คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : 5 คำถามยอดฮิต ที่เห็นคนในเน็ตด่าหมอ แล้วคันปากอยากตอบ โดย หมอไทย น้อยใจแล้วนะ
เลือกเพราะ นิสัยผมตั้งแต่สมัยประถมมัธยม ชอบอยู่ไปเรื่อยๆ เพื่อนเดือดร้อนก็ช่วยเหลือ
ไม่ชอบไปแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร ถ้าจะเจริญแล้วต้องทำร้ายคนอื่น ขออยู่เฉยๆดีกว่า
คือตั้งแต่เด็กๆ เพื่อนโรงเรียนชายล้วนของผมจะชอบด่าผมอยู่สองอย่าง
เมิงมันบ้าที่ทำตัวดีเกินไป กับ ทำไมเมิงชอบปล่อยให้คนอื่นเอาเปรียบทุกทีเลยวะ
ตอนแรกที่จะเลือกคณะ ตัดสินใจไม่ถูกว่า จะเลือกวิศวะคอม หรือ หมอ ดีกว่า
แต่ตัวที่ทำให้ตัดสินใจจริงๆ ไม่ใช่กระแสนิยม แต่เลือกเพราะคิดว่า
หมอ น่าจะเป็นอาชีพที่เข้ากับนิสัยของเรามากที่สุด อยากช่วยคนไปเรื่อยๆ ไปวันๆ
ไม่ต้องกลัวตกงาน ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการแก่งแย่งตำแหน่งหน้าที่กับเพื่อนร่วมงาน
ไม่ต้องไปลุยไปต่อสู้แข่งขันกับบริษัทอื่น ยุ่งกับความขัดแย้งที่เราไม่ชอบ
ผมเกิดมาในครอบครัวอบอุ่น ฐานะปานกลาง ไม่ขัดสน การเรียนดี รู้สึกว่าชีวิตนี้มีความสุขแล้ว
เลือกอาชีพที่ทำเพื่อให้คนอื่นมีความสุขบ้างดีกว่า
(จะว่าผมโลกสวยมาแต่กำเนิดก็ได้ พอใจมั้ย แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ)
ถ้าถามว่านิสัยผมมาจากไหน ผมคิดว่า ผมเก็บมาจากพระเอก การ์ตูน เกม และหนัง
ที่ผมดูมาแล้วผมประทับใจมาเรื่อยๆตั้งแต่เด็กๆ ผมชอบวิธีคิดและนิสัยอะไร ผมจะเก็บมาเป็นของตัวเอง
ผมชอบเวลาที่พระเอกเสียสละตัวเอง เพื่อคนอื่น เพื่อคนไม่รู้จัก
หรือยินดีที่จะช่วยแม้แต่ผู้ร้ายที่คิดจะฆ่าพระเอกก็ตาม
เห็นแล้วอยากเป็นให้ได้อย่างนั้นบ้าง ผมเลยเลือกเรียนหมอ
แต่ผมเลือกเรียนหมอเพราะ อยากช่วยคนนะ ผมไม่ได้เลือกเพราะ รู้ว่าวันดีคืนดี ยุคสมัยเปลี่ยนไป
มันจะกลายเป็นอาชีพที่เอาขาข้างนึงแหย่เข้าคุกในทุกวันที่ไปทำงานนะครับ
ทำไม อาชีพที่ผมเลือกในตอนที่ผมเอนท์ เพราะเป็นอาชีพที่ดี เสียสละ
คนอื่นชื่นชมประทับใจ ดูเป็นฮีโร่ในสายตาของคนอื่น
มาตอนนี้กลับกลายสังคมมองว่าเป็น อาชีพที่พวกเควี่ยๆ มารวมกัน
มีแต่พวกเห็นแต่เงิน จ้องแต่จะเอาเข้าพวกมันเข้าคุกให้ได้ซักวันไปเสียแล้ว
ตอนนี้อาชีพผม กลายเป็นตัวร้ายของสังคมไปแล้วหรอ
ผิดหรอที่ผมกลัว ถ้าทำงานอยู่ดีๆ ทุ่มเทกับคนไข้อย่างเต็มที่แล้วก็ยังมีโอกาสจะติดคุกน่ะ
ผิดหรอที่ผมเสียใจ ถ้าทำงานรักษาคนไข้แล้วคนไข้ที่ผมดูแลชื่นชม ว่าหมอเป็นกันเองดีจัง
อยากให้หมอที่อื่นเป็นแบบนี้บ้าง
แต่ถูกคนอื่นๆที่ผมไม่เคยเจอด่าในเน็ตแบบเหมารวมว่าหมอสมัยนี้หาดีไม่ได้เลย
อยากให้รู้ครับว่า คนที่ชอบประชดหมอว่า เป็นกระแสนิยมของพวกเรียนเก่ง สมน้ำหน้า อยากเลือกเรียนหมอเอง
ผมจะบอกว่า คุณพูดไม่ผิดหรอกครับ หมอจำนวนมาก คือ พวกเรียนเก่งที่โดนกระแสนิยมผลักดันเข้ามา
เรียนๆ ไป ทำงานไป ก็รักและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน หมอแบบนี้มีเยอะนะครับ
ถ้าอยากจะด่าว่าเราโง่เอง ที่เลือกเรียนอาชีพนี้แต่แรก ก็ขอให้พวกคุณรอไปก่อน
