คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Flight 01: กองบินแปด (100% uploaded)
ไกลแผ่นดินออกไปกลางทะเลอันดามันที่งดงาม น้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มตัดกับสีเขียวของหมู่เกาะแห่งหนึ่ง หมู่เกาะซึ่งไม่มีชื่อเสียงเรียงนามปรากฏในแผนที่โลก แต่ได้ถูกระบุให้อยู่ในเขตการปกครองของประเทศไทย ภูมิประเทศด้านตะวันตกเป็นภูเขาสูงถูกปกคลุมด้วยป่าดิบชื้นเขียวขจีน่าสัมผัส รายล้อมด้วยหาดทรายขาวละเอียดน่าใฝ่หา เกาะแห่งนี้จะเป็นสวรรค์ของพลเรือนไทยทันทีหากเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้คนทั่วไปได้ทัศนาความน่ารื่นรมย์นี้ หากฝั่งตะวันออกของเกาะไม่ใช่สถานที่ต้องห้ามในครอบครองของกองทัพอากาศไทย
ลานบินกว้างขวาง มีเครื่องบินหลากชนิดจอดเรียงอยู่อย่างมีระเบียบ หอบังคับการบินที่สูงตระหง่าน รันเวย์ทอดยาวออกสู่พื้นสมุทร เสียงเครื่องยนต์ไอพ่นดังกระหึ่มเหนือน่านน้ำอันดามัน นี่คือสิ่งที่คุ้นเคยของผู้ที่มีหน้าที่จำเป็นต้องพำนักอยู่บนเกาะแห่งนี้ ฝูงบินขับไล่ยุทธวิธีฝูงหนึ่งกำลังซ้อมรบอย่างบ้าระห่ำ F-16 Fighting falcon สองลำเร่งความเร็วสูงถึงสามร้อยสามสิบน็อตก่อนจะหักเลี้ยวมุมแคบไปทางขวาพร้อม ๆ กัน เพื่อหลบหลีกการล็อคเป้านิ่งของ JAS-39 Gripen อีกสองลำที่บินจ่อท้ายมาติด ๆ ขณะที่เหนือฟากฟ้ากำลังไล่บี้กันอย่างดุเดือด บนแท็กซี่เวย์ก็ยังมี SU-30 MKT หนึ่งลำขับเคลื่อนเข้าสู่รันเวย์ เครื่องบินลักษณะเดียวกันอีกหนึ่งลำที่รันเวย์กำลังเตรียมตัวเทคออฟ พร้อมกันนั้นที่รันเวย์ข้างเคียง F-16 ลำหนึ่งลดระดับลงพร้อมจะแลนดิ้ง ตามติดมาด้วย F-16 อีกลำหนึ่งซึ่งเสร็จสิ้นภารกิจแล้วเช่นกัน
นักบินนำเครื่องบินทั้งสองลำเข้าจอดที่ลานบินอย่างเป็นระเบียบ ก่อนที่พวกเขาจะลงจากอินทรีย์เหล็ก ชายหนุ่มในชุด G suit สีเขียวเข้ม ค่อย ๆ ถอดหมวกที่มีท่อยาวเป็นส่วนประกอบทางด้านหน้าคล้ายงวงออกเผยให้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ราวกำลังจะได้รับทรัพย์สมบัติล้ำค่า
“ไอ้แพน บอกทีซิว่าวันนี้วันอะไร” นักบินหนุ่มคนทางซ้ายที่ตัวสูงกว่าคนทางขวาราวสามเซนติเมตรถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“วันที่แกจะได้เจอหน้าพ่อบังเกิดเกล้า” นักบินที่ดูเหมือนจะถูกเรียกว่าแพนยิ้มกว้างแล้วตอบอย่างเริงร่า โดยไม่ได้สังเกตคนข้าง ๆ เลยว่าสายตาที่มองเขากลับมาเป็นอย่างไร
เหตุที่นักบินทั้งสองร่าเริงจนลิงโลดอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้เป็นเพราะ วันนี้คือวันศุกร์ วันที่เหล่านักบินบนเกาะแห่งนี้จะได้กลับบ้าน หลังจากเผชิญการซ้อมรบมาตลอดห้าวัน บางครั้งก็ฝึกกันตอนกลางวัน แต่บางครั้งก็ฝึกกันตอนกลางคืน สร้างความเหนื่อยล้าให้กับพวกเขาเป็นอย่างมาก จนมีคำกล่าวเป็นที่ติดปากของนักบินฝูงนี้ว่า “วันศุกร์คือวันปล่อยผี”
