ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มรรคบู๊ ตะลุยบู๊ลิ้ม

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 มีดเลว ๆ กับ กิจวัตประจำใจ

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ค. 51



    01 - love jump.mp3
    Download it at mp3space.com



    บทเริ่ม
                   *** นิยายเรื่องนี้  แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น  ไม่เกี่ยวข้องกับ  บุคคล  เหตุการณ์  หรือสถานที่จริง  ใด ๆ ทั้งสิ้น ( เชื่อเถอะนะ )

                            “อาจารย์  สักวันข้าคงได้ไปพิสูจน์  อุดมการณ์ กระบี่ แนวทางชีวิต ทั้ง

    ท่านและข้า  แท้จริงแล้ว  ถูกผิดอยู่ที่ผู้ได?  พิสูจน์ด้วย กระบี่ของท่าน  และข้า”


                    ต้นราชวงศ์  “ ซ่ง ” ( ต้าซ้อง )  นับตั้งแต่  สกุล  “ จ้าว” ตั้งตนบุกเบิกราชวงศ์

    ใหม่  โดย  “จ้าวควงอิ้น”  ในปี  ค.ส. 960  สถาปนาตนเป็น “ ซ่งไท้จู”  เป็นปฐมกษัตริย์  

    แห่งซ้องเหนือ  ไพล่ฟ้าประชาราษฎร์  เพิ่งเคยชินกับการผลัดแผ่นดินได้ไม่ถึง  ร้อยปี  ก็

    ต้องระส่ำระส่ายจิต  ด้วยสายตาแห่งความกระหายอยาก  ในความอุดมสมบูรณ์ของผืน

    แผ่นดินซ่ง  ที่ชนต่างเผ่ารอบด้าน  ต่างจับจ้องด้วยความปรารถนาดุจเดียวกัน  ไม่ว่าจะ

    เป็น  “ ซีเซี่ย   ชี่ตัน  เหลียวก๊ก   กิมก๊ก  หรือแม้แต่  มองโก  ที่ตอนนั้น  แม้ยังไม่ได้รวบ

    รวมเผ่าต่าง  ๆ  เป็นปึกแผ่น   แต่ก็แอบเก็บความทะเยอทะยานอยากไว้ลึก ๆ” 

                          แต่  แผ่นดินซ้อง  ก็หาได้สิ้นไร้ผู้กล้า  เหล่าชาวยุทธ์  มากหน้าหลายตา 

    “ร่วมพลังรวมสามัคคี” ต่อต้านข้าศึกต่างชาติ  ปกปักบ้านเกิดไว้ได้ หลายต่อหลายครั้ง  

    มาตรว่า  แม้ชาวยุทธ์อาจมีดาษดา  กลาดเกลื่อน  ราวรวงข้าวในนา  แต่จะมีประโยชน์อัน

    ใด หากไม่ทำประโยชน์  แด่แผ่นดิน

                     ในเวลานั้น  ยุทธภพก็เหมือนเปิดสู่ยุคใหม่  ด้วยการนำของ 


    “ สองกระบี่  หนึ่งดาบ  กับอีกหนึ่งฝ่ามือ”  

                                ***  กระบี่นิรนาม   บุรุษผมขาว

                                             กระบี่ปีศาจ       เล่อซาน  ฮง

                                             ดาบประกาศิตพยัคฆ์ฟ้า   โก่ว  เทียนหู่

                                             ฝ่ามือกำราบ ยักษา    ตงง้วน  ชง

                     เมื่อบรรลุ  เป้าหมายปกป้องแผ่นดิน  และปล่อยวางเรื่องราวบ้านเมืองได้ 

    แล้ว  ราวกับว่าพวกเค้าทั้งสี่ไม่มีตัวตนมาก่อน  ต่างหายไปจากจากยุทธจักร  ผู้คนต่าง

    ยกย่องพวกเค้าทั้งสี่เป็น “สี่อาวุโสแห่งยุค”
                         
                       จวบจนเวลาล่วงผ่านไปหลายปี   ณ . หมู่บ้านเล็ก ๆ แถบชายแดนติดกับซี

    เซี่ย   หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ไม่ธรรมดา   มันไม่ธรรมดาเพราะ....  มีไฟลุกท่วมไปหมด

                       กองกำลังทหารของซีเซี่ยจำนวนหลายร้อย  นอนทอดกายเป็นศพ  ปะปน

    กับศพชาวบ้าน ท่ามกลางเปลวไฟ  ชาวบ้านที่หนีการเข่นฆ่าไม่ทัน  ชาวบ้านย่อมถูก

    ทหารซีเซี่ยกำจัด  แต่ ทหารซีเซี่ยล่ะ   ใครคร่าชีวิตพวกมันไป ...?

                      ด้านในสุดของหมู่บ้าน  มีบ้านหลังใหญ่ที่ดูเหมือนเป็นศูนย์ประชุมของผู้ใหญ่

    บ้านกับลูกบ้าน  และดุจเดียวกับหลังอื่น ๆ  เปลวสีแดงกำลังโหมไหม้อย่างไม่สนหน้า

    อินทร์หน้าพรหม  ทว่า  ข้างในบ้านกลับมีคนสองคน  ยืนเผชิญหน้ากันโดยไม่สนใจหน้า

    อินทร์หน้าพรหมที่ไหนเช่นกัน  ไม่ ไยดีแม้แต่กับไฟร้อนรอบด้าน  ราวกับไฟนั้นหาได้มี

    อยู่ตรงนั้นไม่

                    “ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ยินดีด้วยน้องเรา  เพลงกระบี่เอ็งก้าวหน้าขึ้นทุกทีที่เจอกันจริง 

    ๆ”  หนุ่มฉกรรจ์คนหนึ่งในสองคน  ที่ยืนจ้องกันอยู่ในบ้าน  เอ่ยขึ้นกับเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ฝั่ง

    ตรงข้าม

                     เด็กหนุ่มนั้นดูไปอายุไม่น่าจะเกิน  สิบเจ็ดสิบแปดปี  แต่งกายเรียบ ๆ ด้วยชุด

    สีน้ำเงินรูปร่างสูงโปร่ง  ผมดำกว่าหมึกปล่อยยาวปิดหน้าปิดตา  นัยน์ตาสีม่วงของเค้า  

    ทอประกายผิดหวัง  และอาลัยอาวรณ์อย่างบอกไม่ถูก  เด็กหนุ่มกัดฟันแน่นอย่างคับแค้น

    ก่อนจะตะเบ็งเสียงออกมา

                    “ พี่เหยา...ทำไมกัน  นับแต่ข้าแตกหักกับอาจารย์   นับแต่ภรรยาข้าตายจาก  

    มีเพียงท่าน  ท่านเท่านั้นที่เป็นสหายผู้รู้ใจ  ท่านเท่านั้นที่เข้าอกเข้าใจตัวตนของข้ามาก

    ที่สุด  ทั้งที่เป็นแบบนั้น  แล้วทำไม  ทำไมกัน  ทำไมท่านต้องเป็นชาวซีเซี่ยด้วย ? ”  

                        ชายฉกรรจ์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง  ด้วยสีหน้าที่ดูไม่รู้ว่าอยู่ใน

    อารมณ์แบบไดก่อนตอบกลับออกไปเสียงดัง  แต่แผงความเย้ยหยันต่อตนเอง

                    “ ลิ่วเยี่ย  น้องเรา  ใช่...  ข้าเหยาปัง ไม่เพียงเป็นซีเซี่ย  แต่ยังเป็นผู้นำกอง

    ร้อยที่ตายเกลื่อนอยู่ด้านนอกนั่นด้วย  แล้วข้าอยากจะเกิดมาเป็นแบบนี้หรอ  ข้าเลือกได้รึ

    ไง   เปล่าเลย  ข้ายังจะเลือกเป็นสิ่งใดได้อีก  ในเมื่อข้าเกิดเป็นซีเซี่ย”  เหยาปังหยุด

    หายใจครู่หนึ่งก่อนจะระบายคำพูดออกมาอีก

                    “ข้าย่อมขัดท่านข่านไม่ได้   ตัวเอ็งย่อมไม่ทรยศ ต่อบ้านเมืองของเอ็ง  และ

    ข้าไม่ยอมให้เอ็งเป็นคนเช่นนั้นเพื่อข้าแน่ ๆ  น้องเรา  เอ็งบุกเดี่ยวจัดการทหารของข้า  

    ด้วยเพลงกระบี่ของเอ็ง  เมื่อพวกมันตายหมด  ก็จงอย่าเหลือข้าไว้  เพราะข้าก็เป็นทหาร

