี้จะเป็นความฝัน แต่ก็ต้องแปลกใจ เพราะสภาพและรูปร่างของโรงเรียนเหมือนในฝันทุกอย่าง
    ไม่ว่าจะเป็นตึกสี่แดงฉาน กระจกบานใหญ่

     

    ตุ๊บ!

     

    “อะ!”  

    ผมเผลอร้องออกมาอย่างตกใจ ในขณะที่กำลังสอดส่องตัวตึกอยู่ดีดี มือปริศนาก็โผล่มาทุบกระจกชั้น5อย่างแรงพลางขูดกระจกจนเป็นรอยลงมาช้าๆ เลือดสีแดงข้นไถลลงมาตามรอยมือ

     

    นี่มันเดจาวู !  ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่มันภาพในความฝันชัดๆ

     

    “มีอะไรเหรอครับ” พ่อบ้านหันกลับมาถามด้วยท่าทางเดิมๆ หันไปทางกระจกเหมือนเดิม แล้วก็..ไม่เห็นอะไรเหมือนเดิม


    “ป..เปล่า”


    ในฝันผมพูดคำนี้เสร็จก็จะเห็นอะไรสยองๆที่กระจกนั่นสินะ ผมจะไม่มีทางเงยหน้ามองมันอีกเป็นครั้งที่สองแน่

     

    “งั้นผมขอตัวนะครับ คุณผู้ชายต้องการให้ผมมารับตอนไหนก็โทรมานะครับ” พ่อบ้านมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง
    ก่อนจะลุกไปเปิดประตูให้ผมด้วยความเคยชิน ผมพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด

    พยายามรับออกซิเจนรอบๆตัวเข้าปอดมากที่สุด เพื่อที่จะได้เลิกคิดอะไรฟุ้งซ่าน

     

    --SCHOOL HORROR—

     

    “สวัสดีครับ ผม คิม จงอิน เรียกสั้นๆว่าไค ขอฝากตัวด้วยนะครับ”

    ผมโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อเป็นการทำความเคารพ นักเรียนในห้องต่างก็ปรบมือกันพอเป็นพิธี

    “สวัสดีจงอิน ยินดีต้อนรับเพื่อนใหม่คนที่สองนะ หาที่ว่างนั่งแล้วเริ่มเรียนกันได้เลย”

    อาจารย์พูดเสียงเรียบ ก่อนจะหันกลับไปสนใจงานบนโต๊ะของตัวเองต่อ

    ผมสอดส่องหาที่นั่งว่างๆสักที่ แต่มันก็เหลืออยู่ที่เดียว อยู่ติดกับหน้าต่างหลังห้อง
    ข้างๆมีผู้ชายร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มนั่งอยู่ เมื่อเงยหน้าจากสมุดมาได้ก็ยิ้มให้ผมอย่างน่ารัก

    “สวัสดี ฉันชื่อแบคฮยอน” ผมยิ้มตอบกลับบางๆเป็นการรักษามารยาท อันที่จริงผมก็ไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนมากมาย
    ขอแค่ไม่มีศัตรูก็พอ ผมไม่ต้องการเพื่อนสนิท ต้องการแค่เพื่อนธรรมดาที่พอคุยเรื่องเรียนได้บ้างแค่นั้น

     

    “ดูไปดูมา นายก็หล่อเหมือนกันนะ คิก” แบคฮยอนหัวเราะเบาๆ พลางจ้องผมตาไม่กระพริบ
    ผู้ชายหัวทองที่นั่งข้างหน้าเมื่อได้ยินประโยคเมื่อกี้ก็หันมามองตาเขียว

    “ให้มันน้อยๆหน่อย แฟนก็นั่งหัวโด่อยู่นี่ ยังจะชมคนอื่นอีก”

    แบคฮยอนได้แต่หน้างุ้มแล้วหันไปเขกหัวคนข้างหน้าด้วยความหมั่นไส้“ชมหน่อยก็ไม่ได้ แค่นี้ก็ต้องหึงด้วย”

    คนโดนเขกหัวไม่สนใจคำพูดแบคฮยอน เพียงแต่ยื่นมือมาตรงหน้าผม

    “สวัสดี ฉันชานยอล แฟนแบคฮยอน ยินดีที่ได้รู้จัก” ปากก็พูดไปแบบนั้น แต่สายตาที่มองมาดูไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไร
    อาจเป็นเพราะแฟนตัวเองชมผมออกนอกหน้าก็เป็นได้ ผมเช็คแฮนด์เบาๆแล้วยิ้มให้ตามเดิม

     

