ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fake N.O.A / โลกและสีสัน กับเรื่องราวจอมปลอมของโชคชะตา

    ลำดับตอนที่ #4 : Hero-the First

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ย. 60




    100 วันก่อนหน้าที่สรวงสวรรค์จะล่มสลาย
    ที่ไหนสักแห่งบนโลก





         แย่ล่ะสิ แย่ล่ะสิ แย่ล่ะสิ


         วันนี้เป็นวันแรกที่สมาชิกใหม่ขององค์กร ทุกคนจะได้ออกไปทำภารกิจแรก


         แต่ว่าเมื่อคืนสมาชิกของหน่วยผมดื่นกันหนักไปหน่อย
         ตอนแรกผมก็ไม่ได้ร่วม แต่จนแล้วจนรอดก็ถูกลากไปร่วมวงด้วย
         แล้วผมก็ถูกเพื่อนของผมมอมเหล้า แล้วปล่อยให้แฮงก์ค้างจนตื่นสาย


         แถมทุกคนยังใจดีไม่ปลุกผมและทิ้งผมไว้ แล้วไปกันก่อน


         เฮ้อ..ถ้าตอนนั้นไม่บังเอิญเลือกผิดว่าจะลงแผนกวิทยาศาสตร์ แต่ไปลงหน่วยปฏิบัติการณ์พิเศษแทน ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแท้ ๆ


         แต่ระหว่างที่ผมกำลังวิ่งอยู่นี้ เป็นเพราะมัวแต่ไปคิดเรื่องอื่น จนตอนนี้ผมหลงอยู่ที่ไหนของฐานทัพแล้วก็ไม่รู้


         เพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้เดือนเดียว ก็เลยยังไม่คุ้นชินกับที่นี่ แถมที่นี่เองก็ใหญ่มากด้วยล่ะนะ


         "อา เอาไงดีเนี่ย ?"


         ผมมองซ้าย-มองขวาสลับไปมาไม่รู้กี่รอบตั้งกี่รอบ แต่ตอนนี้ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าที่นี่คือที่ไหน 


         "นี่เธอน่ะ กำลังหลงทางอยู่ใช่ไหม ?"


        เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ดังมาจากด้านหลัง ผมไม่รู้ว่าเธอมาตั้งแต่เมื่อไรเพราะตอนที่ผมมองทางอยู่เมื่อกี้ผมยังไม่เห็นเธอเลย


         "อา จริงด้วย เด็กใหม่สินะ" เธอเดินเข้ามาใกล้ผม


         เธอเป็นผู้หญิงที่ดูอายุมากกว่าผมสักหนึ่ง-สองปี
         มีผมสีน้ำตาลไว้ทรงหางม้ามัดด้วยริบบิ้นสีขาว อยู่ในชุดเครื่องแบบหญิงขององค์กร แต่ชุดเครื่องแบบตามปกติจะเป็นสีดำ แต่ของเธอจะออกสีแดงกับชมพู


         "ไหน ๆ หน่วยปฏิบัติการณ์พิเศษ 4 ยูกิ โจจิ" เธอรู้จากการอ่านป้ายชื่อบนปกเสื้อของผม "อ๋อ กำลังหาห้องปฏิบัติการณ์อยู่สินะ เดินตรงไปแล้วเลี้ยวขวา จากนั้นเธอก็น่าจะเจอห้องที่คุ้น ๆ ตาหน่อยแล้วล่ะ"


         "อะ ขอบคุณครับ" เมื่อรู้เส้นทางผมก็รีบไปตามที่บอก
         ระหว่างที่กำลังวิ่ง ผมก็หันกลับไปมองเธอ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น..






         ในที่สุดผมก็มาถึงห้องปฏิบัติการณ์ ดีที่ยังมาในช่วงต้น แถมพวกหัวหน้าก็กำลังยุ่งกับการอธิบายเนื้อหาของภารกิจอยู่เลยไม่ได้สังเกตผม
         ผมเข้าไปรวมกับหน่วยของผมที่ต่างทำหน้าระรื่นที่เห็นผมมาสาย


         "ฮะ ๆ ๆ มาจนทันจนได้นะ แบบนี้ฉันก็ชนะสิ"


         "โธ่เว้ย โจจิ นายไม่น่ามาทันเลย ฉันแพ้เลยเนี่ย"


         ดูเหมือนเพื่อนร่วมหน่วยของผมจะพนันกันไว้ว่าผมจะมาทันรึเปล่า
         ก็ขอแสดงความเสียใจกับเพื่อนที่ไว้ใจผมว่าจะมาไม่ทันด้วยละกัน


         ผมรีบเลิกสนใจพวกเพื่อน ๆ แล้วฟังเนื้อหาของภารกิจแรกที่หัวหน้ากำลังพูด ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร แต่เมื่อฟังเรื่อย ๆ ก็เริ่มจับต้นชนปลายอยู่