    ซีเซี่ย  หากข้าไม่ตาย  จะมีคนเดือดร้อนอีกมากเพราะข้า  แต่หน้าที่ใครหน้าที่มัน  ข้าคง

    ยืนเฉย ๆ ให้เอ็งฆ่าไม่ได้”

                   เมื่อฟังถึงตรงนี้  ลิ่วเยี่ย  ใจหายวูบ  แต่ก็ต้องสงบอารมณ์ไว้โดยเร็ว  

    แล้วกล่าวถ้อยวาจาด้วยความอาลัย  “ท่านหาใช่ผู้นิยมการเข่นฆ่า   ตอนนี้คง ทรมารใจ

    มากสินะ  พี่เหยา  ข้าจะปลดปล่อยท่าน  จากไอ้ข่านบัดซบนั่นให้เอง”

                   ทั้งสองคน  ตาเป็นประกายวูบขึ้นมา  เหยาปังกำดาบแน่นด้วยสองมือตั้งท่า

    เตรียมพุ่งตัวไปข้างหน้า  ใบหน้ากลับเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม  เหมือนยินดีและพร้อมเผชิญกับ

    ความตายอย่างปลดปรง  แล้วร้องบอกต่อ  ลิ่วเยี่ย  

                 “ ในยุทธภพ  ข้าและดาบของข้าก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง  เอ็งจงใช้ความสามารถ

    ทั้งหมดของเอ็ง  และอย่าได้เสียใจภายหลัง  ลงมือเถอะ”  ว่าแล้ว  เหยาปังก็พุ่งตัวเข้า

    มาด้วยความเร็วที่เกินกว่าใครจะขยับตัวหรือคิดอ่านทำอะไรได้ทัน    แต่นั่น  มันสำหรับ

    คนธรรมดา  ไม่ใช่กับ  ลิ่วเยี่ย.....

                  เหยาปังรู้ดีว่า  ลิ่วเยี่ย  จะต้องเร็วกว่าตน  และรู้ยิ่งกว่ารู้ว่า  เฉพาะเมื่อก่อนเท่า

    นั้น  ที่ตนมีฝีมือยุทธ์พอฟัดพอเหวี่ยงกับลิ่วเยี่ย  แต่ตอนนี้เหยาปังจะไม่ต้องรับรู้อะไรอีก

    แล้ว  ไม่ทั้งนั้น….

                  ประกายตาดับวูบลง   วิญญาณหลุดลอยไปพร้อม ๆ กับศีรษะที่ร่วงลง  เหยาปัง

    สิ้นใจตายทันทีภายในกระบวนท่าเดียวของลิ่วเยี่ย  กระบวนท่าตะหวัดกระบี่ที่เรียบง่ายแต่

    รวดเร็ว  เร็วปานฟ้าผ่า  เร็วจนเหมือน ลิ่วเยี่ย  เคลื่อนไหวอยู่ในห้วงเวลาของตนเอง  

    แล้วสรรพสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ลิ่วเยี่ยได้หยุดนิ่งอยู่เฉย ๆ   ทั้งนี้เพราะเค้าต้องการให้เหยาป้ง

    ไปโดยไร้ความเจ็บปวด  ไร้ความทรมาร  จึงออกกระบวนท่ารวดเร็วยิ่ง  ทว่านั่นหาได้

    สำคัญไม่  ไม่ว่าจะกระบี่  ท่วงท่า  หรืออะไรก็ตาม  เพราะที่สำคัญสำหรับ  ลิ่วเยี่ย  ใน

    ตอนนี้คือ  เค้าได้รับรู้ว่า  สหายผู้รู้ใจได้จากไปแล้ว...

                  เด็กหนุ่มได้แต่สกัดกั้นความเสียใจ  แต่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายดายนัก  “พี่เหยา  

    จากนี้ไป  ใครล่ะจะดวลเหล้ากับข้า  ยามทุกใจใครจะเป็นที่ปรึกษา  ยามดีใจใครจะร่วมเฮ

    อากับข้า”  น้ำตาพลันไหลออกมาด้วยความคับแค้นใจ  คับแค้นในชะตาของสหาย  ลิ่ว

    เยี่ย  อยากกล่าวโทษคนทั้งโลก  แต่เค้ารู้อยู่แก่ใจว่าคนที่ตนคับแค้นมากที่สุด  ก็คือตัว

    เค้าเอง

                    ลิ่วเยี่ยก้มลงหยิบศีรษะสหายอย่างทะนุถนอม   แล้วทะยานทะลุกำแพงออก

    ไปด้วยวิชาตัวเบาที่เร่งร้อน  แล้วหายลับไปจากหมู่บ้านที่อีกไม่นานจะปรากฏเป็นกองเถ้า

    ถ่านแทน  เด็กหนุ่มจะรีบไปที่ใดกันนะ?

                    สี่วันต่อ ณ. หน้าผาไร้ชื่อแห่งหนึ่งใกล้ ๆ กับแดน “ ต้าลี่ ”  ลิ่วเยี่ย   ควบม้า

    มาหยุดตรงใต้ต้นเกาลัดต้นใหญ่  ทันทีที่ลงจากอานเท้าแตะพื้น  ม้าก็ขาดใจตายล้มลง

    ทันที  เด็กหนุ่มมีสภาพ  อิดโรย  ตลอดสี่วันนี้เค้าเร่งเดินทางไม่พักผ่อนทั้งวันทั้งคืน  

    ผลัดเปลี่ยนสุดยอดอาชาไปเจ็ดตัว  เพียงเพื่อให้มาถึงที่นี่

                  “พี่เหยา   ข้าพาท่านกลับมาที่นี่แล้ว  ที่ที่เราเจอกันครั้งแรก  ซัดกันครั้งแรก  

    ดวลสุรากันครั้งแรก  ข้ายังจำได้  ครั้งแรกที่เห็นกันและกัน  ท่านว่าข้าไปอมทุกข์จาก

    ไหนมาไม่รู้  ดูแล้วหดหู่ขวางหูขวางตา   ครานั้นข้าก็กลุ้มใจอยู่เมื่อได้ยินเข้าก็ฉุนขาด  

    คิดใช้ท่านรองมือรองเท้าระบายความกลัดกลุ้มในใจ  หาคิดไม่ว่าเราจะตะลุมบอนกันราว

    เด็ก ๆ ที่ไร้วรยุทธ์  โดยไร้ผลแพ้ชนะอยู่เป็นชั่วยาม   หลังจากพูดกันด้วยหมัดจนเหนื่อย

    แทบไร้เรี่ยวแรงขยับร่าง  เราต่างคนต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมา

    ก่อน  ราวกับว่าเราท่านเข้าใจกันทุกอย่าง  โดยไม่ต้องพูดอะไร

                   แล้วท่านกับข้าก็กลายเป็นสหายสนิท  และเราก็ได้สาบานเป็นพี่น้องกันใต้ต้น

    เกาลัดนี้  และดวลสุรากันอยู่หลายชั่วยามตรงโขดหินข้าง ๆ นั่น  ข้ายังนึกเสียดายเลย

    ว่า  เราน่าจะพบกันเร็วกว่านี้  เป็นเพื่อนกันให้นานกว่านี้  แต่เราท่านคงไม่มีโอกาสแล้ว”

                   ลิ่วเยี่ย  ยืนพูดด้วยสีหน้าที่แม้แต่ตนเองก็ไม่รู้   ว่าแสดงความรู้สึกแบบใดออก

    มา  เค้ายืนพูดกับกล่องใบหนึ่งที่ภายในคงบรรจุ  ศีรษะของเหยาปังไว้  

               “ ข้าจะฝังท่านไว้ที่นี่”  กล่าวจบ  เด็กหนุ่มใช้กระบี่ต่างพลั่ว  ขุดดินผังกล่องไว้

    อย่างเรียบร้อย  พร้อมทั้งฝานเปลือกต้นเกาลัดลงไปทั้งลึกและเรียบ  เสร็จแล้วพลันใช้

    กระบี่สลักอักษรอย่างรวดเร็วและงดงามบนต้นเกาลัด  ตรง บริเวณที่ฝานเปลือกไว้  เป็น

    ข้อความว่า  “ สุสาน  สุดยอดสหายผู้รู้ใจ  เหยาปัง ”  

                 หลังจากนั้นจึงหันไปสลักข้อความบนโขดหินข้าง ๆ เป็นข้อความว่า  “ความตาย

    มีอันใดน่ายินดี  มีชีวิตอยู่จึงแปรเปลี่ยนสร้างสรรค์สรรพสิ่ง  แต่สหายข้าจากไปอย่างผู้

    กล้า  หาได้มีสิ่งใดติดค้างในโลกใบนี้อีก  ตายลงโดยไม่ละอายใจแก่สหายและตนเอง  

    ขอวิญญาณสยายรักจงสู่สุขติ

                          ลงชื่อ  ลิ่วเยี่ย”

               “ และนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะใช้ชื่อ  ลิ่วเยี่ย  ชื่อนี้อาจารย์ตั้งให้  ข้าและกระบี่

    สร้างชื่อให้นามนี้มาก็มาก  แต่ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะไม่มี  ลิ่วเยี่ย อีกแล้ว  ข้าจะไม่ใช้ชื่อนี้

    อีก  ข้าจะกลับไปใช้ชื่อที่พ่อ-แม่ตั้งให้  ลาก่อนพี่เหยาท่านจะอยู่ในใจข้าตลอดไป  

                ชื่อของข้าคือ ............”