เพราะ สิ่งที่คุณพูดกำลังจะเป็นจริงในไม่ช้า
ยุคที่รุ่นต่อๆไป เด็กเรียนเก่ง จะไม่มีใครเลือกอาชีพหมออีกแล้ว
อย่าบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะผมคิดว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นในช่วงรุ่นลูกของเราครับ
ในเมื่อเดี๋ยวนี้ไม่มีหมอคนไหนสนับสนุนให้ลูกหลานตัวเองเรียนหมออีกแล้ว
ในเมื่อเด็กเก่งๆ 90% ของประเทศมีปัญญาพอที่จะเปิดอินเตอร์เน็ต เข้ามาอ่านกระทู้ฮ็อตๆ
เรื่องฮิตๆทั้งหลาย ที่หมอบ่น แต่สังคมประนามหมออย่างที่เป็นอยู่
ผมรู้ว่าหลายๆคนโลกสวยอยู่ ก็จะบอกว่า ไม่เห็นเป็นไรเลย พวกเก่งๆแต่เอาแต่กังวลกลัวงานหนัก กลัวถูกฟ้อง
ก็ให้มันไปเรียนอย่างอื่นไปสิ ตอนนี้คะแนนเอนท์แพทย์ก็กำลังลดลงเรื่อยๆทุกปีอย่างที่คุณต้องการครับ
และมันจะเกิดผลเสียตามมาอย่างแน่นอน เพราะ งานที่เราทำอยู่ ความจำที่ดี และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้จริงๆ พอๆกับ จริยธรรมที่ดี กับความคิดอยากช่วยเหลือคนไข้เลยครับ
อีก 10 ปี พวกเก่งๆ จะไปเรียนนิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์กันหมด
เราอาจจะได้เห็นคะแนนเฉลี่ยของคณะอื่นๆ สูงกว่าแพทย์เข้าสักวัน
พวกคะแนนดีที่ยังเลือกเรียนหมออยู่ ก็อาจจะเหลือพวกที่คิดไว้แต่แรกก่อนเอนท์
ว่าจบมาจะเปิดคลินิกเสริมความงาม หรือไปอยู่เอกชน เป็นส่วนใหญ่
ทำให้คุณภาพเฉลี่ยของหมอที่เหลือทำงานรักษาประชาชนจริงๆ จะตกต่ำลงทุกปีๆ
เมื่อถึงจุดหนึ่งที่พวกเรียนเก่งหมดไป เพราะ ไม่มีกระแสนิยม
ก็จะเป็นพวกคะแนนปานกลางแต่ใจรักเข้ามาทำงานต่อในรุ่น 10 ปีข้างหน้า
ซึ่งให้เราเดา กลุ่มนี้อาจจะฮิตเรียนหมอกันได้ไม่เกิน 6 ปี
เพราะขนาดยุคนี้ที่ แพทย์คะแนนเอนท์เฉลี่ยสูงลิบ ยังทำผิดพลาดถูกฟ้องเป็นข่าวได้บ่อยขนาดนี้
ถ้าต่อไปแพทย์คือคนที่เกรดเฉลี่ย 2-3 ความผิดพลาดที่สูงขึ้นจึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้
จะถูกฟ้องถล่มทลายขนาดไหน
พอถึงจุดนั้นคนที่คะแนนปานกลางก็จะไม่กล้าเรียนหมอกันอีกต่อไป จนถึงจุดนี้
ผมคิดได้แค่นี้ครับ ผมคิดไม่ออกเหมือนกันว่า
ถ้าคนเรียนเก่งก็ไม่มีกระแสจะเรียนหมอ คนใจรักแต่เรียนปานกลางก็โดนฟ้องจนกลัวหัวหดกันหมดประเทศ
แล้ว จะเอาใครมาเป็นหมอต่อจากยุคนั้นดี ผมยังคิดไม่ออกจริงๆครับ
หวังว่า เขาจะผลิดหุ่นยนต์ azumo รุ่นรักษาคนได้ออกมาทันก่อนที่หมอจริงๆ จะหมดไปเสียก่อนนะครับ
ถ้าโลกสวยก็จะบอกว่าที่เราบอกมันไม่มีทางเป็นจริง ถ้ามองโลกแห่งความจริงก็จะรู้ว่าอาชีพครูก็เป็นอาชีพที่ดี
เคยเป็นอาชีพที่คนเก่งใฝ่ฝัน แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมีคนเก่งอยากเรียนแล้ว
คนเก่งๆ ที่เป็นครูก็ออกมาสอนพิเศษกันหมด
ผมคิดว่าอาชีพครูที่สอนคน กับอาชีพหมอที่ต้องรักษาคนกำลังจะเหมือนๆกันในอนาคตอันใกล้
Q : ถ้าทำไม่ทันก็อย่ารับคนไข้เกินมือสิ จะฝืนรับคนไข้จนเกินมือตัวเองทำไม
พอคนไข้ตายก็เอามาเป็นข้ออ้างทุกที ทุเรศ
A : เรียนด้วยความเคารพ เงินเดือน หรือ เงินเวรของหมอ นับตามจำนวนชั่วโมงครับ
