ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC EXO SCHOOL HORROR [END]

    ลำดับตอนที่ #8 : SCHOOL : CHAPTER6

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.ค. 56


     

    ชี้แจงนิดนึงนะคะ บางคนยังงงๆ

    ในเรื่องนี้มีผีจริงนะคะ ไม่ใช่คนปลอมตัวอะไรทั้งนั้น
    มันออกแฟนตาซีหน่อยๆ ประมาณผีถือมีดได้จับต้องได้ไรงี้ 55
    จะให้ล่องหนลอยไปลอยมาธรรมดาก็ไม่หนุกอะจิ XD

    แต่ไอคนยังเป็นปริศนาอยู่ก็คอยดูกันต่อไป ^^


     


    CHAPTER 6

     

    “คุณจะทำอะไรผม!


    ผมก้าวถอยอย่างรวดเร็วเมื่อร่างสูงโปร่งยื่นเปลวไฟเข้ามาใกล้ แขนทั้งสองข้างปัดป่ายไปตามสัญชาติญาณการป้องกันตัว
    การกระทำแบบนี้บ่งบอกว่าร่างสูงไม่ได้หวังดีกับผมอย่างแน่นอน

    ตุบ!

    ผมถีบเข้าที่หน้าท้องแกร่งอย่างแรงจนไฟแช็กที่มือกระเด็นออกไป แต่ร่างสูงเพียงแค่เซเล็กน้อยราวกับไม่สะทกสะท้าน
    นั่นทำให้ผมอึ้ง ใครๆก็บอกว่าผมมือเท้าหนัก ผมแรงเยอะ เรื่องใช้กำลังผมไม่เคยแพ้ใคร

    แต่นี่กลับไม่ปลิวอย่างที่ผมคาด

    ผลัก!

    ผมออกแรงผลักหน้าอกไปอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ค่อยสะทกสะท้านเหมือนเดิม

    ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีแล้วสิ ดูเหมือนว่าร่างสูงจะแข็งแรงกว่าผม หรืออาจจะเหนือกว่าผมในด้านกำลัง

     

    “โอ้ยยย” มือหนาต่อยท้องผมอย่างแรงจนจุกไปทั้งตัว แค่หมัดเดียวก็ทำให้ผมแทบพูดไม่ออก

    มันชาไปหมด ผมล้มกุมท้องอีกครั้งด้วยความเจ็บ แค่นั้นยังไม่พอ มันไม่ปล่อยให้ผมได้ทำอะไรต่อ

    พลันมือก็คว้าขวดเบียร์ที่เหลืออยู่ในลังข้างๆตัวมากระแทกศีรษะผมทันที

     

    ความรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวแล่นเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้มันหนักกว่าเดิมหลายเท่า แผลเก่าเมื่อครู่โดนซ้ำไปอีกรอบที่รอยเดิม
    บวกกับแอลกอฮอล์ที่บรรจุอยู่ในขวดก็ไหลลงมาเต็มหน้าผม มัน
    แสบไปหมดทั้งศีรษะ

     

    ปึก!

    มันใช้เท้าเตะผมที่ยังนั่งกุมท้องจนกลิ้งขลุกๆไปตรงกองกระดาษลัง

    ผมพยายามใช้มือทั้งสองข้างยันตัวเองให้ลุกขึ้นแต่ก็ไม่เป็นผล ร่างกายมันบอบช้ำเกินไป

    ความเจ็บปวดบนหัวทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก หัวสมองมันแทบไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว

    เพียงแค่ยังมีสติครองอยู่ก็ถือว่าดีเท่าไรสำหรับคนอย่างผม

     

    ร่างสูงขว้างเศษขวดที่เหลือใส่ตัวผมและหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดอีกครั้ง มือหนายื่นมันมาจ่อตรงกล่องลังที่ละกล่องๆรอบตัวผม
    จนมาถึงกล่องใบสุดท้ายที่ร่างสูงจุดเปลวไฟ และตบท้ายด้วยการเตะกล่องใบนั้นเข้ามาหาผม

     