                  ลมหนาวแรกพัดวูบ  คงมีแต่เพียงเด็กหนุ่ม  และวิญญาณของสหายเท่านั้นที่รู

    ว่าเด็กหนุ่ม  มีชื่อว่าอะไร   จากนั้นมา  ไม่มีผู้ใดพบเห็นลิ่วเยี่ยอีกเลย  แต่วีรกรรม หนึ่ง

    คนหนึ่งกระบี่  ที่บุกเดี่ยวกำจัดทหารซีเซี่ยนับร้อยของเขายังคงเป็นที่ลือเลื่องในบู้ลิ้ม...

                         

                      ฤดูใบไม้ร่วงในอีก  สิบปี  ต่อมา   ณ. หุบเขา “ใบไม้ผลิ”  ที่นี่เป็นฤดูใบไม้

    ผลิตลอดปี  ตรงข้ามกับภายนอกที่ใบไม้ร่วงลงหนาเต็มดาษดา  ในหุบเขานั้นกลับมีคน

    อยู่เพียงผู้เดียว  

                   สาวน้อยนางหนึ่งท่าทางอ่อนต่อโลก  กำลังคารวะสุสานผู้เป็นแม่พร้อมด้วย

    กระบี่สองเล่ม  นาง ผู้ซึ่งใช้ชื่อเดียวกันกับแม่ของนาง  บนสุสานนั้นสลักชื่อว่า...  

                  “เซิน   ไท่หลัน” เด็กสาวดูไปมีอายุไม่น่าเกิน  สิบเจ็ดปี  มีเรือนผมดำประกาย

    แดง  ร่างเล็กสมส่วน  แต่งกายชุดสีฟ้าอ่อน ๆ แต่ที่น่าสะดุดตาคือ   นางมีนัยน์ตาแดง

    ฉาน  เป็นกระกายดุดเพลิงเปลวก็ไม่ปาน   

                    นางยิ้มอย่างไร้เดียงสา  ให้กับสุสาน  แล้วเอื้อนเอ่ย วจี ด้วยเสียงอันไพเราะ  

    “ท่านแม่เจ้าคะ  ข้าคิดว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่ข้า  ควรออกไปท่องโลกกว้างเพื่อ

    พัฒนา  วรยุทธ์  พัฒนาตนเอง  คงอีกนานกว่าจะได้มาอ่านหนังสือเป็นเพื่อนท่านอีก  ขอ

    อย่าได้เป็นห่วงข้า  ข้าจะเดินทางพรุ่งนี้เช้า  ลาก่อนเจ้าค่ะ”

                                                                                                                          

    ตอนที่  1
                             มีดเลว ๆ  กับ  กิจวัตประจำใจ
                    
                       ณ . เนินวิหคบาดเจ็บ  เวลาประมาณเที่ยง ๆ จากตรงนี้เดินเท้าไปทาง 

    ตะวันตกอีกประมาณเจ็ดวัน  จะเป็นทุ่งหญ้าเขต “ถู่ฟาน”  แต่ช่างหัวเจ็ดวันนั่นเถอะ  

    เพราะที่นี่ก็มีคนอยู่  และเมื่อมีคนย่อมมีเรื่องราว     

                   “เฮ้อ ทำไมไม่ ให้ข้าหลับไปทั้งแบบนี้เลยนะ คงเป็นความเย็นจากหยดน้ำ

    ค้าง   ที่เรียกสติข้ากลับคืนมา ท่าทางสวรรค์ คงต้องการให้ข้ามีสติพอ ที่จะลิ้มรสความ

    ตายที่คืบคลานเข้ามาเป็นแน่”  

                  ข้า  “โปย  ฮุ้ง”  ชายธรรมดา ๆ ผู้หนึ่ง  ที่ปีนี้ข้าอายุ  สิบเจ็ดปี  ขณะนี้นอนทอด

    กายท่ามกลางซากศพของพวกโจรสวะ  สิบห้าคน . ใช่...โจรสวะ  ถ้าไม่นับเรื่องที่พวก

    มันมีวรยุทธ์  ที่เข้าขั้นจัดว่าดีแล้วล่ะก็  พวกมันล้วนมีพฤติกรรมเป็นโจรสวะทั้งสิ้น  ข้านั้น

    รู้สึกยินดีเป็นล้นพ้นยิ่ง  ที่คนธรรมดา ๆ เยี่ยงข้า  หาได้เป็นสวะ  เช่นพวกมัน

                  กลิ่นเหม็นเน่าเริ่มลอยมาแตะจมูกข้า  ศพคงเริ่มเน่าแล้วล่ะมั้ง?    เอ .....  ข้า

    สิ้นเรี่ยวแรงนอนอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ ?  เท่าที่ข้ารู้บนตัวข้ามีบาดแผลเล็กใหญ่

    รวมกันกว่าสิบแห่ง  ความเจ็บปวดกัดกินกายข้าจนชาด้าน  สมองก็ตื้อไปหมด  หายใจติด

    ขัด  รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว  เหลือบตาแลด้านขวา  ดาบใหญ่คู่ใจข้ายังคงปักอยู่บนพื้น  แต่

    ข้าหาได้มีเรี่ยวแรงพอจะเอื้อมมือไปจับมันเพื่อพยุงตัวไม่  

                   ลองนึกดูดี ๆ แล้ว  อะไรทำให้ข้าต้องมามีสภาพแย่ ๆ เช่นนี้นะ?  

                   ทบทวนอยู่นาน  ในที่สุดข้าก็นึกออก  เป็นเพราะคำพูดประโยคหนึ่งของนาง  

    ที่ชอบพูดตั้งแต่สมัยยังเด็ก  จนถึงตอนนี้  คำพูดของ  “เหมี่ยว  หยิน”ที่ชอบพูดเป็น

    ประจำว่า......

               “ข้านั้น  ชมชอบวิญญูชนผู้กล้า ที่ห้าวหาร  ยึดถือคุณธรรม  พิทักธรรม  อภิบาล 

    คนดี  ไม่หวั่นเกรงต่อความชั่วร้าย  ข้าหวังว่าคู่ชีวิตในอนาคตของข้า  จะเป็นบุรุษเช่นนั้น”

           ฮ่า ๆ ๆ ๆ  แท้จริงแล้วข้าเป็นคนประเภทบูชาความรักหรอกหรอเนี่ย  แม้ยามความ

    ตายคืบคลานเข้ามา  สิ่งที่ข้าคิดถึงยังคงเป็นนาง  และทุกอย่างที่เกี่ยวกับนาง  ใช่สิ  ข้า

    ทำทุกอย่างเพียงเพื่ออยากให้นาง  หันมาสนใจข้าบ้าง  ไม่เช่นนั้น  ข้าคงเป็นได้แค่  

    เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กเท่านั้น

           ในความทรงจำของข้า  หยินเอ๋อ  เป็นหญิงเพียงคนเดียวที่ข้ารัก  ข้าแอบชอบนางมา

    ตั้งแต่สมัยเด็ก  ครั้งแรกที่เจอนางข้าเพิ่งหกขวบ  ส่วนนางห้าขวบ  นางเดินออกมา

    จากร้านขายผ้า  พร้อมกับแม่ของนาง  เหมี่ยวซ้อ  ข้าตะลึงงัน  พรางหลุดปากถามคำ

    ถามออกมาต่อพ่อข้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ 

                “ท่านพ่อครับ  นั่นเทพธิดาน้อยใช่มั้ยครับ?”จนภายหลังข้ารู้ว่าบ้านนางอยู่ไหน  

    ก็สืบเสาะตามไป  คิดดูสิ  เด็กหกขวบ  กำลังไปบ้านสาวเจ้าที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อน

    เลย  ตอนนั้นข้าแอบลอบคิดในใจอย่างเข้าข้างตนเองว่า  “ข้าไม่ได้หน้าด้าน.....  ข้ากล้า

    ต่างหาก”มั้งนะ  

                    ไม่รู้ข้าคิดอะไร  ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปพบนางแล้วจะพูดอะไร  ทำอะไร  แต่ข้าก็ยัง

    อยากไปพบนาง  

                    และพอได้พบนางเข้าจริง ๆ ก็เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้นั่นแหละ ข้าไม่รู้ว่าจะพูด

    อะไร  ข้าได้แต่ยืนอึ้งนิ่ง ๆ   กลับเป็นนางเสียอีก  ที่กล้ากว่าข้า  กล้าที่จะคบตนแปลก

    หน้าเช่นข้าเป็นเพื่อน  นางเป็นคนที่พูดขึ้นก่อนด้วยซ้ำ  นางยิ้มแย้ม  ยื่นลูกสาลี่ให้ข้าลูก

    หนึ่งแล้วเอ่ย“ท่านอยากเป็นเพื่อนกับข้าใช่หรือไม่”ข้า รับสาลี่มาแล้วก็พยักหน้า  นางจึง

    เอ่ยต่อ  “ข้าแซ่  เหมี่ยว  ชื่อพยางค์เดียวว่า  หยิน  ผู้มาชื่อเสียงเรียงใด?”