..ไม่ได้นับตามจำนวนคนไข้ที่ผมรักษา
อย่างเช่น เวร 8 ชั่วโมง 1,000 บาท จะรักษาคนไข้ 2 คน หรือ 100 คน ผมก็ได้เงินเท่าเดิมคือ 1000 บาท
การรักษาคนไข้มากเกินกว่าที่ผมจะทำได้ทันนั้น ผมไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลยนะครับ ผมทำเพื่อคุณนะครับ
สิ่งที่ผมได้เพิ่ม ไม่ใช่เงินครับ แต่คือ ความสุขที่ได้ช่วยเหลือชีวิตคนครับ
การที่หมอดูคนไข้วันละ 100 คนทั้งที่มาตรฐานต่างประเทศ คือ 20-30 คน
การที่หมอเฝ้าคนไข้คลอด หรือ ผ่าตัด ครั้งละ 4-5 คน ทั้งที่มาตรฐานต่างประเทศ คือ ครั้งละ 1 คน
การที่หมออยู่เวรติดๆกัน 40-50 ชั่วโมง ทั้งที่มาตรฐานต่างประเทศ คือ ครั้งละ 8 ชั่วโมง
ถ้าคุณคิดว่าผมทำเพื่อตัวเอง ผมอยากให้คุณได้อ่านข่าวนี้ครับ
“ข่าว จากหนังสือมติชนสุดสัปดาห์ (ปีที่ 28 ฉบับที่ 1462 คอลัมน์ “จากญี่ปุ่น” โดย นกุล ว่องฐิติวงศ์”) มีการรายงานถึงสถานการณ์ขาดแคลนแพทย์ในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีความพร้อมในระบบสาธารณสุขมากกว่าประเทศไทยหลายเท่า ในหลายมุมมองทั้งเทคโนโลยี กำลัง และส่วนใหญ่ของผู้ป่วยก็ได้รับการคุ้มครองภายใต้ระบบประกันสุขภาพที่เรียก ได้ว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อันเนื่องมาจากฐานะการคลังและความสามารถในการจัดเก็บภาษีของรัฐ แต่กลับมีข่าวที่ทำให้รัฐบาลสะเทือนคือ สตรีอายุ 89 ปี มีอาการท้องเสียและอาเจียนรุนแรงแต่ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเศษในการติดต่อหาโรงพยาบาลเพื่อรับตัว แต่ไม่มีที่ใดรับเพราะเตียงเต็ม หรือไม่มีแพทย์เวร จนที่สุดผู้ป่วยช็อกและเสียชีวิต อีกกรณีเป็นสตรีอายุ 38 ปี ปวดท้องขณะอายุครรภ์ 8 เดือนและต้องตระเวนอยู่บนรถพยาบาลเพื่อหาโรงพยาบาล 9 แห่ง ซึ่งปฏิเสธการรับผู้ป่วยและที่สุดเด็กก็คลอดบนรถและเสียชีวิตไป ทั้งๆ ที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอยู่เพียงระยะเวลาขับรถ 3 นาที แต่กลับต้องกระเตงบนรถถึง 70 กิโลเมตร ข่าวสะเทือนใจนี้ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องประกาศเป็นวาระฉุกเฉินในการแก้ปัญหา การขาดแคลนแพทย์ และมีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการเปิดให้คนต่างชาติเข้ามาทำงานในระบบ โดยเริ่มจากสายงานพยาบาลก่อน รวมทั้งแก้ปัญหาโดยการเพิ่มค่าตอบแทนให้แพทย์ที่ทำงานนอกเวลา”
นี่ไงมาตรฐานการรักษาต่างประเทศในแบบที่คนไทยต้องการแต่หมอไทยยังทำใจทำให้คุณไม่ได้
หมอญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรป ก้าวหน้าไปไกล ทำได้หมดแล้ว เขาไม่ฝืนตัวเองเพื่อคนไข้หรอกนะครับ
เขารักษาคนไข้เท่าที่จะทำได้อย่างที่คุณพูดไงครับ เขาพร้อมที่จะปฏิเสธคนไข้เมื่อตนเองดูไม่ทัน
แบบที่คุณบอกให้ผมทำตามไงครับ โดยที่เขาไม่ได้ รู้สึกผิดอะไรด้วยครับที่เขาไม่รับคนไข้
เพราะเป็นเรื่องปกติของหมอประเทศอื่นเขา
ก็หมอญี่ปุ่นเขาเฝ้าคนไข้คลอดตามมาตรฐานอย่างที่คุณต้องการไงครับ
