คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 02
Fanfiction
Project : Hunter x Hunter
Under Lie
Chapter 02
เวลา 2 ทุ่ม ห้องเช่าในโรงแรม
เด็กชายอายุประมาณ 12 ปีที่มีผมตั้งสีดำและสวมเสื้อสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีดำนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงพลางมองมือถือรูปทรงตัวด้วงในมืออย่างกระในกระวายใจ เพราะเพื่อนของเขาสัญญาเอาไว้ว่าจะติดต่อมาหลังจากแยกกันเมื่อตอนเย็น แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีสัญญาณโทรเข้าหรือแมสเซสอะไรเลย
“กอร์น ถ้านายเป็นห่วงขนาดนั้นล่ะก็ โทรไปหาก็ได้นี่” ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆ พูดขึ้นหลังจากมองเพื่อนของเขาอยู่นาน
“แต่ชั้นกลัวว่าจะโทรไปขัดจังหวะอะไรคิรัวร์แล้วทำให้เขาเดือดร้อนน่ะสิ อีกอย่างคิรัวร์ก็เป็นคนบอกเองว่าจะเป็นคนโทรมา”
“ถ้างั้นนายก็ใจเย็นๆ แล้วเชื่อใจคิรัวร์สิ”
“ชั้นรู้ แต่มันก็อดห่วงไม่ได้นี่นา เลโอลีโอไม่ห่วงเหรอ?”
“ห่วงดิ แต่นายบอกว่าน้องสาวไม่ใช่เหรอ เพราะงั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า” ‘ถ้าเป็นเจ้าพี่ชายผมยาวนั่นสิถึงน่าห่วง ยังไงก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นพี่ชาย’ เขาว่าพลางล้มตัวลงนอน และรู้สึกเหนื่อยเต็มทีหลังจากเดินทางที่ค่อนข้างยากลำบาก
“อืม...ขอบใจนะเลโอลีโอ” อีกฝ่ายก็โบกมือเป็นเชิงรับคำขอบคุณและกำลังจะหลับ แต่โทรศัพท์ของกอร์นก็ดึงให้ตื่นซะก่อน
“ฮัลโหล เป็นไงบ้างคิรัวร์? เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?” เจ้าของรีบรับสายด้วยท่าทางที่ดีใจสุด ๆ
อืม...ก็ไม่มีอะไรนี่ ทำไมถามแบบนั้นล่ะ?
“ก็ตอนนั้นนาย.....”
อ้อ นั่นน่ะเหรอ คัลโตเขาโกหกเพราะหนีออกจากบ้านมาน่ะ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดีก็เลยลองสืบดูว่าชั้นอยู่ที่ไหน แล้วก็มาเจอเนี่ยแหละ
“งั้นเหรอ ค่อยยังชั่ว ชั้นก็นึกว่ามีเรื่องอะไรกันซะอีก งี้ให้คัลโตจังมาอยู่กับพวกเราก็ได้นี่ อยู่กันหลายๆ คนน่าสนุกออก”
เฮ้อ....กอร์น นายนี่ความจำสั้นรึไง ลืมไปแล้วเรอะว่าเธอไม่ชอบนายน่ะ
“อืม....ก็จริง แต่ถ้าลองอยู่ด้วยกันจริงๆ อาจจะ.....”
อย่าเลยน่ากอร์น เดี๋ยวน้องสาวชั้นก็ฆ่านายตายซะก่อนหรอก ฝีมือเขาไม่เก่งเท่าพวกเราก็จริง แต่ชั้นรู้ว่ายังไงเขาก็ต้องหาวิธีจนได้นั่นแหละ
“อืม...เธอเกลียดชั้นขนาดนั้นเลยเหรอ......?” เขาอดไม่ได้ที่จะถามอย่างมีความหวังเล็กๆ ว่าเธอคงจะไม่
........เอาน่า ไม่ต้องห่วง อีกฝ่ายตัดบทเพราะไม่อยากจะทำให้เขาเสียใจ คัลโตบอกว่าจะอยู่ซัก 3-4 วันถึงจะยอมกลับบ้านน่ะ แต่อยู่คนเดียวก็น่าเป็นห่วง ชั้นเลยว่าจะอยู่ด้วยจนกว่าจะถึงวันกลับ นายคง....ไม่ว่าใช่มั้ย ?