         เนื้อหาของภารกิจเกี่ยวข้องกับมณีแห่งบาปเจ็ดประการ ผมก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรเกี่ยวกับพวกนั้นมาก ที่รู้คร่าว ๆ จากที่หัวหน้าอธิบายคือเดิมทีมณีเหล่านั้นจะอยู่ในภาชนะ ที่เป็นของต่างกันเจ็ดชนิด ซึ่งแฝงไปด้วยพลังมหาศาลเกินจินตนาการ ว่ากันว่าเกิดสงครามเล็ก ๆ ในมุมมืดของโลกในการแย่งชิงภาชนะเหล่านั้น 
         แล้วในภายหลังภาชนะเจ็ดชิ้นก็ได้มารวมกันเป็นหนึ่งแล้วกำลังจะคืนสู่สภาพที่แท้จริง ทว่าก็ถูกทำลายไปโดยผู้ขัดต่อการคงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า
         สาเหตุที่โลกในตอนนี้ยังเป็นเหมือนปกติก็อาจจะเพราะแบบนั้น


         แต่ที่บอกว่าทำลายนั้นก็ยังไม่ถูกเสียทีเดียว
         ภาชนะเป็นเพียงเปลือกนอกของขุมพลังอันมหาศาล ที่จริง ๆ แล้วเป็นเม็ดมณีที่อยู่ข้างในต่างหาก


         ตอนที่ภาชนะถูกทำลาย มณีทั้งเจ็ดได้กระจัดกระจายไปที่ต่าง ๆ ปัจจุบันไม่มีใครทราบที่ที่พวกนั้นตกลงไป
         จนกระทั่งตอนนี้..


         สายขององค์กรที่คอยสืบเรื่องของมณีอยู่นั้นรายงานเข้ามาว่ามีการค้นพบแหล่งที่ตกลงไปแล้ว
         แต่ที่น่าแปลกคือที่รายงานมานั้นมีมากกว่าสิบที่ แถมยังเป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน


         หัวหน้าไม่ได้อธิบายว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ที่พอรู้ก็คือเหมือนสายจะไม่สามารถยืนยันได้ว่าที่แห่งไหนเป็นที่ที่มณีตกลงไปจริง ๆ ได้ เพราะทุกที่พวกเขาเข้าไปสืบมีความเป็นไปได้ที่สูงว่าจะเป็นแหล่งตกของมณีตามเครื่องวัด แต่ก็น่าแปลกที่จู่ ๆ มีพลังงานปะทุขึ้นมาจากมณีหลาย ๆ ที่


        แต่เอาเป็นว่าจะไปสนใจรายละเอียดยิบย่อยก็คงจะไม่ใช่เรื่องเท่าไร


         ภารกิจหลัก ๆ คือให้หน่วยปฏิบัติการณ์พิเศษไปยังแต่ละจุดที่ได้รับรายงานมา แล้วทำการยืนยันสถานะว่า 'ใช่ แหล่งตกของมณีแห่งบาปเจ็ดประการหรือไม่'
         ถ้าไม่ใช่ก็ถอนตัวออกจากพื้นที่
         ถ้าใช่หากสามารถเก็บกู้ทันทีก็ให้ทำการนั้น แต่หากไม่ได้เพราะมีอุปสรรคก็ให้ติดต่อกลับมายืนยันสถานะแล้วจะส่งกองหนุนลงไป


         สายไม่สามารถเข้าไปเก็บกู้ได้เพราะไม่มีอุปกรณ์ จึงต้องเป็นหน้าที่ของหน่วยปฏิบัติการณ์พิเศษ และเพราะครั้งนี้จะเป็นการลงสนามจริงครั้งแรกของเจ้าหน้าที่ใหม่ เพื่อให้ได้ทำภารกิจและเก็บประสบการณ์จริงไปในตัว 
    โดยจะไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่รุ่นพี่


         หลังจากที่อธิบายเนื้อหาคร่าว ๆ ของภารกิจเรียบร้อยแล้ว แต่ละหน่วยก็แยกย้ายกันไปตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย


         หน่วย 4 ของผมได้รับหน้าที่ให้ไปที่ตอนใต้เขตแห่งอนารยชน
         เขตนั้นจากข้อมูลพื้นฐานที่อ่านรายละเอียดมาจะเป็นเขตที่ไร้ซึ่งความเจริญทางเทคโนโลยี แล้วใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ กับความเชื่อทางไสยศาสตร์หรือไม่ก็นับถือเทพธิดา


         ทางตอนกลางถึงตอนเหนือขึ้นไปของเขตนั้นจะเป็นป่าเขา
         แต่ทางตอนใต้จะเป็นหมู่เกาะ ซึ่งเป้าหมายของพวกผมคือเกาะตาฮิติ


         หน่วยของผมประกอบไปด้วยสมาชิกสิบคน เป็นเด็กใหม่ทั้งหมดห้าคนรวมตัวผมด้วย
         ก็ไม่รู้หรอกว่าจะต้องไปเจอกับเรื่องแบบไหน แต่แต่ละคนก็ดูจะพร้อมกันดี


         "กำลังอ่านอะไรอยู่เรอะ ?" ผมหันไปถามเพื่อนร่วมหน่วยข้าง ๆ ที่กำลังอ่านอะไรอยู่ในพีดีเอ 

         "อ๋อ นี่น่ะเรอะ มีข่าวลือขึ้นมาน่ะว่าที่เขตเอาต์ไซด์ค้นพบสัตว์ประหลาดน่ะ แล้วตอนนี้กำลังเตรียมการรับมือกันอยู่"


         "แม้แต่เขตรอบนอกเองก็มีสัตว์ประะหลาดด้วยเรอะเนี่ย"


         "ที่ที่ไม่เหลืออะไรแล้วแบบนั้นยังจะมีอะไรให้ไปทำลายอีกงั้นเรอะ"


         "เขตเอาต์ไซด์ไม่ใช่ว่ามีแต่เศษซากสงครามหรอกเรอะ ?"