คนไข้ทุกโรงพยาบาลถึงเต็ม เมื่อไม่พอทำไม่ทัน เขาก็ไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับการฟ้องร้องเหมือนผมนะครับ
เด็กที่ตายบนรถ เพราะไม่มีโรงพยาบาลไหนรับ ไม่มีหมอคนไหนโดนฟ้องเลยครับ
เพราะ เขาไม่ได้รับคนไข้แต่แรกแล้ว เขาจะฟ้องใครครับ
ผิดกับหมอไทยที่ไม่รู้โง่หรือบ้า มาคลอด 1 ก็รักษา 1 มาคลอดพร้อมกัน 5 ก็รักษา 5
ทำไม่ทันก็ยังบ้าจะฝืนทำ ทั้งที่ไม่ได้มีประโยชน์กับตนเองเลยสักนิด แต่ทำไปเพื่อชิวิตน้อยๆที่กำลังจะเกิดมา
รู้ทั้งรู้อยู่ก่อนทำแล้วด้วยครับว่า การดูคนไข้พร้อมกันมันไม่ได้มาตรฐาน โดนฟ้องยังไงก็ผิด
มันไม่ตรงตามตำราฝรั่งเขา พอบอกความจริงก็มีแต่คนด่าว่าอ้าง ด่าว่ารู้อยู่ก่อนแล้วยังทำอีก
ขอโทษครับที่ผมไม่ใจแข็งพอที่จะรักษาคนไข้คนนึงให้ปลอดภัยตามมาตรฐานเมืองนอก
แต่ไล่ให้อีก 4 คนที่เหลือไปตายตามมีตามเกิดบนรถพยาบาลได้เหมือนญี่ปุ่นเขา
ลืมบอกไปนะครับว่า แพทย์ไทยนั้นยังขาดแคลนกว่าแพทย์ญี่ปุ่นเยอะครับ
คุณรู้ไหมว่า อเมริกาและหลายๆประเทศในยุโรป เขาให้หมอตรวจวันละ 20 กว่าคนๆละ 20 กว่านาที
เพื่อให้ได้มาตรฐาน มาเกินกว่านั้น เขาไล่กลับบ้านให้มาตรวจวันหลังครับ คิวก็จะยาวต่อไปเรื่อยๆ
บางคนไปหาหมอ กว่าจะได้ตรวจต้องรอนัดอีก 2 อาทิตย์ บางคนนัดเป็นเดือนครับ
ประมาณว่าถ้าคุณเป็นไข้หวัด เขาให้คุณรอ กว่าคุณจะได้ตรวจ คุณหายหวัดไปนานแล้ว คุณจะเอาไหมครับ
ถ้าไม่เชื่อลองถามเพื่อนหรือคนรู้จักที่อยู่ในยุโรปหรืออเมริกาดูก็ได้ครับ
ผมรู้ว่าโลกเดี๋ยวนี้การสื่อสารมันแคบ คุณต้องมีให้ถามซักคนสองคนอยู่แล้ว
หมอฝรั่งเค้าตรวจวันละ 20-30 คนได้ เพราะ ฝรั่งเขารู้จักดูแลตัวเองครับ วันก่อนผมตรวจเพลิน
เผลอสั่งยาให้คนไข้ฝรั่งหลายตัว เขาบอกว่าไม่เอาๆ เขามาตรวจเฉยๆ ถ้าหมอบอกว่า
เป็นแค่ไข้หวัดเฉยๆ เขาคืนยาครับ
ผมอายเค้าครับ เผลอสั่งยาให้เหมือนตอนตรวจคนไทยจนชิน เป็นหวัดชอบขอยาไปกิน 4-5 ตัว
ถ้าไม่ให้ก็โกรธ บอกว่าไม่รักษาเต็มที่อีก อืม มาตรฐานการรักษามันต่างกันจริงๆนั่นแหละ
หมอไทยตรวจวันละ 100 กว่าคนนะครับ ถ้าเอามาตรฐานอังกฤษ ที่ให้ตรวจวันละ 20-30คนต่อวัน
แปลว่า ต้องใช้เวลาตรวจเพิ่มเป็น 5 เท่าครับ จากร้อยคนตรวจหมดใน 1 วันต้องตรวจกัน 5 วัน
หมายความว่าไงครับ หมายความว่า ถ้าเกิดรัฐบาลบ้าจี้ บอกให้หมอตรวจตามนี้จริงๆขึ้นมาเมื่อไหร่
..ปริมาณคนไข้ที่มาตรวจวันจันทร์ กว่าจะตรวจหมดต้องใช้เวลาตรวจจันทร์ถึงศุกร์
..ปริมาณคนไข้ที่มาตรวจวันอังคารต้องยกไปไว้สัปดาห์หน้า
..ปริมาณคนไข้ที่มาวันศุกร์ของสัปดาห์แรก คือยกไปตรวจเดือนหน้าครับ
..ปริมาณคนไข้ที่มาตรวจเมื่อปลายเดือนแรก คือ ยกไปตรวจอีกครึ่งปีข้างหน้า (31x5 =155 วัน)
..ปริมาณคนไข้ที่มาตรวจปลายปีแรก คือยกไว้ไปตรวจชาติหน้าเลยมั้ยครับ
ผมรู้ว่าคนไทยทนรอไม่ได้หรอกครับ อย่ามาทำซึนเดเระ แค่รอ 20 – 30 นาที
ทั้งที่บางทีคุณก็เห็นหมอเราก็ไม่ได้นั่งเฉยๆ แต่กำลังวิ่งไปตรวจคนไข้ที่ห้องฉุกเฉินอยู่ คุณยังด่าผมในใจเลยครับ
Q : หมอสมัยนี้มีแต่พวกหน้าเงิน ทำงานเพื่อเงิน เห็นคนไข้จนๆ ก็ไม่ดูแล?
