ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ทาร์รันดูร์
ตอนที่ 1 ทาร์รันดูร์
ขุนเขาเสียดเมฆา ใต้นภาฟ้ากระจ่าง
โอบล้อมดังอำพราง นครกลางหิมาลัย
ยามเช้าในวันที่อากาศปลอดโปร่ง กลีบเมฆเคลื่อนคล้อยอ้อยอิ่งผ่านยอดภูผางามประดับปุยหิมะบริสุทธิ์ แนวเขาสูงตระหง่านทอดกายโอบกอดมอบความอบอุ่นและปลอดภัยให้แก่ดินแดนปลายขอบฟ้านามทารันดูร์ แผ่นดินอันร่มเย็นซึ่งปกครองตนด้วยระบอบกษัตริย์มาช้านาน ขุนนางและเหล่าประชาชนต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างปรองดองภายในวิถีชีวิตอันเรียบง่าย น้อยครั้งนักที่จะเกิดข้อพิพาทฟ้องร้องกันให้โถงร้องทุกข์แห่งราชวังหลวง “คิริมันยา” ได้มีผู้คนเดินเข้าออกเสียบ้าง ส่วนมากแล้วข้อพิพาทมักไม่แคล้วเกี่ยวข้องกับการขัดผลประโยชน์ทางการเกษตร เนื่องจากเกษตรกรรมคืออาชีพหลักของเหล่าราษฎร
ดังเช่นวันนี้ มีเกษตรกรเจ้าของฟาร์มไก่และแปลงผักกาดมายื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมแก่ตน ว่าด้วยเรื่องจามรีของฟาร์มบ้านใกล้เรือนเคียงหลุดเข้ามาทำลายพืชผลรวมถึงได้เหยียบไก่ของเจ้าทุกข์ตายไปสองตัว ซึ่งผู้รับหนังสือในวันนี้คือ ฮีซอล เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม นับว่าเป็นโชคดีของฮยอกแจเจ้าของฟาร์มไก่และแปลงผักกาดที่ได้เจ้านายใหญ่แห่งกระทรวงยุติธรรมพิจารณาคดีให้ หลังจากเจ้าทุกข์ให้การเสร็จสิ้นและได้เดินทางกลับบ้านไป ฮีซอลก็นั่งอ่านข้อมูลต่าง ๆ ที่จดบันทึกจากปากคำของฮยอกแจอย่างละเอียดอยู่ภายในโถงร้องทุกข์นั้นเอง
“นั่งยิ้มเพราะเหตุใดรึ ท่านเสนาบดี” เสียงทักทายดังมาจากหน้าประตูไม้แกะสลักบานวิจิตรที่เปิดอ้านำพาแสงแดดส่องสว่างเข้ามาภายใน ทำให้ฮีซอลที่นั่งอ่านรายงานไปยิ้มขันไปต้องเงยหน้าขึ้นมามองต้นเสียง พบเรือนร่างสูงในชุดธรรมดาของชาววังอันประกอบด้วยเสื้อแขนยาวสีน้ำเงินปักไหมสีเงินเป็นลายเส้นโค้งอ่อนไหวที่ปลายแขนและชายเสื้อ กางเกงเข้าสัดส่วนสีดำมืด สวมใส่รองเท้าหุ้มข้อหนังกลับสีน้ำตาล โพกศีรษะด้วยผ้าสีเดียวและปักลายเดียวกับเสื้ออีกทั้งเสื้อคลุมผ้ากำมะหยี่ชั้นดีสีดำตัวยาวซึ่งให้ความอบอุ่นเหมาะสมกับภูมิอากาศหนาวเย็น
เห็นดังนั้นเสนาบดีหนุ่มจึงรีบลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานบนพื้นยกสูง สาวเท้าลงบันไดสองสามขั้นมาโค้งตัวอย่างนอบน้อมตรงหน้าผู้มาเยือนเป็นการถวายบังคมมกุฎราชกุมารแห่งทารันดูร์ หรือเจ้าชายฮันคยอง
“อย่ามากพิธีไปเลย เงยหน้าขึ้นเถอะ” เจ้าชายหนุ่มรูปงามเอ่ยวาจา พร้อมประคองร่างเสนาบดีตรงหน้าให้ยืดตรงขึ้น “ไหนบอกเรามาซิ เอกสารที่ท่านอ่านมันน่าขันนักหรือ เสนาบดีจอมเคร่งครัดอย่างท่านถึงได้อ่านไปยิ้มไปเช่นนี้”