“ทำไมต้องว่าด้วยล่ะ !? ดีออก !! การที่เขามาหานายก็แสดงว่าเขาคงคิดถึงนายน่าดู ดีจังน้า ชั้นเองก็อยากมีน้องน่ารักๆ แบบนายบ้างจัง แต่สัญญานะว่าจะไม่หนีกลับบ้านไปคนเดียวเหมือนตอนสอบฮันเตอร์คราวที่แล้วน่ะ”
กอร์นแอบพูดเล่นตอนท้าย แต่น้ำเสียงฟังดูจริงจังพอสมควร เขาเองยังคงมีความรู้สึกที่ไม่ดีกับคนในครอบครัวเพื่อนสนิท และกลัวว่าหากคิรัวร์เหยียบเข้าไปในบ้านแล้วจะไม่ได้ออกมาอีก
ไม่หรอกน่า ถ้าจะกลับไปล่ะก็ คราวนี้สัญญาเลยว่าจะพานายไปด้วย ขอบใจนะกอร์น แล้วเจอกัน อ่อ ฝากความคิดถึงให้ เลโอลีโอด้วย บาย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตึกร้าง ที่กบดานของแก๊งโจรเงามายา
เมื่อบทสนทนาจบลง และมือถือถูกเก็บเข้ากระเป๋า เด็กชายผู้มีผมสั้นสีเงินและดวงตาสีเขียวกลมโตก็ถอนหายใจ เขารู้สึกโชคดีจริงๆ ที่มีเพื่อนสนิทเป็นคนซื่อแล้วก็เชื่อคนง่าย เพราะถ้าขืนเขามีไหวพริบแพรวพราวในเรื่องการพูดหลอกลวงเหมือนเขาและเจ้ามายากรนั่น คงต้องหาข้ออ้างมาใช้ได้ยากเย็นกว่านี้แน่นอน
“ท่านพี่นี่ยังหลอกคนอื่นเก่งเหมือนเดิมเลยนะค่ะ อย่างที่ท่านพี่อิรุมิว่าจริงๆ ว่าท่านพี่ต้องจัดการได้”
“ชมหรือประชดน่ะคัลโต”
“ต้องชมสิค่ะ”
ถึงผู้เป็นพี่ชายจะไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาหาวหนึ่งทีเป็นสัญญาณบอกว่าตอนนี้รู้สึกง่วงและพร้อมที่จะหลับแล้ว ก่อนจะขยับตัวนั่งในท่าที่รู้สึกสบาย แต่สำหรับคนอื่นมันคงดูไม่สบายเท่าไหร่นัก เพราะขอบหน้าต่างกว้าง 4 นิ้ว และยาวแค่ 35 นิ้ว เท่านั้น ทำให้ต้องชันขาขึ้นข้างหนึ่งในขณะที่อีกข้างปล่อยให้เหยียดลงเหยียบพื้นเป็นการรักษาสมดุล ส่วนมือทั้งสองข้างประสานเอาไว้หลังศีรษะเพื่อใช้แทนหมอน
“ราตรีสวัสดิ์นะคัลโต” เขาว่าสั้นๆ และหลับไปอย่างรวดเร็ว แต่เท็นของเขายังคงแผ่ออกมาบางๆ รอบตัวอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับการหายใจและเป็นสัญญาณเตือนภัยเผื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะท่านพี่คิรัวร์”
น้องสาวเดินเข้าไปลูบผมสีเงินพลางยิ้มอย่างมีความสุข และมองใบหน้าผ่อนคลายของพี่ชาย ภาพแมวสีเงินน่ารักผุดขึ้นมาในหัวทันที
‘เพราะอย่างเนี้ย คัลโตกับท่านพี่อิรุมิถึงได้ชอบมองท่านพี่คิรัวร์เวลาหลับ น่าเสียดายที่คัลโตจะมีโอกาสได้เห็นอีกแค่ 2 คืนเท่านั้น’
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันที่ 2
เที่ยงวันช่างสว่างเจิดจ้า แสงอาทิตย์แผดเผา สายลมร้อนและเสียงยานยนต์พาหนะวิ่งเต็มท้องถนนผลักให้ทุกคนรีบเร่งกันทำเวลาในช่วงที่ยุ่งที่สุดของวัน แต่พวกมันกลับไม่มีความหมายสำหรับร่างที่กำลังนอนหลับสบายอยู่บนต้นไม้ และเขาก็คงจะไม่ตื่นถ้าไม่ใช่เพราะคนสองคนที่ยืนมองเขาอยู่ตรงโคนต้นไม้ เขาเพียงแต่แกล้งหลับและแอบฟังว่าพวกข้างล่างกำลังคุยอะไรกันอยู่
“นั่น....จำได้ว่าไม่ใช่ตรงนี้นะคัลโตจัง” นั่นเป็นเสียงของหัวหน้าแก๊งแมงมุม
“ท่านพี่ชอบนอนบนต้นไม้ค่ะ แต่เมื่อคืนท่านพี่หลับบนขอบหน้าต่าง ก็เลยไม่รู้ว่าท่านพี่ลงมาตอนไหน”
“จากที่ดูแล้ว นอนบนขอบหน้าต่างมันจะไม่ดูสบายกว่าเหรอ?”