A : ด้วยความเคารพอีกครั้ง ตอนนี้ผมทำงานโรงพยาบาลรัฐครับ
คนไข้จะจนหรือรวย เขาก็ไม่ต้องจ่ายเงินเหมือนกันนะครับ
การที่เขาจะจนหรือรวยไม่เห็นมันจะมีผลอะไรกับผมสักหน่อย
จะรักษาคนจนหรือคนรวย ผมก็ได้เงินเดือนเท่าเดิมครับ แต่ที่แย่กว่านั้น
คือ เงินหมอมันคงเป็นเงินที่สำคัญอันดับท้ายๆที่รัฐเขาจะคิดถึงล่ะมั้ง
เงินค่ากันดารผมถึงได้ค้างมาเกินแรมปี รวมกันไปตอนนี้
ก็เกิน สองสามแสนแล้วครับที่ยังไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานแค่ไหน
ถามจริงเถอะ ถ้าผมเป็นพวกหน้าเงินอย่างที่คุณว่า โดนค้างเงินมาเป็นปี รวมมูลค่า สองสามแสน
ผมจะยังทำงานอยู่หรอครับ ผมประท้วง ผมลาออกไปนานแล้วครับ
Q : หมอสมัยนี้แม่ง อะไรๆ ก็กลัวแต่ฟ้องร้อง จนไม่เป็นอันรักษากันแล้ว
A : ด้วยความสัตย์จริง ตลอดเวลาตั้งแต่จบมา ผมพยายามเต็มที่ที่จะตั้งใจรักษาคนไข้อย่างเต็มที่
ยิ้มและพูดกับคนไข้และญาติทุกคนเหมือน กำลังคุยกับพี่น้อง หรือเพื่อนตัวเอง
..เท่าที่สถานการณ์จะเอื้ออำนวยครับ
คนไข้แถวนี้ชอบผมมากๆ เวลาพี่ฝ่ายบริหารเค้าสรุป เอาใบแสดงความคิดเห็นที่คนไข้หย่อนๆ
ไว้ในกล่องตอนสิ้นเดือนทีไร อ่านแล้วภูมิใจและ เขินที่เค้าชมจนหน้าแดงกลั้นไว้ไม่ได้ทุกทีเลยครับ
แต่ผมก็กล้าพูดเหมือนกันว่า ถึงผมจะเป็นแบบนี้ ผมเองก็ยังกลัวที่จะโดนฟ้องร้องเข้าสักวันเลยครับ
มันคงมีซักวันที่คนไข้กับญาติมาจากทิ่อื่น อุบัติเหตุหนักมา มาถึงฉุกเฉินยังไม่ทันได้พูดอะไรกัน
มาถึงก็ปั๊มหัวใจ ใส่ท่อช่วยหายใจ ช่วยชีวิตคนไข้ก่อน เรื่องคุยกันไว้รอทีหลัง แล้วปั๊มกัน 30 นาที
คนไข้ไม่ฟื้น เอาจริงๆ คนเรา เวลาคนที่เค้ารักตาย บางคนเสียใจ บางคนโกรธจนไม่ฟังอะไรเลยนะครับ
คนไข้กินเหล้าขับรถเมามา ชนอาการหนักโอกาสรอดแทบไม่มี แต่โกรธผมครับทั้งที่พยายามแล้วแต่ไม่รอด
ความโกรธเป็นสาเหตุนึงของการฟ้องร้อง ตอนนั้นจะพูดดียังไง มันมีคนประเภทที่ไม่ฟังผมแล้วจริงๆนะครับ
เจองี้ทีก็คงโดนฟ้องไปตามระเบียบ เอาจริงๆเถอะ ในกรณีที่ผมทำเต็มที่ ทำถูกต้องแล้ว รู้ว่าโดนฟ้อง
ก็คงไม่ถูกตัดสินให้ผิด (คิดว่างั้นนะ) แต่เวลาโดนญาติของคนที่ผมพยายามช่วยชีวิตเต็มที่ฟ้องมันเสียใจนะครับ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ได้แปลว่า ผมจะกลัวการฟ้อง
ไปมากกว่าการที่คนไข้ของผมจะตายทั้งที่ยังทำไม่ถึงที่สุดนะครับ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีเด็กอายุ 10 เดือน โดนไฟฟ้าช็อต กว่าจะมาถึงโรงพยาบาลก็ตั้ง “15 นาที”
เคสประมาณนี้ในความคิดผม ถ้ารอดได้ก็บุญของเด็กที่เก็บมาห้าชาติสิบชาติล่ะครับ
วันนั้น ผมอยู่ตรวจผู้ป่วยนอก แต่การดูคนไข้ห้องฉุกเฉินอยู่ในความดูแลของพี่หมออีกคนครับ
แต่ขณะนั้นพี่หมออยู่ผู้ป่วยใน ไม่ได้อยู่ใกล้ห้องฉุกเฉินครับ
ผมได้ยินเสียงพี่พยาบาลตะโกนเรียกมาแต่ไกล “หมอๆ มาช่วยหน่อยเร็ว เด็กโดนไฟช็อต หัวใจไม่เต้น”
เท่านั้นแหละครับ ผม ”ทิ้ง”คนไข้ผู้ป่วยนอก ใส่ตีนหมาโกย 100 เมตรไปห้องฉุกเฉินเลยครับ
เวลาชีวิตของคนที่หัวใจหยุดเต้นคิดตามจริงเป็นวินาทีเหมือนDtacครับ
ถ้าผมรอให้พี่พยาบาลตามพี่หมอที่อยู่ไกลกว่า โดยไม่รีบเข้าไปช่วยก่อน
เท่ากับโอกาสรอดชีวิตของน้อง จะลดลงๆไปเรื่อยๆ ตามเข็มวินาทีที่เดินไปครับ
