ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Own Path [ Fic : Eyesheild 21 ]

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 01

    • อัปเดตล่าสุด 29 ต.ค. 50








    Fanfiction

     

    Project : Eyesheild 21

     

    My Own Path

     

    Chapter 01

     

     

    เด็กหนุ่มทั้งปี  1  และปี  2  ทั้ง  8  คนที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องชมรมเพื่อซ้อมช่วงเย็นต่างลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเพราะหูและใจของพวกเขาจดจ่ออยู่แต่กับเสียงเอะอะโวยวาย  โดยเฉพาะเสียงปืนที่อยู่อีกฝากของบานประตูเหล็กที่อยู่ตรงหน้า  แต่กระนั้นก็ยังไม่มีขาข้างใดกล้าที่จะก้าวเข้าไปใกล้  ไม่มีมือข้างไหนจะยื่นเข้าไปเลื่อนบานประตูให้เปิดออก  และไม่มีร่างกายที่เล็กบอบบางหรือใหญ่โตจะกล้าเข้าไปพังประตู   แม้เสียงร้องที่ได้ยินมันจะฟังดูคุ้นหูก็ตาม

    ต่อให้ตายยังไงชั้นก็ไม่เลิกเล่นหรอกเฟ้ย!!  ไอ้แก่เฮงซวย!!!!’  เสียงตวาดที่ดังลั่นจนรอดผ่านบานประตูเหล็กออกมาเรียกให้ทุกคนตื่นจากภวังค์ 

    พวกเขาคิดว่าจะมีเสียงปืนและเสียงด่าทอตามมาอีก  แต่สิ่งที่ได้ยินมีเพียงความเงียบเท่านั้น  ความกล้าที่เคยหดหายไปจึงค่อย ๆ กลับคืนมาทีละนิด  และผลักให้คน  3  คนในกลุ่มที่ช่ำชองเรื่องการวิวาทมากที่สุดนั้นกล้าเข้าไปใกล้บานประตูเป็นกลุ่มแรก  แต่ไม่ทันที่ฝ่ามือของหนึ่งในหน่วยกล้าตายจะแตะผิวเหล็กที่เย็นเฉียบ  เสียงอะไรบางอย่างที่กระแทกกับอีกด้านของประตูก็หยุดมันเอาไว้ก่อน

    ‘Then, I’ll be the f—king one who make you quit, you f—king bloody son!!’

    ภาษากลางที่ใช้กันทั่วโลกดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด  ก่อนที่บานประตูจะถูกกระแทกให้เลื่อนเปิดออกอย่างแรง   มันปล่อยให้ร่างเปื้อนเลือดของเด็กหนุ่มผมตั้งสีบลอนด์ที่มีหูเรียวแหลมในชุดนักเรียนล้มลงนอนหมดสติกับพื้น   ชายวัยกลางคนที่มีร่างสูงใหญ่ก้าวออกมายืนข้างๆ พร้อมกับปืนยาวในมือ 

    ทุกคนต่างผงะถอยกับท่าทางวางก้าม  ใบหน้าดุดันน่ากลัว  และนัยน์ตาคมที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดนั้นหรี่ลงมองพวกเขาอย่างหงุดหงิด   ปลายกระบอกปืนเลื่อนมากดอยู่บนขมับของร่างบนพื้น

    “So, these ‘re yo’ pity lil’ team yo’ can’t quit, my hell bloody son?  Wha ta low live you choose ta mess with these pathetic babies? So, I think right fo’ lea’ing you. You’re still pathetic like always…….”

     

    Flashback

     

    ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่  เด็กผู้ชายอายุประมาณ  7  ปีที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนขณะถือปืนสั้นก็ไม่มีสิทธิบ่น  เขามีหน้าที่แค่เหนี่ยวไกและมองดูกระสุนนัดแล้วนัดเล่าพุ่งเข้าไปหาเป้าสีดำที่อยู่ห่างออกไป  ในขณะที่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังถือปืนส่องเขาอยู่ 

    ยกแขนขึ้นอีกหน่อย  แล้วก็เลิกเกร็งข้อมือแบบนั้นซะที

    ชายหนุ่มยังคงให้คำแนะนำพร้อมกับยิงให้ดู  ลูกกระสุนพุ่งเฉียดใบหน้าของเด็กชายเข้าตรงกลางเป้าพอดี  แต่ความประทับใจกลับไม่ปรากฏอยู่บนใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เพียงแค่มองอย่างไร้อารมณ์กับความสามารถอันยอดเยี่ยมที่เห็นมานับครั้งไม่ถ้วนของคนที่เรียกว่า พ่อ