    วันทั้งวันผมนั่งสัปหงกเพราะความง่วง ไม่คิดว่าการเรียนการสอนของที่นี่จะน่าเบื่อขนาดนี้

    เนื้อหาที่อาจารย์พูดมาทั้งหมดผมก็เรียนจากแคนาดามาแล้วทั้งนั้น ไม่มีเรื่องใหม่ๆมาสอนบ้างเลย

    เวลาล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยง แบคฮยอนสะกิดผมเบาๆให้ตื่นจากการหลับใหล

    “นายจะไปกินข้าวกับพวกเราไหม” แม้เจ้าตัวจะยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร แต่แฟนที่ยืนอยู่ข้างๆกลับทำหน้าไม่สบอารมณ์
    ผมชั่งใจอยู่สักพัก แต่ก็ต้องตอบตกลงไป
     ไม่ใช่ว่าอยากไปด้วยนักหรอก แต่เพราะผมไม่รู้อะไรเลยต่างหาก
    โรงอาหารอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ จะให้ไปกินคนเดียวก็หลงกันพอดี

    พวกเราสามคนขึ้นลิฟท์ลงมาที่ชั้น2 โรงอาหารอยู่ลึกสุดของชั้น ผมต้องเดินผ่านหลายห้องกว่าจะมาถึงโรงอาหารได้
    ผู้คนมากมายเริ่มทยอยกันเข้ามา เพียงแค่สิบนาทีโรงอาหารก็อัดแน่นไปด้วยนักเรียนและอาจารย์มากมาย

    ตอนไปซื้อข้าว แบคฮยอนบอกว่ายังมีเพื่อนใหม่อีกคนที่เข้ามาพร้อมผม แต่ติดธุระยังไม่มา

    ชื่อซูโฮ เป็นเด็กเรียนที่นิสัยดี เป็นมิตร และเรียนเก่งมาก

     

    ตึง ตึง ตึง ~

    เสียงดังกังวานไปทั่วโรงเรียน ผมหันมองไปรอบๆอย่างตกใจ แตก็ไม่มีอะไร ทุกคนดูปกติเมื่อได้ยินเสียงกังวานนี้
    แบคฮยอนที่เห็นอาการของผมก็ส่ายหน้าเป็นเชิงว่า
    ไม่มีอะไร ไม่ต้องตกใจ

    “เป็นแค่เสียงนาฬิกาของโรงเรียนน่ะ มันจะส่งเสียงทุกครั้งที่ครบ3ชั่วโมง”

    “พวกเราได้ยินแบบนี้จนชินแล้วแหละ นายอาจต้องทนหนวกหูไปสักระยะนะ”

     

     

    เพียงเวลาไม่นาน ซูโฮก็เดินเข้ามาร่วมทานโต๊ะเดียวกับเรา เขาขาวมาก ขาวชนิดที่ว่าแบคฮยอนยังเทียบไม่ติด
    แต่ก็ตัวเล็กเช่นกัน ครั้งแรกที่เจอผม ซูโฮจับมือผมเขย่ารัวๆด้วยความดีใจ ไม่คิดว่าจะมีเพื่อนเข้ามาใหม่เหมือนกัน

    “เพื่อนในกลุ่มเรายังไม่หมดหรอกนะ ยังเหลือคยองซู เซฮุน อี้ชิง แล้วก็มินซอก”

    แบคฮยอนพูดกับผมในขณะที่เราสองคนกำลังเดินไปเก็บจาน ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

     

    ในเวลาไม่นาน เพื่อนทั้งหมดที่แบคฮยอนพูดถึงก็เข้ามาสบทบ
    ทุกๆคนดูสนิทกันมาก ต่างจากผมที่เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา
    ฟังจากที่แบคฮยอนเล่า คยองซู มินซอกและอี้ชิงอยู่ห้องเดียวกัน ส่วนเซฮุนเด็กกว่าพวกเรา
    1ปี

     

    “ไค ทำไมนายไม่ยิ้มเลยล่ะ นายควรยิ้มบ้างนะ โลกจะได้สดใส”

    ผมหันไปตามเสียงเรียก พบผู้ชายร่างบาง ตัวเล็ก ดวงตากลมโตฉายแววสดใส

    คยองซูนั่นเองที่เป็นฝ่ายทักผม ทันทีที่เห็นใบหน้าหวานๆและยิ้มที่สดใสนั่น ผมก็เผลอยิ้มออกมา

    “ว้าว นายยิ้มแล้ว” คนตัวเล็กพูดท่าทางดีใจ
    แววตาที่ใสซื่อดูจะมีความสุขเหลือเกิน จนบางทีผมก็คิดสงสัยว่าทั้งชีวิตเขาเคยมีความทุกข์บ้างหรือเปล่า?