“ก็มิเชิงน่าขันนักหรอกพระเจ้าค่ะฝ่าบาท เป็นเพียงข้อร้องเรียนของเพื่อนบ้านที่ทะเลาะกันเท่านั้น” ฮีซอลกล่าวทูล “แต่ที่หม่อมฉันตลก ด้วยเพราะไม่เคยคิดว่าตนจะต้องมาคลี่คลายคดีเพื่อนฝูงตีกันเช่นนี้ เห็นเป็นคดีที่น่ารักจึงขำออกมา โดยคดีนี้หม่อมฉันคิดว่าจะมอบให้รยออุคเป็นผู้สะสางแทน”
“นั่นเป็นความคิดที่ดี รยออุคเป็นผู้ช่วยของท่าน การมอบหน้าที่ให้ก็ถือเป็นการฝึกฝนงานไปในตัว ภายภาคหน้าเขาจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระและท่านจะมีเวลาให้เรามากขึ้น” เจ้าชายพระองค์โตในบรรดาพี่น้องสองคน ผู้มีศักดิ์เป็นรัชทายาทลำดับที่หนึ่งของแผ่นดินกอบกุมมือทั้งสองของเสนาบดีที่กลางโถงกว้างร้างผู้คน พวกเขามองตากันต่างคนต่างยิ้มอย่างมีความสุข
ทว่า บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรักนั้นหาได้จีรัง เมื่อจู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งตึกตักมาทางโถงร้องทุกข์ อีกไม่นานตัวต้นเสียงคงจะมาถึงประตู เจ้าชายฮันคยองและเสนาบดีฮีซอลได้แต่ปล่อยมือกันอย่างเสียดายและทำได้เพียงยืนรอดูว่าใครคือผู้มาเยือน แต่ยังไม่ทันจะได้เห็นตัว เสียงร้องเรียกก็ดังนำมาก่อนเสียแล้ว
“เสด็จพี่ฮันคยอง” เสียงสดใสดังกังวานเช่นนี้ ไม่ต้องให้เจ้าชายรูปงามได้ตรองนานว่าเป็นผู้ใด เจ้าชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหน่าย ๆ ก่อนเดินไปหยุดรอตรงหน้าประตู แล้วก็เป็นไปดังที่คิด อนุชาตัวดีของพระองค์นั่นเองที่กำลังวิ่งมาและดูเหมือนจะไม่ได้มาคนเดียวเสียด้วย เพราะข้างหลังที่ตามมานั่นคือผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมรยออุค ขุนนางฝึกหัดในปกครองของฮีซอลนั่นเอง
“คยูฮยอน...พี่บอกแล้วไงว่า...” ยังไม่ทันที่องค์ชายฮันคยองจะตรัสได้จบประโยค ร่างทั้งร่างของผู้เป็นน้องก็โถมเข้าใส่แบบไม่ยั้งแรง คนเป็นพี่ได้แต่กอดเอาไว้ไม่ให้เจ้าตัวดีวิ่งเลยไป ซึ่งอาจทำให้สะดุดธรณีประตูหกล้มคางแตกได้
“น้องทราบแล้ว ว่าเสด็จพี่ทรงห้ามไม่ให้น้องวิ่ง” คยูฮยอนเจ้าชายรัชทายาทลำดับที่สองแห่งทารันดูร์เงยพักตราขาวจัดราวหิมะขึ้นสบสายตากับพี่ชาย เมื่อเห็นดวงเนตรกลมใสของน้องแล้วเรื่องที่ว่าจะตำหนิเป็นต้องเอ่ยไม่ออกไปเสียทุกที “ที่น้องวิ่งเพราะเรื่องที่จะมาทูลเสด็จพี่และบอกพี่ฮีซอลนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนมากที่สุด” เจ้าชายองค์เล็กทำสีหน้าจริงจังใส่คนที่ตนกล่าวถึง ซึ่งเมื่อฮันคยองเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขำขันในท่าทางของน้องรัก พลางสงสัยว่าเรื่องเร่งด่วนอะไรกันที่ทำให้คยูฮยอนกระตือรือร้นถึงเพียงนี้
“น้องก็ว่ามาสิ พี่รอฟังอยู่นะ” เจ้าชายองค์โตถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง มือใหญ่ลูบเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูไปบนศีรษะที่โพกผ้าสีเขียวเข้มขลิบโดยรอบด้วยแถบสีทองอย่างประณีต
