ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อีกมุมนึงของแพทย์ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้

    ลำดับตอนที่ #4 : 36 ชั่วโมง ชีวิตแพทย์ใช้ทุน ตอน4

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.พ. 55


    04 : 00 น.
    ผมได้กลับมาในห้องพักแพทย์อีกครั้ง
    ผ้าปูที่นอนทั้งสามเตียงยังกองวางอยู่ที่เดิมเหมือนเดิม
    แสดงว่ายังไม่มีใครในเวรนี้ได้ล้มตัวลงนอนบนเตียงเลย ... ผมหยิบน้ำมากิน
    หลังจากพูดไปเยอะ ... ค่อยหายแสบคอหน่อย ...เวรนี้ช่างหนักหน่วงเหลือเกิน หว้ากับโบว์ยังนั่งอยู่บนโซฟา
    ยังไม่มีทีท่าจะเข้าไปนอนในห้อง

    ไม่นอนเหรอผมถามขึ้นมา

    แป๊บนึงค่ะพี่ ขอกินน้ำ
    กินอะไรหน่อย หิวอ่ะหว้าตอบกลับมา ผมยังสงสัยว่าน้องแกตัวผอมอย่างนี้ได้ไงเนี่ย ทั้ง ๆ ที่กินเยอะกว่าผมอีก

    เฮ้อ ... งานเรานี่
    สุดคุ้มค่าจ้างเลยนะโบว์พูดบ้าง

    จริง ...
    ไม่บอกคนอื่นต้องไม่คิดแน่ว่าค่าเวร รพ.ผมนี่มันแค่ 700 บาทต่อคืนเท่านั้น งานหนักเป็นควาย ...
    ความรับผิดชอบอันสูงยิ่ง ... แลกกับเงิน 700 บาท

    เมื่อไหร่เค้าจะขึ้นค่าเวรให้ก็ไม่รู้เนอะ
    ...
    นี่ค่าแรงน้อยกว่าพนักงาน MK ด้วยซ้ำมั๊งหว้าแซว

    พี่คิดดูดิ ทำงานสี่โมงเย็นถึงแปดโมงเช้า
    16
    ชั่วโมง ได้ 700 บาท หารออกมาเหลือ 43 บาทต่อชั่วโมง

    เออ เนอะผมก็ไม่เคยหารมาก่อน ไม่รู้หรอกว่าพนักงาน
    MK
    ได้ชั่วโมงเท่าไหร่ แต่ก็คงราว ๆ นี้จริง ๆ มั๊ง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะ
    ก่อนมาเรียนผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนหรอกว่าเงินเดือนหมอรัฐบาลมันจะน้อยขนาดนี้ถ้าเทียบกับงานที่ต้องรับผิดชอบกับความเป็นความตายของคน

    พี่งีบก่อนนะผมหนีไปนอนบนโซฟาเพราะไม่ไหวแล้ว
    โบว์หนีเข้าไปนอนในห้อง ส่วน หว้ายังเดินจกเลย์กินอยู่เป็นระยะ ๆ

    หัวแตะหมอนยังไม่ถึงสิบนาทีเลยมั๊ง
    ...
    เสียงโทรศัพท์ในห้องพักก็ดังขึ้น

    หมอค่ะ
    เคสที่กินยาฆ่าหญ้าอาการไม่ค่อยดีค่ะพยาบาลกรอกเสียงมาตามสาย ผมรู้ว่าเคสที่เธอพูดถึงก็คือน้องอ้อนั่นเอง ...

    ครับ เดี๋ยวไปดูผมถอนหายใจยาว
    ...
    แล้วเดินขึ้นไปดู .... วันนี้คงเป็นอีกหนึ่งวันที่ไม่ได้นอนซักชั่วโมง
    ผมเดินไปดูน้องอ้อ ... เธออาการเริ่มแย่ หายใจเหนื่อยขึ้น ความดันเริ่มตก
    ชีพจรเริ่มเบา .... ผมทำใจ และบอกให้แม่เธอทำใจ .... จากอารมณ์กำลังจะพัก
    ตอนนี้ผมต้องอยู่กับอารมณ์ที่สลดหดหู่ .....
    แม้ว่าผมจะชินแล้วกันความเป็นความตายก็ตาม .... แต่ทุกครั้งที่มีคนกำลังจะเสียชีวิตอยู่ตรงหน้า
    ...
    อารมณ์ผมก็มักจะเศร้าตาม ....อีกหนึ่งชีวิตที่กำลังจะดับไปพร้อมกับแสงตะวันแห่งวันใหม่ที่กำลังสาดส่องขึ้นมา