นักบินจากเครื่องบิน F-16 ทั้งคู่รีบวิ่งจากลานบินไปยังห้องเปลี่ยนชุดทันที สำหรับพวกเขาแล้ว การได้ขึ้นไปโบยบินกับเจ้าอินทรีย์เหล็กบนฟากฟ้าช่างเป็นความรู้สึกที่อิสระเหนือจะกล่าว แต่การเสร็จสิ้นภาระกิจและได้กลับบ้านนั้นนับว่าอิสระยิ่งกว่า
“เฮ้ย...ไอ้ลิงสองตัวนั้นน่ะ” เสียงเรียกอันทรงพลังของนายทหารยศสูงที่นักบินในชุด G suit ทั้งสองเพิ่งจะวิ่งผ่านหน้าไปทำเอาพวกเขาต้องหยุดชะงักราวกับใช้ระบบเบรคเอบีเอส แล้วหันกับมามองด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
“หัวหน้า!” นักบินที่มีร่างเล็กกว่าโวยขึ้น “จะใช้งานอะไรพวกผมก็รีบใช้ด่วนเลยนะครับ พวกผมอยากกลับบ้านจนจะดิ้นตายอยู่แล้ว”
“ไม่ต้องร้อนตัวขนาดนั้นก็ได้ไอ้ลูกลิง” หัวหน้าของพวกเขากล่าวอย่างเป็นกันเอง “ฉันก็แค่ลองเรียกเฉย ๆ พิสูจน์ดูว่าพวกแกสองตัวเป็นลิงอย่างที่คนอื่นเขาว่ากันจริงรึเปล่า”
การกระทำของหัวหน้าทหารยศสูงสร้างความโล่งอกแกมหงุดหงิดเล็ก ๆ ให้กับผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นลิง เพราะพวกเขาจะเสียเวลาแม้เพียงนิดไม่ได้เนื่องจากต้องรีบไปเปลี่ยนชุดก่อนจะไปลงเรือดำน้ำข้ามฟากเที่ยว สิบแปดนาฬิกา โดยเรือจะเดินทางจากฐานทัพอากาศกลางทะเลลึกสู่ฐานทัพเรือจังหวัดระนอง รวมระยะเวลาเดินทางสามชั่วโมง
ขณะนี้เวลาสิบเจ็ดนาฬิกาห้าสิบห้านาที หลังจากวุ่นวายอยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนจากชุด G suit ไปเป็นชุดปกติธรรมดาของแต่ละคนโดยนักบินร่างสูงกว่าอยู่ในชุดเสื้อยืดสีน้ำเงินกางเกงขาสั้นสีน้ำตาล ส่วนนักบินอีกนายหนึ่งสวมเสื้อยืดสีขาวและกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน ทั้งคู่ใส่รองเท้าแตะแล้วโยนเจ้า G-suit ใส่ตะกร้ารอพลทหารนำไปซักให้ ก่อนจะรีบวิ่งผ่านลานบินไปด้านหน้าฐานทัพ ซึ่งมีรถไฟฟ้าจอดอยู่สามคันพร้อมพลทหารผู้ขับ นักบินทั้งสองไม่รอช้าวิ่งขึ้นรถคันที่จอดอยู่ใกล้ที่สุดทันที
“ซิ่งโลด” นักบินร่างสูงตะโกนสั่ง
“เกาะดี ๆ ล่ะครับคุณเท็น คุณแพน” พลทหารเอ่ยปากเตือนนักบินที่เป็นผู้โดยสารของเขา ก่อนจะเหยียบคันเร่งจนมิดพารถไฟฟ้าสีขาวมุ่งหน้าสู่ท่าเรือของกองทัพทันที
“โอ๊ย...ไม่ต้องมาทำเป็นเตือนหรอก รถคันนี้เหยียบให้ตายก็ไม่เห็นเคยเกินสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเลย” นักบินนามว่าแพนกล่าวเสียงเรียบ
“เออ ถูกของแก” นักบินนามว่าเท็นเห็นด้วย หากพลทหารผู้ขับทำได้เขาคงอยากเลี้ยวแหกโค้งให้ไอ้ผู้โดยสารสองคนนี้ตกลงไปหน้ามุดทรายเล่น เพียงแต่เขายังมีคุณธรรมากพอที่จะเลือกไม่ทำ
สิบเจ็ดนาฬิกาห้าสิบเก้านาที รถไฟฟ้าสีขาวซิ่งเข้ามาจอดเอี๊ยดที่สะพานท่าเรือซึ่งทอดยาวเชื่อมต่อแผ่นดินและเรือดำน้ำขนาดกลางลำหนึ่ง สาเหตุที่ต้องใช้เรือดำน้ำเพื่อไม่ให้ถูกผู้ใดพบเห็นและสะกดรอยตามมาจนถึงฐานทัพอากาศแห่งนี้ได้ ไม่ว่าผู้สะกดรอยนั้นจะเป็นใครก็ตาม
“รอด้วย!” เสียงตะโกนเรียกจากนักบินสองคนที่เพิ่งกระโดดลงจากรถไฟฟ้า แล้วจ้ำอ้าวอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อลงเรือดำน้ำให้ทันเวลา