“เสด็จพ่อรับสั่งว่า ขณะนี้ได้จัดประชุมขึ้นที่ห้องประชุมใหญ่ในตำหนักหลวง ทรงให้น้องกับรยออุคมาตามเสด็จพี่และพี่ฮีซอลไปร่วมประชุม” คยูฮยอนบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ดูท่าจะชอบใจที่พี่ชายลูบศีรษะ จึงเผื่อแผ่รอยยิ้มไปให้เสนาบดีฮีซอลที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กันนั้นด้วย ก่อนจะหุบยิ้มลงและปล่อยมือจากเอวพี่ชายเมื่อนึกเรื่องบางเรื่องขึ้นมา “นี่น้องมาขัดจังหวะอะไรเสด็จพี่รึเปล่า”
“เปล่าเลยพระเจ้าค่ะ” ฮีซอลทูล
“แน่เหรอพี่ฮีซอล” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต้มอยู่บนใบหน้าขาว “เราจะเชื่อท่านได้อย่างไร ในเมื่อพวกท่านอยู่กันสองต่อสองในที่ปลีกวิเวกเช่นนี้”
“นี่มันโถงร้องทุกข์ ปลีกวิเวกตรงไหนของน้องกันคยูฮยอน” เจ้าชายฮันคยองขัดขึ้น
“ที่จริงน้องก็อยากจะเถียงเสด็จพี่นะ เพียงแต่นี่ก็ล่วงเวลามามากแล้ว ไปกันเถอะ เดี๋ยวน้องกับรยออุคจะถูกเสด็จพ่อดุเพราะทำให้ต้องรอนาน” ว่าจบก็หันหลังกวักมือเรียกรยออุคที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ แล้วพากันเดินนำพี่ชายและเสนาบดีฮีซอลไป “ไปกันรยออุค เรากับนายก็ต้องเข้าประชุมด้วยเข้าใจมั้ย”
เจ้าชายคยูฮยอนและรยออุคเดินนำผู้มาใหม่อีกสองรายเข้ามายังห้องประชุมกลางภายในตำหนักหลวง ซึ่งเป็นตำหนักที่ประทับของพระราชาดงฮีกษัตริย์แห่งทารันดูร์และราชินียองเอพระชายาผู้เลอโฉม ห้องกว้างเพดานสูงแห่งนี้ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย โดยมีโต๊ะไม้ขัดมันสีดำตัวยาวตั้งอยู่กลางห้องรายล้อมไปด้วยเก้าอี้ซึ่งผลิตจากไม้ชนิดเดียวกันรองไว้ด้วยเบาะกำมะหยี่เนื้อนุ่มสีแดงเข้มที่ในขณะนี้ถูกจับจองโดยขุนนางของราชสำนักจนเหลือเก้าอี้ว่างอีกเพียงสี่ที่สำหรับผู้มาใหม่
“เข้ามานั่งเสียทีสิ จะได้เริ่มประชุม” ราชาดงฮีกษัตริย์ผู้มีกายาอ้วนท้วน ได้นั่งเป็นประธานในการประชุมอยู่ที่หัวโต๊ะ เจ้าเหนือหัวร่างอวบกวักมือเรียกให้ทั้งสี่คนเข้ามานั่งประจำตำแหน่ง โดยฮันคยองและคยูฮยอนนั่งขนาบข้างขวาและซ้ายของพระราชาตามลำดับ ส่วนฮีซอลและรยออุคนั่งรวมกับขุนนางท่านอื่น ๆ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก เมื่อประธานเห็นว่าผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว จึงกล่าวเปิดประชุมอย่างเป็นทางการ
“ก่อนอื่นต้องขออภัยสมาชิกขุนนางทุกท่านที่เราได้เรียกประชุมอย่างกะทันหัน จนทำให้หลายท่านอาจเตรียมตัวไม่ทัน” กษัตริย์ดงฮีหันไปทางขวาเล็กน้อยในตำแหน่งที่ราชเลขาแจจุงผู้ทำหน้าที่จดบันทึกการประชุมนั่งอยู่ เบื้องหน้าของเขามีแผ่นกระดาษสีนวลวางเป็นตั้งเล็ก ๆ ในมือเรียวข้างขวามีปากกาขนนกอย่างดีหนึ่งด้าม ตั้งท่าเตรียมพร้อมจะจดบันทึกได้ทุกเมื่อ