                    ข้าแจ้งนามตนเองออกไปอย่างเต็มปากเต็มคำ “โปย  ฮุ้ง  ข้าชื่อ  โปย  ฮุ้ง”  

    หลังจากนั้นเราก็ได้เป็นเพื่อนกัน  ข้าไปหานางทุกวัน  ร้อนก็ไป  หนาวก็ไป  อากาศดีข้า

    ก็ไป  ฝนตกฟ้าร้องข้าก็ยังไป  เป็นเช่นนี้ตลอด  สิบเอ็ด  สิบสองปี  เรื่อยมา  จนนางเอง

    ยังพูดเลยว่าบ้านนางแทบจะเป็นบ้านข้าไปแล้ว

                    ตอนนี้  หยินเอ๋อ  อายุ  สิบหกปี  นางมีเรือนผมม่วงเข้มออกดำ  ที่มีกลิ่นหอม

    อ่อน ๆ  นางเป็นสาวร่างเล็ก  ตัวสูงไม่ถึงไหล่ข้าด้วยซ้ำ  นางมีนัยน์ตาสีเขียวมรกต  สด

    ใสเป็นประกาย  แบบเดียวกันกับท่านอาเหมี่ยว  แม่ของนาง   ในสายตาบุรุษเพศปกติ  

    หยินเอ๋อ  นับเป็นสาวงามที่มีค่าควรเมือง

                   แต่สำหรับข้านางเป็นยิ่งกว่านั้น  ข้าไม่ตีค่าของ ฅน  เป็นราคาค่างวดใด ๆ   

    และข้าไม่คิดว่าจะมีวัตถุมีค่าใด ๆ ในโลก  มีค่าเสมอนางได้  ยิ่งถ้า เปรียบเป็นไม้งามด้วย

    แล้ว  ข้ายังไม่รู้ว่าจะมีดอกไม้ใด  เปรียบเปรยเป็นตัวนางได้ด้วยซ้ำ  

                   แม้เราทั้งคู่จะเข้าใจกันและกันมากที่สุด  มากกว่าใคร ๆ ก็ตามที  แต่โชคไม่ดี

    นักสำหรับข้า  นางรู้อยู่เต็มอกว่าข้ารักนาง  แต่กลับเป็นนางเอง  ที่ยังไม่สามารถตอบรับ

    ความรู้สึกของข้าได้  นางยังไม่เข้าใจว่าระหว่างเรา  มันคืออะไรกันแน่  นางลังเลงั้นรึ?  

    ไม่รู้สิแฮะ  สิ่งที่นางแสดงออก  คือความรักเช่นที่ข้ามีให้นางหรือเปล่า  เหมือนใช่  เหมือ

    ไม่ใช่  หรือบางที...  ไม่ใช่เรา  แต่อาจเป็นตัวนางเองที่ไม่เข้าใจตนเอง  หรือจริง ๆ แล้ว

    อาจเป็นข้าเองนี่แหละ  ที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย 

                  หากมีผู้ชายคนนึง  มันคิดว่าตนเอง  เข้าใจถ่องแท้ในเพศ ตรงข้ามแล้วล่ะก็  

    ข้าว่านะ  ถ้าไอ้บ้านั่นมันไม่ใช่พระเจ้า  มันก็ต้องเป็นคนที่งี่เง่าที่สุดในโลกแน่ ๆ 

                    เฮ้อ .... เอาเถอะ  ข้าไม่เคยเร่งรัดนาง  ไม่คิดจะเร่งรัดด้วย  ต่อให้หลังจากนั้น

    นางจะแสดงออกต่อข้าว่าเป็นเพียงเพื่อนเท่านั้น  ข้าก็จะไม่เสียใจ  หรือต่อให้นางไม่รัก

    ข้า  ก็ไม่เป็นไร  ขอแค่ข้ารักนาง  ใช่.....  ข้าจะรักนางต่อไป  ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม   แค่

    นั้น...  แค่นั้นก็พอแล้ว

                    ในบู้ลิ้ม  ช่วงนั้นมีนักสู้หน้าใหม่  ปรากฏตัวออกเกลื่อนกล่น  ราวยอดชาที่ผลิ

    ยอดในไร่ชา  สามารถเก็บได้มากมายเป็นเข่ง ๆ   แต่ วิญญูชนผู้กล้าที่แท้จริงจะมีสักกี่

    คนกันเชียว  จะมีใครสามารถไปเทียบชื่อ  เทียบวีรกรรมกับ ลิ่วเยี่ย ได้หรือไม่   และยิ่งไม่

    ต้องสงสัย  ไม่มีใครหน้าไหนเก่งกล้าสามารถ  ขนาดไปเทียบผู้อาวุโสทั้งสี่  สองกระบี่  

    หนึ่งดาบ  กับอีกหนึ่งฝ่ามือ ได้

                    ในชาวยุทธ์หน้าใหม่ ๆ   ข้าไม่ได้รู้จักใครเป็นพิเศษเลยสักคน  แต่ก็พอรู้ว่าใน

    จำนวนนั้นมีคนที่โดดเด่นเป็นพิเศษอยู่  เค้าคือ “ อู  เทียนอั้ง”เจ้าของฉายา“กระบี่ซ้ายไร้

    ทิศ” ให้ตายสิ  ที่ข้าต้องพลอยมาคิดถึงเรื่องของมัน  ในขณะที่ ข้านอนล่อแล่ อยู่หน้า

    ประตูยมโลกแบบนี้  ก็เพราะว่าข้าอิจฉามัน  ใช่.....อิจฉามากด้วย  มัน  เป็นคนที่ หยิน

    เอ๋อ  หลงใหล   

                    หลงใหล  ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยไปเห็นหน้าเห็นตามันมาก่อน  แต่ไม่แปลกหรอก  

    หยินเอ๋อ  ก็เป็นดุจเดียวกัน  กับเด็กสาวสามัญชนอื่น ๆ ที่มัก  กรี๊ดกร๊าด  กับข่าวคราว

    ของหนุ่มหล่อคนดังแล้วจินตนาการไปต่าง ๆ นานา ว่าชายหนุ่มที่ตนเองเป็นปลื้ม  จะมี

    รูปร่าง  หน้าตา เป็นเช่นไรกัน ?