    ปัง! เสียงประตูปิดลงพร้อมกับเสียงล็อคกลอนจากข้างนอก

     

    นี่มันกะจะเผาทั้งห้องเลยงั้นเหรอ

     

    ในตอนนี้ผมที่สภาพรอมร่อกำลังใช้แรงที่อ่อนล้าของตัวเองขว้างกล่องที่ติดไฟทิ้งไปมุมห้อง บ้างก็พยายามทำให้ดับทุกวิถีทาง
    ทั้งเป่า ทั้งเหยียบ หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็ไม่สามารถดับได้ถ้าไม่มีน้ำ

    และมีอีกอย่างที่ผมลืมคิดไป คือตัวผมชุ่มไปด้วยน้ำมันและแอลกอฮอล์

    ขืนเข้าไปไกล้หรือทำอะไรมากกว่านี้มีหวังไฟลุกแน่

     

    ทำได้เพียงใช้เท้าถีบกล่องออกไปไกลๆตัวเท่านั้น และเมื่อกล่องทุกกล่องติดไฟแล้วมากระทบกันจากแรงถีบของผม
    มันก็จะลามมากกว่าเดิมเพราะเชื้อเพลิงที่มีมากในห้องนี้

     

    ผมถีบสะเปะสะปะไปเรื่อยๆจนไฟล้อมเป็นวงรอบตัวผม

    กล่องกระดาษที่มีอยูบัดนี้เริ่มจะหดลงเพราะการแผดเผา

    ควันเริ่มคละคลุ้งกระจายภายในห้องขนาดเล็ก

     

    ผมไอสำลักควันจนน้ำตาคลอ ในตอนนี้ผมเริ่มมองอะไรไม่เห็นด้วยซ้ำเพราะสีมัวๆของควัน

     

    หรือนี่จะเป็นจุดจบผมกันนะไม่มีใครมาช่วยผมเลยใช่ไหม

    ไม่สิพวกเขาตั้งใจจะให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว เขาต้องการให้ผมตาย

    ไม่อย่างนั้นจะผลักผมออกมาทำไมล่ะจริงไหม

     

    คิดแล้วก็อดคาดหวังไม่ได้ ในใจมันก็แอบคิดว่าบางทีลู่หานอาจจะเป็นห่วงผมและออกมาช่วย

    แต่มันคงเป็นความหวังที่ไม่เป็นจริง ผมเป็นขนาดนี้แล้ว ถึงมาช่วยตอนนี้ก็คงไม่ทัน

    หรือถ้าจะมาจริงๆก็คงมาถึงตั้งนานแล้ว ผมไม่ควรรออะไรที่มันเป็นไปไม่ได้

     

     

    “เซฮุน”

     

    เสียงลู่หาน

     

    “เซฮุน”

     

    ใช่ ผมจำไม่ผิด..นี่เสียงลู่หาน

     

    แรงที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนในตัวผมตอนนี้ยันตัวเองให้ลุกขึ้นและวิ่งไปทุบประตูด้วยความรวดเร็ว

    เพียงแค่เสียงเรียกของเขา ก็สามารถทำให้ผมฮึดสู้ขึ้นมาได้

     

    “ลู่หาน! ฉันอยู่นี่”

    “ลู่หาน!

     

    ผมตะโกนพลางทุบประตูเหล็กไปด้วย ควันเริ่มโขมงเต็มห้องเพราะไม่มีช่องระบาย

    แม้แต่ช่องใต้ประตูก็ไม่มีให้ หน้าต่างสักบานก็ยังไม่มี ผมที่อยู่โรงเรียนนี้มาสองปีเพิ่งจะได้เห็นห้องนี้เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

     

    “แค่กๆ”

    “ลู่หานฉันอยู่นี่ ช่วยด้วย!