         แต่ละคนมีปฏิกิริยากับเรื่องที่เล่าคล้าย ๆ กัน
         คงมีส่วนน้อยที่รู้ว่าเขตเอาต์ไซด์ที่เป็นเขตรอบนอกของโลกนั้น ยังมีประเทศที่ชื่อเอนาสเทอเรียอยู่ แล้วได้ยินมาว่าก็เป็นที่ที่น่าอยู่พอสมควร แต่เพราะตั้งอยู่ในเขตสงครามเก่าและอยู่รอบนอกเขตจึงไม่ค่อยมีใครรู้จัก


         "พวกนาย พวกเรากำลังจะไปทำภารกิจกันมีสมาธิหน่อย!" รองหัวหน้าหน่วยผมซึ่งเป็นมนุษย์แมงมุมตักเตือนพวกผมด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน


         "อา ขอโทษครับ ๆ"


         "ให้ตายสิ อย่าได้ประมาทไป นี่เป็นภารกิจแรกของพวกนายก็จริง แต่อย่าคิดว่าทุกอย่างจะง่ายไปหมด"


         ก็จริงอย่างที่รองหัวหน้าพูด ทุกคนดูเหลิงกันไปจริง ๆ
         ไม่ใช่แค่หน่วยผม แต่หน่วยอื่นก็เหมือนกัน จนรู้สึกกังวลใจว่าจะทำให้ภารกิจเสียรึเปล่า


         ผมหันไปมองหัวหน้าเพื่อหวังกำลังใจ
         เขาที่สวมบอดี้สูทสีดำเหมือนกับพวกเรา เพิ่มเติมคือสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิด ไม่เคยได้ยินคำพูดหรือเสียงสักคำจากปากของเขา
         ตามปกติจึงเป็นรองหัวหน้าที่คอยสั่งการหรือตักเตือนพวกเรา


          หัวหน้านั่งอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเขยื้อนเหมือนกับหลับ แต่ถ้าสังเกตท่าทางของเขาดี ๆ ก็รู้ว่าเขาไม่ได้ยังตื่นอยู่ แต่มันเป็นท่าเหมือนกำลังทำสมาธิมากกว่า


         คนอื่น ๆ ที่ถูกรองหัวหน้าว่าก็หุบปากแล้วยืนนิ่งเตรียมตัวที่จะออกเดินทาง


         และแล้วก็ถึงเวลา..

         พวกเราจะเดินทางผ่านเครื่องย้ายมวลสาร


         อุปกรณ์ที่สามารถ ทำการส่งคนจากอีกทีหนึ่งไปยังอีกทีหนึ่งในรูปแบบสสาร ที่จะส่งผ่านช่องว่างของมิติแล้วไปประกอบร่างขึ้นใหม่โผล่ยังปลายทาง 
         ซึ่งผมไม่เคยคิดว่าชีวิตจะได้เห็นจริง ๆ เพราะมันเป็นหนึ่งในวิทยาการที่ไม่ว่าเขตไหน ๆ ในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถสร้างขึ้นได้ หรือถึงทำได้แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์
         แต่สำหรับองค์กรที่ผมสังกัดอยู่นี้ พวกเขาใช้เครื่องนี้เป็นอุปกรณ์เดินทางไป-มาปกติ


         แต่การจะไปยังปลายทางนั้นจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องรับอยู่อีกที่เช่นกัน สายจึงมีหน้าที่ที่จะวางเครื่องรับมวลสารเพื่อสำหรับให้พวกเราเดินทางไปด้วย


         แสงสีฟ้าจากวัตถุกลม ๆ ฉายใส่พวกผมทั้งสิบคน ทำให้รู้สึกว่าตัวเบาขึ้นมาอย่างผิดปกติ ร่างกายค่อย ๆ หายไปทีละส่วน มวลสารค่อย ๆ ถูกส่งไปยังปลายทาง..








    เขตแห่งอนารยชน   เกาะทางตอนใต้-ตาฮิติ



         แฮ่ก ๆ ๆ


         ก็ได้รับการฝึกมาแล้วล่ะนะ แต่ไม่ว่ากี่ครั้งการเคลื่อนย้ายมวลสารนี่มันก็ชวนคลื่นไส้จริง ๆ อย่างกับว่าหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง สิ่งที่อยู่ข้างในท้องก็ปั่นป่วนไปหมด ไม่รู้ว่ามีอะไรถูกย้ายผิดที่ผิดทางรึเปล่า


         ของผมยังดีที่แค่คลื่นไส้กับเวียนหัวนิดหน่อย
         เพื่อนร่วมทีมของผมบางคนถึงกับอ้วกเมื่อมาถึง ส่วนพวกรุ่นพี่นั้นดูจะชินกันแล้วจึงไม่แสดงอาการอะไร