                 ข้าว่าข้าเข้าใจจุดนี้นะ  เพราะผู้ชายอย่างเรา ๆ  ก็  ฮือฮา  กับข่าวคราวของจอม

    ยุทธ์หญิงคนงามเช่นกัน  ยิ่งกับ  หยินเอ๋อ  ด้วยแล้ว  อู  เทียนอั้ง  เป็นดั่งบุรุษที่กระโดด

    ออกมา  จากภาพในอุดมคติของนาง

                 ลือกันว่า  อู  เทียนอั้ง   เป็นหนุ่มรูปงามที่มีลักษณะ ผมเผ้า  และการแต่งกาย

    แปลก ๆ  บางคนที่เคยพบเห็นมันบ้างก็ว่า  ไม่รู้ว่ามันหลุดมาจากโลกไหน  จึงได้แต่งตัว

    ประหลาดเยี่ยงนั้น

                  แต่ว่าไอ้ “เยี่ยงนั้น”ที่ว่าเนี่ยมันเป็นแบบไหน  ข้าก็ไม่อาจจินตนาการออกมาได้

    หรอกนะ  ข้ารู้แค่ว่า  มัน ห้าวหารยิ่ง  พิทักธรรม  กำจัดคนเลว   ขุนนางชั่วๆ ตามท้องถิ่น

    ต่าง ๆ ถูกมัน  ปลิดศีรษะ  สะบั้นร่าง  มาแล้วหลายครั้ง  ไม่เพียงเท่านั้น  ภายในเวลา

    เพียงหนึ่งปีมันยังได้ พิชิตค่ายสำนักต่าง ๆ ทั้งใหญ่เล็กใน  กังหนำ  เป็นที่ลือชา  ยังขาด

    ก็แต่ศิษย์  สกุล ม่อหยง  เท่านั้นที่มันยังไม่ได้ไปวัดความสูงต่ำ  ในเชิงยุทธ์  

                  ดังนั้น  แม้ตัวข้าเองจะอิจฉามัน  แต่ในความอิจฉานั้น  ย่อมปะปนด้วยความ

    นับถือ  อยู่เป็นส่วนมาก  ข้าแค่หวังว่าเสียงลือ  เสียงเล่าอ้าง  ของมันจะเป็นจริง  เพราะ

    ยุทธภพ ต้องการคนเช่นนี้  พิทักธรรมกำจัดคนเลว  .......................  โธ่โว้ย.... ข้าก็

    อยากเป็นคนแบบนั้น  แต่ว่า .....แต่ว่า 

                  ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้   ข้า  หาได้เก่งกาจเทียบเท่าจอมยุทธ์ผู้อื่น  

    เฮ้อ.............

                  บ้านข้าทำกิจการตีเหล็ก  ดาบและกระบี่ทุกเล่มในหมู่บ้าน  ล้วนผ่านมือท่านพ่อ

    ข้ามาแล้วทั้งนั้น  แต่หมู่บ้านของพวกเราเป็นหมู่บ้านที่สงบสุข  สิ้นค้าของเราส่วนใหญ่จึง

    เป็นอุปกรณ์การเกษตร  พวกจอบพวกเสียม  หมายรวมไปถึงเครื่องครัว  ประเภทปังตอ  

    อะไรประมาณนั้น  

                  ข้ามี เจ่เจ้ อยู่อีกคน  นางชื่อ  โปย  หงส์อี่  อายุมากกว่าข้า สามปี  นางเป็นพี่

    สาวที่ส่อแวว“บ้างาน”ตั้งแต่เด็ก  แต่นางก็รักข้าที่สุด  เข้าจิตเข้าใจข้าเป็นอย่างดี  เวลามี

    เรื่องอะไรเกิดขึ้น  นางมักออกหน้าปกป้องข้าเสมอ  นี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าละอายต่อนางนัก  

    เฮ้อ ....ข้าน่าจะเป็นผ่ายปกป้องนางถึงจะถูก  มีครั้งนึง  ข้าเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ แต่ดันไป

    มีเรื่องกับนักเลงต่างถิ่นโดยไม่ตั้งใจ  จำไม่ได้เหมือนกันว่าสาเหตุมันเริ่มจากที่ใด  และ

    ไปไงมาไงถึงเป็นเรื่อง  แต่เท่าที่รู้ข้าไม่ผิด  ก่อนที่จะถูกพวกมันรุมสหบาทา  เจ่เจ้  ก็มา

    ออกหน้าขอขมาพวกมันแทนข้า  นางถึงกับคุกเข่าโขกศีรษะให้พวกมัน  จนหยาดแดงละ

    เรื่อไหลออกมาจากหน้าผาก  รดรินไปจนถึงซอกคออันขาวเนียน  พวกมันจึงยอมเลิกรา

    ไป  

                   ตอนนั้นข้าเจ็บแค้นใจนัก  ไม่ใช่แค้พวกมัน  แต่ข้าแค้นตนเอง  แค้นเพราะไม่

    สามารถทำอะไรได้เลย  ข้าทำให้นางต้องเดือดร้อน  คนที่ข้าน่าจะปกป้อง  กลับเป็นผ่าย

    ปกป้องข้าเสียเอง  จนต้องเลือดตกยางออกเพราะข้า  จำได้ว่าตอนนั้นข้า  น้ำตา

    ไหลพรากเข้าไปเช็ดเลือดให้นาง  แต่นางกลับยิ้มให้ข้าอย่างอ่อนโยน เหมือนดั่งที่ หยิน

    เอ๋อ ยิ้มให้ข้า....แล้ว เจ่เจ้  ก็กอดข้าไว้โดยไม่พูดอะไร  ปล่อยให้ข้าร่ำไห้ต่อไปจนสงบ

    อารมณ์ได้เอง  ตั้งแต่นั้นข้าก็สาบานกับตนเองว่า  จะไม่ทำให้นางเสียใจเป็นอันขาด ดัง

    นั้นข้าจึงเชื่อฟัง เจ่เจ้  มากกว่าท่านพ่อซะอีก

                    นอกจากเจ่เจ้แล้ว  บ้านเรายังมี  ท่านอาฝาแฝดชายหญิงอีกคู่หนึ่ง  ที่คอย

    ช่วยกิจการท่านพ่อ  เสียดายที่ท่านแม่ด่วนตายจากไป  ตั้งแต่ข้ายังจำความไม่ได้  และ

    ในบ้านก็ยังมีพวกคนงานชายหญิง  รวมแล้ว  สิบห้าชีวิต  ก็นับว่ากิจการดำเนินไปได้ด้วย

    ดีควบคู่ ไปกับ  ความสงบ  แต่ท่านพ่อก็เกรงว่าความสงบนั้น  จะหันมาทำลายเรา  

    ทำลายอย่างไรหรอ ?  

                     เมื่อผู้คนเคยชินกับความสงบสุขเป็นเวลานาน  ย่อมคร้านต่อการป้องกันตน  

    มัวแต่ยึดติดกับความสงบที่ไม่รู้จะหมดไปเมื่อไหร่  แล้วเอาแต่คิดว่ามันยังสงบสุข  และ

    เอาแต่มัวเมาไม่ระแวดระวัง  คิดแต่จะปรนเปรอความสุขของตน  เช่นนี้สักวันต้องลืม

    เลือนวิธีป้องกันตัว  และเมื่อภัยร้ายมาถึงตัว  ก็มีแต่จะล้มตายกันไปเท่านั้นเอง

                    ท่านพ่อความจริงเป็นคนรักสงบยิ่ง  ไม่ชอบฆ่าฟัน  ทว่า  อย่างที่รู้ ๆ กัน  คน

    ทั้งโลกใช่ว่าจะเป็น  อรหันต์กันหมดเมื่อไหร่   พวกชอบชิงดีชิงเด่น  พวกละโมบ  พวกบ้า

    อำนาจ  พวกผู้มีจิตใจชั่วร้าย  ก็ยังมีอยู่  แถมมีจำนวนหาน้อยไม่  ดังนั้น  ท่านพ่อจึง

    อยากให้ข้ามีวิทยายุทธ์ติดตัว  แม้ ไม่สามารถปกป้องผู้ใดได้  แต่อย่างน้อยปกป้องตน

    เองได้เป็นดี

                    สวรรค์เป็นใจ   ข้ามีวาสนาได้กราบยอดฝีมือดาบเป็นอาจารย์  ตอนนั้นข้าแปด

    ขวบเองมั้ง  ใช่แล้ว  ตอนนั้น หยินเอ๋อ  ยังบอกเลยว่า “ ดีแล้ว  ภายหน้าท่านจะได้ตีดาบ

    ให้ตนเองได้อย่างถูกใจ”ถูกของนาง  ดาบใหญ่ที่ปักดินอยู่ข้าง ๆ   ข้า ก็ตีมันมาเองกับ

    มือ

                    อาจารย์ข้าเป็นผู้ทักษะยุทธ์ดาบ  ในอดีตเคยเป็น“เปาเปียว”มีชื่อ  ตะลุยมา

    แล้วเหนือจรดเหนือ  ใต้จรดใต้  ท่านเป็นคนเปิดเผย  ยึดถือคุณธรรม  เป็นลูกผู้ชายที่น่า

    นับถือ  ท่านสอนทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านรู้  อย่างเป็นขั้นเป็นตอน  และไม่เคยปิดปัง  เข้ม

    งวดในยามที่ต้องเข้มงวด  ผ่อนคลายในยามที่ต้องผ่อนคลาย  ดูแลข้าราวเป็นลูกเป็น

    หลานก็ไม่ปาน

                   เพลงดาบที่ข้าฝึก  แรกมาด้วยประสบการณ์ของอาจารย์  บวกกับความมานะ

    บากบั่นของข้าเอง  มันจึงเป็นเพลงดาบที่ไม่เคยตั้งชื่อ  ทั้งอาจารย์และข้า  หาได้ใส่ใจตั้ง