     

    ผมทุบประตูออกไปอีกครั้ง แต่เสียงที่ตอบกลับมาคือความเงียบ

    ไม่มีเสียงใครตอบกลับมาทั้งนั้น หรือแม้แต่เสียงฝีเท้าแถวๆนี้

     

    ผมอาจจะคิดไปเอง ผมคงคิดถึงเขามากไปหน่อยจนหูฝาด

    อย่างลู่หานน่ะเหรอจะออกมาตามหาผม อย่าหวังซะให้ยากเลย

     

    ไม่มีไม่มีใครมาช่วยผมทั้งนั้น มีแต่ผมที่บ้าอยู่ในนี้คนเดียว

    หรือจะปล่อยให้สำลักควันตายในนี้ดีนะ

    ลู่หานคงจะดีใจที่ไม่มีเซฮุนตัวน่ารำคาญมาขัดขวางความรัก

     

    ” ผมเอนหลังพิงประตูอย่างเนื่อยอ่อน

    เริ่มหายใจไม่คล่อง สูดอากาศเข้าไปก็มีแต่สำลัก สู้ไม่หายใจดีกว่าจะได้ไม่ทรมาณ

     

    ผมสะดุ้งเมื่อเผลอวางมือไปบนกล่องที่ไฟลุกอยู่ อ่า..มือผมเกือบไหม้เป็นเตาถ่านไปซะแล้ว

     

    มองไปทางไหนก็มีแต่สีเทา ผมไม่สามารถมองเห็นอะไรรอบๆได้เลย

    ไม่กล้าขยับตัวไปไหนเพราะก้าวขาซ้ายออกไปอาจจะโดนไฟเผาได้อย่างเมื่อกี้

     

    กริ๊ก! เสียงไขประตูจากข้างนอก

     

    ผมลุกขึ้นเกาะประตูทันที ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ช่วยเปิดประตูทีเถอะ

    ถึงออกไปจะเจออะไรที่ไม่อยากจะเจอแต่มันก็ยังดีกว่ารอความตายอยู่ในนี้

     

    ประตูถูกดึงออก เผยให้เห็นคนที่อยู่ข้างนอก เขาไม่ใช่ผีหรืออะไรที่ผมคิด แต่เขาคือ

     

    “ลู่หาน!

     

    ผมโผเข้ากอดร่างบางแน่นเพราะความดีใจหรืออะไรก็แล้วแต่

    ลู่หานอยู่ตรงหน้าผมแล้ว ผมไม่ได้คิดไปเอง เขามาช่วยผมจริงๆ

     

    “ฉันดีใจที่เป็นนายนะลู่หาน” ผมปลดปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาโดยไม่อาย

    จะอายอะไรล่ะ มาถึงขนาดนี้ไม่มีอะไรต้องปกปิดความรู้สึกอีกแล้ว

     

    ร่างบางผละจากอ้อมกอดผมก่อนจะลูบหัวอย่างแผ่วเบา

    “ฉันเป็นห่วงเลยออกมาตามหานาย”

    “ถ้านายมาช้ากว่านี้อีกนิดล่ะก็นะ ฉันได้ไหม้เป็นตอไปแล้วแน่ๆ” ผมหน้ามุ่ย

    ถึงแม้จะเจ็บที่ศรีษะ แต่ถ้าเป็นลู่หานผมยอมให้ทำมากกว่าลูบหัวอยู่แล้ว

    ร่างบางหน้าเหวอไปหลังจากที่ผมพูด “หมายความว่าไง? แล้วแผลบนหัวนี่มาจากไหน!

    เมื่อแบมือออกก็เห็นเลือดสีแดงข้นที่ติดออกมาจากหัวผม

    “มีคนจะฆ่าฉัน มันเผาและเอาขวดเบียร์ตีหัวฉัน”

    “ว่าไงนะ แล้วมันเป็นใคร!” ลู่หานตะโกนลั่นอย่างลืมตัว

    “ไม่รู้เหมือนกัน มันใส่ยูนิฟอร์มโรงเรียนเราแต่ไม่ปักชื่อ” ลู่หานพยักหน้าพลางครุ่นคิด

    อันที่จริงการไม่ปักชื่อก็เป็นเรื่องปกติของเด็กที่นี่อยู่แล้ว ในกลุ่มพวกเราก็ไม่มีใครปักชื่อเหมือนกัน