    วันนี้ฝึกยิงพอแล้ว  ชายหนุ่มว่าพลางมองดูนาฬิกาแล้วพบว่ามันผ่านไปแล้ว  3  ชั่วโมง เข้าบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปรอในห้องนั้น  เขาว่าพลางเดินเข้าไปในบ้าน

    เด็กน้อยยืนมองเป้าตรงหน้าอย่างเลื่อนลอยซักพักก่อนจะถอนหายใจและเดินตามเข้าไป  แต่ก่อนที่จะก้าวผ่านประตู ปืนในมือก็ยกขึ้นพาดบ่าแล้วยิงโดยไม่หันกลับไปเล็ง  ลูกกระสุนที่พุ่งเข้ากลางเป้าเหมือนจับวางทำให้รอยแสยะยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขาเป็นครั้งแรกในวันนี้

    ฮิรุม่า!!  ไอ้ลูกเวรนี่!!  แค่เดินเข้ามาในบ้านนี่มันจะใช้เวลาสักกี่ชาติกันฟะ!!”

    ตาแก่นั่นไม่มีวันรู้หรอกว่ามันกำลังสร้างอะไร 

    เด็กน้อยคิดพลางหัวเราะเบาๆ  แต่ก็ยังคงเดินขึ้นห้องของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน   และไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับลูกกระสุนที่พุ่งเฉี่ยวหน้ากับเสียงตวาดอย่างหงุดหงิดของเจ้าของปืน  เพราะต่อให้คนๆ นั้นโมโหโกรธเกรี้ยวกราดเกินลิมิตยังไง  เขาก็รู้ดีว่าเขามีค่าเกินกว่าจะถูกยิงทิ้งไปได้ง่ายๆ 

    เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย  เขาก็เดินลงบันไดมาเรื่อยๆ ด้วยความเร็วเท่าเดิม  และยังคงเอียงคอหลบมีดสั้นที่พุ่งเข้ามาจากมือของคนที่เรียกว่า แม่  อย่างใจเย็น  ขณะที่กำลังเดินผ่านประตูห้องครัวที่  90%  คือ  ที่เก็บอาวุธสงครามมากมายหลากหลายประเภทเหมือนกับบริเวณอื่นๆ ภายในบ้าน

    รีบๆ ฝึกกับพ่อแกให้เสร็จๆ ไปซะ  คืนนี้มีงาน 

    ผู้เป็นแม่พูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ โดยไม่เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์ที่ถืออยู่ในมือ  และยังคงนั่งไขว่ห้างจิบกาแฟเหมือนกับมีดที่ปักอยู่บนกำแพงนั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา   

    ก็ไปบอกตาแก่นั่นเอาเองดิ

    แม่เพียงแค่ยักไหล่ไม่สนใจจะไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของลูก   แม้มันจะฟังดูหยาบคายและไร้มารยาทก็ตาม     ในเมื่อผู้อวุโสที่อยู่ตรงหน้าเพิกเฉยต่อการทำหน้าที่ของ แม่  เด็กน้อยก็ไม่จำเป็นต้องเล่นบทของ ลูก  ที่แสนดีด้วยเช่นเดียวกัน   เขาจึงเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก

    อยากตายรึไงวะ!!”

    นั่นคือคำทักทายแรกเมื่อพ่อเจอหน้าลูกและผลักเขาเข้าไปในห้องอย่างแรง  ก่อนจะปิดล๊อกบานประตูเหล็กและขังเอาไว้ในห้องมืดที่ปิดทึบกับของสองสามอย่าง

    ใช้ของพวกนั้นแหกออกมาจากห้องไห้ได้ก่อนอาหารเย็น  แม่แกบอกแล้วนี่ว่าคืนนี้มีงาน

    มีปัญญาคิดได้แต่มุขแบบนี้รึไงตาแก่  เด็กน้อยว่าพลางแสยะยิ้มและหยิบกล่องระเบิดขึ้นมาโยนเล่น  เสียงนาฬิกาบอกเวลาที่ดังขึ้นไม่ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าไปหาความตายเลย

    ไม่ต้องพูดมาก  ถ้าชั้นเป็นแกชั้นจะเริ่มหารหัสปลดระเบิดแล้วออกมาจากห้อง  ไอ้นั่นน่ะมันยากกว่าคราวที่แล้วเยอะ

    ชายหนุ่มทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นแล้วเดินจากไป  เด็กน้อยก็เพียงแค่ยักไหล่แล้วหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาอ่านดู  รอยแสยะยิ้มฉีกกว้างในขณะที่ตัวเลขและตัวหนังสือวิ่งแล่นอยู่ในหัวอย่างรวดเร็ว

    ก็ไม่เห็นจะยากกว่าเดิมเลยนี่หว่าตาแก่ขี้โม้เอ๊ย  คิดว่าฉลาดอยู่คนเดียวรึไงฟะ?

