คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 01
Fanfiction
Project : Eyesheild 21
My Own Path
Chapter 01
เด็กหนุ่มทั้งปี 1 และปี 2 ทั้ง 8 คนที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องชมรมเพื่อซ้อมช่วงเย็นต่างลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเพราะหูและใจของพวกเขาจดจ่ออยู่แต่กับเสียงเอะอะโวยวาย โดยเฉพาะเสียงปืนที่อยู่อีกฝากของบานประตูเหล็กที่อยู่ตรงหน้า แต่กระนั้นก็ยังไม่มีขาข้างใดกล้าที่จะก้าวเข้าไปใกล้ ไม่มีมือข้างไหนจะยื่นเข้าไปเลื่อนบานประตูให้เปิดออก และไม่มีร่างกายที่เล็กบอบบางหรือใหญ่โตจะกล้าเข้าไปพังประตู แม้เสียงร้องที่ได้ยินมันจะฟังดูคุ้นหูก็ตาม
‘ต่อให้ตายยังไงชั้นก็ไม่เลิกเล่นหรอกเฟ้ย!! ไอ้แก่เฮงซวย!!!!’ เสียงตวาดที่ดังลั่นจนรอดผ่านบานประตูเหล็กออกมาเรียกให้ทุกคนตื่นจากภวังค์
พวกเขาคิดว่าจะมีเสียงปืนและเสียงด่าทอตามมาอีก แต่สิ่งที่ได้ยินมีเพียงความเงียบเท่านั้น ความกล้าที่เคยหดหายไปจึงค่อย ๆ กลับคืนมาทีละนิด และผลักให้คน 3 คนในกลุ่มที่ช่ำชองเรื่องการวิวาทมากที่สุดนั้นกล้าเข้าไปใกล้บานประตูเป็นกลุ่มแรก แต่ไม่ทันที่ฝ่ามือของหนึ่งในหน่วยกล้าตายจะแตะผิวเหล็กที่เย็นเฉียบ เสียงอะไรบางอย่างที่กระแทกกับอีกด้านของประตูก็หยุดมันเอาไว้ก่อน
‘Then, I’ll be the fking one who make you quit, you fking bloody son!!’
ภาษากลางที่ใช้กันทั่วโลกดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนที่บานประตูจะถูกกระแทกให้เลื่อนเปิดออกอย่างแรง มันปล่อยให้ร่างเปื้อนเลือดของเด็กหนุ่มผมตั้งสีบลอนด์ที่มีหูเรียวแหลมในชุดนักเรียนล้มลงนอนหมดสติกับพื้น ชายวัยกลางคนที่มีร่างสูงใหญ่ก้าวออกมายืนข้างๆ พร้อมกับปืนยาวในมือ
ทุกคนต่างผงะถอยกับท่าทางวางก้าม ใบหน้าดุดันน่ากลัว และนัยน์ตาคมที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดนั้นหรี่ลงมองพวกเขาอย่างหงุดหงิด ปลายกระบอกปืนเลื่อนมากดอยู่บนขมับของร่างบนพื้น
“So, these ‘re yo’ pity lil’ team yo’ can’t quit, my hell bloody son? Wha ta low live you choose ta mess with these pathetic babies? So, I think right fo’ lea’ing you. You’re still pathetic like always
.”
Flashback
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เด็กผู้ชายอายุประมาณ 7 ปีที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนขณะถือปืนสั้นก็ไม่มีสิทธิบ่น เขามีหน้าที่แค่เหนี่ยวไกและมองดูกระสุนนัดแล้วนัดเล่าพุ่งเข้าไปหาเป้าสีดำที่อยู่ห่างออกไป ในขณะที่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังถือปืนส่องเขาอยู่
“ยกแขนขึ้นอีกหน่อย แล้วก็เลิกเกร็งข้อมือแบบนั้นซะที”
ชายหนุ่มยังคงให้คำแนะนำพร้อมกับยิงให้ดู ลูกกระสุนพุ่งเฉียดใบหน้าของเด็กชายเข้าตรงกลางเป้าพอดี แต่ความประทับใจกลับไม่ปรากฏอยู่บนใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เพียงแค่มองอย่างไร้อารมณ์กับความสามารถอันยอดเยี่ยมที่เห็นมานับครั้งไม่ถ้วนของคนที่เรียกว่า ‘พ่อ’
“วันนี้ฝึกยิงพอแล้ว” ชายหนุ่มว่าพลางมองดูนาฬิกาแล้วพบว่ามันผ่านไปแล้ว 3 ชั่วโมง “เข้าบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปรอในห้องนั้น” เขาว่าพลางเดินเข้าไปในบ้าน
เด็กน้อยยืนมองเป้าตรงหน้าอย่างเลื่อนลอยซักพักก่อนจะถอนหายใจและเดินตามเข้าไป แต่ก่อนที่จะก้าวผ่านประตู ปืนในมือก็ยกขึ้นพาดบ่าแล้วยิงโดยไม่หันกลับไปเล็ง ลูกกระสุนที่พุ่งเข้ากลางเป้าเหมือนจับวางทำให้รอยแสยะยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขาเป็นครั้งแรกในวันนี้
“ฮิรุม่า!! ไอ้ลูกเวรนี่!! แค่เดินเข้ามาในบ้านนี่มันจะใช้เวลาสักกี่ชาติกันฟะ!!”