“ไม่ยักกะรู้ว่าหัวหน้าแก๊งแมงมุมก็ชอบนินทาชาวบ้านขณะหลับด้วย”
เด็กชายในหัวข้อการสนทนาขัดขึ้นพร้อมกับหาวหนึ่งที บิดขี้เกียจ แล้วพลิกตัวกลับมานอนคว่ำบนกิ่งไม้ใหญ่ นัยน์ตากลมโตสีเขียวมองคนบนพื้นอย่างเกียจคร้าน
“ชั้นไม่ได้พูดลับหลังนายนี่ พูดให้เจ้าตัวได้ยินต่อหน้าแบบนี้เขาเรียกว่า พูดถึง ต่างหาก” หัวหน้าแก๊งก็เล่นลิ้นกลับไป
“ยังไงก็ช่าง แล้วการที่ชั้นมานอนตรงนี้มันน่าแปลกใจอะไรนักหนา นายบอกเองว่าชั้นอยู่ที่นี่ได้”
“ที่นี่น่ะหมายถึงชั้น 3 บนตึกและบนขอบหน้าต่าง ไม่ใช่บนต้นไม้ อยู่ดีๆ คนก็หายแล้วอยู่ๆ ก็มาโผล่ในที่แปลกๆ โดยที่ไม่มีใครในแก๊งหรือแม้แต่ชั้นรู้ตัวซักคน ก็ต้องคิดว่ามีอะไรผิดปกติอยู่แล้ว”
“โฮ่....แสดงว่าฝีมือและฝีเท้าชั้นก็ไม่เบาเลยสินะ ขนาดหัวหน้าแก๊งโจรเงามายาผู้เก่งกาจยังไม่รู้ไม่เห็น น่าดีใจจัง”
เด็กชายตระกูลนักฆ่าแกล้งพูดเสียงหวานแกมยืดนิดๆ กับความสามารถของตัวเอง เขารู้ดีว่าท่านหัวหน้าไม่ได้ถือสาอะไรกับคำพูดของเขาและยิ้มอย่างขำๆ เหมือนกับน้องสาวที่หัวเราะคิก
“แล้วมาปลุกชั้นแต่เช้าด้วยตัวเองเนี่ยมีอะไร ?”
“ใกล้เที่ยงแบบนี้ไม่เรียกว่าเช้าหรอกนะ”
“เฮ้ ! ก็ชั้นยังเป็นเด็กกำลังกินกำลังนอนกำลังโตนี่นา ก็ต้องนอนเยอะ ๆ สิ !”
เด็กชายเถียงและกลับตัวขึ้นมานั่งบนกิ่งไม้อย่างคล่องแคล่ว แถมยังเอนพิงบนกิ่งไม้ทางด้านหลังเหมือนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟา ทำให้คนข้างล่างรู้สึกแปลกใจและประทับใจในความคุ้นเคยของเขาที่มีกับต้นไม้
“ไม่คิดเหรอว่าการลงมาคุยกันในระดับเดียวกันเป็นมารยาทที่ดีน่ะ?”