         "TLT สถานที่สงสัยว่าเป็นแหล่งตกของมณีอยู่ตรงไหน ?" รองหัวหน้าปฏิบัติหน้าที่ของเขาทันทีที่มาถึง


         "นั่นล่ะปัญหา" ชายใส่ชุดฟางแบบชาวเกาะ เขาเป็นสาย TLT ขององค์กรของเรา ที่แฝงตัวเข้ามาอยู่ในเขตนี้ แต่เขาทำสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก


         "เกิดอะไรขึ้น ?" รองหัวหน้าพยายามควบคุมความรู้สึกเอาไว้แล้วถามกลับไป


         สายส่งกล้องส่องทางไกลให้กับรองหัวหน้าและชี้ให้เขามองตาม


         ผมหยิบกล้องส่องทางไกลของผมเองขึ้นมาบ้างแล้วก็มองไปตามที่รองหัวหน้ามอง


         ผมเห็นชนพื้นเมืองของเกาะกำลังนั่งอยู่ที่ลานกว้าง
         แต่เมื่อสังเกตดี ๆ ผมก็พบว่าพวกเขาไม่ได้นั่ง แต่พวกเขากำลังถูกบังคับให้คุกเข่าแล้วมารวมกันที่กลางหมู่บ้าน โดยฝีมือของเผ่าอื่นที่สวมเกราะ


         สาย TLT อธิบายให้รองหัวหน้าฟัง ผมก็ได้ยินด้วย
         "ตอนที่มาตรวัดเลื่อนขึ้นจนตรวจจับได้ เผอิญว่าพวกเผ่าโยโรอิก็บุกเข้ามาพอดี ตอนนี้คนของเผ่าตาฮิติถูกตัวจับกันหมด"


         "แล้วมณีบาปเจ็ดประการล่ะ"


         "ยืนยันได้ว่าเป็นของจริง แต่ว่าตอนนี้ถูกหัวหน้าเผ่าโยโรอิเอาไปน่ะสิ"


         "ให้มันได้อย่างนี้สิ" รองหัวหน้าลดกล้องส่องทางไกลลงอย่างไม่สบอารมณ์ "ขอข้อมูลเกี่ยวกับพวกเผ่าโยโรอะไรนั่นหน่อย"


         "พวกมันเป็นเผ่าที่ป่าเถื่อนแล้วเชื่อในพิธีบูชายันต์ เป้าหมายที่พวกมันมาก็คงเพราะแค่ต้องการยึดพื้นที่ของเกาะนี้และหาเครื่องสังเวยเท่านั้นล่ะ"


         "พวกเผ่าพันธุ์ไร้ความเจริญนี่เป็นตัวปัญหาจริงนะ" รองหัวหน้าแมงมุมสบถ
         "ดูจากสถานการณ์แล้ว ถ้าใช้แผนบุกเข้าไปก็น่าจะสามารถจัดการได้ เพราะฉะนั้นคงไม่จำเป็นต้องติดต่อฐานใหญ่"


         "พวกมันไม่รู้พลังของมณีใช่ไหม ?" รองหัวหน้าถามสายให้แน่ใจ


         "ไม่น่าจะรู้นะ"


         "ถ้าอย่างนั้นมาวางแผนการบุกกัน" รองหัวหน้าเรียกทุกคนไปรวมตัวกัน "พวกเราจะต้องเข้าๆไปอย่างรอบคอบที่สุด"


         ตัวผมที่กำลังมองผ่านกล้องส่องทางไกลแล้วกำลังจะวางลงอยู่นั้น
         เมื่อผมเห็นภาพที่กำลังเกิดขึ้นมันทำให้ผมถึงกับตาค้าง


         เด็ก..ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่มีมากกว่าสิบคน ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ถูกล่ามโซ่ออกมาที่ลานกว้าง อยู่ห่างจากพวกผู้ใหญ่พอสมควร



         ผมเห็นปากของพวกมันกำลังขยับเหมือนกำลังพึมพำบางอย่าง


         ไม่ใช่..มันไม่ได้พึมพำ


         มันกำลังสวด..พวกมันกำลังจะทำพิธีบูชายันต์แล้ว!


         มีชายร่างสูงใหญ่สวมเกราะทั่วทั้งตัวเดินออกมาพร้อมกับขวานขนาดใหญ่


         สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เป็นสิ่งที่เดาได้ไม่ยากเลย
         เด็ก ๆ เหล่านั้นกำลังจะตกเป็นเครื่องสังเวยให้พิธีกรรมตามความเชื่อของชนเผ่า


         ในวินาทีนั้น..ผมก็มีคำถามเกิดขึ้นกับตัวผม


         ว่าผมจะผลีผลามไปช่วยพวกเขาตอนนี้ หรือจะเตรียมแผนกับรองหัวหน้าแล้วบุกไปอย่างรอบคอบแต่ต้องปล่อยให้เด็กพวกนั้นตาย


         จะช่วย หรือไม่ช่วย


         
    ช่วย...........................................................................ไม่ช่วย






           ช่วย







         คำตอบนั้นง่ายนิดเดียว


         เมื่อนั้นหัวของผมก็โล่งไม่มีเหตุผลหรือหลักการใด ๆ อีก
         ผมไม่อาจปล่อยให้ภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้าเป็นจริงได้
         รู้ตัวอีกทีตัวผมก็ออกวิ่งไปเสียแล้ว


         "ยูกิ!?"