‘ตาแก่นั่นไม่มีวันรู้หรอกว่ามันกำลังสร้างอะไร’
เด็กน้อยคิดพลางหัวเราะเบาๆ แต่ก็ยังคงเดินขึ้นห้องของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน และไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับลูกกระสุนที่พุ่งเฉี่ยวหน้ากับเสียงตวาดอย่างหงุดหงิดของเจ้าของปืน เพราะต่อให้คนๆ นั้นโมโหโกรธเกรี้ยวกราดเกินลิมิตยังไง เขาก็รู้ดีว่าเขามีค่าเกินกว่าจะถูกยิงทิ้งไปได้ง่ายๆ
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย เขาก็เดินลงบันไดมาเรื่อยๆ ด้วยความเร็วเท่าเดิม และยังคงเอียงคอหลบมีดสั้นที่พุ่งเข้ามาจากมือของคนที่เรียกว่า ‘แม่’ อย่างใจเย็น ขณะที่กำลังเดินผ่านประตูห้องครัวที่ 90% คือ ที่เก็บอาวุธสงครามมากมายหลากหลายประเภทเหมือนกับบริเวณอื่นๆ ภายในบ้าน
“รีบๆ ฝึกกับพ่อแกให้เสร็จๆ ไปซะ คืนนี้มีงาน”
ผู้เป็นแม่พูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ โดยไม่เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์ที่ถืออยู่ในมือ และยังคงนั่งไขว่ห้างจิบกาแฟเหมือนกับมีดที่ปักอยู่บนกำแพงนั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
“ก็ไปบอกตาแก่นั่นเอาเองดิ”
แม่เพียงแค่ยักไหล่ไม่สนใจจะไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของลูก แม้มันจะฟังดูหยาบคายและไร้มารยาทก็ตาม ในเมื่อผู้อวุโสที่อยู่ตรงหน้าเพิกเฉยต่อการทำหน้าที่ของ ‘แม่’ เด็กน้อยก็ไม่จำเป็นต้องเล่นบทของ ‘ลูก’ ที่แสนดีด้วยเช่นเดียวกัน เขาจึงเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
“อยากตายรึไงวะ!!”
นั่นคือคำทักทายแรกเมื่อพ่อเจอหน้าลูกและผลักเขาเข้าไปในห้องอย่างแรง ก่อนจะปิดล๊อกบานประตูเหล็กและขังเอาไว้ในห้องมืดที่ปิดทึบกับของสองสามอย่าง
“ใช้ของพวกนั้นแหกออกมาจากห้องไห้ได้ก่อนอาหารเย็น แม่แกบอกแล้วนี่ว่าคืนนี้มีงาน”
“มีปัญญาคิดได้แต่มุขแบบนี้รึไงตาแก่” เด็กน้อยว่าพลางแสยะยิ้มและหยิบกล่องระเบิดขึ้นมาโยนเล่น เสียงนาฬิกาบอกเวลาที่ดังขึ้นไม่ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าไปหาความตายเลย
“ไม่ต้องพูดมาก ถ้าชั้นเป็นแกชั้นจะเริ่มหารหัสปลดระเบิดแล้วออกมาจากห้อง ไอ้นั่นน่ะมันยากกว่าคราวที่แล้วเยอะ”
ชายหนุ่มทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นแล้วเดินจากไป เด็กน้อยก็เพียงแค่ยักไหล่แล้วหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาอ่านดู รอยแสยะยิ้มฉีกกว้างในขณะที่ตัวเลขและตัวหนังสือวิ่งแล่นอยู่ในหัวอย่างรวดเร็ว
‘ก็ไม่เห็นจะยากกว่าเดิมเลยนี่หว่าตาแก่ขี้โม้เอ๊ย คิดว่าฉลาดอยู่คนเดียวรึไงฟะ?’