ทันทีที่เท้าของนักบินทั้งคู่ได้สัมผัสบันไดทางลงจากดาดฟ้าเรือ เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกก็ดังขึ้น ทั้งสองไต่ลงมาอยู่ในตัวถังเรือดำน้ำได้อย่างทันท่วงทีฝาครอบด้านบนถูกปิดไล่หลังมา เรือค่อย ๆ ดำดิ่งลงสู่พื้นน้ำ
“เกือบไปนะพวกแก” นายทหารผู้เป็นหนึ่งในสามสิบผู้โดยสารของเรือเที่ยวนี้เอ่ยทักทาย “เกือบได้รอเงกจนถึงสามทุ่มแล้ว
กว่าเรือดำน้ำอีกลำหนึ่งจะกลับมารับผู้โดยสารในเที่ยวต่อไปก็อีกสามชั่วโมงข้างหน้า เรือดำน้ำทั้งสองลำนี้เป็นของกองทัพเรือจังหวัดระนองซึ่งใช้เดินทางรับ-ส่งนักบินแห่งฐานทัพอากาศกลางทะเลมาช้านานแล้ว
ฐานทัพอากาศกลางทะเลแห่งนี้คือกองบินแปด กองพลบินพิเศษที่ห้า กองบัญชาการยุทธทางอากาศ เป็นฐานบัญชาการลับแห่งกองทัพไทย นอกจากนักบิน และผู้เกี่ยวข้อง ในที่นี้หมายรวมถึงเจ้าหน้าที่และทหารเรือประจำฐานทัพเรือจังหวัดระนองด้วยแล้ว จะไม่มีใครทราบฐานที่ตั้งของกองบินอีกเลย เหตุเพราะ กองบินแห่งนี้ถือเป็นอาวุธสงครามขั้นสูงสุด เป็นอาวุธที่ไม่ควรเปิดเผยให้ผู้ใดได้รับรู้ นักบินรบที่ประจำการอยู่ที่กองบินแปดทุกคนคืออาวุธสงครามชั้นแนวหน้า ถูกคัดเลือกมาจากความสามารถในระดับสูงประกอบกับความสมัครใจ
เมื่อได้ชื่อว่าเป็นอาวุธสงครามขั้นสูง ภารกิจที่ได้รับมอบหมายก็จะต้องมีความยากในระดับที่เหมาะสมกับอาวุธชิ้นนี้ ดังนั้นเครื่องบินที่ประจำการ ณ กองบินแปดจึงมีความหลากหลายและสมรรถนะที่สูงกว่าเครื่องบินทั่วไปของกองทัพ งบประมาณชาติถูกแบ่งมาให้กองบินแห่งนี้เป็นมูลค่าสูงมาก นักบินของกองบินแปดแทบจะทุกคนเคยผ่านการรบในสงครามจริงมาแล้วทั้งสิ้น การรบไม่ได้หมายความถึงประเทศไทยได้ไปเปิดศึกสงครามกับใคร แต่นักบินเหล่านี้ถูกส่งเข้าไปในภารกิจช่วยเหลือตัวประกันชาวไทยในตะวันออกกลาง บ้างก็ไปสืบข่าวสาร บ้างก็เข้าไปช่วยเหลือ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตามพวกเขาก็สามารถทำภารกิจเสี่ยงตายเหล่านั้นได้สำเร็จเป็นส่วนใหญ่
กองบินแปดประกอบไปด้วยสามฝูงบิน คือ ฝูงบิน 801 เป็นฝูงบินลำเลียง มีเครื่องบินลำเลียง C130, Airbus A300 เฮลิคอปเตอร์ Boeing CH-47D Chinook และเครื่องบินบรรทุกเชื้อเพลิง ประจำการอยู่ ฝูงบิน 802 เป็นฝูงบิน โจมตี ทิ้งระเบิด เครื่องบินที่ประจำการคือ เครื่องบินโจมตี Alpha jet, F-117 Stealth Fighter เครื่องบินทิ้งระเบิด Avro Lancaster B.I, B-2 Spirit Stealth Bomber ฝูงบิน 803 ฝูงบินขับไล่ยุทธวิธี มีเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงอย่าง F-16 Fighting Falcon, Jas-39 Gripen, SU-30 MKT มาประจำการอยู่ที่นี่ และเป็นที่แน่นอนว่าที่ซ้อมรบกันอยู่เมื่อสักครู่นี้เป็นการซ้อมรบของฝูงบิน 803