    ผมเดินไปดูอีกสองสามเคส ... คุณป้าเริ่มรู้ตัว ยกมือทักทายผมได้แล้ว
    ดีใจ ... ดีใจ ... คนไข้ไอซียู
    อีกเคสที่ปั๊มหัวใจไปเมื่อคืน ก็ยังอาการดีอยู่ .... สองรายที่พ้นวิกฤติ
    สองรายที่มีโอกาสเจอฟ้าวันใหม่

    06: 00 น. สว่างคาตา
    ที่มาของคำ ๆ นี้เป็นแบบนี้นี่เอง ตอนนี้ทุกอย่างสงบ
    นึกดูไปแล้วเมื่อคืนยังกะผมหลงเข้าไปในสงครามกลางเมืองยังไงยังงั้น ... หกโมงเศษ ๆ หมอบางคนมาถึงวอร์ดแล้วเพื่อทำงานแต่เช้า
    ผมเบาใจพอที่จะไปหาอะไรกิน

    ป๊ะ ไปหาโจ๊กกับกาแฟกินกัน
    พี่เลี้ยงเองผมหันไปบอกน้อง ๆ

    จริงเหรอคุณพี่ ... ป๊ะ ๆ
    หว้าดีใจออกนอกหน้า

    ผมเดินไปโรงอาหารสั่งโจ๊กมากิน
    ...
    พร้อมกาแฟสุดเข้ม เพื่อโด๊ฟไว้
    เพราะเดี๋ยวอีกชั่วโมงผมต้องไปทำงานต่อแล้วพร้อม ๆ กับไอ้น้องสองคนนี้แหละ ... เรื่องนอนตัดทิ้ง
    ...
    ต้องอาศัยกาแฟช่วยจะได้ไม่ง่วงซะก่อน กินเสร็จ อิ่มหนำ
    หัวแล่นขึ้นสงสัยฤทธิ์คาเฟอีนจะออกแล้ว ผมแยกกับน้อง ๆ ไปอาบน้ำ ทั้ง ๆ
    ที่จะว่าไปผมก็พึ่งอาบมาไม่กี่ชั่วโมงนี่หว่า
    แต่ไม่อาบก็คงไม่ได้เพราะเหงื่อโทรมขนาดนี้

    เดินกลับหอ อากาศหนาวเย็น ชื่นปอด
    ผมชอบอากาศเย็น ยกเว้นแค่ตอนอาบน้ำเท่านั้นแหละเพราะดันไม่มีน้ำร้อน อาบแล้วรู้สึกดีกระปรี้กระเปร่าขึ้น


    7 : 00
    น. ผมกลับมาอยู่ที่วอร์ดพร้อมโบว์ หว้า อย่างตรงเวลา
    ...
    เริ่มราวด์ต่อ แต่ต่างกันตรงวันนี้เก้าโมงผมต้องไปออกโอพีดี ฉะนั้นหลังเก้าโมง
    น้อง ๆ สองคนต้องราวด์กันเอง


    9: 00
    น.
    ผมเดินไปตรวจโอพีดีช่วงเช้า นั่งนึกดูตอนนี้ 26 ชั่วโมงติดต่อกันแล้วที่ผมยังไม่ได้นอนซักแอ๊ะ
    ไม่ปฏิเสธว่ามึนหัว รู้สึกเลยว่าหัวแล่นช้ากว่าปกติ คิดอะไรไม่ค่อยออกเท่าเดิม
    ....
    ยิ่งตรวจไปสองสามชั่วโมง ยิ่งเบลอ ๆ มากเข้าไปอีก

    ผมไม่รู้ว่ามันแฟร์รึเปล่ากับคนไข้
    ที่ต้องมาคุยกับหมอซอมบี้ ที่ดูมึน ๆ งง ๆ เป็นผม ผมก็คงอยากเจอหมอที่สมบูรณ์เต็มที่ทั้งกายใจ
    ไม่ใช่เจอหมอสภาพคล้ายศพ มีวิจัยมากมายพบว่าคนอดนอนมีโอกาสทำผิดพลาดมากกว่าคนที่นอนเต็มที่หลายเท่า
    ...
    เมืองนอกบางประเทศมีกฎห้ามหมอทำงานมากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง
    หากเกินนั้นต้องให้พัก ... ออกมาเป็นกฎเลย ... แต่ของไทย ...รู้กัน..... ผมเคยไม่นอนติดกันมากกว่า
    48
    ชั่วโมงด้วยซ้ำ ... มีเดือนนึงผมอยู่เวรแบบนี้ 20 วันต่อเดือน .... แต่ของแบบนี้เมืองไทยก็ยังตามมีตามเกิดไป