เขาคิดพลางนั่งมองตัวเลขบนระเบิดและไพ่ตัวช่วยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในการถอดรหัสอย่างเบื่อๆ พลางแยกชิ้นส่วนของมันออกทีละชิ้นๆ อย่างไม่รีบเร่ง กรรไกรอันเล็กถูกหยิบออกมาควงเล่นๆ ก่อนจะตัดสายไฟที่จำเป็นออกทีละเส้นๆ และหยุดเวลาเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ถ้าไม่ติดว่าบ้านที่กำลังอาศัยอยู่นี่เป็นที่ซุกหัวนอน เขาอาจจะนึกสนุกประกอบระเบิดนี่ขึ้นมาใหม่ให้มีอนุภาพการทำลายที่รุนแรงกว่าเดิมแล้วนั่งดูผลงานของมันเล่นๆ แก้เบื่อก็ได้
‘ไหนๆ ก็เหลือเวลาอีกชั่วโมง นั่งเล่นไพ่ฆ่าเวลาที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน แต่เล่นคนเดียวนี่มันไม่ค่อยหนุกเลยว่ะ’
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปืนกระบอกเล็กสีดำมันวาวถูกยัดเยียดมาไว้ในมือเล็กๆ สองข้างของร่างเล็ก ใบหน้าอ่อนเยาว์ก้มลงมองมันแล้วแสยะยิ้มอย่างขำ ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นพ่อ
“ไม่มีปัญญาทำงานเองแล้วรึไง ?” เขากล้าพูดอย่างไม่กลัวเกรงเพราะจงใจที่จะยั่วโมโหชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ไม่ต้องพูดมากไอ้ลูกเวร แกน่ะแค่ทำตามที่ชั้นสั่งก็พอแล้ว เอ้านี่
..” เขาว่าพลางยื่นรูปของเป้าหมายให้ “
เป้าหมายที่แกต้องจัดการ อย่าให้พลาดล่ะ ค่าจ้างน่ะมันสูงนะเว้ย” เขาว่าอย่างหงุดหงิดกับรอยแสยะยิ้มและใบหน้ากวนๆ ของคนที่เขาไม่เคยเห็นว่าเป็นลูกเลยสักครั้ง
“’งั้นก็ไปทำซะเองสิ ไม่อยากให้พลาดนักล่ะก็ รึว่าน้ำยาแกมันหมดแล้ว ?”
“มึงจะเลิกกวนประสาทกูซักวินาทีไม่ได้หรือไงวะ หัดหาซิปมารูดซะมั่งสิเว้ย!!”
ชายหนุ่มว่าอย่างเหลืออดกับคำพูดกวนส้นที่หลุดออกมาทุกครั้งที่เด็กคนนี้อ้าปาก ฝ่ามือใหญ่หยาบตบใบหน้าอ่อนเยาว์นั่นเต็มแรงเพื่อหวังจะทำให้รอยแสะยิ้มนั่นหายไป แต่ก็ไม่ได้ผล มันยังคงอยู่และยิ่งฉีกกว้างมากขึ้น นัยน์ตาสีฟ้าที่เหลือบมองมานั้นเต็มไปด้วยความดูถูกจนเขาทนไม่ได้
“บอกให้ออกไปก็ออกไปสิเว้ย!! มึงอยากโดนฆ่ารึไงวะ!!”