สามชั่วโมงในเรือดำน้ำผ่านไปอย่างอืดอาด ทหารอากาศผู้ต้องลงไปอยู่ใต้น้ำทั้งหลายต่างมองออกไปนอกหน้าต่างกลมรีที่เรียงรายอยู่บนบนผนังเรือดำน้ำชมความงดงามใต้ทะเลที่เห็นจนชินตาเพื่อฆ่าเวลา บางรายก็นำเครื่องเล่น MP3 มาฟัง จนกระทั่ง ยี่สิบเอ็ดนาฬิกาตรง เรือดำน้ำก็เข้าเทียบท่าเรือจังหวัดระนอง เหล่านักบินผู้ติดเกาะค่อย ๆ ทะยอยกันออกจากเรือ ทันทีที่เท้าของนักบินหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีขาวและกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินสัมผัสพื้นดิน ซึ่งเป็นสะพานทอดยาวเชื่อมดาดฟ้าเรือดำน้ำกับแผ่นดิน เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เขากดปุ่มรับสาย
“แพน แกอยู่ไหน” เสียงแหลมเจื้อยแจ้วของสตรีดังเข้ามาในโสตประสาทของนักบินหนุ่ม
“ระนอง มีอะไร?” เขาตอบและถามกลับห้วนสั้นขณะเดินไปตามสะพาน
“มารับหน่อย ติดแหง็กอยู่ที่โรงพยาบาลไม่มีรถกลับบ้านว่ะ” หญิงสาวชี้แจง
“ทำไม”
“รถฉันเสีย เข้าอู่ ฉันต้องนั่งรอให้ไอ้วินไปส่งมาสามวันแล้วเนี่ย” เธออธิบายต่อไป
“ก็รอมันอีกซักวันเดะ” นักบินหนุ่มยื่นข้อเสนอแบบไม่มีความปราณี
“ไอ้ แพ้นนนนน...น” ผลที่ได้จากข้อเสนอนั้นคือเสียงกรีดร้องแหลมบาดลึกถึงหูชั้นใน
“โอ๊ย...” ผู้รับฟังเสียงถึงกับต้องนำโทรศัพท์ออกห่างจากหูแล้วใช้นิ้วมืออุดหูตามไปด้วย
“แกไม่ห่วงฉันเลยเหรอยะ วันนี้ฉันเลิกงานตีหนึ่ง แต่ต้องนั่งแกร่วรอไอ้วินเลิกงานตอนหกโมงเช้าเชียวนะ”
“เออ...ล้อเล่น รออยู่นั่นแหละ เดี๋ยวไปรับ” นายทหารอากาศตัดสายโทรศัพท์ไปทันที
“เกิดอะไรขึ้นวะ” นักบินร่างสูงผู้ขึ้นเรือมาพร้อมเขาเดินเข้ามาถามแกมหัวเราะเยาะ “เบื้องบนตามจิกรึไง”
“เออ...ไปก่อนนะไอ้เท็น กูไม่อยากหูหนวก” ว่าแล้วนักบินที่ร่างเล็กกว่าก็รีบปลีกตัวออกไปที่ลานจอดรถของฐานทัพเรือทันที
ท่ามกลางความมืดมิดที่มีเพียงแสงไฟสีส้มสลัวจากเสาไฟไม่กี่ต้น นายทหารอากาศเดินดุ่มไปที่รถแวนสีทองซึ่งจอดอยู่ในมุมมืดใต้ร่มไม้ ทันทีที่เขาจับที่เปิดประตูรถ พลันบังเกิดเสียงดังมาจากด้านหลังจนนักบินผู้ไม่รู้จักเกรงกลัวต่อความท้าทายใด ๆ ถึงกับสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย...จะรีบไปไหน” ทหารหนุ่มหันไปตามเสียง พบว่าต้นกำเนิดมาจากบุรุษในชุดทหารเรือซึ่งนั่งอยู่ในรถกระบะสีดำสนิทซึ่งจอดอยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นดังนั้นนักบินผู้หวาดผวาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“พี่เจตน์” เขาหันหลังไปคุยกับนายทหารเรือซึ่งกำลังสตาร์ทเครื่องยนต์อยู่ในรถกระบะคันดังกล่าว “แอบซุ่มจอดรถสีดำทะมึนแล้วมาตะโกนเรียกกันแบบนี้ตั้งใจจะให้เกิดคดีช็อคตายขึ้นที่นี่ใช่มั้ย”
“อ้าว ก็แกไม่เห็นฉัน ฉันก็ต้องตะโกนเรียกแกสิ แล้วนี่แกจะรีบไปไหนหาไอ้แพน”
“ไปรับกระต่ายน่ะสิ มันโทรจิกกัดผมอยู่”
“ว้า” ทหารเรือที่ชื่อเจตน์ส่งเสียงแสดงความผิดหวังอย่างแรง ก่อนจะหันซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ ทิศ “แล้วไอ้เท็นล่ะ มันหายไปไหน”
“หึ” แพนเลิกคิ้วขึ้นสูง ยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอาแขนมาเท้าหน้าต่างรถของทหารเรือผู้พี่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงอาการรู้ทันไปว่า “ทำไมเหรอเฮีย...เปรี้ยวปากอยากดริ๊งค์ล่ะสิท่า?”