“เข้าเรื่องเถอะน่า นายจะแกล้งพูดอ้อมเรื่องนู้นเรื่องนี้อยู่ทำไมในเมื่อนายก็ไม่ถืออยู่แล้ว ไม่งั้นนายคงทำชั้นร่วงจากต้นไม้ลงไปคุยนานแล้ว”
“รู้ดีจังนะ ก็จริงอย่างที่ว่า ชั้นก็แค่จะมาบอกว่า คืนนี้พวกชั้นจะวางแผนก่อนลงมือคืนพรุ่งนี้ซะหน่อย ถ้านายสนใจจะเข้าฟังด้วยก็ได้ จะได้ไม่มาชนกันเปะปะวุ่นวายตอนลงมือ”
‘ทำเป็นพูดดี แต่จริงๆ อยากจับตาดูชั้นใช่มั้ยล่ะ’ “ชั้นว่ามันไม่จำเป็นหรอกนะ เป้าหมายคนละอย่างอยู่แล้วนี่”
“ก็ไหนบอกว่าสนใจเป้าหมายของพวกเราไงล่ะ”
“แล้วนายจะบอกชั้นง่ายๆ รึไง? เดี๋ยวชั้นนึกอยากชุบมือเปิบขึ้นมา นายสิจะแย่” ‘วางแผนอะไรเอาไว้ดักชั้นอีกล่ะสิ ถึงได้เอาของมาล่อแบบนี้’
“ชั้นไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกน่า” ‘ก็เล่นเดาทางออกก่อนแบบนี้ แผนชั้นก็ใช้ไม่ได้น่ะสิ เด็กนี่เล่นด้วยยากจริงๆ แต่ก็ใช่ว่าจะเล่นไม่ได้’ เขาพูดเมื่ออ่านความคิดจากสีหน้าและรอยยิ้มของเด็กตระกูลนักฆ่าออก
‘ขอให้จริงเหอะ’ “ถ้ามันน่าเบื่อก็ขอบายล่ะ ชั้นไม่ชอบนั่งฟังอยู่เฉยๆ ซะด้วย อีกอย่างในเมื่อชั้นไม่ได้เป็นสมาชิกแก๊ง ก็ไม่มีหน้าที่ที่ต้องทำตามที่นายสั่ง ชั้นมันพวกฉายเดี่ยวอยู่แล้ว”
“ก็ไม่ได้บังคับอะไรนี่ เพียงแค่คิดว่าถ้านายรู้เอาไว้บ้างก็คงจะดี ยังไงเราก็เป็นหุ้นส่วนกันอยู่แล้ว”
“แหม รู้สึกท่านหัวหน้าจะใจดีเป็นพิเศษเลยนะ แบบนี้มีอะไรรึเปล่าเนี่ย?” เด็กชายแกล้งถามเสียงหวาน
“บางทีนายแกล้งทำเป็นไม่รู้บ้างก็ดีนะ เอาไว้ตอนประชุมจะเฉลยให้ฟังก็แล้วกัน” ‘ถึงจะจับผิดกับคำพูดได้ตลอด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านายจะไม่เดินตามที่ชั้นต้องการหรอกนะ’
“เล่นพูดแบบนี้ ขี้โกงชะมัด”
คิรัวร์รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยที่คำพูดง่ายๆ นั่นกลับจับเขาเอาไว้อยู่หมัด ก็เล่นพูดทิ้งท้ายเอาไว้ให้สงสัยแบบนี้ ใครกันจะไม่อยากรู้ว่ามันคืออะไร เพราะสิ่งที่คนระดับหัวหน้าคิดเอาไว้ในใจมันก็เป็นได้ทั้งดีและไม่ดีเหมือนกับสิ่งที่เขาซ่อนเอาไว้เบื้องหลัง แบบนี้ขืนไม่ระวังเรื่องแผนเรื่องข้อมูลดีๆ มีหวังได้ถูกตลบหลังแบบเจ็บแสบเรื่องข้อตกลงแน่ๆ
“จะจับแมวให้อยู่ ก็ต้องให้มันอยากรู้อยากเห็นเดินเข้ามาหาก่อนสิ” ‘และแมวบนต้นไม้ตัวนี้ก็น่าจับซะด้วย’ ท่านหัวหน้าหัวเราะเบาๆ และแสยะยิ้มก่อนจะเดินจากไป
‘ให้ตายชั้นก็ไม่เดินเข้าไปให้โดนเชือดหรอกเฟ้ย’ “ชั้นชักไม่ชอบหัวหน้าเธอแล้วสิคัลโต”
น้องสาวหัวเราะคิกกับท่าทางของพี่ชายที่ขยับมานั่งขัดสมาธิท้าวคางและทำหน้ามุ่ยนิดหน่อย ไม่ว่าจะยังไงพี่ชายของเธอก็ยังคงเหมือนเมื่อสมัยก่อน และเธอรู้สึกดีใจจริงๆ