    ชื่อให้มันไม่  ข้าใช้เวลาฝึกดาบในหนึ่งวัน  ยาวนานกว่าผู้อื่นฝึกวิชามากนัก  เพราะข้า

    ต้องการก้าวหน้ากว่าคนอื่นล่ะมั้ง  เลยฝึกหนักกว่าคนอื่น  ข้าไม่เคยถามตัวเองว่าจะก้าว

    หน้าไปเพื่อใคร        


                  เพราะคำตอบมันประจักอยู่แล้ว  แม้  เจ่เจ้  จะสำคัญต่อข้า  แต่ข้ารู้ดีว่าที่ข้าทำ

    อยู่ทุกวันนี้เพราะข้าอยากเป็นบุรุษในอุดมคติของ หยินเอ๋อ  

                  ถึงข้าจะใช้เวลาฝึกดาบอย่างไร  แต่ข้าก็ไม่ละเลยที่จะไปหา หยินเอ๋อให้ได้ทุก

    วัน  การไปหานางคงเป็นกิจวัตรของข้าไปแล้ว  เหมือนที่ตื่นขึ้นมาต้องล้างหน้า  ต้องกิน

    ข้าว  อะไรทำนองนั้น  ในวันนึงของข้าจึงมีสิ่งที่ทำอยู่สามอย่างคือ  ช่วยงานท่านพ่อ  ไป

    ฝึกดาบ  ไปหา หยินเอ๋อ  เป็นเช่นนี้อยู่เป็นปี ๆ  จนกระทั่งอาจารย์จากข้าไป  อาจารย์ลา

    โลกไปด้วยพิษสุราเรื้อรัง   จะว่าไปข้าไม่เคยเห็นวันไหนเลยที่อาจารย์จะไม่ดื่มเหล้า  

    ยามดื่มท่านมีดวงตาเศร้าหมองเสมอ  ครั้งนึงท่านเมามายจนข้าต้องแบกท่านกลับบ้าน  

    ท่านลำพรรณ  ถึงหญิงที่ท่านรักตลอดทาง  ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจ

    หรอกว่า  ใยความรักจึงทำให้คนถึงเป็นไปได้ขนาดนี้  แต่ตอนนี้ข้าว่าข้าเข้าใจแล้ว  เข้า

    ใจดีเลยล่ะ

                   ก่อนตายอาจารย์ยังสั่งเสียข้าไว้ว่า“ลูกฮุ้ง  จงเพียรฝึกดาบต่อไป  เอ็งเป็นผู้มี

    พรสวรรค์  ภายหน้าเอ็งจะก้าวข้ามข้าไปได้  ข้าผู้เป็นอาจารย์ทำได้แค่เพียง   เปิดประตูสู่

    เส้นทางนี้ให้เอ็งเท่านั้น  เส้นทางเบื้องหลังประตูนี้   เอ็งต้องกรุยทางเอาเอง  แล้วเอ็งจะ

    ได้ยืนอยู่บนคำว่า  วิญญูชนผู้กล้า”พอมาคิดว่า  ตอนนี้ข้าจะตายอยู่รอมร่อแล้ว  ยังจะไป

    ถึงจุดนั้นได้รึเปล่านะ ?  มันยิ่งทำให้ข้าหายใจติดขัดมากกว่าเก่า

                   ในตอนนั้นข้าทำตามที่อาจารย์สั่งเสีย  ไม่บกพร่อง  ข้าไม่เคยคร้านในการฝึก

    ยุทธ์  แม้ต้องฝึกอย่างเปลี่ยวเหงา  แต่ยังดีที่ หยินเอ๋อให้กำลังใจข้าตลอด  และมีเจ่เจ้  

    คอยดูแลข้าอีกคน  ข้าจึงฝึกยุทธ์ได้อย่างเบาใจ  เป็นเช่นนี้เนิ่นนาน  

                   จนมาถึงปีนี้  ผลการเก็บเกี่ยวของหลายหมู่บ้านในละแวกเนินวิหกบาดเจ็บ  นับ

    ว่าดีกว่าปีก่อน ๆ มาก ๆ ผู้คนคงมั่งคั่งกันขึ้นมาบ้างล่ะนะ  แต่เรื่องราวหน้ายินดีบางครั้งก็

    มาพร้อมกับเรื่องร้าย ๆ  ...... เช่นกัน  ปีนี้หยาดเหงื่อแรงงาน  และความสำเร็จของชาว

    บ้าน  ก็ดุจเดียวกับน้ำตาลหวาน  ที่ล่อพวกมดง่ามมดดำ  แย่หน่อยที่มดง่ามมดดำ คราว

    นี้คือ กลุ่มโจรปีกอัคคี 

                   ทางอำเภอส่งข่าวมาบอกเตือนหมู่บ้านต่าง ๆ ว่าให้ระวังตัว  เพราะพบเห็นสาย

    โจรของกลุ่มโจรปีกอัคคี   แย่ชะมัด  นายอำเภอคนก่อนเพิ่งตายไปเมื่อเดือนที่แล้วนี่

    เอง  ดังนั้นยังไม่มีใครรับผิดชอบเรื่องนี้   พวกมือปราบก็เป็นเพียงลูกชาวบ้านในละแวก

    เช่นข้า  หาใช่ยอดฝีมือ  ดังนั้นความกังวลต่าง ๆ จึงตกอยู่ที่ชาวบ้าน  หรืออันที่จริง... ข้า

    นี่แหละกังวลสุดๆ 

                   เท่าที่ข้ารู้นะ  พวกมันอาละวาดในแถบ“ยูนาน จนถึง  เหอเป่ย”แล้วนี่พวกมัน

    นึกยังไงถึงได้คิดมาที่นี่ ?   ถ้ามันมาจริงคงแย่  ข้ายังได้ยินกิตติศักดิ์บัดซบของพวกมัน  

    พวกมันมีฝีมือที่โหดเหี้ยม  และรวดเร็ว  นิยม“หมาหมู่” ไม่เท่านั้น  พวกมันยังวิปริตยิ่ง  

    นอกจากปล้นแล้ว  พอใจมันก็ฆ่า  ไม่พอใจมันก็ฆ่า  หญิงงามมันย่ำยี  โดยเฉพาะเด็ก

    สาวอายุไม่ถึงสิบสี่  ยิ่งเป็นที่หมายตาของพวกมัน

                  ไม่ได้การแล้ว  ถ้ามันมาถึงที่นี่ได้ล่ะก็  เจ่เจ้  กับ  หยินเอ๋อ  ต้องเป็นที่หมายตา

    ของพวกมันแน่ ๆ  แม้  เจ่เจ้ ของข้าจะสวยสู้ หยินเอ๋อ ไม่ได้  แต่ในละแวกหมู่บ้านต่าง 

    ๆ ในเนินแห่งนี้  สาวทั้งสองนางเป็นหญิงสะคราญ  ที่หนุ่ม ๆ หลงใหลที่สุด  โดยเฉพาะ  

    หยินเอ๋อ  บ้านนางหาได้อยู่ในหมู่บ้าน  ถ้าพวกมันผ่านมาต้องเจอบ้านนางก่อนแน่ๆ

                  บ้าชิบ....และแล้วข่าวร้ายมาถึงจนได้  สองวันก่อนที่ข้าจะมีสภาพแบบนี้  พวก

    มันเข้าปล้นหมู่บ้านใกล้ ๆ มันขนเงิน  ขนเหล้า  ฆ่าคน  เผาบ้าน  ข่มขืนหญิงสาว  และ

    สังหารมือปราบไปสิบห้านาย  และจับผู้หญิงหลายคน  ขึ้นไปพักบนเนินสบายใจเฉิบอย่าง

    เย้ยกฎหมาย  คอยจังหวะลงมาปล้นอีก  “โธ่โว้ย  เนินของพวกเรา”.....พอผู้คนรู้ว่ามือ

    ปราบถูกสังหารเท่านั้นแหละ  แต่ละหมู่บ้านก็กลัวกันจนทำอะไรไม่เป็น

                  เป็นไปตามที่ท่านพ่อคาดการไว้  ความสุขทำให้คนคร้าน  และขาดเขลา  พอมี

    คนคิดรวบรวมชาวบ้านขึ้นสู้  กลับมีชาวบ้านหวาดกลัวเป็นส่วนมาก  จึงรวบรวมคนไม่

    ได้   พวกชาวบ้านที่ไม่ได้อ่อนแอ  กลัวสิ่งใดนะ ? ข้าเองก็ไม่เข้าใจ  ในแต่ละหมู่บ้านมี