“แหม ยังต้องถามอีกเหรอแกน่ะ จะไปไหนก็ไปไป๊ แกหมดประโยชน์สำหรับฉันแล้ว” ทหารเรือวัยสามสิบสามปี ผมสั้นสีดำสนิท ใบหน้ามีเหลี่ยมนูนของกระดูกขากรรไกรทั้งล่างและบน ผิวสีคล้ำเนื่องจากถูกแดดเผา ตวัดมือไล่ทหารอากาศผู้ที่เพิ่งจะกวนประสาทเขาไปเมื่อครู่ แพนเดินกลับไปที่รถแวนแล้วเปิดประตูขึ้นไปนั่งสตาร์ทเครื่องยนต์ เป็นจังหวะเดียวกับที่ทหารอากาศร่างสูงเพื่อนของเขาเดินผ่านมาเพื่อจะไปยังรถของตนที่จอดอยู่ในบริเวณนี้
“ไอ้เท็น!” คนในรถกระบะสีดำตะโกนเรียกสุดเสียง ทำเอาเจ้าของชื่อเท็นสะดุ้งโหยงไปอีกราย
“อะไรเพ่” เขาตอบรับได้กวนพอ ๆ กับเพื่อนของเขาที่ขณะนั้นได้ขับรถแวนโฟร์วีลสีทองผ่านออกไป “จะชวนดริ๊งเหรอ”
“เออ แกว่าไง”
“วันนี้ขอกินนิด ๆ หน่อย ๆ พอนะ” เท็นออกตัว เขาไม่อยากฉลองวันหยุดด้วยการเมาจนต้องเสียเวลาว่างไปกับการนอนเพราะแฮงค์
“เออน่าไปนั่งเป็นเพื่อนฉันก็พอ ฉันจะไปเหล่สาวในผับ”
ณ โรงพยาบาลทหารประจวบคีรีขันธ์ อำเภอหัวหิน แม้ชื่อจะบ่งบอกอยู่อย่างชัดเจนว่าเป็นโรงพยาบาลของทหาร แต่ที่นี่ก็เปิดให้บริการการรักษาแก่พลเรือนด้วยเช่นกัน ขณะนี้เวลาเที่ยงคืนสามสิบนาทีบนถนนหน้าโรงพยาบาลยังคงมีรถราผ่านไปมาอย่างไม่ขาดสาย นี่คือข้อดีของเมืองท่องเที่ยว ท่ามกลางกระแสการสัญจรยามค่ำคืน รถวนสีทองได้หักเลี้ยวเข้ามาจอดในโรงพยาบาลแห่งนี้
บนตึกอายุรกรรม ห้องตรวจผู้ป่วยทั่วไป มีผู้คนแน่นขนัดอย่างไม่น่าเชื่อ บริเวณหน้าห้องตรวจที่สิบสี่ ขณะที่พยาบาลสองคนกำลังวัดความดันและชั่งน้ำหนักให้ผู้ป่วยอยู่นั้น ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังออกมาจากห้องตรวจเป็นเสียงเพลงสั้น ๆ บ่งบอกได้ว่าผู้โทรไม่ได้ต้องการให้เจ้าของโทรศัพท์รับสาย หลังสิ้นสุดเสียงเพลงไปได้ไม่นาน ประตูห้องตรวจก็เปิดออกผู้ป่วยที่ได้รับการตรวจแล้วก็เดินไปยังเคาน์เตอร์จ่ายยา ที่บานประตูเลื่อนกระจกฝ้ามีหญิงสาวผมดำยาวประบ่าเหยียดตรงพลิ้วสลวยยืนเกาะอยู่ เธอมีหน้าตาที่น่ารัก ผิวขาวละเอียดกลมกลืนไปกับเสื้อกาวน์สีขาวที่เธอใส่อยู่ ภายใต้เสื้อกาวน์นั้นเป็นชุดเสื้อลายลูกไม้สีขาวกับกระโปรงเย็บเป็นชั้น ๆ สีส้ม บนบานประตูที่เธอผู้นี้ยืนเกาะอยู่มีรางเหล็กซึ่งมีแถบพลาสติกแข็งสอดอยู่ บนแถบพลาสติกแข็งสีเขียวเข้มนั้นปรากฏชื่อ “ร้อยโท แพทย์หญิง พิงค์พธู ประกาศิตเวคารักษ์” ซึ่งตรงกับชื่อที่ปักด้วยด้ายสีเขียวบนเสื้อกาวน์ของหญิงสาว
“พี่อุ้ย...” เสียงแหลมเล็กของเธอร้องเรียกพยาบาลร่างท้วมที่นั่งอยู่หน้าห้อง
“อะไรคะ” พยาบาลคนที่มีชื่อเล่นตามที่หญิงสาวเรียกรีบหันมาตอบรับทันที
“ขอเปลี่ยนเวรแล้วได้มั้ย มีคนโทรตามกลับบ้านแล้ว”
“หมอกระต่าย ตรวจต่ออีกหน่อยเถอะนะ” พยาบาลร่างผอมที่นั่งข้าง ๆ หันมาขอร้อง “หมอภาวินท์ยังไม่ออกจากห้องผ่าตัดเลย ถ้าหมอกระต่ายกลับไปแล้วใครจะตรวจคนไข้ในเวลานี้ล่ะคะ”