ช่วงบ่ายของวันผ่านไปเรื่อยๆ อย่างไม่น่าเบื่อ เพราะสมาชิกในแก๊งที่อยู่โยงเฝ้าที่ซ่อน 3-4 คนนั้นชวนแขกของพวกเขาทำนู่นทำนี่ฆ่าเวลาไปได้เรื่อยๆ จนเหมือนกับว่าไม่มีเวลาให้นั่งอยู่เฉยๆ เพราะทันทีที่สบโอกาส โนบุนางะช่างตื้อก็มาลากออกไปท้าดวลฝีมือกันข้างนอก พอการต่อสู้เริ่มจะดุเดือดเกินไป ฟิงค์กับเฟย์ก็จะมาลากเข้าไปเล่นเกมส์ออกใหม่ล่าสุดที่เพิ่งไปขโมยมาได้ แต่พอเล่นจนเบื่อก็ไปเจอมือถือรุ่นใหม่ล่าสุดของชาร์แน๊คเข้า ทำให้ต้องเข้าไปดูด้วยความสนใจและนั่งคุยยาวไปเรื่อยถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีออกใหม่ต่างๆ ในตลาด และเมื่อคัลโตผู้เป็นน้องสาวเห็นว่าชักจะคุยกระหนุงกระหนิงกันนานเกินไปแล้ว ก็จะเดินเข้ามาพาเขาไปนั่งคุยกันอยู่สองคน แต่เพราะเรื่องเล่าของนักฆ่าวัยเด็กนั้นสนุก เลยทำให้คนอื่นๆ เข้ามาร่วมวงด้วย
“ไม่คิดว่านายจะสนิทกับทุกคนได้เร็วขนาดนี้ มีอะไรกันรึเปล่าเนี่ย?” เขาถามด้วยความสงสัยกับภาพของสมาชิกแก๊งที่นั่งจับกลุ่มคุยกับแขกอย่างสนุกสนาน
“ไงหัวหน้า กลับมาซะค่ำเลยนะ มีของฝากมั่งเปล่า?” คิรัวร์ทักทายเล่นๆ ก่อนจะตอบ “ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่ชั้นกำลังแสดงกลของคนรู้จักให้ดูแค่นั้นเอง พวกของนายน่ะแย่ชะมัด เล่นดูทริกชั้นออกกันหมดเลยแบบนี้ก็หมดสนุกน่ะสิ” ลงท้ายนี่เหมือนเจ้าตัวหันไปแอบค้อนเหล่าผู้ชมที่พากันยิ้มและหัวเราะ
“ก็พวกเขาเก่งกว่านายนี่”
“เออ โทษทีนะที่เด็กแล้วก็ด้อยประสบการณ์น่ะ” ยิ่งเขาประชดก็ยิ่งทำให้คนอื่นขำกันใหญ่ เจ้าตัวเลยตัดสินใจหยุดพูดแล้วหันมานั่งเจ็บใจเงียบๆ แทน
“พักเรื่องเล่นเอาไว้ก่อน เรามาเริ่มวางแผนเรื่องคืนพรุ่งนี้กันดีกว่า”
ท่านหัวหน้าเริ่มเปิดการประชุมเมื่อสมาชิกคนอื่นๆ กลับมาครบ ยกเว้นหมายเลข 4 ที่ไม่เป็นที่แปลกใจว่าโดดอีกแล้ว แต่หัวหน้าก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเป้าหมายคราวนี้ถือความสมัครใจของสมาชิกในการเข้าร่วมเป็นหลัก
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อีกครั้งที่ค่ำคืนนี้นั้นแดงฉานไปด้วยแสงสีแดงของพระจันทรงกรดที่ส่องลงบนพื้นดิน อากาศรอบตัวนั้นเย็นเฉียบ ไม่มีทั้งผู้คนและแสงสีเหมือนดั่งเช่นคืนอื่นๆ ทุกอย่างต่างนิ่งเงียบและหลับใหล ไม่เหมือนกับร่างเล็กๆ ในเสื้อสีม่วงที่สวมทับด้วยเสื้อคอวีสีขาว กางเกงขาสั้นสีดำ และรองเท้าผ้าใบสีขาวดำ ที่กลับวิ่งไปตามทางเดินที่มืดสลัว และแฝงตัวหายเข้าไปในเงาสีดำ ดวงตากลมโตสีเขียวเบิกกว้างและมองเห็นทุกอย่างรอบตัวเหมือนกับในเวลากลางวัน เล็บงอกยาวแหลมและเตรียมพร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ
ยามและบอดี้การ์ดเฝ้าตึกตั้งแต่ชั้นหนึ่งจนถึงชั้น 100 กับระบบรักษาความปลอดภัยนั้นมีนับไม่ถ้วนและยากที่ใครจะผ่านไปได้ แต่สำหรับผู้บุกรุกร่างเล็กถือว่าเล็กน้อย เขาซ่อนตัวในเงามืดหลบกล้องวงจรปิดได้อย่างง่ายดาย และค่อยๆ เก็บยามเฝ้าในแต่ละจุดอย่างเงียบเชียบ ฝีเท้าที่เบายิ่งกว่าแมวก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ชั้น 50 ก่อนจะติดต่อไปยังคนที่รออยู่ข้างนอกผ่านเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กที่ซ่อนเอาไว้ใต้ปกคอเสื้อ
นี่....ชั้นจัดการยามกับระบบรักษาความปลอดภัยตั้งแต่ชั้น 1 ถึง 49 ให้แล้วนะ พอใจยัง ชั้นจะได้ไปทำธุระของชั้นซะที
‘ไม่อยากจะยอมรับเลยให้ตายสิ ว่ายอมร่วมด้วยเพราะกลัวมัน ถึงเน็นมันจะไม่เหมือนของพี่อิรุมิแต่น่ากลัวโคตร บ้าชิบ’
หนึ่งในทายาทตระกูลโซลดิกว่าพลางคิดอย่างหงุดหงิด เพราะเขาถูกขอให้มาทำงานที่น่าเบื่อหน่ายในขณะที่เหตุผลที่แท้จริงของคนขอยังคงเป็นปริศนา เพราะใช่ว่างานมันจะยากเย็นอะไรแต่เจ้าหัวหน้าตัวดีนั่นจงใจที่จะให้เขาทำแทนต่างหาก
ยัง เหตุผลที่พวกเราต้องให้นายเข้าไปก่อนน่ะมันอยู่ชั้นนั้นแหละ ถ้าจัดการกับมันแล้วนายก็ไปได้ แต่อย่าแอบชุบมือเปิบล่ะ เสียงจากปลายสายเรียกให้เขากลับมาจากห้วงความคิด
รู้แล้วล่ะน่า เอาไงก็เอา ยอมมาขนาดนี้แล้วนี่
เด็กชายว่าพลางขยี้ผมสั้นสีเงินของเขาเล็กน้อยอย่างหงุดหงิด ก่อนจะแฝงเข้าไปในเงามืดอีกครั้งเพื่อดูว่าไอ้ระบบความปลอดภัยที่ท่านหัวหน้าแก๊งว่ามันเป็นยังไงเจ้าตัวถึงไม่ยอมเข้ามาจัดการเอง
อย่างแรกที่ขวางทางเดินของเขาก็คือ รังสีอินฟราเรด ถึงเขาจะมองมันตาเปล่าไม่เห็น เขาก็ยังสามารถรู้ได้ว่ามันอยู่ตรงไหน โดยอาศัยความร้อนของรังสีและพลังเน็นเข้าช่วย หลังจากแน่ใจแล้วว่าจับรังสีได้ทุกเส้น เขาก็ค่อยๆ ก้าวข้ามและลอดผ่านพวกมันไปอย่างคล่องแคล่ว และเมื่อมายืนอยู่ตรงสุดทางเดิน ก็เจอบานประตูของตู้เซฟขนาดใหญ่เท่าห้องนิรภัยของธนาคาร
‘ดูท่าของข้างในจะราคาดีสุดๆ เลยนะเนี่ย?’ เขาคิดพลางผิวปาก และรู้สึกประทับใจกับวิธีการเก็บรักษาขณะยืนมอง โชคดีที่เขาเห็นประกายไฟตรงหน้าและเครื่องควบคุมข้างบานประตูก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้
‘นั่นมัน.....เครื่องสร้างม่านไฟฟ้า ที่บ้านพ่อก็เคยเอามาให้ดู เห็นพ่อบอกว่าแพงสุดๆ หายากด้วย แล้วก็ปล่อยกระแสไฟฟ้าสูงสุดได้เท่าโรงงาน เวอร์เปล่าเนี่ย?’