         เหมือนจะได้ยินเสียงของรองหัวหน้ามาจากข้างหลัง แต่ผมต้องรีบไปให้เร็วที่สุด ทำให้ไม่มีเวลามาหยุดตามเสียงเรียกของเขา
         ชุดที่ผมสวมอยู่มีความสามารถในการเร่งประสิทธิภาพของร่างกาย ทำให้ตัวผมเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าปกติสามเท่า


         ผมชักปืน LX-18 ขึ้นมา มันเป็นปืนที่จะยิงพลาสมาออกมา ที่สามารถทำให้คนที่ถูกยิงสลบได้แต่ไม่ถึงตาย


         ยิงใส่ชายร่างยักษ์นั้นสามนัด ทำให้การเคลื่อนไหวมันหยุดชะงัก


         ผมกระโดดข้ามหัวของพวกมันแล้วไปหาเด็กโดยเร็วที่สุด
         จากนั้นก็ยิงซ้ำใส่ชายร่างยักษ์อีกสองนัด ทำให้มันล้มลงไป


         "ช่วยด้วย/ช่วยผมด้วย/ช่วยหนูด้วย"


         "เดี๋ยวนะกำลังจะช่วยเดี๋ยวนี้ล่ะ" ผมบอกพวกเด็ก ๆ และหาวิธีที่จะปลดโซ่ของพวกเขา


         "พวกคนบาปภายนอกเอ๋ย!" เสียงอันกึ่กก้องของชายผู้สวมเกราะสีแดงที่ยืนอยู่ตรงหน้าลานพิธี ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าของเผ่าโยโรอิ ในมือของมันกำลังถือมณีสีแดงที่กำลังเรืองแสงออกมาอยู่
         "พี่น้องของข้า จงจับมันมาเซ่นสังเวยแก่พระเจ้าของพวกเราเดี๋ยวนี้"


         ทันทีที่มันสั่งเช่นนั้น เหล่าสมาชิกเผ่าโยโรอิก็กรูกันเข้ามาหาผมทั่วสารทิศ


         ในช่วงเวลาคับขันนั้น ก็มีพลาสมายิงมาจากป่าด้านนอกใส่พวกมันจนล้มไปทีะคนสองคน


         "ยูกินายนี่มันใจกล้ากว่าที่คิดนี่หว่า!" เพื่อนร่วมทีมของผมคนหนึ่งดูจะถูกใจที่ผมบุกตะลุยเข้ามาแบบนี้


         "ยูกิ โจจิ นายกล้าฝ่าฝืนคำสั่งงั้นเรอะ กลับไปจะลงโทษให้หนักเลย!" รองหัวหน้าเดือดดาลแล้วบุกเข้ามา ถึงจะพูดมาแบบนั้นแต่สิ่งที่เขาช่วยผมสู้อย่างเต็มที่


         การต่อสู้ชุลมุนวุ่นวายไปหมด มีพลาสมายิงเชี่ยวหัวไปมา พร้อมกับคนล้มนอนเกลื่อนกลาด


         ถึงเช่นนั้นพวกผมก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ไปโดนพวกเด็ก ๆ หรือคนเผ่าตาฮิติที่ถูกจับอยู่
         แถมจำนวนของพวกมันก็ไม่ใช่น้อย ๆ ไม่รู้ว่าพวกผมแค่สิบคนจะสู้ไหวไหม


         ผมยิงพลาสมาใส่ศัตรูที่วิ่งเข้ามาจนล้มลงไปคนหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีอีกคนเข้ามาจากด้านหลัง แต่ผมไม่อาจหมุนตัวกลับไปได้ทันแล้วกำลังจะถูกขวานฟันใส่


         เพล้ง!


         ดาบเหล็กเคลือบด้วยพลังงานสีฟ้าปัดขวานเล่มนั้นออกไป จากนั้นก็ใช้สันดาบกระแทกไปที่ลำคอทำให้สลบลงไป
         ผู้ที่มาช่วยผมไว้อย่างฉิวเฉียดนั้นคือ..ชายผู้สวมชุดและหน้ากากสีดำทั่วทั้งตัว


        "หัวหน้า.."


        หัวหน้าหันมามองผมครู่หนึ่ง ก่อนจะควงดาบ แล้วเข้าไปสู้กับพวกคนเผ่าโยโรอิที่บุกเข้ามาคนอื่น


         ท่วงท่าและการเคลื่อนไหวของเขาช่างฉับไวราวกับนินจา
         เขาสามารถล้มชายฉกรรณที่พากันบุกเข้ามาได้ทีละคนสองคนในวินาทีเดียว


         ทุกคนที่ถูกเขาฟันใส่จะถูกเพียงสันดาบเท่านั้นทำให้แค่สลบไปไม่มีใครตายเหมือนกับปืนของผม


         และแล้วสิ่งที่ผมสังหรณ์ใจก็มาถึง
         หัวหน้าของผมเดินหน้าเข้าไปพลางจัดการกับศัตรูระหว่างทางไปด้วย จนเข้าไปถึงตรงหน้าของหัวหน้าเผ่าโยโรอิ


         "เจ้าผู้ไร้นาม ริอาจมาท้าสู้กับข้าเช่นนั้นรึ"


         "..."