เข้าไปถึงมีเด็กทารกนอนตาเหลือกอยู่บนเตียง สั่งการช่วยเหลือ ปั๊มหัวใจ ใส่ท่อ ช็อตไฟฟ้า ให้ยาช่วยชีวิต
พอถึงจังหวะให้ยาช่วยชีวิตนี่แหละครับ ที่คงเป็นกรรมเวรอะไรของน้องไม่รู้
ที่เคสเด็กทารกหัวใจหยุดเต้นนี่มันไม่ใช่เจอกันบ่อยๆ
ตั้งแต่เรียนจบมา เพิ่งเจอกับตัวเองจริงๆ แบบที่ต้องเป็นคนสั่งการรักษาเองคนเดียว คนนี้คนแรกเลยครับ
ผมจำปริมาณยาตัวนี้ที่ให้เด็กทารกไม่ได้ครับ อาจเพราะ ครั้งสุดท้ายที่เห็นในหนังสือเรียน มันเมื่อสามปีแล้ว
และ จบมา ยังไม่เคยเจอของจริงเลยครับ >> จังหวะนั้น เหงื่อตกเลย
(อย่าด่าเราเลยครับ เรารู้นะว่าคุณ ก็ท่อง ก – ฮ แบบไม่ต้องอาศัยเพลงประกอบไม่ได้เหมือนกัน
อะไรที่ไม่ได้ใช้เลย สมองมันจะเก็บไว้ลึกกว่าที่เราจะดึงออกมาได้ครับ)
สิ่งที่ผมทำ คือ การเอาขาตัวเองกระโดดเข้าไปในคุกอีกข้างครับ
ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นตกใจจนคิดอะไรไม่ถูกแล้วหรือไง ถึงได้ทำ
ผมหันไปบอกพี่พยาบาลครับว่า “พี่วิ่งไปเอาหนังสือยาเด็กที่ห้องตรวจนอกมาให้ที”
พอได้หนังสือมาผมเปิดสารบัญหายา แล้วสั่งเอาตรงนั้นเลยครับ
ไม่กล้าหันไปมองหน้าพ่อแม่เด็กด้วย ว่าเขาคิดยังไงที่ลูกกูกำลังจะตาย แต่หมอเปิดหนังสือสั่งยา
(คิดในใจเหมือนกันว่าจะโดนฟ้องมั้ย แต่ตอนนั้นต้องแข่งกับเวลาครับ)
แต่ถ้าผมบ้ายอมสั่งยาไปทั้งที่ไม่แน่ใจ พ่อแม่ก็ไม่รู้หรอกครับ ว่าผมสั่งถูกหรือผิด แต่ผมรู้สึกผิดครับ
ปรากฏว่า ปั๊มอยู่ 20 นาที หัวใจเด็กกลับมาเต้นครับ วินาทีที่กลับมาจับชีพจรเด็กได้
หันไปบอกแม่เด็กที่นั่งจะเป็นลมอยู่ว่า “ลูกคุณหัวใจเต้นแล้วนะ” แล้วคุณแม่ร้องไห้โฮออกมา
มันสุดยอดมากเลยครับ ความรู้สึกยังกะตัวเองเป็นหมอในละครญี่ปุ่น หรือการ์ตูนที่ผมชอบเลย
ตอนที่ได้บอกใครซักคนว่า ลูกคุณหัวใจเต้นแล้ว มันหาความดีใจไหนมาเทียบไม่ได้เลยครับ
พอชีพจรความดันเด็กเริ่มคงที่ก็รีบส่ง โรงพยาบาลจังหวัด เห็นว่านอน ICU ต่อ
ไม่รู้ว่าน้องจะเป็นยังไงบ้างนะ ไม่รู้ว่าจะนอนเป็นผักหรือเปล่า
แต่มาคิดทีหลัง งานนี้หาเรื่องใส่ตัว เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงโดนฟ้องแท้ๆเลยแหะ
ไม่ได้อยู่ในหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง แต่วิ่งไปดู ทั้งที่รู้ว่าโอกาสรอดโคตรน้อย
เสี่ยงโดนฟ้องโคตรเยอะ (เพราะเด็กเป็นความหวังของพ่อแม่) แถมเวรกรรมที่เป็นแบบที่ไม่เคยรักษามาก่อนอีก
แถมยังหน้าด้านเปิดหนังสือสั่งยาต่อหน้าพ่อแม่เด็กอีก เพราะ ไม่อยากสักแต่รักษาไปมั่วๆ
(ลองคิดดูถ้า เกิดเด็กตาย เค้าฟ้องศาลแล้วบอกว่าหมอเปิดหนังสือสั่งยาให้ลูก สงสัยคงโดนตัดสินให้ผิดแน่เลย)
ไม่รู้ที่เด็กรอดนี่ บุญของเด็ก หรือ บุญของผมที่จะไม่ต้องถูกฟ้องก็ไม่รู้
Q : ถ้าไม่ไหวทำไมไม่ลาออกไปเลย อย่ามาบ่นให้ฟังอยู่ รำคาญ หมอไร้จรรยาบรรณอย่างเมิง
ลาออกไปซักคนประเทศนี้ไม่ล่มจมหรอก
A : ปัญหาจริงๆก็คือ คนที่พูดอย่างนี้ ไม่เคยมีใครบอกให้คุณรู้เลยหรอครับ
..ว่าตอนนี้ หมอขาดแคลนขนาดไหน คนไทยไม่มีทางรู้หรอกครับ
ตราบใดที่หมอยังเลือกที่จะฝืนตัวเองอย่างทุกวันนี้ เพื่อปกปิดความจริงที่ว่าหมอขาดแคลนขนาดไหน
คุณแค่เห็นว่า ไปโรงบาลรัฐ มีคนตรวจคุณ คุณได้ตรวจวันนั้น ถ้าโวยวายจะได้ลัดไปตรวจก่อนทันที