    “มินซอกก็เกือบโดนฆ่านะ มินซอกเล่าให้ฉันฟังว่ามันพยายามจะใช้เชือกรัดคอ”

    “เป็นไปได้ไหมที่จะเป็นคนเดียวกัน? มันเป็นผู้ชายหรือเปล่าเซฮุน”

    “อ่า ใช่” ผมนึกย้อนไปเมื่อกี้ มือหนานั่นเหมือนจะมีรอยอะไรซักอย่างที่ผมนึกไม่ออก

    “ก่อนที่พวกนายจะมา พวกฉันไปห้องวิชาการ ฉันเห็นพวกนายหน้าห้องน้ำ แต่ไม่เห็นเท่ากับจงแดเลย”

    “สองคนนั้นไปไหน แล้วทำไมฉันไม่เห็นในกล้องวงจร?” ผมถามลู่หาน ร่างบางไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

    “เทาคงจะงอนเฮียคริสแล้วไปไหนสักที่เนี่ยแหละ” “อย่าลืมว่ากล้องไม่ได้มีทุกที่ในโรงเรียน”

    …..

    “ยังเหลือห้องน้ำ บันไดหนีไฟ ห้องผู้อำนวยการ และห้องสมุดอีกนะ”

    “อ่า จริงด้วย” ผมลืมไปเสียสนิทเลยว่ายังมีห้องแบบนี้อยู่

     

    “รอแปปนะ” ร่างบางดีดนิ้วเปาะเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ สักพักก็มาพร้อมกับถังดับเพลิงในมือ

    “ลืมไปเลยว่าไฟไหม้ห้องอยู่ แหะๆ” ยิ้มแห้งให้ผมก่อนจะฉีดควันสีขาวคละคลุ้งไปทั่วห้อง

     

    “นายพาฉันไปทำแผลที่ห้องพยาบาลได้ไหม” ผมจูงมือเล็กนั่นให้เดินตามแต่เจ้าตัวยื้อเอาไว้

    “เรามีกันแค่สองคน ถ้าอยู่ดีดีมันโผล่มาล่ะ” ร่างบางเน้นคำว่ามันจนผมอดขำไม่ได้

    “ไม่ต้องห่วงหรอกถ้ามันมา ฉันจะปกป้องนายเอง”

    “ไม่ต้องมาทำเป็นพระเอกเลย ตัวเองยังเอาไม่รอด” ลู่หานดีดหน้าผากผมจนแดงเถือก

    คำหมิ่นประมาทกึ่งเล่นกึ่งจริงนั่นทำให้ผมเสียเซลล์ไปเลย มันดูเหมือนผมเคะยังไงยังงั้น

    “นี่! ไม่เชื่อฉันเหรอ ฉันสามารถตายแทนนายได้เลยนะ” ผมยืดอกอย่างมั่นใจ

    ร่างบางแลบลิ้นใส่ผมก่อนจะวิ่งนำไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

    “วิ่งไปแบบนั้นระวังนะ” ผมพูดเสียงเย็น

    กะแกล้งร่างบางเล่นๆแต่เจ้าตัวหน้าซีดแล้วถอยกลับมาหาผมด้วยความกลัว

    “ทีหลังอย่าเล่นแบบนี้อีกนะเซฮุน!” เจ้าตัวค้อนใส่ผมแล้วสะบัดหน้าหนี

    ผมได้ทีก็จับมือเล็กมากุมไว้แล้วเดินไปด้วยกัน แม้ร่างบางจะขัดขืนเล็กๆก็ตาม

     

    ยังไม่อยากกลับไปหาคนอื่นเลย

    ขออยู่แบบนี้ไปสักพักนะฮะ

    ได้แค่นี้ก็ยังดี

     

    ….

    “นี่ เซฮุน”

    “เซฮุน!