แล้วคนเป็นพ่อก็ถีบไสไล่ส่งลูกของตัวเองออกนอกบ้านไปอย่างไม่ปราณีปราศรัยกับงานที่เขาเป็นคนรับปากว่าจะเป็นคนลงมือเอง พร้อมกับปิดประตูไล่หลังดังปังเป็นเชิงบอกเป็นนัยๆ ว่า ถ้าคืนนี้ทำไม่สำเร็จก็ไม่ต้องกลับบ้าน
“ไอ้แก่ตูดหมึกนั่น ซักวันจะฆ่าทิ้งซะ”
ดูเหมือนว่าคำว่า ฆ่า จะหลุดออกจากปากของเด็กน้อยมาได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าอยากทำเช่นนั้นจริง ๆ รึเปล่า เพราะถึงคนในบ้านจะปฏิบัติและเสี่ยมสอนเขาไม่ต่างกับการฝึกอาวุธมีชีวิตเอาไว้ใช้หาเงิน แต่เขาก็ยังคงเห็นว่ามันจะมีประโยชน์ในอนาคต เพราะโลกกับครอบครัวที่เขาอาศัยอยู่นี้ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะชั่วช้าขนาดไหน ไม่ว่าจะด้วยแผนที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนหรือหักหลังเฉือนคมกันจนเลือดซิบสักเท่าไหร่ ขอเพียงเป็นสิ่งที่ทำให้มีชีวิตอยู่รอดได้ มันก็เพียงพอและควรค่าที่จะเก็บเอาไว้
ในเมื่อโลกที่กำลังจะก้าวออกไปมันช่างโหดร้ายแบบนั้น เขาก็ไม่จะเป็นที่จะต้องคิด หรือรู้สึกผิดอะไรกับการเดินตามเส้นทางของคนเป็นพ่อและแม่ เพราะเขานั้นจำเป็นที่จะมีชีวิตอยู่ เขาต้องการที่จะอยู่ เพื่อสักวันหนึ่งเขาจะแข็งแกร่งพอที่จะก้าวผ่านโลกที่น่ารังเกียจนี้ออกไปสู่โลกอีกฝากหนึ่งที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง และได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระตามที่เขาต้องการ
“ในเมื่อแกใช้ประโยชน์จากชั้น ชั้นก็จะทำแบบเดียวกับแกมั่ง ไอ้แก่เฮงซวย......”
รอยแสยะยิ้มฉีกกว้าง เสียงหัวเราะปีศาจดังรอดริมฝีปากแล้วลอยหายไปกับสายลม ก่อนที่ร่างของเด็กน้อยจะก้าวหายเข้าไปในเงามืด
เสียงปืนดังก้องท่ามกลางความเงียบของค่ำคืนที่เงียบสงบ ทำให้ผู้คนแตกตื่นและวิ่งหนีออกจากผับอย่างรวดเร็ว แต่มีเพียงสาวนักร้องประจำผับแห่งนั้นที่มาสามารถไปไหนได้ เธอไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ เด็กผู้ชายอายุ 7 ปีถึงเข้ามาในผับแห่งนี้ได้ เขาอาจจะเป็นเพียงเด็กสติไม่ดีที่อยู่ดีๆ ก็เอาปืนมายิงกราดไปทั่วหลังจากมานั่งเล่นไพ่หน้าตาเฉยกับคนอื่นๆ ในผับอยู่หลายชั่วโมงก็ได้ แต่มันก็ยังคงอธิบายว่าทำไมถึงต้องเป้นเธอเพียงคนเดียวที่อยู่หน้าปืนกระบอกนั้น
“ทะ.....ทำไม ? ชะ....ชั้นเคยไปทำอะไรให้เธอรึไง ? ยะ.....อย่าฆ่าชั้นเลยนะ ขอร้องล่ะ ชั้นยังไม่อยากตาย ชั้นยังไม่อยากตาย !!!”
ถึงมันจะเป็นการกระทำที่น่าสมเพชที่มานั่งอ้อนวอนขอชีวิตกับเด็กตัวเล็กๆ แบบนี้ แต่จะให้เธอทำยัง ร่างกายที่เคยกล้าที่จะก้าวขึ้นมาบนเวทีและร้องเพลงต่อหน้าผู้คนนับร้อยกลับขลาดกลัวจนขยับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า เจ้าของผับ หรือแม้แต่ยามต่างก็ถูกยิงถูกปาระเบิดใส่จนขวัญหนีดีฝ่อและวิ่งหนีกันไปหมด แล้วใครกันล่ะที่จะเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเจ้าหญิงอย่างเธอให้พ้นจากเงื้อมมือของปีศาจตัวน้อยนี่
“ก็ไม่ได้บอกว่าจะฆ่านี่
” เด็กน้อยกลับพูดแล้วหัวเราะ
“งะ.....งั้นทำไม ?”