“หม่อมฉันพร้อมเสมอพระเจ้าค่ะ”
“ดี...เรื่องแรกที่เราจะประชุมกันในวันนี้คือเรื่องการคัดเลือกราชทูตเพื่อไปประจำการยังโกรินญรัฐแทนท่านอำมาตย์เยซองราชทูตท่านเดิมที่จำต้องเดินทางกลับทารันดูร์กะทันหันเพื่อมาดูแลมารดาที่ป่วยไข้ ถึงแม้จะยังปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ครบวาระ แต่ขอทุกท่านโปรดจงเห็นใจ” องค์ราชาผู้อวบอ้วนกล่าวชี้แจง “เวลานี้เราต้องการให้พวกท่านได้ลองเสนอชื่อบุคคลที่คิดว่าเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่นี้ขึ้นมาให้เราฟังสักหน่อย”
“หม่อมฉันขออนุญาตเสนอชื่อท่านอำมาตย์คิบอมพระเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงดังมาจากทางฝั่งซ้ายของพระราชา โดยผู้เสนอชื่อแรกนี้คือเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศนามว่ายุนโฮ
“หือ...ท่านยุนโฮเสนอชื่อเองเลยหรือนี่ แสดงว่าท่านอำมาตย์คิบอมต้องมีดีจริง ไหนลองกล่าวถึงเหตุผลในการเสนอชื่อท่านคิบอมให้เราฟังทีสิ”
“ที่หม่อมฉันเสนอนามท่านอำมาตย์คิบอม เป็นเพราะท่านเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่จบการศึกษามาทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยตรง อีกทั้งตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ท่านคิบอมได้ทำงานเป็นผู้ช่วยของหม่อมฉันในตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศโดยได้รับมอบหมายให้ติดต่อประสานงานกับขุนนางต่างชาติมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ท่านคิบอมสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดียิ่ง ไม่มีขาดตกบกพร่อง ดังนั้นหม่อมฉันจึงคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ท่านคิบอมจะได้เดินทางไปปฏิบัติงานเป็นราชทูตประจำต่างประเทศ ซึ่งท่านจะได้ทำงานอย่างเป็นอิสระโดยที่ปราศจากการควบคุมดูแลของหม่อมฉัน อีกทั้งยังถือเป็นการเปิดโอกาสให้ขุนนางรุ่นใหม่ได้ก้าวขึ้นมาฝึกงานกับหม่อมฉันแทนท่านคิบอมที่หม่อมฉันไม่มีวิชาใดจะถ่ายทอดให้อีกแล้วพระเจ้าค่ะ” ยุนโฮเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศออกตัวสนับสนุนคิบอม หรือผู้ช่วยเสนาบดีที่เป็นศิษย์ลูกหม้อของเขาอย่างเต็มกำลัง โดยคิบอมเองก็ได้แต่นั่งอยู่เฉย ๆ ทำตัวสงบเสงี่ยม ไม่เอ่ยวาจาใดเพราะเกรงจะไปขัดใจเสนาบดีท่านอื่นที่อาจมีตัวเลือกอื่นอยู่ในใจก็เป็นได้
แต่กลับผิดคาดเมื่อกษัตริย์ดงฮีถามสมาชิกในที่ประชุมถึงการเสนอชื่อบุคคลอื่น กลับไม่มีเสียงนามของผู้ใดดังขึ้นมาอีกเลย ครั้นถามถึงผู้คัดค้าน ก็ไม่มีมือของผู้ใดยกชูขึ้น เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปดังนี้พระราชาก็ทรงแย้มยิ้มออกมา
“มติเป็นเอกฉันท์ คิดว่าอย่างไรล่ะคิบอม”