    เขาคิดพลางนั่งมองตัวเลขบนระเบิดและไพ่ตัวช่วยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในการถอดรหัสอย่างเบื่อๆ  พลางแยกชิ้นส่วนของมันออกทีละชิ้นๆ  อย่างไม่รีบเร่ง  กรรไกรอันเล็กถูกหยิบออกมาควงเล่นๆ  ก่อนจะตัดสายไฟที่จำเป็นออกทีละเส้นๆ  และหยุดเวลาเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย  ถ้าไม่ติดว่าบ้านที่กำลังอาศัยอยู่นี่เป็นที่ซุกหัวนอน  เขาอาจจะนึกสนุกประกอบระเบิดนี่ขึ้นมาใหม่ให้มีอนุภาพการทำลายที่รุนแรงกว่าเดิมแล้วนั่งดูผลงานของมันเล่นๆ  แก้เบื่อก็ได้

    ไหนๆ ก็เหลือเวลาอีกชั่วโมง  นั่งเล่นไพ่ฆ่าเวลาที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน   แต่เล่นคนเดียวนี่มันไม่ค่อยหนุกเลยว่ะ

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ปืนกระบอกเล็กสีดำมันวาวถูกยัดเยียดมาไว้ในมือเล็กๆ สองข้างของร่างเล็ก  ใบหน้าอ่อนเยาว์ก้มลงมองมันแล้วแสยะยิ้มอย่างขำ ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นพ่อ

    ไม่มีปัญญาทำงานเองแล้วรึไง ?  เขากล้าพูดอย่างไม่กลัวเกรงเพราะจงใจที่จะยั่วโมโหชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า 

    ไม่ต้องพูดมากไอ้ลูกเวร  แกน่ะแค่ทำตามที่ชั้นสั่งก็พอแล้ว  เอ้านี่…..”  เขาว่าพลางยื่นรูปของเป้าหมายให้ “……เป้าหมายที่แกต้องจัดการ  อย่าให้พลาดล่ะ  ค่าจ้างน่ะมันสูงนะเว้ย  เขาว่าอย่างหงุดหงิดกับรอยแสยะยิ้มและใบหน้ากวนๆ   ของคนที่เขาไม่เคยเห็นว่าเป็นลูกเลยสักครั้ง

    “’งั้นก็ไปทำซะเองสิ  ไม่อยากให้พลาดนักล่ะก็  รึว่าน้ำยาแกมันหมดแล้ว ?

    มึงจะเลิกกวนประสาทกูซักวินาทีไม่ได้หรือไงวะ  หัดหาซิปมารูดซะมั่งสิเว้ย!!” 

    ชายหนุ่มว่าอย่างเหลืออดกับคำพูดกวนส้นที่หลุดออกมาทุกครั้งที่เด็กคนนี้อ้าปาก  ฝ่ามือใหญ่หยาบตบใบหน้าอ่อนเยาว์นั่นเต็มแรงเพื่อหวังจะทำให้รอยแสะยิ้มนั่นหายไป  แต่ก็ไม่ได้ผล  มันยังคงอยู่และยิ่งฉีกกว้างมากขึ้น  นัยน์ตาสีฟ้าที่เหลือบมองมานั้นเต็มไปด้วยความดูถูกจนเขาทนไม่ได้

    บอกให้ออกไปก็ออกไปสิเว้ย!! มึงอยากโดนฆ่ารึไงวะ!!”

    แล้วคนเป็นพ่อก็ถีบไสไล่ส่งลูกของตัวเองออกนอกบ้านไปอย่างไม่ปราณีปราศรัยกับงานที่เขาเป็นคนรับปากว่าจะเป็นคนลงมือเอง  พร้อมกับปิดประตูไล่หลังดังปังเป็นเชิงบอกเป็นนัยๆ ว่า  ถ้าคืนนี้ทำไม่สำเร็จก็ไม่ต้องกลับบ้าน