    “ห..หะ?” ลู่หานเรียกผมเสียงดังระหว่างที่เราทั้งสองคนกำลังเดินไปห้องพยาบาล

    “เหม่ออะไรน่ะ”

    “เปล่า” ผมตอบเสียงแผ่วทำให้ร่างบางที่จับสังเกตได้ต้องหันมามองด้วยความแคลงใจ

    “เป็นอะไรหรือเปล่า”

    “ไม่มีอะไร แค่เจ็บแผลบนหัวอะ” กุมศรีษะทำท่าประกอบไปด้วยจนร่างบางเลิกสนใจจะถามต่อ

     

    ผมกระชับฝ่ามือให้แน่นแฟ้นกับมือเล็กยิ่งขึ้นจนลู่หานกัดปากก้มหน้านิ่ง แต่ก็ไม่ได้ชักมือกลับ

    ” ผมถอนหายใจเบาๆก่อนจะปล่อยมือนั้นให้เป็นอิสระ

    “ถ้ามันฝืนความรู้สึกของนายก็ไม่เป็นไร” ร่างบางเงยหน้ามองผมด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย

    พลันคว้ามือหนาของผมให้จับกับมือเล็กของตนด้วยตัวเอง แต่กลับเป็นผมเองที่ผลักไสมือนั้นออกไป

    “ฉันบอกแล้วว่าอย่าฝืน ต่อให้กุมแน่นแค่ไหนก็ไม่รู้สึกอุ่นเลยสักนิด” ผมเบือนหน้าหนี

    อยากจะเลิกพูดเรื่องนี้แล้วทำเฉยซะ แต่มันก็ทำไม่ได้ ผมเผลอพูดออกไปจนได้

    ความรู้สึกดีดีเมื่อกี้ถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศน่าอึดอัดแทน

     

    “นายยังตัดใจจากฉันไม่ได้อีกเหรอ” ลู่หานก้มหน้าอีกครั้ง ถ้าผมสังเกตไม่ผิดคือเขาตาแดงก่ำ

    …..” ผมไม่ตอบ

    “เมื่อไรนายจะเรียกฉันว่าฮยองซักที” ร่างบางยังถามต่อไปโดยที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา

    …..

    “จนกว่าฉันจะตัดใจจากนายได้ฉันจะเรียกนายว่าฮยอง”

    …..” กลายเป็นร่างบางทีเงียบแทน

    เราสองคนไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้น เพียงแต่เดินไปเรื่อยๆตามทางงระเบียง

    ยังไม่ทันไรผมก็เดินชนไหล่กับใครบางคนในมุมมืด เมื่อเพ่งดูก็พบว่าเป็นไคฮยองนั่นเอง

    “ไค!” ลู่หานตะโกนให้ร่างสูงได้ยิน

    “อ่าวลู่หาน มาทำอะไรที่นี่ แล้ว..เซฮุน”
    ไคฮยองชี้มาที่ผมอย่างงงๆก่อนจะเปลี่ยนมาทำสีหน้าตกใจแทนเมื่อเห็นแผลและคราบเลือดบนหัวผม

    “คือว่าเรื่องมันยาวน่ะฮะ ผมขอตัวไปทำแผลก่อนนะ”

    “อืม ดีแล้วที่นายไม่เป็นอะไร” ร่างสูงตบไหล่ผมเบาๆแต่ก็ต้องหน้าสลดเมื่อลู่หานถามถึงซูโฮฮยอง

    “ซูโฮล่ะ ทำไมไม่มากับนาย?”

    “คือ..เขาไม่ยอมมากับผม” ไคฮยองเสียงสั่น ลู่หานจึงลากแขนร่างสูงให้เดินไปอีกฝั่ง

    “ซูโฮเป็นอะไร นายเล่ามาเดี๋ยวนี้” ผมได้ยินลู่หานพูดแค่ประโยคนั้นก่อนไคฮยองจะเล่าอะไรให้ฟังไม่รู้เพราะผมไม่ได้ยิน
    ดูเหมือนทั้งสองไม่อยากให้ผมรู้เรื่องราวตอนนี้ ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพียงแต่ยืนนิ่งๆรอสองคนนั่นเดินมา

     

    เวลาล่วงเลยไปพอสมควรทั้งคู่ก็พากันเดินมาหาผม

    ลู่หานดูจะเปลี่ยนไปจากเมื่อกี้ ร่างบางไม่พูดอะไรเลย แต่สีหน้าและท่าทางดูจะไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด

    ไคฮยองก็เช่นกัน แต่ดูเหมือนร่างสูงจะหน้าซีดตลอดเวลาตั้งแต่ที่เดินชนไหล่ผมแล้ว

     

    “ไปทำแผลกันเถอะ” ลู่หานพูดเสียงเรียบก่อนจะลากผมเดินอย่างเร็ว

    ร่างบางคงจะลืมเรื่องที่เราพูดกันเมื่อกี้ไปเสียสนิท ถึงได้จูงมือผมโดยไม่แสดงอาการแปลกๆออกมา

     

    --SCHOOL HORROR—

     

    [JONGIN (KAI) PART]

     

    ผมกับลู่หานและเซฮุนเดินมาถึงห้องพยาบาลที่มีนาฬิกาดิจิตอลตั้งอยู่หน้าห้อง

    ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมาได้ยังไง ผมเพียงแค่เดินผ่านเข้าห้องไปเฉยๆพร้อมกับสองคนนั้น

    “ไค ยังคิดเรื่องซูโฮอยู่เหรอ หน้าซีดเชียว” ลู่หานทักทันทีที่เปิดไฟในห้องจนสว่างจ้าแล้วสังเกตได้

    “อ่า..คงงั้นมั้ง” ผมตอบเสียงแผ่ว ดวงตาก็หลุกหลิกไปมาอย่างมีพิรุธ

    ลู่หานมองผมเหมือนมีอะไรแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา อาจเป็นเพราะรุ่นน้องข้างๆที่ยังเจ็บแผลอยู่

     

    ใช่ ไม่มีอะไร

    ไม่มีอะไรจริงๆ

     

    คำถามของลู่หานทำให้ผมหวนคิดไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน

    เหตุการณ์ที่ผมคิดไม่ใช่เรื่องของซูโฮ แต่เป็นเรื่องของผมกับห้องสมุดชั้นแปดต่างหาก

     

    หลังจากที่ผมผละจากซูโฮมาได้ ผมก็เข้าไปในลิฟท์แล้ว…’

     

    เมื่อลิฟท์เปิด ผมกำลังจะกดชั้นหก เป็นชั้นที่พวกชานยอลอยู่

    แต่พลันสายตาไปเจอกับปุ่มลิฟท์ชั้นแปดอย่างช่วยไม่ได้

    มันคงยากถ้าจะให้ผมไม่สงสัยเรื่องห้องสมุดในชั้นนั้น

    มือไปไวกว่าความคิดเสมอ ผมเผลอกดชั้นแปดตามใจสั่งทั้งๆที่ไม่อยากจะขึ้นไปซักนิด

     

    ใจผมเต้นระรัวด้วยความกลัวปนตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน ผมไม่เคยขึ้นไปเหยียบชั้นนั้นเลย

    ถ้าเกิดประตูลิฟท์เปิดออกแล้วเจอกับอะไรที่มันไม่ใช่คนยืนอยู่หน้าลิฟท์ล่ะ?

    แล้วถ้าลิฟท์เกิดค้างขึ้นมาระหว่างขึ้นชั้นแปดล่ะ?
    เมื่อคิดอะไรไปต่างๆนานาความกลัวก็เริ่มทวีคูณ แต่พลันจะถอยกลับก็ไม่ทันซะแล้ว

    เพราะตัวเลขลิฟท์ขึ้นเลขแปดพอดี ประตูลิฟท์เปิดออกเผยให้เห็นทางเดินที่มืดสลัว

     

    ผมยืนค้างอยู่ในลิฟท์อย่างนั้น มือก็กดปุ่มเปิดประตูให้ค้างเอาไว้

    ไล่สายตามองไปตามทางเดินที่มีห้องเรียนต่างๆเรียงรายไปจนสุดชั้น

    น่าแปลกที่ชั้นแปดนี้ไม่เปิดไฟเลยนอกจากห้องสมุดที่อยู่ในสุด

     