และนั่นส่งผลให้แพทย์หญิงพิงค์พธู หรือหมอกระต่ายที่เหล่าพยาบาลเรียกกันมีอันต้องคืบคลานกลับเข้าไปนั่งในห้องตรวจใหม่อีกครั้งเพื่อตรวจผู้ป่วยรายต่อ ๆ ไปจนกว่าจะมีแพทย์มาเปลี่ยนเวร
รถแวนสีทองจอดนิ่งอยู่ที่ลานจอดรถของโรงพยาบาลมาระยะหนึ่งแล้ว จนเจ้าของที่นั่งอยู่ด้านในเริ่มทนไม่ไหว ต้องเดินลงจากรถแล้วเดินไปยังตึกอายุรกรรม ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวผมสั้นสีน้ำตาลเข้มไม่ดำสนิท เวลานี้ผมของเขาดูยุ่งไม่เป็นทรง หน้าตาง่วงงุนเต็มที เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน แต่ถึงกระนั้นก็ตามรูปลักษณ์ของชายหนุ่มผู้นี้ก็ยังดูโดดเด่นในสายตาผู้คนทั่วไป
“เฮ้ย...ไอ้นุก คนไข้คนนั้นลากมาตรวจห้องสิบสี่เร็ว ฉันอยากวัดความดันให้” พยาบาลร่างท้วมหน้าห้องตรวจหมายเลยสิบสี่หรือพี่อุ้ยที่หมอกระต่ายเรียกสะกิดเพื่อนข้าง ๆ อย่างตื่นเต้น
“ไหนวะ” พยาบาลนามว่านุกรีบหันไปมองตามที่พยาบาลอุ้ยบอก “โห...ดารารึเปล่าน่ะ หรือว่านักร้องบอยแบนด์หน้าใสปิ๊ง”
“ไปเรียกมาสิแก” พยาบาลอุ้ยเซ้าซี้
แต่ขณะนั้นเองเสียงกริ่งโทรศัพท์บนโต๊ะที่มีเครื่องวัดความดันวางอยู่ ตรงหน้าพยาบาลทั้งสองก็ดังขึ้น ทั้งสองสาวสะดุ้งพร้อมกัน ก่อนที่พยาบาลนุกจะตั้งสติรับโทรศัพท์ได้ก่อน
“OPD ค่ะ” พยาบาลสาวร่างผอมทำเสียงสวยตอบรับไปในโทรศัพท์
“พี่นุก” เสียงจากปลายทางเรียกกลับมา น้ำเสียงนั้นฟังดูทั้งเหนื่อยทั้งเร่งรีบ “วินเองนะ”
“น้องวิน ผ่าตัดเสร็จแล้วเหรอ” พยาบาลสาวถามกลับไป เขาเรียกผู้ที่อยู่ในสายอย่างสนิทสนม
“เสร็จแล้ว กำลังเปลี่ยนชุด เดี๋ยวจะรีบไปเปลี่ยนเวรให้พี่กระต่ายแล้ว”
ทันทีที่หมอกระต่ายทราบว่าหมอภาวินท์กำลังจะมาเปลี่ยนเวร เธอก็รีบจัดโต๊ะ เก็บข้าวของที่เธอหยิบมาใช้เกลื่อนกลาดให้เข้าที่ เพื่อให้หมอคนต่อไปที่จะมาผลัดเวรสามารถทำงานได้อย่างสะดวก เมื่อตรวจตราความเรียบร้อยเสร็จแล้วแพทย์สาวก็รีบคว้ากระเป๋าสะพายไหล่แล้วเปิดประตูวิ่งออกไปทันที ไม่นานนักก็มีเสียงดังโครมตามมา
“โอ๊ย” แพทย์สาวจอมซุ่มซ่ามได้เผลอเตะขาเก้าอี้ของพยาบาลคนที่นั่งอยู่ทางซ้ายของโต๊ะ ซึ่งเป็นบริเวณที่ใกล้กับประตูห้องตรวจที่สุด
“อ้าว หมอกระต่าย ระวังหน่อยสิคะ”
“โทษทีพี่นุก...กระต่ายรีบน่ะ น้องชายรออยู่ โทรจิกมันมารับแต่ดันให้มันนั่งรอเดี๋ยวมันบ่นตายเลย” ว่าแล้วหมอกระต่ายก็รีบวิ่งเขยกไปทันที เหล่าพยาบาลต่างพากันถอนหายใจอย่างเอือมระอา ก่อนที่พยาบาลร่างท้ามจะลุกขึ้นถอดแผ่นพลาสติกออกจากรางเหล็กแล้วหยิบอีกแผ่นหนึ่งซึ่งมีความยาวและความกว้างเท่ากันออกมาจากลิ้นชัก เธอสอดแถบพลาสติกแถบใหม่เข้าไปในรางเหล็ก ตั้งหนังสือบนแถบพลาสติกนั้นเขียนเอาไว้ว่า “ร้อยโท นายแพทย์ ภาวินท์ ศักดาเดชสกุล”
“น้องวินล่ะ เมื่อไหร่จะมา” พยาบาลร่างท้วมหันมองซ้ายทีขวาที
“เดี๋ยวก็มา ก็ผ่าตัดเสร็จแล้วนี่” พยาบาลสาวอีกคนตอบ ก่อนจะสะกิดเพื่อนร่างท้วม “นี่ ๆ แก ฉันรู้แล้วว่าน้องคนนั้นเป็นใคร”