    ไอ้แก่ตูดหมึกนั่น  ซักวันจะฆ่าทิ้งซะ 

    ดูเหมือนว่าคำว่า  ฆ่า  จะหลุดออกจากปากของเด็กน้อยมาได้อย่างง่ายดาย  ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าอยากทำเช่นนั้นจริง ๆ  รึเปล่า  เพราะถึงคนในบ้านจะปฏิบัติและเสี่ยมสอนเขาไม่ต่างกับการฝึกอาวุธมีชีวิตเอาไว้ใช้หาเงิน  แต่เขาก็ยังคงเห็นว่ามันจะมีประโยชน์ในอนาคต   เพราะโลกกับครอบครัวที่เขาอาศัยอยู่นี้   ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะชั่วช้าขนาดไหน      ไม่ว่าจะด้วยแผนที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนหรือหักหลังเฉือนคมกันจนเลือดซิบสักเท่าไหร่   ขอเพียงเป็นสิ่งที่ทำให้มีชีวิตอยู่รอดได้    มันก็เพียงพอและควรค่าที่จะเก็บเอาไว้ 

    ในเมื่อโลกที่กำลังจะก้าวออกไปมันช่างโหดร้ายแบบนั้น  เขาก็ไม่จะเป็นที่จะต้องคิด  หรือรู้สึกผิดอะไรกับการเดินตามเส้นทางของคนเป็นพ่อและแม่  เพราะเขานั้นจำเป็นที่จะมีชีวิตอยู่  เขาต้องการที่จะอยู่  เพื่อสักวันหนึ่งเขาจะแข็งแกร่งพอที่จะก้าวผ่านโลกที่น่ารังเกียจนี้ออกไปสู่โลกอีกฝากหนึ่งที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง  และได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระตามที่เขาต้องการ

    ในเมื่อแกใช้ประโยชน์จากชั้น  ชั้นก็จะทำแบบเดียวกับแกมั่ง  ไอ้แก่เฮงซวย......

    รอยแสยะยิ้มฉีกกว้าง  เสียงหัวเราะปีศาจดังรอดริมฝีปากแล้วลอยหายไปกับสายลม  ก่อนที่ร่างของเด็กน้อยจะก้าวหายเข้าไปในเงามืด

    เสียงปืนดังก้องท่ามกลางความเงียบของค่ำคืนที่เงียบสงบ   ทำให้ผู้คนแตกตื่นและวิ่งหนีออกจากผับอย่างรวดเร็ว    แต่มีเพียงสาวนักร้องประจำผับแห่งนั้นที่มาสามารถไปไหนได้  เธอไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ เด็กผู้ชายอายุ  7  ปีถึงเข้ามาในผับแห่งนี้ได้  เขาอาจจะเป็นเพียงเด็กสติไม่ดีที่อยู่ดีๆ ก็เอาปืนมายิงกราดไปทั่วหลังจากมานั่งเล่นไพ่หน้าตาเฉยกับคนอื่นๆ ในผับอยู่หลายชั่วโมงก็ได้   แต่มันก็ยังคงอธิบายว่าทำไมถึงต้องเป้นเธอเพียงคนเดียวที่อยู่หน้าปืนกระบอกนั้น

    ทะ.....ทำไม ?  ชะ....ชั้นเคยไปทำอะไรให้เธอรึไง ?  ยะ.....อย่าฆ่าชั้นเลยนะ ขอร้องล่ะ  ชั้นยังไม่อยากตาย  ชั้นยังไม่อยากตาย !!!”

    ถึงมันจะเป็นการกระทำที่น่าสมเพชที่มานั่งอ้อนวอนขอชีวิตกับเด็กตัวเล็กๆ  แบบนี้  แต่จะให้เธอทำยัง  ร่างกายที่เคยกล้าที่จะก้าวขึ้นมาบนเวทีและร้องเพลงต่อหน้าผู้คนนับร้อยกลับขลาดกลัวจนขยับไม่ได้   ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า  เจ้าของผับ  หรือแม้แต่ยามต่างก็ถูกยิงถูกปาระเบิดใส่จนขวัญหนีดีฝ่อและวิ่งหนีกันไปหมด  แล้วใครกันล่ะที่จะเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเจ้าหญิงอย่างเธอให้พ้นจากเงื้อมมือของปีศาจตัวน้อยนี่

    ก็ไม่ได้บอกว่าจะฆ่านี่……” เด็กน้อยกลับพูดแล้วหัวเราะ

    งะ.....งั้นทำไม ?