         หัวหน้าของผมยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรเช่นเคย แต่เขาตั้งท่าเตรียมสู้กับมันพร้อมแล้ว


         ท่ามกลางห่ากระสุนพลาสมา กับเสียงของการต่อสู้ กำลังมีการปะทะกันระหว่างผู้นำของสองฝ่าย


          ต่างฝ่ายต่างเป็นผู้บุกรุกของเกาะนี้
          ผู้บุกรุกจากเกาะข้างเคียง และผู้บุกรุกจากเขตอื่น
          ที่กำลังใช้ที่นี่เป็นสนามรบ เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง


          ผู้นำเผ่าโยโรอิยิงลูกตุ้มที่ติดอยู่บนแขนเกราะเหล็กตัวเองใส่หัวหน้า
          เขาตอบโต้ด้วยการใช้ดาบพลาสม่าปัดให้ลูกตุ้มลอยขึ้นไป จากนั้นเขาก็ใช้ความสามารถของชุดทำให้ความเร็วของเขาสูงขึ้นแล้วเข้าไปประชิดตัวของผู้นำเผ่าโยโรอิ แล้วกำลังจะโจมตีใส่


         "อ่อนหัด"


         ผู้นำเผ่าโยโรอิแสยะยิ้ม ผมรีบตะโกนบอกหัวหน้าให้ "ระวังครับ!"


         ลูกตุ้มที่ถูกยิงออกไปมีโซ่ติดอยู่ด้วย เจ้าผู้นำเผ่าโยโรอิได้ดึงให้ลูกตุ้มวกกลบไปหาตัวเอง เพื่อหวังให้โดนหัวหน้า แต่ดีที่เขาสามารถไหวตัวได้ทันก่อนจึงสามารถป้องกันไว้ได้


         เหล็กทั้งสองปะทะกัน แต่พลังของลูกตุ้มมีมากกว่าดาบจนทำให้ดาบของหัวหน้าหลุดออกจากมือ


         หัวหน้ารีบกระโดดออกห่างจากศัตรูโดยเร็วที่สุด แล้วรีบจะไปเก็บดาบแต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นได้ ลูกตุ้มก็เหวี่ยงเข้าใส่ทำให้เขาต้องหลบ


         ดูเหมือนผู้นำเผ่าโยโรอินั่นจะพยายามทำให้หัวหน้าไปไม่ถึงดาบ


         ถ้าอย่างงั้น..


         ผมชักปืนขึ้นมาแล้วยิงใส่ผู้นำเผ่าโยโรอิ เพื่อถ่วงเวลาให้หัวหน้า
         "หัวหน้าเร็วเข้าครับ!"


         หัวหน้ารับรู้สถานการณ์แล้วรีบมุ่งไปเก็บดาบในทันที


         "ของแบบนี้เขาเรียกว่าอาวุธเรอะ ช่างน่าขันนัก" เสียงของผู้นำเผ่าโยโรอิดังออกมาจากแสงพลาสม่าที่กำลังห่อหุ้มร่างของมัน
         และแล้วลูกตุ้มก็พุ่งตรงใส่ผม


         ความรู้สึกเหมือนกับห้วงเวลาถูกทำให้ช้าลง ผมมองเห็นลูกตุ้มนั้นตรงเข้ามาหาผมอย่างช้า ๆ ทว่าในขณะเดียวกันผมก็ไม่อาจขยับได้ราวกับต้องมนตร์บางอย่าง
         แต่ผมรู้ดีว่าต่อให้ร่างกายผมไม่เป็นแบบนั้น ผมก็หลบไม่ได้ เพราะถ้าผมหลบพวกเด็ก ๆ ที่อยู่ข้างหลังผมก็จะเป็นอันตราย


         ลูกตุ้มเหล็กหนักหลายตันกระแทกเข้าช่องท้องของผมอย่างจัง
         เพียงแค่ครั้งเดียวก็ทำให้ร่างกายของผมตัวเบาหวิวเสียจนลอยขึ้นจากพื้น


         ผมมองเห็นเด็ก ๆ ที่กำลังร้องห่มร้องไห้ ส่งเสียงร้องอย่างหวาดกลัว


         ผมมองเห็นรอยยิ้มอันแสนชั่วร้ายของผู้นำเผ่าโยโรอิ


         ผมมองเห็นหัวหน้าที่พุ่งเข้าไปปะทะดาบกับมันอีกครั้งหลังจากที่เขาไปเก็บดาบมาแล้ว


         ผมมองเห็นความวุ่นวายของการสู้รบกันระหว่างสองฝ่าย


         และแล้วทุกอย่างก็ดับวูบไป...


         .
         .
         .
         .
         .





         "ยินดีต้อนรับสู่จัสติสเบสค่า~!"