    สำมะโนครัว  ไม่ต่ำกว่า  ยี่สิบหลังคาเรือน  แต่ละบ้านมีชายฉกรรจ์ไม่ต่ำกว่าหนึ่งถึงสอง

    คน  ถ้ารวมเข้าด้วยกันทุกหมู่บ้าน  น่าจะได้คนสัก...  อืม........  หนึ่งกองร้อยได้มั้ง   แล้ว

    ด้วยคนจำนวนนี้  มีเหตุผลอันใดต้องไปกลัวโจรชั่วแค่ไม่ถึง  ยี่สิบคน

                    แต่ชาวบ้านก็กลัว  นี่แหละหนา....  ความเป็นจริง  ข้าต้องตัดสินใจทำ   ทำ

    อะไรซักอย่างแล้ว  ข้าไม่เคยโอ้อวดตัว  ไม่คิดจะอวดตัวอวดเก่งด้วย  แต่ข้าก็คิดว่านี่

    สมควรแก่เวลาแล้วที่ข้าจะได้ทดสอบเพลงดาบของอาจารย์  และแสดงให้  หยินเอ๋อ  

    เห็นว่า “ข้า โปย  ฮุ้ง  แม้ฝีมือยังอ่อนด้อย  แต่ก็มีจิตคิดผดุงคุณธรรมเช่นกัน”

                    ความจริงตอนแรกความคิดพิสูจน์ตน  ให้หยินเอ๋อได้ประจัก  เป็นแค่ประเด็น

    รอง  แต่มันกลายเป็น  ประเด็นหลักเพราะ  อู  เทียนอั้ง  ในยามนั้น  หยินเอ๋อ  ก็ยังนึกถึง

    แต่มัน  นางว่า“ถ้าจอมยุทธ์  อู  อยู่ที่นี่ด้วยแล้วล่ะก็  เขาจะต้องกำจัดโจรชั่วพวกนี้ให้เรา

    แน่ ๆ เขาต้องพิทักธรรมโจรพวกนี้ย่อมไม่คะนามือเค้าแน่ ๆ”

                     ฟังแบบนั้นแล้ว.... ไม่รู้จะทำหน้ายังไงดีเลย  เหมือน........“หัวเราะไม่ออก

    ร้องไห้ไม่ได้”ในใจมีคำเป็นล้านคำอยู่ข้าใน  แต่พูดไม่ออก “บ้าแท้”อู  เทียนอั้ง มันเป็น

    ใครมาจากไหนกัน  ถึงได้ยิ่งใหญ่ในสายตานางนัก  ข้าสิ   คบกับนางมาตั้งแต่เด็ก  นาง

    ไม่เคยพูดถึงข้าในแบบเดียวกับที่พูดถึงมันเลย   ข้าลอบคิดในใจ“มันน่ะหรอพิทัก

    ธรรม  ?  ถ้าเป็นงั้นจริง ๆ ตอนนี้มันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน  ทำไมปล่อยให้หมู่บ้านใกล้ ๆ ถูก

    พวกโจรย่ำยี  ?”

                    คิดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น  ข้ารู้  มันไม่ใช่ความผิดของ  อู  เทียนอั้ง  ตัวมันอยู่ถึง

    กำหนำ  จะมารับรู้เรื่องอะไรของพวกเรา  แล้วมันจะโผล่มาชวยพวกเราได้ยังไง   ข้าแค่

    โกรธตัวเอง  แล้วต้องเอาไปลงที่ใครซักคน

                    ใช่  คิดไปก็เท่านั้น“ถึงเวลาที่ข้าต้องพิสูจน์ตัวเองให้นางเห็นแล้ว”

                 วันนั้นข้าทำงานให้ท่านพ่ออย่างเต็มที่ยิ่ง  ตกเย็นข้าเข้าไปคุยกับท่านโดยไม่

    ลังเล  พร้อมกับ  เจ่เจ้  และท่านอาผาแผด  เมื่อได้ฟังสิ่งที่ข้าตัดสินใจ  ท่านพ่อม่านตา

    หดลง  แววตาแสดงความตกใจ  แต่ก็ยังคงท่าทีสงบ  ไม่พูดอะไรอยู่นาน  ในขณะที่คน

    อื่นแสดงอาการออกมาอย่างเห็นได้ชัด  จนท่านพ่อถามขึ้นมา

              “เอ็งเอาจริง ?”

              “ครับท่านพ่อ  ข้าตัดสินใจแล้ว  ข้าจะปกป้องผู้คน  ข้าจะไปปราบพวกโจรชั่ว”

                  ทีนี้ล่ะคนอื่นแทบลมจับกันเลย  ถึงข้ามั่นใจแค่ไหน  คนอื่นก็ไม่วายเป็นห่วงข้า

    อยู่ดี  ท่านอาหญิงรีบส่งคนไปตาม  หยินเอ๋อ  ให้มาห้ามปรามข้าโดยเร็ว  นางรู้ดีว่าในที่นี้

    ไม่มีใครห้ามข้าได้  ข้าเองเมื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว  ไม่เคยไม่ทำ  และก็เป็นเช่นอาหญิง

    กังวล  ท่านพ่อที่นั่งนิ่งอยู่นานก็เปิดปากแล้ว  ท่านยิ้มมาทางข้าแล้วกล่าว

              “ไม่เสียทีที่ข้าให้เอ็งร่ำเรียนวรยุทธ์  เอ็งเป็นดังที่ข้าหวังไว้จริง ๆ  ดี  ดีมาก”คราว

    นี้ไม่ใช่แค่ลมจับ  ท่านอาหญิงเป็นลมไปเรียบร้อยแล้ว.... ทาง เจ่เจ้  นางเองก็เข้าใจข้าดี

    ไม่แพ้ หยินเอ๋อ  นางจึงไม่ห้ามข้า  แต่นางไม่พูดอะไรเลย  ข้าก็ไม่กล้าหันไปมองนาง  

    ไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะทำหน้ายังไง  เพราะข้าทำให้นางลำบากใจอยู่

                  หลังจากบอกล่าวคนในบ้านแล้ว  ข้าก็หยิบดาบคู่ใจ  ที่ยาวกว่าวา กว้างกว่า

    ศอก  เตรียมไปขึ้นเนิน  ทุกคนก็ออกมาด้วย  แต่ไม่ ได้ออกมาส่งข้า  เพราะทุกคนหวัง

    ให้ข้ากลับมา  จึงไม่มีใครกล่าวคำล่ำลา  ทว่า  หยินเอ๋อ  มาถึงแล้ว  แย่ล่ะสิ.....คนที่ตอน

    นี้ข้าไม่อยากให้มา  มากที่สุด ก็คือนาง   ข้ารู้ว่านางเป็นห่วงข้า  ข้าก็ดีใจแล้ว  แต่ถ้านาง

    มา  ข้าอาจตัดใจไปไม่ได้  แต่ในอีกใจข้าก็อยากพบนางมากที่สุดตอนนี้  เพราะข้าอาจ

    ไม่ได้กลับมาอีก  ข้าจะได้จดจำนางไว้เป็นครั้งสุดท้าย

                  นางมาขวางข้าไว้  ร่างที่เตี้ยกว่าแหงนมองข้าด้วยใบหน้าที่ซีดผาด  และแวว

    ตาเหมือนจะร้องไห้  แล้วก็ตะเบ็งเสียงใส่ข้า

              “ท่านช่างโง่นัก  มีความจำเป็นอันใดต้องเอาชีวิตเข้าไปอยู่ในอันตรายเช่นนั้น”

            ข้าไม่ตอบอะไรออกไป  ได้แต่หลับตาลงยืนฟังนางอย่างสงบ  นางจึงกล่าวต่อด้วย

    เสียงที่นุ่มลง

               “ทางอำเภอต้องส่งคนไปขอความช่วยเหลือ  จากส่วนกลางแน่นอน  ขอท่านจง

    เบาใจและอย่าได้ไปเสี่ยงชีวิตเลย”ฟังดังนั้นข้าจึงเผยตาขึ้นประสานตากับนางแล้วพูด

    บ้าง

                “เมื่อไหร่ล่ะ ? กว่าทหารส่วนกลางจะมา  เมื่อพวกโจรเผาหมู่บ้านหมด  หรือเมื่อ

    พวกมันพรากท่านไปจากข้าเรียบร้อยแล้ว”นั่นเป็นคำพูดที่ข้าพยายามทำน้ำเสียงให้นิ่งที่

    สุดแล้ว  และข้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก  เมื่อนางสบตาข้า  นางย่อมเข้าใจความตั้งใจ