“เอาเป็นว่าทำตามนี้ก็แล้วกัน”
เขาวางปืนไว้บนบ่าแล้วควักกระดาษแผ่นเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋ากางเกงขายาวสีดำด้วยมืออีกข้างหนึ่งแล้วยื่นให้ เธอรับมันมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วอ่านข้อความที่อยู่บนนั้น
“ทะ.....ทำไม ?” เธอถามซ้ำ แต่ไม่ใช่เพราะกลัวอีกต่อไปแล้ว ใบหน้าเรียวยาวเงยขึ้นมามองเขาอย่างงงๆ สิ่งที่อยู่บนกระดาษช่างแปลกประหลาดและไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
“ก็ถ้าไม่อยากตายก็ทำตามซะ ชั้นน่ะไม่ได้มาเพราะอยากมาซักหน่อย ชื่อเธอชั้นยังไม่จำเป็นต้องรู้ด้วยซ้ำ”
เขาว่าพลางหัวเราะ ก่อนที่ใบหน้าจะกลับมาดูจริงจังพร้อมกับปืนยกขึ้นจ่อที่ใบหน้าของหญิงสาวอีกครั้ง ความกลัวทั้งหมดกลับมาทันที เมื่อมือเล็กๆ ที่ว่างอยู่ควักระเบิดมือออกมาถือ สลักถูกดึงออกด้วยฟันที่ยาวแหลมก่อนที่มันจะถูกทิ้งลงพื้น เสียงกรีดร้องของเธอดังลั่นไปทั่ว แต่รอบตัวเธอกลับเงียบสนิท และมีเพียงควันขาวที่หนาทึบและคำพูด 1 ประโยคเหลือทิ้งเอาไว้เป็นการเตือนครั้งสุดท้ายเท่านั้น
ถ้าไม่อยากตายก็ทำตามซะ.....
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ข้าวของล้มระเนระนาด เสียงตวาดที่เกรี้ยวกราดและดังก้อง กำปั้นที่ปล่อยออกมาและฝ่าเท้าที่กระทืบลงนั้นล้วนมีร่างเล็กๆ ของเด็กผู้ชายคนหนึ่งเป็นเบาะรองรับ แต่ร่างนั้นยังคงยินดีที่จะอ้าแขนรับความเจ็บปวดทั้งหมดในขณะที่มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้เมื่ออยู่ต่อหน้าของชายหนุ่มที่กลายเป็นสัตว์ป่าที่บ้าคลั่ง เพราะมันยังดีกว่าการที่จะต้องฆ่าคนเพียงเพื่อให้ได้เงินไร้ค่ามาให้กับคนๆ นี้
“ทำไมแกถึงพลาด!! กะอีแค่ผู้หญิงอ่อนแอน่าสมเพชคนเดียว !!! แถมยังไปทำอีท่าไหนให้ตำรวจมันมาจับคนจ้างได้วะ!!!?? แถมเป้าหมายมันยังหนีหายไปอีก แบบนี้ก็ชวดกันหมดสิเว้ย !!!!” ‘แล้วแบบนี้กูจะเลี้ยงมึงให้เสียข้าวสุกทำไมวะ ?’
เขาคิดอย่างเดือดดาลพลางระบายอารมณ์กับคนที่ไม่เคยเห็นเป็นลูกอย่างไม่ยั้งมือ การกระทำที่โหดร้ายป่าเถื่อนยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนความโกรธค่อยๆ จางหายไปและเหลือเพียงแต่ความหงุดหงิดเท่านั้น
ร่างที่ถูกทิ้งให้นอนตะแคงอยู่บนพื้นได้แต่เหลือบมองสัตว์ป่าเดินจากไปแล้วปิดประตูล็อคห้องอย่างแน่นหนา ริมฝีปากที่บวมช้ำคลี่ออกแสยะยิ้ม เสียงแหบพร่าที่เล็ดรอดออกมาเป็นครั้งแรกนั้นแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบของยามค่ำคืน
“แกไม่มีวันรู้หรอกว่ากำลังสร้างอะไร.......”