“หากพระองค์ทรงเห็นควร หม่อมฉันก็ยินดีถวายการรับใช้และจะปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุด มิให้เสียแรงที่ท่านทั้งหลายต่างให้การสนับสนุน” คิบอมได้เอ่ยปากขึ้นเป็นครั้งแรกในการประชุมวันนี้ โดยในขณะที่กล่าวเขาได้ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับต่อเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่เป็นการขอบคุณที่ช่วยสนับสนุนเขา
“ในเมื่อทุกท่านเห็นควร เราจะแต่งตั้งคิบอมเป็นราชทูตประจำโกรินญรัฐ เอาล่ะคิบอม ลุกมารับตราประจำตำแหน่งตรงนี้สิ” ราชาตรัสเรียกคิบอม ราชทูตหมาด ๆ จึงค่อย ๆ ลุกขึ้นและย่างก้าวมายังหัวโต๊ะ คุกเข่าลงข้างหนึ่งใกล้ ๆ กับที่ประทับของพระราชา พระองค์หยิบเข็มกลัดสีทองที่ประดิษฐ์เป็นลวดลายของนกแร้งดำหิมาลัยกำลังโผบิน นกแร้งตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ของราชทูตทารันดูร์ผู้ประจำการยังต่างประเทศ ซึ่งราชทูตเหล่านี้เปรียบดังนกแร้งดำที่บินอพยพไปทั่วเอเชียเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและได้รู้จักคบหากับเพื่อนนกอีกนานับชนิดจากหลากหลายพื้นที่ เข็มกลัดทองพระราชทานชิ้นนี้ถูกกลัดไปที่อกเสื้อด้านขวาของคิบอม นอกจากนี้ยังมอบตราประทับลายเดียวกับเข็มกลัดซึ่งถูกแกะสลักจากหินแร่สวยงามให้แก่ราชทูตคนใหม่อีกด้วย
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ” คิบอมกล่าวหลังจากรับพระราชทานตราและสัญลักษณ์ประจำตำแหน่งเสร็จสิ้น พร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับไปประจำที่นั่งของตนอย่างนอบน้อม
“ประเด็นหลักในการประชุมได้ผ่านพ้นไปแล้ว ยังมีเรื่องเล็กน้อยอีกเรื่องหนึ่งที่เราอยากจะชี้แจงให้ทุกท่านได้ทราบกัน” ประธานในที่ประชุมไม่รีรอให้เสียเวลา เปิดหัวข้อการประชุมอีกเรื่องหนึ่งโดยทันที “บัดนี้คยูฮยอนลูกชายคนเล็กของเราได้สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานของเยาวชนแล้ว หรือที่เราเรียกกันว่าชั้นเตรียมอุดมศึกษากันนั่นเอง ต้องขอขอบคุณท่านราชครูอำมาตย์ยงซอนที่ช่วยกวดขันเป็นอย่างดี”
“พระองค์กล่าวชมเกินไปแล้วพระเจ้าค่ะ” ราชครูยงซอนซึ่งนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ด้วยกล่าวถ่อมตน
“อย่าถ่อมตนไปเลยเราก็กล่าวไปตามจริง ใช่มั้ยคยูฮยอน” พระราชาหันมาขอความเห็นจากโอรส
“ที่เสด็จพ่อกล่าวมาทั้งหมด หม่อมฉันขอยืนยันว่าเป็นความจริงพระเจ้าค่ะ เพราะมีท่านราชครูลูกถึงได้เรียนจบ”
“ในเมื่อลูกเรียนจบแล้ว คิดจะทำอะไรต่ออย่างนั้นรึ” กษัตริย์แห่งทารันดูร์ตรัสถามเจ้าชายองค์เล็ก