    ของข้าดี

                    อย่างข้าที่บอก  นางและข้าเข้าใจกันและกันดียิ่งกว่าใคร   มีหรอ  นางจะไม่รู้

    ว่าตอนนี้ข้าตัดสินใจเด็ดขาดเพียงใด  เมื่อสบตาข้านางย่อมรู้  เมื่อเข้าใจนางย่อมไม่

    ห้าม  นางหน้าแดงขึ้นโดยไม่รู้ตัว  หลบสายตาข้าเล็กน้อยอย่างขวยอาย  ข้าคงจ้องตา

    นางนานไปนิดล่ะมั้ง  นางกลับมาสบตาข้าอีกครั้งด้วยสายตาที่เศร้าลง  แล้วเอ่ยขึ้นอย่าง

    ชัดถ้อยชัดคำ

               “พี่ฮุ้ง  ขอโทษด้วย  แต่ข้าหวังให้ท่านกลับมา  เพราะฉะนั้นโปรดฟัง  แม้ข้าไม่

    อาจตอบรับความรู้สึก  ที่ท่านมีให้ต่อข้าได้  แต่หากท่านไม่กลับมา  ข้าจะไม่ขอแต่งงาน

    กับชายใดทั้งสิ้น  แม้ชายผู้นั้นจะเป็นคนที่ข้ารักก็ตาม  หากท่านไม่อยากทำลายความสุข

    ชั่วชีวิต  ของผู้หญิงคนนึงแล้วล่ะก็  โปรดจงมีชีวิตกลับมาอย่างครบสามสิบสอง”

             สองสามประโยคนี้เล่นเอาข้าอึ่งไปเลย  จน เจ่เจ้ เดินมา  นางหยิบปิ่นปักผมหยก

    อันงามยื่นให้ข้าแล้วพูดบ้าง

                  “ปิ่นนี้เป็นปิ่นที่ข้ารักมากที่สุด  จงรับมันไว้  ข้าให้เจ้ายืม  แล้วจงนำมาคืนข้าให้

    ได้”ข้าไม่ค่อยเข้าใจ  กำลังจะบอกปัด  แต่เจ่เจ้นางชิงพูดดักก่อน

               “เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแหละ ให้ยืมก็คือให้ยืม  ต้องกลับมาคืนข้าให้ได้ล่ะ  มิ

    เช่นนั้นข้าจะโกรธเจ้าไปตลอดชีวิต”ตอนนี้เองที่ข้าเพิ่งเห็นตาแดง ๆ ของนาง  ที่เหมือน

    จะร้องไห้  นางคงกลั้นไว้อย่างสุด ๆ แล้ว  เพราะต้องการให้ข้ากลับมาให้ได้นางจึงทำ

    เช่นนี้  ข้าจึงรับปิ่นไว้อย่างเต็มใจ  แล้วหยินเอ๋อก็พูดอีก

              “เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะไปรอท่านอยู่ที่บ้าน  กลับมาเมื่อไรจงไปหาข้าอย่างที่ท่านเคย

    ไป  ข้าจะรอ”พูดเสร็จนางก็หันหลังเดินจากไป  โดยไม่หันกลับมามองอีก  โดยมีเจ่เจ้

    อาสาไปส่งบ้าน  ผมของพวกนางต้องลมปลิวไสว  ดั่งผืนธงที่พลิ้วลม  ข้าปฏิญาณในใจ

              “ข้าต้องกลับมาให้ได้  นี่ต้องไม่ใช่ภาพสุดท้างของพวกนางที่ข้าจะได้เห็น”คิดได้

    ดังนั้น  ข้าก็หันหลังเดินไปทิศตรงข้ามกับพวกนางโดยไม่หันมามองเช่นกัน  แต่ข้าก็ได้

    ยินเสียงร่ำไห้แผ่วกระซิกของนางทั้งสอง  มันยิ่งย้ำให้ข้าต้องกลับมาให้ได้

                   พวกชาวบ้านเริ่มออกมาแล้ว  มีคนเริ่มรู้แล้วว่าข้าจะไปทำอะไร ข่าวคราวช่าง

    ไวราวไฟรามทุ่ง  ไม่ว่าใครจะคิดยังไง  ไม่ว่าคิดว่าข้าโง่  หรือสรรเสรินข้าอยู่ในใจก็ช่าง  

    ล้วนไม่เกี่ยวกับข้า  เพราะสิ่งที่ข้าทำทั้งหมด  ก็เพื่อตัวข้าเอง  และเพื่อพวกนาง

                   แต่สภาพใกล้ตายของข้าตอนนี้  ยังจะมีหวังอะไรให้กลับไปหานางได้อีก  

    สวรรค์ช่างเล่นตลกอะไรแบบนี้  ตลกที่ขำไม่ออก  บ้าที่สุด  ข้าอยากพบนางอีก  ได้โปรด

    เถอะสวรรค์


                   “แกล๊ป......!!!”

                     เสียงอะไรบางอย่าง  เรียกข้าให้ออกมาจากห้วงความคิด  ฟังดูคล้าย ๆ  ใคร

    บางคนเหยียบกิ่งไม้  แต่ข้าเหลือบไปมองทางต้นเสียงไม่ถึง  ข้านอนหงายมองฟ้าอยู่

    อย่างงั้น  “ให้ตายสิ  อยากลุกขึ้นแล้ววิ่งไปให้พ้น ๆ จากตรงนี้ เดี๋ยวนี้เลย” ถ้าทำได้น่ะ

    นะ  จะมีอะไรเลวร้ายกว่านี้มั้ยเนี่ย   .....  ทันไดนั้น

                     มีชายคนนึ่งยืนมองมาทางข้า  แต่สายตาข้าพล่ามัวนัก  เลยไม่รู้ว่าเค้ามองข้า

    ด้วยสายตาและสีหน้าแบบใด  แต่นี่น่าจะเป็นโอกาสดีของข้า  โอกาสรอดโอกาสเดียว  

    ข้ายังไม่อยากตาย  เพราะฉะนั้น  ไม่ว่าผู้มาจะเป็นมิตร  หรือศัตรูก็ช่าง  ดั่งคนจมน้ำ  ว่าย

    น้ำตีขาจนไม่เหลือแรงใกล้จะจม  หากมีซุงลอยมาย่อมต้องพยายามเกาะไว้  ไม่ว่าซุงนั้น

    จะเป็นต้นสัก  หรือต้นงิ้วก็ตาม  ดังนั้นก่อนที่ข้าจะสิ้นใจตายข้าต้องพูด

                 “สหาย  ช่วยข้าด้วย”

                 “อ๊ะ !!  ยังไม่ตายนี่”ชายผู้นั้นร้องขึ้นพลางคุกเข่าลง  พยุงข้าลุกขึ้นนั่ง  ลม

    หายใจข้าคงอ่อนล้าเต็มที  ชายผู้นี้จึงไมทันสังเกตเห็น  พอมาใกล้ ๆ ข้าถึงเพิ่งเห็นว่า  

    ชายผู้นี้  พกกระบี่  เค้ามัดผมไว้อย่างรวก ๆ มีปอยผมกระเซอะกระเซิง  เท่าที่ข้าพอมีแรง

    ลืมตาดู  ชายผู้นี้มีรูปร่างสูงโปร่งเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน  ผิดกับเสื้อผ้าซอมซ่อที่เค้าใส่อยู่  

    และเหมือนได้กลิ่นสมุนไพรฉุน ๆ แต่ไม่ได้เหลือบตาไปมองหาต้นตอขอกลิ่น เพราะข้า

    มัวแต่สนใจนัยน์ตาของชายผู้นี้ ... นัยน์ตาสีม่วง...

               “ เฮ้อ ...”ชายผู้มาใหม่ ถอนหายใจออกมาอย่างหนักอกหนักใจ  แล้วกล่าว

              “สหาย  มีมีดเล่มหนา  ปักอกท่านอยู่”

                !!!!! ข้าตาถลึงตกใจ  แต่ไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้  มิน่าชายผู้นี้ถึงคิดว่า

    ข้าตายไปแล้ว  

                 แล้วภาพต่าง ๆ ตรงหน้าก็พล่ามัวลง  ข้ากำลังจะหลับลงอีกหรือเนี่ย  หลับลง

    คราวนี้แล้วข้าจะได้ตื่นขึ้นมาอีกรึเปล่านะ ?  เอ.....ก่อนหลับตาลง  เมื่อกี๊ข้าพูดอะไรออก

    ไปนะ  อ้อใช่แล้ว

               “ มีดเลว ๆ”
    ……………………………………………………

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×