นี่....ชั้นเจอของที่นายให้จัดการแล้วล่ะ นายเห็นชั้นเป็นอะไร? ปลาไหลไฟฟ้ารึไงฟะ นี่มันเครื่องสร้างม่านไฟฟ้านะเฟ้ย !! มาจัดการเองดิ่ !! เน็นนายก็มี !!
เด็กชายนักฆ่าแหวใส่หัวหน้าแก๊งตัวดีอย่างไม่มีเกรงใจ เพราะจริงอยู่ที่เขาสามารถทนรับกระแสไฟฟ้าได้ทีหลายร้อยโวล์ต และถึงขั้นสามารถเก็บเอาไว้ในตัว ควบคุมและเอาออกมาใช้ได้ตามต้องการ แต่ถ้ากระแสไฟมันมากเกินไป เขาก็ตายได้เหมือนกัน
นายทำได้อยู่แล้ว ถ้าจัดการเจ้าเครื่องนั่นได้ ระบบความปลอดภัยชั้นบนทั้งหมดจะหยุดทำงาน
หาเรื่องให้ชั้นเหนื่อยโดยใช่เหตุนะเนี่ย ถามจริงเหอะ บังคับขู่เข็ญชั้นมาเนี่ยเพื่ออะไรกันแน่
ก็แค่สงสัยน่ะ เพราะชั้นรู้สึกได้ว่านายมีเน็นและประจุไฟฟ้ารอบตัวมากกว่าคนปกติ อีกอย่างวิธีดิบๆ โดยที่ไม่ต้องใช้พลังเน็นเพื่อการจู่โจมแบบนี้น่ะ ไม่อึกทึกครึกโครมดี และสัญญาณเตื่อนภัยก็จะได้ไม่ดังด้วย
แค่นั้นน่ะนะ ใช่ว่าชั้นจะทนกระแสไฟฟ้าระดับโรงงานผลิตได้นะเฟ้ย !! ‘ถึงจะไม่รู้ว่ามันตั้งไว้ที่ระดับนั้นรึเปล่าก็เหอะ’ เขาตอกกลับทันควัน ความหงุดหงิดเพิ่มมากขึ้นจนชักจะอยากจะไปต่อยหน้าเจ้าหัวหน้านั่นซักเปรี้ยง
เอาน่า ทำซะ พูดมากเสียเวลา
นี่แก ถีบส่งชั้นตกเหวแล้วยังจะมีหน้ามาเร่งอีก ชิ !