“น้องไหนวะ”
“อ้าว...ไอ้อุ้ย ก็น้องที่หน้าตาดีมาก ๆ คนที่แกปิ๊งไง” พยาบาลนุกพูดพลางชี้มือไปทางชายหนุ่มซึ่งยืนเท้าเอวอยู่ข้างเก้าอี้ผู้ป่วย OPD โดยมีแพทย์สาวหอบข้าวของรุงรังวิ่งเข้าไปหา
“เวรกรรม...นั่นน่ะหรือน้องชายหมอกระต่าย”
“ทำไมล่ะ หน้าตาก็คล้ายกันดีนี่”
ขณะนั้นเองพยาบาลสาวทั้งสองต่างก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบวิ่งมาจากทางที่หมอกระต่ายและน้องชายสุดหล่อได้เดินไป พลันปรากฏร่างสูงของนายแพทย์หนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาอย่างกระหืดกระหอบ และก่อนที่เขาจะก้าวผ่านประตูเข้าไปในห้องตรวจหมายเลขสิบสี่ นายแพทย์ร่างสูงก็สะดุดขาเก้าอี้ของพยาบาลสาวทางซ้ายเข้าไปอีกคน
“โอ๊ย” นายแพทย์หนุ่มจอมซุ่มซ่ามส่งเสียงออกมา
“วิ่งดูทางมั่งสิคะน้องวิน” พยาบาลอุ้ยเตือน “ทำไมมาช้าจังผ่าตัดเสร็จนานแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“นานอะไร เพิ่งเสร็จเมื่อสิบห้านาทีที่แล้วเนี่ยนะนาน” นายแพทย์หนุ่มเถียง
“ก็นั่นแหละค่ะ ระยะทางระหว่างตึกศัลย์ฯ กับตึกอายุรกรรมก็ไม่ไกลนี่คะ”
“อ๋อ เมื่อกี๊วินเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมต้นน่ะ เลยทักทายกันเล็กน้อย แต่ก็แค่สามนาทีเองนะเจ๊”
“เพื่อนน้องวินป่วยเหรอ” พยาบาลนุกถาม
“เปล่า...มันมารับพี่สาวมัน”
“น้องชายหมอกระต่ายรึเปล่า”
“ใช่ ๆ รู้ได้ไงเนี่ย”
“แหม คนหน้าตาดี มีรึจะหลุดรอดจากสายตาพวกพี่ไปได้” พยาบาลอุ้ยกอดอกพูด
“แหม...เรดาร์พวกเจ๊นี่ยังไม่พลาดเลยนะ แน่นอนจริง ๆ” น้ำเสียงแกมประชดดังมาจากหลังประตูห้องตรวจที่สิบสี่ ซึ่งนายแพทย์ภาวินท์เพิ่งปิดลงเมื่อสักครู่
“ไอ้คนที่หน้าตาดี แต่โทรมแล้ว ก็เงียบ ๆ ไปเลยไป๊” พยาบาลทั้งสองกล่าวแทบจะพร้อมกัน ในอดีตหมอภาวินท์ก็เคยถูกเรดาร์ของพยาบาลทั้งสองตรวจจับได้เช่นกัน แต่หลังผ่านการอดหลับอดนอนมาหลายคืนตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เขาโทรมลงไปเยอะ
แม้ขณะนี้จะเป็นเวลาตีหนึ่งครึ่ง แต่การจราจรบนถนนในอำเภอหัวหินยังคงคราคร่ำไปด้วยรถยนต์มากมายแลดูคึกคักตลอดเวลา
“รอนานเลยล่ะสิ” เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นจากที่นั่งข้างคนขับบนรถแวนโฟร์วีลสีทอง
“ใช่ นานมาก” แพนตอบเสียงเรียบ
“ขอโทษที เพื่อนแกนั่นแหละมัวแต่ผ่าตัดไม่เสร็จซะที ทำให้ฉันได้กลับบ้านช้าเลยเห็นมั้ย” กระต่ายโยนความผิดให้กับหมอภาวินท์ซะอย่างนั้น “แล้ววันนี้ฝึกบินเป็นยังไงมั่ง”
“ก็สนุกดี” นักบินหนุ่มตอบห้วน “จองตั๋วเครื่องบินให้พ่อกับแม่รึยัง”
“ไม่ขับไปรับท่านที่กรุงเทพฯ ซะเลยล่ะคะคุณชาย”
สองคนนี้กำลังพูดถึงตั๋วเครื่องบินที่จะซื้อให้พ่อกับแม่โดยสารจากกรุงเทพมหานครมาพักผ่อนตากอากาศที่หัวหินสุดสัปดาห์นี้ เพื่อให้ครอบครัวได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้า