         เสียงผสานของผู้หญิงหกคนที่กล่าวต้อนรับการมาถึงของผม
         กับเสียง 'ปุบ' 'ปับ' ของพลุกระดาษที่พวกเธอใช้ราวกับอยู่ในเซอร์ไพรส์ปาร์ตี้วันเกิด


         มันเป็นภาพของความทรงจำเมื่อหนึ่งเดือนก่อน เป็นช่วงที่ผมเพิ่งมาสมัครเข้าทำงานกับองค์กร


         วันหนึ่งมีบุคลากรขององค์กรมาที่บ้านของผม แล้วเสนอให้มาร่วมงานกับพวกเขา
         ซึ่งมีค่าตอบแทนจำนวนมากเสียจนผมคิดว่าเป็นการต้มตุ๋น


         สิ่งที่เขาให้มามีเพียงนามบัตรที่ไม่ชื่อของเขาหรือชื่อขององค์กรอยู่
         มีเพียงสถานที่นัดพบ กับวันที่ที่พบเจอ


          ผมเคยไปสมัครงานกับบริษัท DEUS ที่ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่นำโดยเผ่าพันธ์มนุษย์ที่มีสาขามากที่สุดในโลก มีกระจายอยู่เกือบทั่วทุกเขตในโลก แต่ผมไปตกในรอบสัมภาษณ์
         จากนั้นผมก็ไปสมัครงานมาอีกสิบที่ ซึ่งก็พลาดทั้งสิบที่


         แต่ในเมื่อมีโอกาสมาหาผมเองแบบนี้ ผมควรจะลองรับมันไหม ?



         รับ หรือไม่รับ



         
    รับ........................................ไม่รับ




          รับ







         มันแทบไม่มีทางเลือกอะไรให้ผมเหลือมากอีกแล้ว
         ถึงการแนะนำของบุคลากรขององค์กรคนนั้นจะดูน่าสงสัย แต่ผมก็คงมีแต่จะลองดูสักตั้ง


         ผมมาถึงตามสถานที่นัดพบ ซึ่งเป็นตึกร้างแห่งหนึ่ง
         และขึ้นมาบนชั้นสิบแล้วเข้าห้องที่อยู่บนนามบัตร


         ข้างในนั้นผมไม่พบใครเลย ห้องก็เป็นเพียงห้องเปล่า สิ่งเดียวที่มีอยู่ในห้องนั้นคือวัตถุทรงกลมสีดำที่วางอยู่สุดห้อง


         เมื่อผมเข้าไปสัมผัสมันเพราะไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ อุปกรณ์ชิ้นนั้นก็เริ่มทำงาน
         นั่นคือครั้งแรกที่ผมได้เดินทางผ่านเครื่องย้ายมวลสาร


         ครั้งแรกนั้นเป็นความรู้สึกที่ชวนคลื่นไส้ สับสน เวียนหัว ร่างกายคุมสมดุลไม่อยู่ เหมือนกับไปเล่นรถไฟเหาะตีลังกามาสิบรอบ และยังอ้วกอาหารเช้าที่ทานมาลงช่องที่ราวกับเตรียมไว้แล้วว่าต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
         มันทำให้ผมทำอะไรไม่เป็นอะไร จนลืมคิดไปเสียสนิทว่า ที่นี่คือที่ไหน


         ตอนนั้นผมถูกย้ายมาอยู่ในลิฟท์ที่จะพาพบลงไปยังฐานทัพขององค์กร
         แล้วพอประตูลิฟต์เปิดออก ผมก็พบกับเหล่าหญิงสาวทั้งหกคนนั้น


        พวกเธอสวมชุดบอดี้สูทสีดำลายโครงกระดูกคล้าย ๆ กัน จะมีส่วนต่างตามรายละเอียดของแต่ละคนในบางจุด และสวมหน้ากากสีดำปิดบังใบหน้า แต่เปิดตั้งแต่จมูกลงมาถึงปาก


         ครั้งแรกที่ผมเห็นภาพอันแสนร่าเริงของพวกเธอทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาเลยว่า 'สรุปแล้วองค์นี้เป็นองค์กรแบบไหนเนี่ย ?'


         พวกเธอเข้ามาถามผมทีละคน เพื่อยืนยันตัวตนของผม
         ตั้งแต่ชื่อ สายพันธุ์ เขตที่อาศัย วุฒิการศึกษา ฯลฯ


         แล้วสุดท้ายเป็นคำถามของผู้หญิงผมสีบลอนด์
         "ต้องการจะสมัครเข้าแผนกไหนหรือคะ ?" เธอเปิดภาพโฮโลแกรมสีฟ้าที่มีชื่อและข้อมูลของแต่ละแผนกขึ้นมา


         "อา..แปปหนึ่งนะ"


         ผมกะจะเลื่อนนิ้วไล่รายชื่อของแต่ละแผนก
         แต่ว่า..


         ติ๊ด


         ซวยล่ะ เผลอกด!


         "หน่วยปฏิบัติการณ์พิเศษหรือคะ ผิดคาดนะคะดูจากวุฒิการศึกษาของคุณ นึกว่าคุณจะเลือกแผนกวิทยาศาสตร์เสียอีก"     


         ใช่ นั่นผมกดผิด
         ผมคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ แล้วกำลังจะพูดออกมาแต่ว่า..


         "แต่หน่วยปฏิบัติการณ์พิเศษก็ไม่เลวนะคะ เป็นศูนย์รวมของหัวกระทิเลย คุณเองก็คงจะชอบค่ะ"


         "ถ้าอย่างงั้นก็ไปกันเลยค่า!" สองในหกของกลุ่มสาวเหล่านั้นพักผมกลับเข้าลิฟต์อย่างไม่รีรอ


         "เอ๋ ?"