    “ขอบคุณนะ ที่ทำให้ฉันยิ้ม” ผมตอบกวนๆ คยองซูได้แต่ยิ้มกลับมาบางๆแล้วแยกเข้าห้องเรียนไป

     

    หลังจากทานข้าวเสร็จผมและคนอื่นๆก็เข้าห้องเรียนตามปกติ
    แต่มันไม่เหมือเดิมตรงที่ชานยอลดูจะพูดมากกว่าตอนเช้า แถมยังเลิกมองผมด้วยสายตาแบบนั้นอีก

    “นี่ๆๆ พวกนาย ใครอยากได้เพชรบ้าง” เข้ามาเรียนได้ไม่ทันไร ชานยอลก็เปิดปากพูดจนได้

    ซูโฮและผมที่ได้ยินต่างก็ยื่นหน้าเข้ามาร่วมวงอย่างสนใจ ขึ้นชื่อว่าเพชรก็น่าสนใจอยู่นี่

    “อยากได้ๆ นายมีเหรอ?” แบคฮยอนที่ดูจะสนใจมากที่สุดถามออกไป
    แต่คำตอบที่แฟนตัวเองพูดออกมาทำให้ต้องรีบตะครุบปากไว้ทันที

    “ไม่มีหรอก แต่ถ้าอยากได้ก็นู่นนแหละ ห้องสมุดชั้น8 มันมีสร้อยเพชร5กระรัดซ่อนอยู่ ไปขโมยมาซิ อุบบ..

    ชานยอลได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ไปมาในลำคอ เพราะแฟนตัวเองปิดปากไว้อยู่

    “นายบ้าไปแล้วหรือไง! จะเอาเรื่องนี้มาพูดทำไม” แบคฮยอนพูดเสียงเครียด

    ผมกับซูโฮได้แต่มองหน้ากันงงๆว่าสองคนนี้หมายถึงเรื่องอะไร

    ชานยอลเมื่อหลุดพ้นจากมือได้ก็พูดเสียงอ่อย “ฉันล้อเล่นหรอกน่า ก็มันเบื่อๆนี่”

    “ล้อเล่นแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนล่ะ! ฉันโกรธจริงๆแล้วนะ” แบคฮยอนตะคอกใส่ ใบหน้าทะเล้นเมื่อกี้หายไป กลายเป็นใบหน้าที่ยู่ยี่แทน คนตัวเล็กดูจะโกรธอย่างที่พูดจริงๆ นอกจากจะไม่คุยกับแฟนแล้ว ยังพาลมาเย็นชาใส่พวกผมอีกด้วย

    แต่ผมว่าเรื่องที่ชานยอลพูดก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไร
    ดูก็รู้ว่าร่างสูงแค่พูดหยอกเล่นๆ ใครเขาจะไปขโมยจริงๆกันล่ะ แบคฮยอนก็เกินไปนะ

     

     

     หืม.~..หืม~หืออออ~ ....~

     

    เสียงเพลงปริศนาดังขึ้นภายในห้อง เป็นเสียงที่แผ่วๆมากับสายลม แต่ก็ทำให้ผมขนลุกเกรียวได้โดยไม่ทราบสาเหตุ
    มันเป็นจังหวะทำนองโหยหวน ฟังแล้วทำให้รู้สึกหดหู้ขึ้นมาเฉยๆ

    ผมหันไปมองแบคฮยอนและเพื่อนๆ ดูจากสีหน้าทุกคนก็เหมือนจะได้ยินเสียงนี้เหมือนกัน ที่แขนแบคฮยอนขนลุกชัน

    ผมกำลังจะเอ่ยพูดถึงที่มาของเสียงประหลาดนี้ แต่แบคฮยอนหันมาพูดกับผมเสียงแข็งเหมือนอ่านใจได้

     

    “อย่าทัก!!