แค่นั้นคุณก็มองว่าหมอพอแล้วหรอครับ ไม่มองอะไรตื้นไปหน่อยหรอครับ
คุณไม่รู้หรอกครับ เพราะ หมอมีเวลาตรวจคุณคนนึงไม่ถึง 5 นาที
บางครั้งต้องดูคนไข้ที่กำลังจะตายพร้อมกัน 2 ถึง 3 คนในเวลาเดียวกันทั้งที่ตัวเองแยกร่างไม่ได้
หรือต้องอยู่เวร 24 ชั่วโมง ติดกันครึ่งเดือนอย่างที่ผมเคยทำ
เพื่อให้โลกนี้สวยหรูอย่างที่คุณต้องการมองเห็น มันลำบากนะครับ
เอ่อ คือ คุณรู้ไหมครับ ถ้าคุณบอกให้หมอโรงบาลรัฐลาออกได้โดยไม่มีอะไรติดค้างคาใจ
รู้ว่าลาออกแล้วมีคนมาทำแทนที่ตนเองได้อย่างแน่นอน
รู้ว่าคนไข้ที่เราดูแลอยู่จะไม่ต้องรอนานขึ้นหรือไม่มีคนมาตรวจ
รู้ว่าเพื่อนหมอที่เหลืออยู่ด้วยความตั้งใจจริงจะไม่ลำบาก
ผมว่า หมอรัฐครึ่งค่อนประเทศแม่มลาออกไปหมดละครับ
ทุกครั้งที่มีความเห็นไล่หมอเหมือนหมูเหมือนหมาอย่างนี้ ผมเสียใจครับ
ผมแค่อยากบอกครับ ว่า สังคมไม่มีทางมองออกว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข
ตราบเท่าที่หมอทุกคน เลือกที่จะฝืนตัวเองไปเรื่อยๆ อย่างนี้ครับ
เขามองว่าหมอที่ลาออก คือ หมอที่มีปัญหาครับ ลาออกทีละคนสองคน ก็คือปัญหาของตัวบุคคลครับ
จริงๆแล้ว พอมีคนลาออกไปคนสองคนแล้ว
คนที่เหลือจะลาออกก็ไม่ได้ต่างหาก เพราะกลัวไม่มีคนตรวจคนไข้ครับ
ถ้าจะให้หมอหยุดประท้วง คุณรู้ไหม ว่า หมอไทยเราเคยคุยกันจริงๆจังๆ มาแล้วว่า ทนไม่ไหวแล้ว
จะหยุดประท้วงดีไหม คนเขาจะได้รู้กันซักทีว่าเราไม่ไหวแล้ว
คำตอบคือ หมอส่วนใหญ่ ปฏิเสธที่จะร่วมมือกับวิธีการนี้ครับ
เราอยากให้สังคมรู้นะครับ ว่าเราไม่ไหวแล้ว
แต่ให้เราทิ้งคนไข้ที่เราดูอยู่หรอครับ ลุงๆป้าๆ ที่นอนพะงาบๆ ที่จะตาย ถ้าเราไม่ไปดูคนไข้ซักวันสองวัน
เค้าผิดตรงไหนครับ ถ้าเขาจะต้องมาสังเวยชีวิต เพียงเพราะแค่เราอยากให้สังคมรับรู้ว่า เราไม่ไหวแล้ว
เราแบกรับความรู้สึกผิดที่ทิ้งคนไข้ไม่ได้หรอกนะครับ (ทั้งที่คนทั่วไปชอบมองว่าหมอทิ้งคนไข้นั่นล่ะ)
ปรากฏว่าปีนี้แจ๊คพ็อตลงที่อินเดียครับ เรื่องที่เราเคยคุยกันเมื่อปีสองปีที่แล้ว หมออินเดียเขากล้าทำว่ะครับ
หยุดจริงตายจริง คนไข้ ICU ทั่วประเทศตายไปเกือบครึ่งร้อย ดีนะที่หมอไทยเราใจไม่กล้าพอที่จะทำได้ลง
ถ้าสนใจ ตามไปอ่านข่าวในนี้นะครับ
ข่าว “สลด ผู้ป่วยอินเดียตายเกือบครึ่งร้อย สังเวยพิษวิกฤต”หมอประท้วง”แดนโรตี”
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1324885888&grpid=&catid=06&subcatid=0600
หากคุณเป็นคนที่อ่านหนังสือได้เกิน 8 บรรทัดต่อปี ได้อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผมดีใจมากครับที่คุณได้อ่านจนจบ
ถึงแม้ว่าคุณจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพยายามจะบอกหรือไม่ก็ตาม
ที่เขียนขึ้นมา ก็แค่อยากจะบอกให้ รู้ว่า คอมเมนต์ที่ด่าหมอแบบเหมารวมน่ะ ให้มันเพลาๆ ลงหน่อยได้ไหม
จะด่าหมอก็ด่าเป็นคนๆไป ว่าตัวเองเคยเจออะไร ผมรู้ว่าหมอมันก็มีทั้งดี และเลว
หมอเลวๆ ผมก็เคยเจอ ไม่เถียง มันก็เหมือนอาชีพอื่นๆไม่ใช่หรอที่มีทั้งดีและเลว
คนที่ด่าเหมารวม จนหมอที่ตั้งใจทำงานจริงๆ ทุ่มเทให้คนไข้ของตัวเองจริงๆ อ่านแล้วหมดกำลังใจ
คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรอครับ
หรือจะให้ผมด่าคนไข้แบบเหมารวมบ้างอย่างนั้นหรอครับ คนไข้แบบที่เคยเจอๆมา ทำตัวแย่จริงๆ มีไม่ใช่น้อยนะ