    ผมอาศัยแสงสว่างจากห้องสมุดที่อยู่ห่างจากผมไปราวๆสิบห้องเรียน ค่อยๆก้าวออกมาจากลิฟท์

    จุดหมายผมตอนนี้คือห้องสมุด ถึงจะกลัวแต่มันก็อาจทำให้ผมได้รู้อะไรในสิ่งที่ไม่รู้ได้ด้วย

    เรื่องราวเมื่อห้าปีก่อนที่คยองซูเล่ามันดูไม่มีมวลสารพอ ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

    เหตุการณ์มันดูเหมือนไม่สอดคล้องกันยังไงยังงั้น หรืออาจจะยังมีอะไรที่ผมไม่รู้?

     

    ผมพยายามก้าวขายาวๆระหว่างเดินไปห้องสมุด ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากหันมองอะไรทั้งนั้น

    ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนมีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่ผมตลอดเวลาที่เดิน

    แสงสลัวๆเพียงน้อยนิดทำให้เกิดเงาเป็นรูปเป็นร่างจนผมคิดไปไกล

    ผมเดินตัวเกร็งหันหน้ามองตรงตลอดเวลา สายตาผมในตอนนี้คือห้องสมุดเท่านั้น

     

    เมื่อเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แสงไฟภายให้ห้องสมุดทำให้ผมเห็นอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น

     

    ….” 

     

    หยดน้ำอะไรบางอย่างตกลงมาใส่หัวผม มันเป็นน้ำใสๆที่มีกลิ่นแรงมาก

    ผมเงยหน้ามองต้นตอของหยดน้ำนั้น พบอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมขนลุก!

     

    ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งเธอนั่งห้อยขาอยู่บนคานตรงจุดที่ผมยืนอยู่

    ดวงตาของเธอสีขาวโพลน เธอก้มหน้ามาทางผม ผมไม่แน่ใจว่าเธอจ้องผมอยู่หรือเปล่า

    เพราะดวงตาของเธอไม่มีตาดำ แต่ใบหน้าเรียบนิ่งและขาวซีดนั่นทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก

     

    ผมยืนตัวเกรงอยู่ตรงนั้น เธอยังแกว่งขาไปมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    น้ำที่คาดว่ามาจากตัวของเธอก็ไหลลงมาตามเส้นผมยาวสีดำ

     

     “……” เวลาผ่านไปหลายนาที ร่างข้างบนก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะทำอะไรผม

    เธอเพียงแต่จ้องผมเฉยๆและแกว่งขาไปมาโดยไม่กลัวว่าจะตกจากที่สูงที่เธอนั่งอยู่

     

    ผมคาดว่าเธอน่าจะอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้แล้ว หรืออาจจะไม่ได้จงใจอะไรกับผม

    เหมือนเธอเฝ้าอยู่นี่ที่เฉยๆ ผมทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น

    แต่ในความคิดผม ผมว่าให้ผีสาวจูออนที่ผมเจอเธอคลานอยู่บ่อยๆมาอยู่ที่นี่แทนมันยังจะดีกว่านี้

    อย่างน้อยผีสาวตนนั้นก็ไม่มองผมด้วยสายตาที่น่าขนลุกแบบนี้

    แม้เธอจะไม่ทำอะไรผม แต่ก็ทำให้รู้สึกหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา

     

    ผมกลืนน้ำลายฝืดคอ ฝ่ามือและใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อและหยดน้ำจากข้างบน

    ทำใจกล้าก้าวออกไปจากตรงนั้นแล้วตั้งใจเดินหน้าต่อให้ถึงห้องสมุด

    เพียงแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น….ห้องสมุดอยู่ตรงหน้าผม

     

    พลันก็หันกลับไปเงยมองร่างข้างบนคานอีกที เธอยังคงจ้องผมอยู่ตลอด

     

    ผมหันกลับมาสนใจห้องสมุดต่อ ห้องนี้เป็นประตูกระจกใส ผนังก็เป็นกระจกใสหมดเช่นกัน

    ทำให้ผมสามารถมองเห็นภายในห้องได้ มันก็ไม่ต่างจากห้องสมุดทั่วไป เพียงแต่ใหญ่และกว้างเท่านั้น