“เสด็จพ่อ ลูกเพียงแค่จบการศึกษาขั้นพื้นฐานเท่านั้น หากวัดระดับความรู้ ลูกยังไม่อาจเทียบเคียงผู้ใดได้หรอกพระเจ้าค่ะ หากจะพิจารณาเหล่าขุนนางและขุนนางฝึกหัดที่อายุยังไม่ห่างจากลูกมากนัก ดังเช่น พี่คิบอมก็สำเร็จการศึกษาขั้นอุดมศึกษาแล้ว รยออุคก็กำลังศึกษาอยู่กับท่านเสนาบดีฮีซอล ลูกจึงคิดว่า ลูกสมควรจะเรียนต่อ ความรู้เพียงแค่นี้คิดว่ายังไม่พอสำหรับการแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อพระเจ้าค่ะ” คยูฮยอนกล่าวตอบ ซึ่งเป็นคำตอบที่สร้างความพึงพอใจให้กับผู้เป็นพ่อและราชครูเป็นอย่างยิ่ง
“ในเมื่อลูกประสงค์จะเรียนต่อ พ่อก็ไม่ขัด อันที่จริงพ่อก็หาที่เรียนต่อให้กับลูกเอาไว้แล้ว เหลือเพียงรอลูกตกลงพ่อก็จะส่งไปเรียน” พระราชาดงฮีหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาสองแผ่นถือเอาไว้กับพระองค์เองหนึ่งแผ่น ส่วนอีกแผ่นทรงยื่นให้เจ้าชายคยูฮยอนซึ่งประทับนั่งอยู่ทางฝั่งซ้าย เมื่อองค์รัชทายาทลำดับสองพิจารณาเอกสารในมือจนได้ใจความแล้วก็ต้องหันมามองผู้เป็นบิดาด้วยนัยน์ตากลมโตที่เบิกกว้าง
“เสด็จพ่อจะส่งลูกไปศึกษาวิชาการปกครองที่โกรินญรัฐอย่างนั้นหรือ”
“เอกสารเขาว่าอย่างไรก็ตามนั้น” ราชาดงฮีกล่าว “ลูกเห็นว่าอย่างไรบ้างล่ะ”
“โกรินญรัฐขึ้นชื่อเรื่องการปกครองที่ประสบความสำเร็จ ลูกคิดว่าเป็นโอกาสอันดีหากลูกจะได้ไปศึกษาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นั่นและนำเอาวิชาความรู้ที่ท่านอาจารย์สอนให้กลับมาพัฒนาประเทศของเรา”
“มีสมาชิกท่านใดมีความเห็นเพิ่มเติมหรือไม่” ประธานกล่าวถามที่ประชุม โดยทิ้งจังหวะรอครู่หนึ่ง เมื่อไม่มีเสียงคัดค้านกลับมาองค์ราชาจึงแถลงต่อ “คยูฮยอนจะเดินทางไปยังโกรินญรัฐพร้อมกับคิบอมเลย โดยจะออกเดินทางในอีกสองวันข้างหน้า”
“เสด็จพ่อจะไม่ให้ลูกได้มีเวลาเตรียมตัวสักหน่อยหรือพระเจ้าค่ะ” เจ้าชายองค์เล็กหันมาทักท้วง
“เตรียมอะไรอีกล่ะลูก พ่อให้แม่ของลูกจัดเตรียมของจำเป็นเอาไว้หมดแล้ว เหลือเพียงความสมัครใจของลูกเท่านั้น” เมื่อคยูฮยอนได้ยินคำตอบของเสด็จพ่อที่เคารพรักก็ถึงกับอ้าปากค้างอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
“โอ้โห...”
พระราชาดงฮีไม่รีรอให้คยูฮยอนเอ่ยสิ่งใดต่อ พระองค์ทรงกล่าวปิดการประชุมทันที
“การประชุมในวันนี้ได้ผลสรุปที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเราจึงขอปิดการประชุม ขอเชิญท่านสมาชิกทั้งหลายกลับไปปฏิบัติหน้าที่ตามแต่ภาระของตนได้ตามสะดวก”
ครั้นเสร็จสิ้นการประชุมเวลาก็ล่วงผ่านมาจนถึงห้าโมงเย็นแล้ว เจ้าชายคยูฮยอนเดินออกจากห้องประชุมมาพร้อมกับพระเชษฐาและราชบิดา โดยทั้งสามพระองค์ได้กลิ่นหอมกรุ่นโชยมาและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเดินเข้าใกล้ห้องรับประทานอาหาร จนกระทั่งได้พบกับอาหารท้องถิ่นรูปลักษณ์น่าทานถูกจัดวางอยู่บนโต๊ะกลมกลางห้องอาหารทรงหกเหลี่ยมอย่างเป็นระเบียบ สามพ่อลูกจับจองเก้าอี้กันคนละตัว ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งตัวเป็นที่ประทับของพระราชินียองเอผู้ปรุงแต่งและจัดเตรียมสำรับอาหารนี้ พระนางลงมือเข้าครัวเองเป็นประจำ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ราชวังคิริมันยาจะมีแม่ครัวอยู่ไม่มากนัก โดยส่วนใหญ่จะรับหน้าที่เป็นลูกมือของพระนางยองเอ เว้นเสียแต่บางคราที่พระนางติดธุระหรือมีเหตุจำเป็นให้ไม่สามารถทำครัวด้วยพระองค์เองได้แม่ครัวเหล่านี้จึงได้รับโอกาสให้ขึ้นแท่นเป็นแม่ครัวเอกแทน
“วันนี้แม่ทำอาหารหนักไปทางผักสักหน่อย ชาวบ้านจะได้ฆ่าสัตว์น้อยลง” องค์ราชินีผู้งดงามกล่าวพลางยกจานผักขมผัดเนยมาวางบนโต๊ะ แล้วค่อย ๆ ประทับลงบนเก้าอี้อย่างช้า ๆ
“หากชาวบ้านเขาทำฟาร์มสัตว์เพื่อขายเนื้อเป็นหลักล่ะเสด็จแม่ ถ้าฆ่าสัตว์น้อยลงเขาก็ไม่มีรายได้น่ะสิพระเจ้าค่ะ” องค์ชายฮันคยองแย้ง
“ครอบครัวเราไม่อุดหนุนครอบครัวเดียวก็ยังมีครอบครัวอื่นเขาซื้อเนื้ออยู่ดีนั่นล่ะ ลูกไม่ต้องไปเป็นห่วงเขาหรอก” พระราชาดงฮีช่วยสรุปความให้จะได้ไม่เป็นประเด็นเถียงกันยาวนาน
“แต่...ลูกชอบเนื้อแกะอบโรสแมรี่นี่มากเลยนะเสด็จแม่” คยูฮยอนจิ้มชิ้นเนื้อแกะ ซึ่งเป็นเมนูเนื้อเพียงอย่างเดียวของวันนี้ขึ้นมาเพ่งพิจารณา “ลูกต้องกินให้เยอะ ๆ เพราะอีกหน่อยไปอยู่โกรินญรัฐจะไม่มีเนื้อแกะอร่อย ๆ ให้ทาน”
“ประเทศโน้นเขาก็มีให้ทานหรอก” ฮันคยองหันมาพูดกับน้องที่นั่งข้าง ๆ
“น้องรู้ว่าประเทศโน้นเขาก็มีแกะให้ทาน แต่ไม่มีใครอบแกะได้อร่อยเท่าเสด็จแม่อีกแล้วเนอะเสด็จพ่อ” ผู้เป็นน้องถือโอกาสออดอ้อนเสด็จแม่และยังนำพาเสด็จพ่อให้เข้าเป็นพวกอีกต่างหาก “ลูกต้องคิดถึงเสด็จแม่มาก ๆ แน่ ๆ เลย”
“คิดถึงเสด็จแม่หรือคิดถึงอาหารฝีมือเสด็จแม่กันแน่” เจ้าชายพระองค์โตกระเซ้าเย้าแหย่น้องอย่างนึกสนุก ทำให้ผู้เป็นน้องต้องส่งสายตาขวาง ๆ ค้อนขวับมาให้
“อย่าไปแหย่น้องอย่างนั้นสิฮันคยอง ดูสิคยูฮยอนหน้าบูดทำปากเป็นเป็ดใหญ่แล้ว พ่อยังไม่อยากมีลูกชายคนเล็กเป็นเป็ดหรอกนะ” องค์ราชากล่าวเหมือนจะช่วยลูกชายคนเล็ก แต่กลับไม่เกิดผลไปในทางที่ดีขึ้น
“เสด็จแม่ดูสิพระเจ้าค่ะ เสด็จพ่อกับเสด็จพี่แกล้งลูก” เมื่อเจ้าชายองค์เล็กหาทางออกไม่ได้ก็กล่าวฟ้องเสด็จแม่
“ฮะ ฮะ พ่อลูกสามคนนี้นี่แย่จริง ๆ โตป่านนี้แล้วยังแหย่กันเป็นเด็ก ๆ” พระนางยองเอหัวเราะชอบใจ
เวลาผ่านไปจนถึงวันเดินทาง เจ้าชายคยูฮยอนนั่งอยู่ที่โถงรับแขกภายในตำหนักหลวงแห่งราชนิเวศน์คิริมันยา ข้างกายมีกระเป๋าเสื้อผ้าหนึ่งใบและกระเป๋าเครื่องใช้จำเป็นอีกหนึ่งใบซึ่งเสด็จแม่ของพระองค์ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ โดยราชินียองเอเองรวมถึงเจ้าชายฮันคยองผู้เป็นพระเชษฐาก็ได้เสด็จมานั่งรอส่งเจ้าชายองค์เล็กด้วย ส่วนราชาดงฮีนั้นติดพระราชกรณียกิจจำเป็นต้องเข้าประชุมเพื่อรับฟังความเคลื่อนไหวในประเทศและต่างประเทศจากขุนนางผู้รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจและการคลัง แต่องค์ชายน้อยก็ได้ล่ำลาราชบิดาตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว
“รถม้าออกไปรับท่านคิบอมนานแล้วหรือยัง” พระนางยองเอถามขึ้น
“ครู่ใหญ่แล้วกระมังเสด็จแม่ ประเดี๋ยวคงมาถึง” โอรสพระองค์เล็กตอบ
สักพักหนึ่งเจ้าชายคยูฮยอนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนรถม้าเทียมอาชาดำสองตัวจะมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าตำหนักหลวง เมื่อเห็นดังนั้นร่างเพรียว ๆ ก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันไปกล่าวลา
“ลูกไปก่อนนะเสด็จแม่ น้องไปนะเสด็จพี่ อย่าร้องไห้คิดถึงน้องล่ะ”
“ใครกันแน่ที่จะร้องไห้คิดถึงพี่น่ะหือ...” เจ้าชายฮันคยองพูดพลางลูบศีรษะน้องชายเบา ๆ ผู้เป็นอนุชากอดพระองค์แน่น ๆ หนึ่งทีก่อนผละออกแล้วไปกอดพระนางยองเอต่อ
“แม่จะรอจดหมายของลูกนะ เขียนมาบ่อย ๆ ล่ะ” ราชินีปล่อยคยูฮยอนให้เดินตามคิบอมไป
พอก้าวออกมาจากตำหนักหลวงก็พบกับรยออุคที่กำลังเดินมาพอดี ผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมตั้งใจจะมาส่งเสด็จเจ้าชายคยูฮยอนซึ่งเป็นเพื่อนเรียนเพื่อนเล่นกันมาแต่เด็ก
“เดินทางดี ๆ นะพระเจ้าค่ะ” รยออุคกล่าว
“นายก็ดูแลตัวเองนะ เป็นเด็กดีเชื่อฟังพี่ฮีซอลให้มาก ๆ เราจะรีบเรียนให้จบแล้วกลับมาเร็ว ๆ ไปนะรยออุค แล้วเราจะเขียนจดหมายมาหานายด้วย” เมื่อพูดจบเจ้าชายคยูฮยอนก็เดินขึ้นรถม้าไป ส่วนราชทูตคิบอมที่ลงจากรถมาเปิดประตูให้พระองค์นั้นได้หันมาโค้งทำความเคารพต่อพระราชินียองเอและเจ้าชายฮันคยองอย่างนอบน้อม
“ท่านคิบอมก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองทำอะไรอาจจะไม่สะดวกสบายเหมือนบ้านเรา” ราชินีกล่าว
“ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วงพระเจ้าค่ะ”
“ถ้าคยูฮยอนกวนนายมากก็ปล่อยลงกลางทางได้เลย เราอนุญาต” ฮันคยองพูดติดตลก ซึ่งคนที่แอบได้ยินกลับไม่ตลกด้วย เพราะมีเสียงแว่ว ๆ ดังออกมาจากในรถม้า
“เสด็จพี่ใจร้าย”
“สมควรแก่เวลาแล้ว หม่อมฉันทูลลาพระเจ้าค่ะ” คิบอมโค้งอีกครั้งก่อนจะหันมาทางรยออุคแล้วกล่าวลาขุนนางฝึกหัดรุ่นน้อง “ตั้งใจทำงานนะ พี่ไปล่ะ”
เมื่อคิบอมก้าวขึ้นรถและปิดประตูลง สารถีเทียมม้าก็ออกรถทันที เจ้าชายคยูฮยอนและคิบอมต่างก็หันมามองประตูวังเป็นครั้งสุดท้ายก่อนมุ่งหน้าสู่โกรินญรัฐ โดยที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปจากนี้
“พี่คิบอม”
“พระเจ้าค่ะ”
“เคยไปโกรินญรัฐหรือเปล่า”
“ไม่เคยพระเจ้าค่ะ”
“เราก็ไม่เคย หวังว่าจะเป็นเมืองที่ดีนะ”
“หม่อมฉันก็หวังเช่นนั้น”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
<โปรดติดตามตอนต่อไป>
ทารันดูร์
ปล. รีไรท์มาจากฉบับเก่าในบ้านวอนคยูค่ะ
11ความคิดเห็น