A : คนไข้รายหนึ่งมาขอใบรับรองแพทย์ที่ห้องฉุกเฉิน
เพื่อนหมอกำลังตรวจคนไข้หนักอุบัติเหตุกำลังจะตายอีก 2คนอยู่
เขาบอกว่าเขาจะเอาใบรับรองแพทย์ให้ได้และเขาจะเอาเดี๋ยวนี้
คนบางคนเขาไม่สนจริงๆนะครับ ว่าคนอื่นกำลังจะตายยังไงก็ช่างมัน ขอให้กรูโอเคคนเดียวก็พอแล้ว
ก็กรูจะเอาใบรับรองแพทย์เดี๋ยวนี้ หมอก็ต้องเขียนให้กรูสิ กรูเป็นคนไข้นะ
เพื่อนหมอไม่เขียนให้ ตอบไปว่าขอดูคนไข้หนักก่อน เขาก็อารมณ์เสียแล้วเดินออกไป
วันรุ่งขึ้นไปฟ้องร้องสาธารณสุขจังหวัดครับ ว่าโรงพยาบาลให้บริการไม่ดี ไม่มีมาตรฐาน
B : คนไข้วัยรุ่นรายหนึ่งถูกมีดแทงกลางดึก คนร้ายที่แทงเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น
หมอศัลยกรรมที่อยู่เวรนำคนไข้เข้าไปผ่าตัดด่วนกลางดึกเพื่อจะช่วยเหลือชีวิตคนไข้
แต่พ่อของคนไข้กลับพูดกับหมอว่า
“รักษาให้ดีนะหมอ ถ้าลูกผมเป็นอะไรไปผมจะฟ้อง” ด้วยความวีนแตก หมอจึงพูดสวนไปเลยว่า
"หมอรักษาแทบตาย คุณจะฟ้องหมอ แต่คนแทง คุณไม่ว่าอะไร ปล่อยให้นอนกระดิกไข่อยู่บ้านหรอ"
C : คนไข้รายหนึ่งเป็นโรคถุงลมโป่งพองใช้สิทธิ์เบิกได้ข้าร้าชการ เนื่องจากอาการหอบกำเริบบ่อย
แพทย์จึงสั่งยาพ่นที่ดีกว่าปกติให้ เป็นยาพ่นกระป๋องละ 1000 กว่าบาท หลังจากที่พี่พยาบาลเอายาไปให้
คนไข้พ่นยาครั้งเดียวแล้วขว้างกระป๋องยาลงถังขยะ บอกว่าไม่เอากระป๋องนี้แล้ว
ผมสิทธิ์เบิกได้ ไปเอากระป๋องใหม่มาให้ผม (นี่ไงข้อดีของฟรีๆที่ไม่มีค่า) เป็นคุณๆจะรู้สึกอย่างไร
D : เพื่อนหมอคนหนึ่งอยู่เวรห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลจังหวัด ถูกตามให้ตื่นตอนตี 3
ไปดูคนไข้ที่มาขอตรวจ "สุขภาพประจำปี" ตอนตี3 ครับ
เอ้อ เอากับเขาสิ
E : ตอนเรียนปี 5 เป็นนักศึกษาแพทย์ผ่านแผนกศัลยกรรม
ถ้าคุณไม่รู้ ผมจะบอกว่า หน้าที่ทำแผลในโรงพยาบาลมหาลัยใหญ่ๆ เป็นหน้าที่ของนักศึกษาแพทย์ครับ
อาจารย์หมอเขาเอาเวลาส่วนใหญ่ไปผ่าตัดต่างหากครับ
เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่กลุ่มเดียวกัน เล่าให้ผมฟังว่า
..ขณะไปทำแผลให้ผู้ป่วยชายชราเตียงหนึ่ง ญาติเอากล้องวิดิโอขึ้นมาถ่ายครับ บอกว่า
ถ่ายตอนทำแผลไว้หมดแล้วนะ ถ้าแผลไม่ดี เขาจะฟ้องครับ
คุณนึกภาพตามนะ นักศึกษาแพทย์ผู้หญิงคนนึง ยืนทำแผล มือสั่นริกๆ หน้าเหมือนจะร้องไห้
มีญาติยืนเอากล้องวิดิโอถ่ายอยู่เพราะ ขู่ว่าถ้าทำแผลไม่ดี เขาจะฟ้อง
โอ้ นี่หรือเมืองพุทธ
เห็นเรียกร้องกันแต่จริยธรรมหมอ แล้วจริยธรรมของคนไข้ “บางคน” หายไปอยู่ไหนหมดแล้วคับ
5 เรื่องที่ผมพูดมาเป็นเรื่องจิงๆ ที่เกิดกับคนรู้จักของผมครับ
ทั้งหมอ ก. หมอ ธ. พยาบาล ก. หมอ ป. แล้วก็ หมอ พ.
สรุปว่า เลิกเหอะครับ ด่ากว้างๆว่า หมอมันเควี่ย หมอมันเลวน่ะ
เพราะ หมอพยาบาลที่ตั้งใจทำงานจริงๆ มีไม่น้อยเลยครับที่เปิดเข้ามาดูแล้วเสียกำลังใจกับคำพูดของคุณน่ะ
ขอบคุณครับ
ปล. ขอโทษที่สมัครเฟสบุ๊กใหม่มาโพสแบบนี้ เคยโพสเรื่องแนวนี้มาแล้ว
คนชอบก็มี คนด่าก็มาก
สุดท้ายทำให้คนที่เรารักไม่สบายใจ หาเรื่องใส่ตัวให้คนมาด่า ให้คนใหญ่ๆโตๆ มาเขม่นทำไม
ที่เอามาโพสเฟสบุ๊คใหม่ แค่ไม่อยากให้คนที่ผมรัก คนที่เป็นห่วงผม กังวลในเรื่องเดิมๆ อีกแล้ว
ความคิดเห็น