     

    ผมกวาดสายตามองห้องนั้นอยู่ห่างๆ ผมไม่จำเป็นต้องเข้าไปใกล้ๆเพราะแสงไฟที่เปิดสว่างจ้าภายในห้องและกระจกใสทั้งหมดทำให้ผมมองเห็นทุกอย่าง

     

    ข้างในไม่มีใครอยู่ และไม่มีกล้องสักตัว ผมถึงไม่เห็นจากกล้องวงจรปิดในห้องวิชาการ

    ข้างๆชั้นหนังสือมีอะไรบางอย่างขยับอยู่ ผมพยายามเพ่งดูให้ชัดเจน พบว่านั่นคือคน

     

    คนๆนั้นคือจงแด!!

     

     ร่างสูงนอนไร้สติอยู่ข้างชั้นหนังสือ แต่ลมหายใจที่หอบรวยรินอยู่นั้นทำให้รู้ว่าเขายังไม่ตาย

    เนื้อตัวเขาเปื้อนไปด้วยของเหลวสีแดงที่เรียกว่าเลือด

     

    ผมกระโจนเข้าไปทุบประตูกระจกทันทีอย่างลืมตัว

    “จงแด!! ผมตะโกนลั่นหวังให้ร่างสูงรู้สึกตัว

     

    !!!! ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเหมือนวูบไป

     

    ทันทีที่ฝ่ามือผมแตะประตูนั่นได้สายตาก็พร่ามัวและขาวโพลนไปหมด

    มันให้ความรู้สึกเหมือนตัวลอยล่องอยู่กลางอากาศ เหมือนร่างกายเบาหวิวและไร้น้ำหนัก

    เสียงดังลั่นก้องเข้ามาในโสตประสาทผมพร้อมกับภาพที่โผล่เข้ามาในหัวสมอง

     

    กรี๊ดดดดดดดดดด

     

    ทุกคนต้องตาย

     

    ไม่ใช่เขา

     

    ไม่ใช่คนนั้น

     

    ฆ่ามัน

     

    ต้องรอด

     

    ‘!!!!!!!!!’

     

    ตุบ!!

     

    เสียงอะไรบางอย่างกระทบกับพื้นทำให้ผมหลุดจากภวังค์อันน่ากลัว

    ผมได้ยินเสียงผู้หญิงและเสียงผู้ชายสลับกันไปมา เหมือนประโยคแต่ละประโยคจะไม่ติดต่อกัน

    ผมเห็นภาพ ผมเห็นเลือด ผมเห็นประโยคบางอย่างอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่นี่ที่ มันถูกเขียนด้วยเลือด

     

    ผมหันไปทางต้นเสียงที่ทำให้ผมหลุดจากภวังค์ทันที

     

    ร่างของหญิงสาวที่เคยอยู่บนคาน บัดนี้กำลังเดินมาทางผมด้วยท่าทางโซซัดโซเซ

    ดวงตาขาวโพลนยังคงจ้องมาที่ผมไม่ลดละ เธอขยับปากเล็กน้อยเหมือนพยายามพูดอะไรออกมา

     

    อย่าเข้ามายุ่ง!’

     

    เสียงดังก้องไปทั้งชั้นพร้อมกับร่างซูบเซียวที่กำลังเดินมาทางผม

    ผมได้ยินดังนั้นจึงรีบวิ่งหนีลงบันไดทันทีโดยไม่ได้หันหลังกลับไป

     

    ……

     

    “ไค หน้าซีดอีกแล้วนะ เหงื่อเต็มหน้าเลย”  ลู่หานหันมาพูดกับผมในขณะที่มือกำลังทำแผลให้รุ่นน้องอยู่

    ผมเพียงแต่ยิ้มแห้งๆให้ร่างสูงเท่านั้น ในหัวสมองก็คิดแต่เรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา

    ผมควรจะบอกเรื่องนี้ให้ลู่หานรู้ดีไหมนะ?

             

    แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

     

     

    --SCHOol horror--


     

    THE★ FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×