คิรัวร์ประชดกลับไปอย่างไม่กลัวเกรงแทนที่จะคิดอยู่ในใจเงียบๆ เหมือนคนมารยาทดี แต่ก็ยังยอมทำตามเพราะรู้ดีว่าถึงจะต่อล้อต่อเถียงไปก็เท่านั้น
เขาผ่อนลมหายใจ ทำใจให้สงบ และรวบรวมสมาธิให้มากที่สุด แล้วปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าที่เขาเก็บสะสมเอาไว้ในตัวออกไปจนหมด ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ม่านไฟฟ้า ทันทีที่มือสัมผัสมันเขาก็รู้สึกเหมือนถูกเขย่าในเครื่องเชค และภายในร่างร้อนจนเหมือนถูกแผดเผาให้ตายทั้งเป็นอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ยังคงกัดฟันแน่นและไม่ยอมร้องออกมาในขณะที่ยังคงค่อยๆ เดินเข้าไป ได้เพียงไม่กี่ก้าว ก่อนจะทรุดลงนั่งเพราะร่างกายไม่สามารถขยับไปได้มากกว่านั้น
มือทั้งสองข้างแบออกและเหยียดออกข้างตัวเพื่อปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าที่มีมากเกินไปออก ดวงตาสีเขียวลืมขึ้นมองกระแสไฟฟ้าที่กำลังเต้นไปมาอย่างสนุกสนานเหมือนกับดีใจที่มีเหยื่อมาให้มันทรมานเล่น
‘ชิ ! ถึงจะโชคดีที่ไม่ใช่ระดับโรงงานก็เหอะ แต่ต้อง.....เอาออกไปอีก ไม่งั้น......’ แม้แต่คำพูดก็คิดขึ้นมาในหัวได้อย่างยากลำบากท่ามกลางเส้นประสาทและกล้ามเนื้อในร่างกายทั้งหมดที่เขม็งตึงจนแทบจะฉีกขาด
กระแสไฟฟ้าถูกปลดปล่อยและไหลผ่านร่างออกไปมากขึ้นและเร็วขึ้นเหมือนกับน้ำที่ไหลผ่านภาชนะที่ว่างกลวง ถึงแม้การขยับเพียงนิ้วเดียวก็ทำให้รู้สึกไม่ต่างกับการถูกเผาไหม้อยู่ในเพลิงนรก แต่เขายังคงกระเสือกกระสนที่จะชี้ไปทางเครื่องควบคุมและปล่อยกระแสไฟฟ้าไปทำลายมัน
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับเศษเครื่องจักรร่วงลงพื้น ริมฝีปากเหยียดออกแสยะยิ้มกับเสียงระเบิดแผ่วเบาที่ได้ยินตามมาอีกหลายครั้ง ก่อนที่ร่างที่สั่นเทาจะล้มลงนอนแผ่อยู่กับพื้น ดวงตาสีเขียวปรือขึ้นมองความมืดเบื้องหน้าหลังจากแสงไฟในตึกรอบตัวดับลง
แม้เสียงฝีเท้าและเสียงโวยวายจะได้ยินแว่วๆ มาจากทั้งชั้นบนและชั้นล่าง แต่ร่างที่ร้อนผ่าวไปด้วยการแผดเผาจนควันขึ้นกลับไม่ขยับและค่อยๆ ใช้เวลาทุกๆ วินาทีในการรอให้ความเจ็บปวดทั้งหมดจางหายไป ในขณะที่ภายในใจกลับรู้สึกร้อนรนและเร่งให้ร่างกายขยับอยู่ทุกวินาที นัยน์ตาสีเขียวค่อยๆ หม่นซีดจนกลายเป็นสีเขียวเข้มเกือบดำและเหม่อมองเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย ริมฝีปากเหยียดยิ้มเย็นๆ กับความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวที่เริ่มว่างเปล่า
‘นี่สินะคือสิ่งที่มันเรียกเป็นค่าตอบแทนสำหรับส่วนแบ่งนั่น งั้นก็ได้ ถ้าอยากเห็นชั้นฆ่านักล่ะก็......’
ร่างค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและหลบหายเข้าไปในเงามืดอีกครั้ง มือเล็กๆ ที่งองุ้มเหมือนกับกรงเล็บของสัตว์ป่าปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าที่ได้มาจนเกินพอออกไปอย่างรุนแรง ในขณะที่หัวสมองไม่คิดอะไรและไม่สนใจว่าการกระทำต่อจากนี้ไปจะทำให้เพื่อนร่วมงานที่รออยู่ข้างล่างเดือดร้อน เพราะมันถือเป็นการเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคำขอร้องที่หนักหนาสาหัสของหัวหน้าแก๊งโจรเงามายาเท่านั้น
End Chapter 02
ความคิดเห็น