    “อย่าทักเด็ดขาดนะ”

     

    ผมอึ้งกับเสียงตะคอกของร่างเล็ก ในตอนนี้ไม่หลงเหลือความเป็นแบคฮยอนที่น่ารักอีกต่อไป ใบหน้าดูซีดจากเดิมมาก พร้อมทั้งประโยคแปลกๆที่ผมและซูโฮต่างก็ไม่เข้าใจ มีเพียงชานยอลที่พยักหน้าเห็นด้วย

    ถึงแม้จะไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่ก็ได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป

    ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ก็พอจะรู้ว่าไม่ควรทำอะไรนอกจากนั่งนิ่งๆเท่านั้น

     

    พวกเราปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปสักพัก เสียงเพลงเริ่มเงียบลง
    ตามด้วยลมเยือกเย็นที่พัดผ่านหลังผมไปจนเสียวแผ่นหลังไปหมด
    ผมกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีดีถึงรู้สึกกลัวขึ้นมา

     

    “ข..ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ซูโฮทีนั่งเงียบอยู่นานพูดตะกุกตะกักแล้วลุกออกไปอย่างรวดเร็ว

     

    --SCHOOL HORROR—

     

    ตึง ตึง ตึง ~

    เสียงนาฬิกาดังขึ้นเป็นรอบที่สามของวัน ผมที่ยังไม่ชินกับเสียงไดแต่สะดุ้ง

    “เอาล่ะนี่ก็หกโมงครึ่งแล้ว ทั้งสามคนกลับบ้านได้แล้ว”

    สิ้นเสียงอาจารย์ ผม แบคฮยอน ชานยอล รีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าด้วยความรวดเร็ว

    ปกติโรงเรียนจะเลิกสี่โมงครึ่ง แต่เพราะเมื่อตอนบ่ายอาจาร์ยเห็นว่าพวกเราทั้งสี่คนไม่ยอมตั้งใจเรียน

    จึงสั่งให้ทำงานเล็กๆน้อยในห้องจนเสร็จ กว่าจะกลับบ้านได้นี่ก็เย็นมากแล้ว

    แถมยังเป็นโชคดีของซูโฮที่ดันขอตัวไปห้องน้ำก่อน เลยไม่ได้โดนทำโทษด้วย แต่ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย

    กระเป๋าก็ยังอยู่ในห้อง พวกเราจึงตัดสินใจโทรตาม แต่ก็ปิดเครื่อง

     

    “ทำไมพวกเธอยังไม่กลับกันอีก เดี๋ยวฟ้ามืดจะแย่เอานะ”

    “รอเพื่อนน่ะครับ” เป็นชานยอลที่ตอบ อาจารย์พยักหน้าพอเข้าใจ ก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วเดินไปเปิดประตู

    ทันทีประตูลูกบิดเปิดออก อาจาร์ยก็เดินออกไปอย่างเร่งรีบโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูให้พวกเรา

    เสียงส้นสูงของอาจารย์ค่อยๆห่างออกไป แต่ที่น่าตกใจคือเสียงที่ตามมา

     

    “กรี๊ดดดดดดด !!!

     

    เราสามคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเสียงกรี๊ดเมื่อกี้เป็นของใคร

    ผมที่ดูจะมีสติที่สุดรีบวิ่งหมายจะเปิดประตูออกไปดู เผื่อจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

    แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าประตูล็อค

     

    “เฮ้ย เป็นไปได้ไงวะ เปิดไม่ออกอะ!

     

    ครืดดดด ครืดดดด

     

    เสียงอะไรบางอย่างขูดกับพื้นดึงขึ้นเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาแถวหน้าห้องพวกเรา

    ผมหันกลับมามองชานยอลและแบคฮยอนเหมือนขอความเห็น

    …………….” ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้น

    ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะทำใจกล้าก้มลงมองช่องใต้ประตูเพื่อดูว่าเกืดอะไรขึ้นข้างหน้าห้อง

     

     

    ปัง!!

     

    “เฮือก!!!”  

    เราทั้งสามคนสะดุ้ง เมื่ออยู่ดีดีประตูก็ถูกทุบจากภายนอก ทั้งๆที่ผมก้มดูแล้วก็ไม่มีเท้าของใครเดินอยู่แถวนี้

     

    ปัง ปัง ปัง !!

     

    ………” พวกเรายืนตัวแข็งทื่อ ไม่มีใครกล้าที่จะขยับตัว ผมที่ยืนอยู่ใกล้ประตูที่สุดกลั้นใจบิดลูกบิดอีกครั้ง

    แต่ครั้งนี้กลับเปิดออกอย่างง่ายดาย

     

    “พวกนาย!

    ทันทีที่ผมเปิดประตูออก นักเรียนหลายคนที่ผมไม่รู้จักรีบวิ่งเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนก
    ชานยอลที่เห็นผู้คนเข้ามาใหม่ก็ชี้หน้าทันที ตามด้วยแบคฮยอนที่ยังงงไม่แพ้กัน

    “เฮียคริส เทา ลู่หาน จงแด มินซอก คยองซู อี้ชิง”

    ผมมองตามเสียงที่แบคฮยอนพูด ทั้งเจ็ดคนต่างก็เหนื่อยหอบเหมือนวิ่งหนีอะไรมา

    “พวกนายมาได้ยังไง” ชานยอลถามต่อ ผมยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้าก็ได้แต่เงียบ

     

    “มีคนขโมยเพชรไป!!!