    เอาเป็นว่าทำตามนี้ก็แล้วกัน 

    เขาวางปืนไว้บนบ่าแล้วควักกระดาษแผ่นเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋ากางเกงขายาวสีดำด้วยมืออีกข้างหนึ่งแล้วยื่นให้  เธอรับมันมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ  แล้วอ่านข้อความที่อยู่บนนั้น

    ทะ.....ทำไม ?  เธอถามซ้ำ  แต่ไม่ใช่เพราะกลัวอีกต่อไปแล้ว  ใบหน้าเรียวยาวเงยขึ้นมามองเขาอย่างงงๆ สิ่งที่อยู่บนกระดาษช่างแปลกประหลาดและไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย

    ก็ถ้าไม่อยากตายก็ทำตามซะ   ชั้นน่ะไม่ได้มาเพราะอยากมาซักหน่อย  ชื่อเธอชั้นยังไม่จำเป็นต้องรู้ด้วยซ้ำ

    เขาว่าพลางหัวเราะ  ก่อนที่ใบหน้าจะกลับมาดูจริงจังพร้อมกับปืนยกขึ้นจ่อที่ใบหน้าของหญิงสาวอีกครั้ง  ความกลัวทั้งหมดกลับมาทันที  เมื่อมือเล็กๆ  ที่ว่างอยู่ควักระเบิดมือออกมาถือ  สลักถูกดึงออกด้วยฟันที่ยาวแหลมก่อนที่มันจะถูกทิ้งลงพื้น  เสียงกรีดร้องของเธอดังลั่นไปทั่ว  แต่รอบตัวเธอกลับเงียบสนิท  และมีเพียงควันขาวที่หนาทึบและคำพูด 1  ประโยคเหลือทิ้งเอาไว้เป็นการเตือนครั้งสุดท้ายเท่านั้น

     

    ถ้าไม่อยากตายก็ทำตามซะ.....

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ข้าวของล้มระเนระนาด  เสียงตวาดที่เกรี้ยวกราดและดังก้อง  กำปั้นที่ปล่อยออกมาและฝ่าเท้าที่กระทืบลงนั้นล้วนมีร่างเล็กๆ ของเด็กผู้ชายคนหนึ่งเป็นเบาะรองรับ  แต่ร่างนั้นยังคงยินดีที่จะอ้าแขนรับความเจ็บปวดทั้งหมดในขณะที่มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้เมื่ออยู่ต่อหน้าของชายหนุ่มที่กลายเป็นสัตว์ป่าที่บ้าคลั่ง  เพราะมันยังดีกว่าการที่จะต้องฆ่าคนเพียงเพื่อให้ได้เงินไร้ค่ามาให้กับคนๆ นี้

    ทำไมแกถึงพลาด!!  กะอีแค่ผู้หญิงอ่อนแอน่าสมเพชคนเดียว  !!!  แถมยังไปทำอีท่าไหนให้ตำรวจมันมาจับคนจ้างได้วะ!!!??  แถมเป้าหมายมันยังหนีหายไปอีก  แบบนี้ก็ชวดกันหมดสิเว้ย !!!!” แล้วแบบนี้กูจะเลี้ยงมึงให้เสียข้าวสุกทำไมวะ ?

    เขาคิดอย่างเดือดดาลพลางระบายอารมณ์กับคนที่ไม่เคยเห็นเป็นลูกอย่างไม่ยั้งมือ  การกระทำที่โหดร้ายป่าเถื่อนยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ  จนความโกรธค่อยๆ จางหายไปและเหลือเพียงแต่ความหงุดหงิดเท่านั้น 

    ร่างที่ถูกทิ้งให้นอนตะแคงอยู่บนพื้นได้แต่เหลือบมองสัตว์ป่าเดินจากไปแล้วปิดประตูล็อคห้องอย่างแน่นหนา   ริมฝีปากที่บวมช้ำคลี่ออกแสยะยิ้ม  เสียงแหบพร่าที่เล็ดรอดออกมาเป็นครั้งแรกนั้นแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบของยามค่ำคืน 

    แกไม่มีวันรู้หรอกว่ากำลังสร้างอะไร.......

     

    ห้องครัว

    ใบหน้าเรียบเฉยของหญิงสาวที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เพียงแค่เงยขึ้นมองสามีของเธอเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม  เธอเพียงแต่รับรู้ว่าเขาได้ระบายความโกรธออกไปจนหมด  โดยที่ไม่สนใจเลยว่าเหยื่อของเขาจะเป็นอย่างไร   เธอรู้ดีว่าเขาก็ไม่มีทางฆ่าเครื่องมือชิ้นสำคัญไปได้ง่ายๆ  คำพูดที่ได้ยินจึงทำให้แปลกใจไม่น้อย