ห้องครัว
ใบหน้าเรียบเฉยของหญิงสาวที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เพียงแค่เงยขึ้นมองสามีของเธอเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เธอเพียงแต่รับรู้ว่าเขาได้ระบายความโกรธออกไปจนหมด โดยที่ไม่สนใจเลยว่าเหยื่อของเขาจะเป็นอย่างไร เธอรู้ดีว่าเขาก็ไม่มีทางฆ่าเครื่องมือชิ้นสำคัญไปได้ง่ายๆ คำพูดที่ได้ยินจึงทำให้แปลกใจไม่น้อย
“เอามันไว้ไม่ได้แล้ว แบบนี้มันจะเล่นงานพวกเราเข้าสักวัน มีอย่างที่ไหน สั่งให้ไปฆ่าแต่ก็เสือกไปช่วยให้เป้าหมายหนี แถมยังเอาตำรวจมาซิวนายจ้างซะงั้น บ้าเอ๊ย ! เกิดไอ้นายจ้างนั่นมันปากสว่าง ไม่ซวยกันหมดเรอะ ?” เขาว่าอย่างหัวเสีย
“อืม....แล้วจะทำไงล่ะ ?” เธอถามเสียงเรียบผิดกับชายหนุ่ม
“จะให้ทำไงล่ะ ก็ต้องเอาไปทิ้งน่ะสิ”
“จะให้มันไปเป็นแพะสินะ ก็เอาสิ ชั้นยังไงก็ได้อยู่แล้ว ไว้ไปหาเด็กข้างถนนมันมาใช้ก็ได้ อาจจะฝึกให้เชื่องง่ายกว่า” ผู้เป็นภรรยายิ้มอย่างขำๆ กับคำพูดของตัวเอง
“’งั้นก็เอาคืนพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน......” ดูเหมือนความคิดของเธอจะทำให้อีกฝ่ายพอใจ เขาจึงแสยะยิ้มตามไปด้วย
หน้าตึกบริษัทแห่งหนึ่ง
ร่าง 2 ร่างบนต้นไม้หลบซ่อนจากสายตาของยามที่เดินผ่านไปผ่านมาพร้อมไฟฉายในมือได้อย่างแนบเนียน ร่างหนึ่งกระโดดลงมาและแอบลอบเข้าไปทางด้านหลังของยามและจัดการทำให้สลบเหมือดได้อย่างง่ายดาย หลังจากสำรวจที่ทางแล้วว่าปลอดภัย บวกกับซิกสัญญาณจากอีกร่างบนต้นไม้ เขาจึงหันไปส่งสัญญาณผ่านเครื่องติดต่อใต้ปกเสื้อให้คนที่อยู่บนหลังคาเริ่มลงมือตามแผน
‘ยิ้มหน้าบานเลยนะตายายตูดหมึกทั้งสอง เพราะไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยอ่ะดิ จะว่าไปไอ้ระบบนี่มันกระจอกชะมัดเลยแฮะ’
เด็กน้อยว่าพลางหยิบหมากฝรั่งไร้น้ำตาลขึ้นมาเคี้ยว มือข้างหนึ่งควงปืนเล่นในขณะที่อีกข้างไล่กดไปตามแป้น คีย์บอร์ดของโน้ตบุ๊คที่วางอยู่บนตัก เส้นสัญญาณสีแดงที่ปรากฏขึ้นบนแบบแปลนอาคารสีเขียวค่อยๆ ถูกลบหายไปทีละเส้นๆ พร้อมกับระบบการรักษาความปลอดภัยแต่ละจุดนั้นหยุดทำงาน
ง่าย แบบนี้มันง่ายเกินไป
‘ดูท่าแกจะวางแผนเอาไว้แล้วล่ะสิไอ้พ่อบ้า.....ฮึ หลอกให้ชั้นแฮคเข้าระบบรักษาความปลอดภัยที่แกแอบพ่วงสัญญาณไปหาตำรวจไว้ก่อนแล้วแบบนี้......’
เขาคิดพลางแสยะยิ้มและหัวเราะเบาๆ แทนที่จะรู้สึกตกอกตกใจ เมื่อเห็นรถตำรวจและเจ้าหน้าที่เข้ามาประจำที่เตรียมบุกรอบตึกกันอย่างเอิกเกริก มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่การติดต่อสื่อสารระหว่างเขากับผู้ให้กำเนิดทั้งสองจะถูกตัดขาดไป ในเมื่อเขาคือ ลูก ที่น่ารักที่จะรับผิดแทนพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้าที่เชิดเงินหนีไปได้อย่างลอยนวล
“ขอให้โชคดีนะครับ ’คุณพ่อ’ ‘คุณแม่’ ”
เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดมาที่เด็กน้อยยินดีที่จะเรียกด้วยความเต็มใจในวาระโอกาสอันสุดพิเศษนี้ วินาทีที่ได้เห็นผู้ให้กำเนิด 2 คนวิ่งหนีไปคงจะเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตได้พบกับความสุขและอิสระที่แท้จริง เขาเชื่ออย่างนั้นในขณะที่มองดูเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบมายืนรอรับเขาอยู่ใต้ต้นไม้
End Flashback
“And, I still believe that, you stupid old man. Come from the other side of the world just for seeing my face?”