     

     

    “ว่าไงนะ!” “อ..อย่าบอกนะว่าเพชรที่พูดถึงคือเพชรในห้องสมุด” แบคฮยอนหน้าซีดเผือก

     

    “ใช่ แล้วมันก็กำลังมา”

     

    ผู้ชายร่างสูงผมสีน้ำตาลพูดเสียงเย็น

    ถึงแม้ว่าผมจะไม่เข้าใจว่ามันที่ว่าหมายถึงอะไร แต่สังเกตจากสีหน้าทุกคนในห้องดูก็รู้ว่ามันจะต้องอันตรายมากแน่ๆ

     

    “เหี้ยเอ้ยย กูไม่อยู่แล้วสัส!!” ผู้ชายที่อยู่ริมสุดรีบกุลีกุจอวิ่งออกจากห้อง

    “จงแด นายจะไปไหน!” มินซอกที่อยู่ใกล้สุดขว้ามือคนที่ชื่อจงแดไว้
    แต่ร่างสูงรีบสะบัดมันทิ้งแล้ววิ่งออกไปพลางพูดประโยคทิ้งท้ายไว้เสียงดัง

     

    “กูไม่อยู่ให้มันฆ่าหรอก กูจะกลับบ้าน”

     

     

    --SCHOOL HORROR—

     

    ……….”  หลังจากที่จงแดวิ่งออกไป คนที่เหลือในห้องเหมือนเสียสติไปหมด

    ผมที่เป็นเด็กใหม่ก็ไม่กล้าจะถามอะไร ปล่อยให้เด็กเก่าที่รู้เรื่องปรึกษากันเอง

    คยองซูได้แต่นั่งร้องไห้ด้วยความกลัว ผมที่ไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่ลูบหลังปลอบเบาๆ

    “เกิดอะไรขึ้น เล่าให้ฉันฟังหน่อยคยองซู” ผมกระซิบเสียงแผ่ว

    คยองซูเงยหน้ามามองผมที่ปาดน้ำตาให้ช้าๆ ก่อนจะสะอึกออกมาอีกครั้ง

    “มันมันจะตามมาจัดการเราทุกคนที่อยู่ในโรงเรียน” ร่างเล็กพูดเสียงสั่น

    “มันที่ว่านี่คือใคร? แล้วทำไมต้องจัดการพวกเราด้วย”

    “ไม่ใช่แค่พวกเรา..แต่เป็นทุกคนที่ยังอยู่ในโรงเรียนตอนนี้ และมันจะไม่ยอมปล่อยให้เราออกไปง่ายๆแน่”

    ผมยังขมวดคิ้วงงกับประโยคของร่างเล็ก ทำไมต้องพูดอ้อมค้อมด้วย พูดตรงๆไม่ได้เหรอว่ามันคืออะไร

    เหมือนร่างเล็กจะรู้ว่าผมยังไม่เข้าใจ จึงพูดต่อไป

    “ฟังนะไค..

    เมื่อห้าปีก่อน มีคนขโมยเพชรในห้องสมุดไป ภายในวันเดียวกันหลังหกโมง ใครก็ตามที่ยังอยู่ในโรงเรียนก็จะตายกันหมด ไม่มีใครรู้ว่าสาเหตุการตายคืออะไร แต่วันรุ่งขึ้นตำรวจพบว่าเพชรอยู่ในห้องสมุดเหมือนเดิม ทั้งๆที่เมื่อวานมันหายไป”

    ตำรวจสันนิฐานว่ามีคนร้ายแฝงอยู่ในหมู่นักเรียนแล้วตามฆ่าหมด”

    แต่พวกเราคิดว่าไม่น่าใช่”

    ผมนิ่งอึ้งกับประโยคทั้งหมดที่คยองซูพูดออกมา มันดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นไปแล้ว

    “แล้วคยองซูคิดว่าเป็นฝีมือของใคร? ใครที่ฆ่านักเรียนพวกนั้น?”

    ……

     

    ….ผี!







       ' หืม.~..หืม~หืออออ~ ....~

     

     

    แล้วเพลงปริศนาก็ดังเข้ามาในโสตประสาททุกคนอีกครั้ง









    --SCHOOL HORROR--


     

    THE★ FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×