“จะบ้าเรอะ ฉันเกลียดรถติดจะตาย มันทำให้ง่วง หลับใน หรือแกอยากเสยเกาะกลางถนนตายวะ” คราวนี้เป็นน้องชายบ้างที่บ่นราวหมีกินผึ้ง “แกอย่าบอกนะว่าแกไม่ได้จอง”
“โอ๊ยยย...ย จองแล้วค่าคุณภูริน เอ่อ ก็ไม่เข้าใจคุณเหมือนกันนะคะว่า ทั้ง ๆ ที่ก็เป็นนักบิน ทำไมไม่ขับเครื่องบินไปรับซะเลยล่ะคะ” พี่สาวกล่าวแกมประชด
“ไม่ได้ขับเครื่องบินลำเลียง จะได้นั่งได้หลาย ๆ คน”
“จะถึงคอนโดแล้ว อย่าขับเลย แกนี่ลืมทุกที” หมอกระต่ายชี้บอกทางให้น้องชายเลี้ยวเข้าไปในคอนโดมิเนียมริมทะเลซึ่งเธอซื้อไว้เป็นที่พักขณะที่เธอยังใช้ชีวิตทำงานอยู่ในหัวหินแห่งนี้ และจะเป็นแหล่งพักผ่อนสำหรับครอบครัว ซึ่งประกอบด้วย พ่อ แม่ พี่สาว และน้องชาย
“ไม่ได้อยู่ทุกวันใครจะไปจำได้วะ” แพน หรือ ชื่อที่พี่สาวเรียกเมื่อสักครู่คือ “นาวาอากาศตรี ภูริน ประกาศิตเวคารักษ์” รองผู้บังคับการฝูงบิน 803 แห่งกองบินแปด กองพลบินที่ห้า เขาพูดเสียงต่ำ พลางเหลือบตาที่ลืมอยู่ครึ่งหนึ่งมามองพี่สาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“แหม เห็นหน้าแกแล้วคันเท้า” หมอกระต่ายคนสวยกล่าวอย่างยิ้มแย้ม แต่ภายในแอบแฝงไปด้วยเจตนาร้าย
“หึ...เป็นหมอซะเปล่า ไม่รู้จักดูแลรักษากลากเกลื้อน” ก่อนที่พี่สาวจะมีโอกาสได้สวนกลับคำพูดที่เจ็บแสบมา น้องชายก็พาเปลี่ยนเรื่องไปเสียก่อน “แฟนแกอยู่รึเปล่า เดี๋ยวเขาหาว่าฉันเป็นมือที่สามขึ้นมาล่ะก็ยุ่งเลย”
“โอ๊ย ช่วงนี้ทะเลาะกันอยู่” ถึงหมอกระต่ายจะพูดเช่นนั้นแต่สีหน้าของเธอดูไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับสัมพันธภาพระหว่างตัวเธอและแฟนหนุ่มเลย
“เชื่อตายล่ะ”
“แหม...แฟนฉันเค้าก็รู้จักแกอยู่ คงไม่ตาถั่วไปมองว่าแกเป็นกิ๊กฉันหรอก” กระต่ายกล่าว ขณะที่แพนกำลังขับรถวนอยู่บนทางขึ้นลานจอดรถ “แล้วอีกอย่าง ตอนนี้เขาไม่อยู่ ไปดูงานก่อสร้างที่เชียงใหม่โน่น” กระต่ายพูดถึงแฟนสถาปนิกมาดเซอร์ของเธอ
รถแวนโฟร์วีลได้ขับวนขึ้นมาจนถึงลานจอดรถชั้นที่เจ็ด ก่อนจะเคลื่อนเข้าจอดในที่จอดอย่างเป็นระเบียบ คนขับเหยียดแขนทั้งสองข้างบรรเทาอาการเมื่อยล้า
“ฉันง่วงแล้ว” นายทหารหนุ่มพูดพลางเปิดประตูลงจากรถแล้วหยิบกระเป๋าสัมภาระเพียงใบเดียวที่อยู่เบาะหลังลงมาด้วย
“ไปอาบน้ำนอนซะไป๊” กระต่ายตวัดมือไล่
“ไม่อาบได้มั้ยง่วงมาก ๆ แล้วล่ะ”
“ไม่ได้โว้ย ถ้าแกไม่อาบน้ำก็ห้ามนอนบนเตียง”
“เออ นอนพื้นก็ได้” เพราะความง่วงแพนถึงได้ยอมพูดอย่างนี้
“ไอ้แพ้นนน...น” กระต่ายได้แต่หวังว่า เสียงแหลมบาดแก้วหูของเธอจะช่วยทำให้น้องชายหายง่วงขึ้นมาได้บ้าง และไปอาบน้ำแต่โดยดี
----------------------------------------------------
จบบทนี้ไปอย่างชิว ๆ อย่าเพิ่งโหยหาเนื้อหาหนัก ๆ ที่มีสาระกันนะ เดี๋ยวจะมีให้เห็นกันจนอ้วก ตอนนี้ชิวได้ชิวไปก่อน
ความคิดเห็น