    เคยมีแพทย์พยายามต่อสู้เพื่อให้มีวันพักหลังอยู่เวร
    ...
    แต่ก็ไร้ผลด้วยคำตอบง่าย ๆ คือ ...คนทำงานไม่พอ

    เดี๋ยวนี้อัตราฟ้องร้องแพทย์เพิ่มขึ้นทุกๆ
    ปี หากนับจำนวนกรณีพบว่าเคสหมอที่โดนฟ้องอยู่ในรพ.รัฐมากกว่าเอกชนด้วยซ้ำ ...
    ผมก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ ... ผมตรวจคนไข้แค่เช้านี้กว่า 50 คน ... ตรวจคนละไม่กี่นาที ... มึนก็มึน
    ง่วง ก็ง่วง จะพลาดบ้างคงไม่แปลก เดือน ๆ หนึ่งตรวจไป 1000 กว่าคน ปีนึงก็ 12000 คน คนละ 4-5 นาที ผมจะตรวจถูกต้องทุกคนได้ยังไง .... ไม่ต้องคิด
    ...
    อาจารย์แพทย์ผู้ใหญ่คนหนึ่งเคยกล่าวอมตะวาจาไว้ว่า หมอที่ไม่เคยผิดพลาด
    คือหมอที่ไม่ตรวจคนไข้ยังคงเป็นจริงเสมอ ๆ ไม่ว่าผ่านมากี่ยุค ……


    ผมเองเคยวินิจฉัยพลาดก็หลายครั้ง
    ให้ยาแล้วคนไข้แพ้ยาก็หลายที ...
    แต่โชคดีที่ทุกครั้งอาศัยว่าความสัมพันธ์อันดีกับผู้ป่วย เลยรอดมาได้ทุกครั้ง
    ไม่เคยถูกฟ้องร้องจริง ๆ จัง ๆ ซักที ส่วนเพื่อนที่ซวยก็มี โดนฟ้อง ต้องเครียด
    เซ็งไปเป็นปี

    ผู้ใหญ่ในกระทรวงพยายามหากฎหาระเบียบอะไรมากมายมาป้องกันการเกิดฟ้องร้องมากมาย
    เช่นให้อธิบายคนไข้ดี ๆ อธิบายว่าโรคเป็นยังไง ต้องรักษายังไงบ้าง
    มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเท่าไหร่และอะไรบ้าง ยาที่ต้องกินมีอะไร
    ยามีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ฯลฯ แนวคิดนี้ไม่ใช่ว่าหมอส่วนใหญ่ไม่รู้
    แต่หากต้องตรวจคนไข้ 100
    คนในเวลา 8:00-16:00
    น. จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ต่อให้กะไปเลยว่าหมอไม่กินข้าว ไม่เข้าส้วม ไม่กินน้ำ
    ...
    ตรวจแบบไม่ต้องพักเลย ... ก็ตรวจได้แค่คนละ 4 นาที 40 วินาที แล้วมันจะทำได้ยังไง??? ตราบใดที่คนไข้ยังมากกว่าหมอเยอะขนาดนี้


    12 : 20
    น. การตรวจเกินเวลาพักเที่ยงเป็นเรื่องปกติ
    ผมหยุดตรวจเท่านี้ ที่เหลือให้รอตรวจช่วงบ่ายไป ผมไปกินข้าว เสร็จแล้วขึ้นไปดูน้อง
    ๆ ผมว่าเป็นยังไงบ้าง โบว์กับหว้า ผลัดกันรายงานอาการคนไข้แจ้ว ๆ ผมเดินดูคนไข้ที่อาการไม่ค่อยดีในวอร์ดร่วมกับน้อง
    ๆ อีกครั้งเพื่อให้การรักษาเพิ่มเติม

    บ่ายโมง รพ.จังหวัดข้างเคียงโทรมาขอ refer คนไข้ บอกว่าเตียงเต็ม .... ผมตอบไปแบบสุภาพว่า
    ที่นี่ผ้าใบเต็มแล้วครับ เตียงน่ะเต็มไปหลายเดือนแล้ว ... ถ้าจะส่งมาจริง ๆ
    บอกคนไข้ซื้อผ้าใบมาด้วยล่ะกันนะครับ” (ประโยคนี้ไม่ได้กวนตีนคนอื่นนะครับ
    แต่เป็นจริง ๆ และรู้กันว่าถ้าไม่มีจริง ๆ แนะนำให้คนไข้เอาผ้าใบมาเองด้วย)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×