ใบหน้ายังคงมีรอยแสยะยิ้มเข้ากับคำพูดเสียดสีตอนท้าย และมันยังคงอยู่แม้ร่างจะถูกอัดกระแทกเข้ากับกำแพงข้างประตู เด็กหนุ่มยินดีที่จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดเพื่อแลกกับการได้ฟื้นขึ้นมายั่วโทสะคนที่อยู่ตรงหน้านี่อย่างสนุกสนาน
“Do s’th more than freaking talk. You’re making me bored.”
“Neither my business Nor. Yours. At. All.” เด็กหนุ่มเน้นเสียงทีละคำอย่างชัดเจนเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กไม่รู้ภาษา
“แกเป็นใครฟะ!! ปล่อยเจ้านั่นเดี๋ยวนี้นะเว้ย!!”
เสียงตวาดที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะหลุดออกมาได้แม้แต่เจ้าตัวนั้นขัดบทสนทนาของสองพ่อลูก เด็กหนุ่มหรี่ตามอง และหุบยิ้มเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นคือหนึ่งในสามหนุ่มจอมวิวาทที่มีผมสั้นสีบลอนด์และแผลเป็นกากบาทบนแก้มข้างขวา
“ชะ....ใช่แล้ว ปล่อยฮิรุม่าคุงนะ !!” เด็กหนุ่มร่างอ้วนใหญ่เหมือนลูกบอลก็เริ่มมีความกล้าที่จะฮึดสู้ โดยมีรุ่นน้องขนาดมินิหุ่นแบบเดียวกันพยักหน้าเห็นด้วย
“หุบปาก ไอ้พวกเด็กเหลือขอ นี่มันเป็นเรื่องในครอบครัว ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็กลับไปกินนมแม่ไป” ชายวัยกลางคนว่าเสียงเย็นพลางบีบคอร่างในมือเอาไว้เพื่อกันไม่ให้เจ้าตัวเริ่มทำอะไรตุกติก
“กลับบ้านไปซะ พรุ่งนี้มีซ้อมเช้านะเฟ้ย” เด็กหนุ่มผู้เปรียบเสมือนเป็นหัวหน้าทีมพูดขึ้นเหมือนกับคนที่ยืนบีบคอเขาอยู่นั้นไม่มีตัวตน และได้กำปั้นหนักๆ กระแทกเข้ามาที่ท้องก็ตาม “แก่ลงไปเยอะนี่ แทบไม่รู้สึกเลยฟะ” เขายังคงกัดฟันแสยะยิ้มพูดได้เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“สภาพปางตายแบบนี้ยังจะปากดีอีก เจ้าพวกเหลือขอนี่มันมีดีอะไรถึงทำให้แกอยากอยู่ ?”
“แล้วการไปร่วมก๊วนกับตาแก่ใกล้ลงโลงอย่างแกมันน่าสนุกตรงไหน ?” ลูกชายยังคงย้อนคนที่ไม่เคยนับถือเป็นพ่ออย่างไม่กลัวเกรง ริมฝีปากเพียงแค่แสยะยิ้มกว้างและถุยเลือดออกไปหลังจากถูกตบฉาดจนหน้าหัน “คนอย่าแกไม่มีวันเข้าใจหรอกเฟ้ย แล้วชั้นจะเปลืองน้ำลายพูดไปทำไม”
“แกนี่มันดื้อแล้วก็วอนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนจริงๆ ชั้นอุตส่าห์ถามดีๆ แล้วนะ”
“ไอ้หน้าแข้งกับลูกกระสุนปืนเนี่ยนะที่เรียกว่าดี ไปเรียนมารยาทแล้วก็การพูดใหม่ซะตั้งแต่ชั้นอนุบาลเถอะแก”
“ฮึ ช่วยไม่ได้ Hey ! Get ‘em!!”
คนเป็นพ่อชักหมดความอดทนกับการเล่นสงครามประสาทและหันไปสั่งลูกน้องที่ยืนหลบอยู่นานให้ออกมาเก็บกวาดพื้นที่ให้เรียบ
“ไอ้พวกตูดหมึก หนีไปสิเว้ย!!”