    เอามันไว้ไม่ได้แล้ว  แบบนี้มันจะเล่นงานพวกเราเข้าสักวัน  มีอย่างที่ไหน  สั่งให้ไปฆ่าแต่ก็เสือกไปช่วยให้เป้าหมายหนี  แถมยังเอาตำรวจมาซิวนายจ้างซะงั้น  บ้าเอ๊ย !  เกิดไอ้นายจ้างนั่นมันปากสว่าง  ไม่ซวยกันหมดเรอะ ?  เขาว่าอย่างหัวเสีย

    อืม....แล้วจะทำไงล่ะ ?  เธอถามเสียงเรียบผิดกับชายหนุ่ม

    จะให้ทำไงล่ะ  ก็ต้องเอาไปทิ้งน่ะสิ

    จะให้มันไปเป็นแพะสินะ  ก็เอาสิ  ชั้นยังไงก็ได้อยู่แล้ว  ไว้ไปหาเด็กข้างถนนมันมาใช้ก็ได้  อาจจะฝึกให้เชื่องง่ายกว่า  ผู้เป็นภรรยายิ้มอย่างขำๆ กับคำพูดของตัวเอง

    “’งั้นก็เอาคืนพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน......  ดูเหมือนความคิดของเธอจะทำให้อีกฝ่ายพอใจ  เขาจึงแสยะยิ้มตามไปด้วย

     

    หน้าตึกบริษัทแห่งหนึ่ง

    ร่าง 2 ร่างบนต้นไม้หลบซ่อนจากสายตาของยามที่เดินผ่านไปผ่านมาพร้อมไฟฉายในมือได้อย่างแนบเนียน  ร่างหนึ่งกระโดดลงมาและแอบลอบเข้าไปทางด้านหลังของยามและจัดการทำให้สลบเหมือดได้อย่างง่ายดาย  หลังจากสำรวจที่ทางแล้วว่าปลอดภัย  บวกกับซิกสัญญาณจากอีกร่างบนต้นไม้  เขาจึงหันไปส่งสัญญาณผ่านเครื่องติดต่อใต้ปกเสื้อให้คนที่อยู่บนหลังคาเริ่มลงมือตามแผน

    ยิ้มหน้าบานเลยนะตายายตูดหมึกทั้งสอง  เพราะไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยอ่ะดิ  จะว่าไปไอ้ระบบนี่มันกระจอกชะมัดเลยแฮะ 

    เด็กน้อยว่าพลางหยิบหมากฝรั่งไร้น้ำตาลขึ้นมาเคี้ยว   มือข้างหนึ่งควงปืนเล่นในขณะที่อีกข้างไล่กดไปตามแป้น  คีย์บอร์ดของโน้ตบุ๊คที่วางอยู่บนตัก  เส้นสัญญาณสีแดงที่ปรากฏขึ้นบนแบบแปลนอาคารสีเขียวค่อยๆ ถูกลบหายไปทีละเส้นๆ  พร้อมกับระบบการรักษาความปลอดภัยแต่ละจุดนั้นหยุดทำงาน 

    ง่าย  แบบนี้มันง่ายเกินไป

    ดูท่าแกจะวางแผนเอาไว้แล้วล่ะสิไอ้พ่อบ้า.....ฮึ  หลอกให้ชั้นแฮคเข้าระบบรักษาความปลอดภัยที่แกแอบพ่วงสัญญาณไปหาตำรวจไว้ก่อนแล้วแบบนี้......

    เขาคิดพลางแสยะยิ้มและหัวเราะเบาๆ  แทนที่จะรู้สึกตกอกตกใจ  เมื่อเห็นรถตำรวจและเจ้าหน้าที่เข้ามาประจำที่เตรียมบุกรอบตึกกันอย่างเอิกเกริก  มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่การติดต่อสื่อสารระหว่างเขากับผู้ให้กำเนิดทั้งสองจะถูกตัดขาดไป     ในเมื่อเขาคือ  ลูก  ที่น่ารักที่จะรับผิดแทนพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้าที่เชิดเงินหนีไปได้อย่างลอยนวล

    ขอให้โชคดีนะครับ คุณพ่อ’ ‘คุณแม่ 

    เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดมาที่เด็กน้อยยินดีที่จะเรียกด้วยความเต็มใจในวาระโอกาสอันสุดพิเศษนี้  วินาทีที่ได้เห็นผู้ให้กำเนิด  2  คนวิ่งหนีไปคงจะเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตได้พบกับความสุขและอิสระที่แท้จริง   เขาเชื่ออย่างนั้นในขณะที่มองดูเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบมายืนรอรับเขาอยู่ใต้ต้นไม้

     

    End Flashback

     

    “And, I still believe that, you stupid old man. Come from the other side of the world just for seeing my face?

    ใบหน้ายังคงมีรอยแสยะยิ้มเข้ากับคำพูดเสียดสีตอนท้าย  และมันยังคงอยู่แม้ร่างจะถูกอัดกระแทกเข้ากับกำแพงข้างประตู  เด็กหนุ่มยินดีที่จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดเพื่อแลกกับการได้ฟื้นขึ้นมายั่วโทสะคนที่อยู่ตรงหน้านี่อย่างสนุกสนาน

    “Do s’th more than freaking talk. You’re making me bored.”

    “Neither my business Nor. Yours. At. All.เด็กหนุ่มเน้นเสียงทีละคำอย่างชัดเจนเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กไม่รู้ภาษา

    แกเป็นใครฟะ!!  ปล่อยเจ้านั่นเดี๋ยวนี้นะเว้ย!!”

    เสียงตวาดที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะหลุดออกมาได้แม้แต่เจ้าตัวนั้นขัดบทสนทนาของสองพ่อลูก   เด็กหนุ่มหรี่ตามอง และหุบยิ้มเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นคือหนึ่งในสามหนุ่มจอมวิวาทที่มีผมสั้นสีบลอนด์และแผลเป็นกากบาทบนแก้มข้างขวา

    ชะ....ใช่แล้ว  ปล่อยฮิรุม่าคุงนะ !!”  เด็กหนุ่มร่างอ้วนใหญ่เหมือนลูกบอลก็เริ่มมีความกล้าที่จะฮึดสู้  โดยมีรุ่นน้องขนาดมินิหุ่นแบบเดียวกันพยักหน้าเห็นด้วย

    หุบปาก  ไอ้พวกเด็กเหลือขอ  นี่มันเป็นเรื่องในครอบครัว  ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็กลับไปกินนมแม่ไป  ชายวัยกลางคนว่าเสียงเย็นพลางบีบคอร่างในมือเอาไว้เพื่อกันไม่ให้เจ้าตัวเริ่มทำอะไรตุกติก

    กลับบ้านไปซะ  พรุ่งนี้มีซ้อมเช้านะเฟ้ย  เด็กหนุ่มผู้เปรียบเสมือนเป็นหัวหน้าทีมพูดขึ้นเหมือนกับคนที่ยืนบีบคอเขาอยู่นั้นไม่มีตัวตน  และได้กำปั้นหนักๆ  กระแทกเข้ามาที่ท้องก็ตาม  แก่ลงไปเยอะนี่  แทบไม่รู้สึกเลยฟะ  เขายังคงกัดฟันแสยะยิ้มพูดได้เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    สภาพปางตายแบบนี้ยังจะปากดีอีก  เจ้าพวกเหลือขอนี่มันมีดีอะไรถึงทำให้แกอยากอยู่ ?

    แล้วการไปร่วมก๊วนกับตาแก่ใกล้ลงโลงอย่างแกมันน่าสนุกตรงไหน ?  ลูกชายยังคงย้อนคนที่ไม่เคยนับถือเป็นพ่ออย่างไม่กลัวเกรง  ริมฝีปากเพียงแค่แสยะยิ้มกว้างและถุยเลือดออกไปหลังจากถูกตบฉาดจนหน้าหัน คนอย่าแกไม่มีวันเข้าใจหรอกเฟ้ย  แล้วชั้นจะเปลืองน้ำลายพูดไปทำไม

    แกนี่มันดื้อแล้วก็วอนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนจริงๆ  ชั้นอุตส่าห์ถามดีๆ แล้วนะ

    ไอ้หน้าแข้งกับลูกกระสุนปืนเนี่ยนะที่เรียกว่าดี  ไปเรียนมารยาทแล้วก็การพูดใหม่ซะตั้งแต่ชั้นอนุบาลเถอะแก

    ฮึ  ช่วยไม่ได้  Hey !  Get ‘em!!”

    คนเป็นพ่อชักหมดความอดทนกับการเล่นสงครามประสาทและหันไปสั่งลูกน้องที่ยืนหลบอยู่นานให้ออกมาเก็บกวาดพื้นที่ให้เรียบ

    ไอ้พวกตูดหมึก  หนีไปสิเว้ย!!”