แม้ว่าหัวหน้าจะสั่งให้ลูกน้องทั้ง 8 คนหนีไปโดยไม่มีโอกาสให้ใครมาช่วยพาคนที่ 9 ที่อยู่ในห้องออกไป มันก็ไม่มีความหมายกับชายหนุ่มร่างบึกกลุ่มใหญ่ เพียงแค่ไม่กี่นาทีที่เหมือนกับโลกได้หยุดหมุนและเวลาได้หยุดเดิน กลุ่มเด็กรักอเมริกันฟุตบอลที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ทั้งหมดก็ล้มลงนอนครวญครางอยู่กับพื้น
“มีฝีมือแค่นี้ยังจะมาแหยม ถ้าว่าง่ายๆ ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเจอฟาดปากแบบนี้หรอกไอ้พวกเหลือขอ”
หัวหน้าแก๊งว่าพลางแสยะยิ้มในขณะที่ลูกน้องต่างพากันหัวเราะ แต่ถึงแม้คนที่ถูกตรึงอยู่บนกำแพงจะไม่ขำ เขาก็ยังคงกัดฟันสวมหน้ากากคนตายด้านที่ไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ดวงตาสีฟ้าเพียงแค่จ้องมองสมาชิกในทีมตรงหน้าและคนที่ถูกลากออกมาจากห้องนั้นถูกหิ้วออกมาทิ้งอยู่แทบเท้าชายที่ไม่คู่ควรกับการถูกเรียกว่า ‘พ่อ’
“เออวะ เกือบลืมไอ้ขี้ก้างนี่ไปแล้ว” ปลายเท้าเตะร่างที่แน่นิ่งให้นอนหงาย “Hey, you, kill him! Make it clean in one shot.” หัวหน้าสั่งเสียงเรียบ
ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ ยินดีที่จะหยิบปืนขึ้นมาเล็งตามที่สั่ง และไม่สนใจกับเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของบรรดาสมาชิกทีมเดวิลแบ็ทที่ถูกลูกน้องคนอื่นเหยียบเอาไว้
เสียงปลดเซฟตี้ของปืนพกเหมือนติดสปริงลวดให้กัปตันทีมที่นิ่งเงียบอยู่นาน ขาเรียวยาวถีบคนตรงหน้าออกไปเต็มแรงทันทีที่กระสุนแล่นออกไปตามลำกล้องและพุ่งเข้าไปหาเป้าหมาย
เมื่อเวลาที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้ากลับมาเดินตามปกติอีกครั้ง ร่างที่เคยถูกตรึงอยู่บนกำแพงกลับมานอนทับคนที่ควรจะถูกยิง ฝ่ามือยกขึ้นกำไหล่ข้างซ้ายที่ถูกกระสุนเฉี่ยวแน่นเพื่อพยายามหยุดเลือดที่ไหลทะลักออกมา ใบหน้าคมที่ซีดเผือดหันมาเหลือบมองด้วยความโกรธแค้น แม้ร่างจะถูกเตะเข้าให้ที่สีข้างจนพลิกกลับมานอนหงายบนพื้น และรองเท้าบู๊ทที่หนาหนักจะเหยียบซ้ำลงมาที่บาดแผลก็ตาม
“นึกแล้วว่าแกจะต้องเข้ามาขวาง ไอ้ขี้ก้างนั่นมันสำคัญนักรึไง ?”
“แล้วมันไปหนักหัวแกตรงไหนไอ้แก่ตูดหมึก.....” ฮิรุม่ายังคงมองด้วยสายตาเช่นเดิมและตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“แกเนี่ยหัวดื้อจนน่ารำคาญจริง ๆ”
ปากกระบอกปืนเลื่อนมากดอยู่บนไหล่ขวา ก่อนที่จะมีใครขยับหรือแม้แต่ส่งเสียงเรียก ทุกอย่างก็เหมือนเงียบสนิทในขณะที่เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง
“แต่แบบนี้คงช่วยให้แกตัดสินใจได้ อย่าลืมนะว่าชั้นกล้ากับแกได้ กับไอ้พวกเหลือขอที่อยู่ตรงนั้นชั้นก็ไม่ต้องคิดอะไรด้วยเหมือนกัน ลืมแล้วรึไงว่าไอ้นี่มันปิดปากคนได้เงียบขนาดไหน”
ชายวัยกลางคนเหลือบมอง ‘ลูก’ ที่ตนกำลังยืนเหยียบอยู่ และเลือดที่ไหลทะลักออกมาด้วยสายตาเย็นชา อาวุธเลื่อนขึ้นมาจ่ออยู่บนหน้าผากเป็นการบอกเป็นนัยๆ ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากคำตอบยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“ํYou fking hell bastard
”
End Chapter 01
ความคิดเห็น