    แม้ว่าหัวหน้าจะสั่งให้ลูกน้องทั้ง  8  คนหนีไปโดยไม่มีโอกาสให้ใครมาช่วยพาคนที่  9  ที่อยู่ในห้องออกไป  มันก็ไม่มีความหมายกับชายหนุ่มร่างบึกกลุ่มใหญ่  เพียงแค่ไม่กี่นาทีที่เหมือนกับโลกได้หยุดหมุนและเวลาได้หยุดเดิน  กลุ่มเด็กรักอเมริกันฟุตบอลที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ทั้งหมดก็ล้มลงนอนครวญครางอยู่กับพื้น

    มีฝีมือแค่นี้ยังจะมาแหยม  ถ้าว่าง่ายๆ ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเจอฟาดปากแบบนี้หรอกไอ้พวกเหลือขอ 

    หัวหน้าแก๊งว่าพลางแสยะยิ้มในขณะที่ลูกน้องต่างพากันหัวเราะ  แต่ถึงแม้คนที่ถูกตรึงอยู่บนกำแพงจะไม่ขำ  เขาก็ยังคงกัดฟันสวมหน้ากากคนตายด้านที่ไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า  ดวงตาสีฟ้าเพียงแค่จ้องมองสมาชิกในทีมตรงหน้าและคนที่ถูกลากออกมาจากห้องนั้นถูกหิ้วออกมาทิ้งอยู่แทบเท้าชายที่ไม่คู่ควรกับการถูกเรียกว่า พ่อ

    เออวะ  เกือบลืมไอ้ขี้ก้างนี่ไปแล้ว  ปลายเท้าเตะร่างที่แน่นิ่งให้นอนหงาย “Hey, you, kill him!  Make it clean in one shot.”  หัวหน้าสั่งเสียงเรียบ 

    ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ ยินดีที่จะหยิบปืนขึ้นมาเล็งตามที่สั่ง  และไม่สนใจกับเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของบรรดาสมาชิกทีมเดวิลแบ็ทที่ถูกลูกน้องคนอื่นเหยียบเอาไว้

    เสียงปลดเซฟตี้ของปืนพกเหมือนติดสปริงลวดให้กัปตันทีมที่นิ่งเงียบอยู่นาน  ขาเรียวยาวถีบคนตรงหน้าออกไปเต็มแรงทันทีที่กระสุนแล่นออกไปตามลำกล้องและพุ่งเข้าไปหาเป้าหมาย 

    เมื่อเวลาที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้ากลับมาเดินตามปกติอีกครั้ง  ร่างที่เคยถูกตรึงอยู่บนกำแพงกลับมานอนทับคนที่ควรจะถูกยิง  ฝ่ามือยกขึ้นกำไหล่ข้างซ้ายที่ถูกกระสุนเฉี่ยวแน่นเพื่อพยายามหยุดเลือดที่ไหลทะลักออกมา  ใบหน้าคมที่ซีดเผือดหันมาเหลือบมองด้วยความโกรธแค้น   แม้ร่างจะถูกเตะเข้าให้ที่สีข้างจนพลิกกลับมานอนหงายบนพื้น   และรองเท้าบู๊ทที่หนาหนักจะเหยียบซ้ำลงมาที่บาดแผลก็ตาม

    นึกแล้วว่าแกจะต้องเข้ามาขวาง  ไอ้ขี้ก้างนั่นมันสำคัญนักรึไง ?

    แล้วมันไปหนักหัวแกตรงไหนไอ้แก่ตูดหมึก..... ฮิรุม่ายังคงมองด้วยสายตาเช่นเดิมและตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

    แกเนี่ยหัวดื้อจนน่ารำคาญจริง ๆ

    ปากกระบอกปืนเลื่อนมากดอยู่บนไหล่ขวา   ก่อนที่จะมีใครขยับหรือแม้แต่ส่งเสียงเรียก  ทุกอย่างก็เหมือนเงียบสนิทในขณะที่เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง

    แต่แบบนี้คงช่วยให้แกตัดสินใจได้  อย่าลืมนะว่าชั้นกล้ากับแกได้  กับไอ้พวกเหลือขอที่อยู่ตรงนั้นชั้นก็ไม่ต้องคิดอะไรด้วยเหมือนกัน  ลืมแล้วรึไงว่าไอ้นี่มันปิดปากคนได้เงียบขนาดไหน

    ชายวัยกลางคนเหลือบมอง ลูก ที่ตนกำลังยืนเหยียบอยู่  และเลือดที่ไหลทะลักออกมาด้วยสายตาเย็นชา  อาวุธเลื่อนขึ้นมาจ่ออยู่บนหน้าผากเป็นการบอกเป็นนัยๆ ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากคำตอบยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

    You f—king hell bastard……”

     

     

    …End Chapter 01…

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×