         "งั้นไว้เจอกันนะคะ ขอขอบคุณที่มาร่วมกับองค์กร SHOCKER ค่ะ"


         "อะ..เออ คือว่-"
         ไม่ทันได้พูดเสร็จ ประตูลิฟต์ก็ปิดลง
         แล้วชีวิตของผมที่ต้องมาอยู่หน่วยปฏิบัติการณ์พิเศษเพราะการเลือกผิดนั้นก็เริ่มต้นขึ้นนับจากนั้น


         ถึงจะไม่ใช่หน่วยที่ใช่สักเท่าไร แต่ที่นี่ก็พอที่จะอยู่ได้
         เรื่องการฝึกอาจจะหนักอยู่บ้าง แต่ก็ตามไหว


         ผมมองเห็นรองหัวหน้า เดินเข้ามาหาผม คงจะมาต่อว่าผมที่กระโดดข้ามรัวไม่ได้อีก


         เข้าวางมือที่เต็มไปด้วยเส้นขนของแมงมุมล่าเหยื่อลายสีดำสลับแดงลงบนตัวผม แล้วก็...









         "ฟื้นสิ ยูกิ ฟื้น!"


         "แค่ก ๆ ๆ ๆ"


         เกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้ยังอยู่ที่สนามฝึกอยู่เลยนี่น่า


         "โธ่เว้ย นึกว่าจะตายแล้วซะอีก" รองหัวหน้าพูดออกมาเหมือนบ่น
         "ฉันยังไม่ได้ลงโทษนายเลยอย่าเพิ่งด่วนตายไปง่าย ๆ สิ"


         ตาย ?


         เขาพูดถึงเรื่องอะไร ?


         อ๋อ ใช่ ผมโดนลูกตุ้มเหล็กของผู้นำเผ่าโยโรอิกระแทกใส่จนสลบไป ยังมีความรู้สึกบนหน้าท้องหลงเหลืออยู่เลย
         แล้วคนที่มาช่วยผมให้ฟื้นขึ้นมาก็คงเป็นรองหัวหน้า


         ผมเห็นว่าพวกเด็ก ๆ ปลอดภัยดี ตอนนี้พวกรุ่นพี่คนอื่นกำลังช่วยคุ้มครองพวกเขาอยู่


         "ยืนไหวไหม ?" รองหัวหน้าถามผมพร้อมส่งมือมาให้


         "ขอบคุณครับ" ผมยื่นมือไป แล้วดึงตัวเองลุกขึ้น
         "สถานการณ์ตอนนี้.."


         "ใกล้แล้วล่ะ" รองหัวหน้าเหมือนรู้ว่าผมจะถามอะไรเลยชิงตอบก่อน และพยักหน้าให้ผมมองไปข้างหน้า


         หัวหน้าของผมกำลังสู้อยู่กับผู้นำเผ่าโยโรอิ และตอนนี้เขาได้เปรียบอย่างมาก เพราะเขาสามารถทำลายลูกตุ้มอันแสนภูมิใจของศัตรูลงได้แล้ว


         สีหน้าของผู้นำเผ่าโยโรอิผิดไปจากก่อนที่ผมจะสลบมาก ตอนนี้สีหน้ามันดูร้อนรนและกำลังโมโห


         "บ้าที่สุด ๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้!?"


         "จบแล้วล่ะ"


         ผมเห็นด้วยกับคำพูดของรองหัวหน้า มันจบแล้ว ไม่มีทางที่ผู้นำเผ่าโยโรอิจะสู้ได้อีกแล้ว ลูกน้องของมันก็ถูกหน่วยของผมจัดการให้ล้มกันไปจนเกือบหมดแล้ว


        พวกเราคิดกันเช่นนั้น แต่พวกเราลืมไปเสียสนิทข้อหนึ่ง..


        "หินแสงเอ๋ย จงมอบพลังให้แก่ข้า!"


         "!?"


         ผม รองหัวหน้า หัวหน้า และคนอื่น ๆ ในหน่วยต่างพากันตกใจเป็นเสียงเดียวกัน
         ใช่ พวกเราลืมไปว่าเจ้าผู้นำเผ่าโยโรอินั้นครอบครองมณีแห่งบาปเจ็ดประการไว้อยู่ และนั่นจะทำให้ทุกอย่างตอนนี้เลวร้ายขึ้นมาก


        "ย้ากกก!!" เสียงคำรามของผู้นำเผ่าโยโรอิก้องกังวาน แสงสีเขียวโพยพุ่งออกมาจากร่างของมัน


         แล้วร่างใหม่ของมันก็ปรากฏขึ้น..



        INVIDIA   (ความริษยา)


         ขนาดร่างที่ใหญ่ขึ้น ขาที่ถูกแยกออกเป็นแปดข้าง มือขวาที่แปรสภาพเป็นก้ามขนาดยักษ์ มือซ้ายที่เปลี่ยนกลายเป็นลูกตุ้มขนาดใหญ่ ร่างที่มีความคล้ายคลึงกับเครย์ฟิช ที่ซึ่งหุ้มไปด้วยเกราะทั้งตัว


         ร่างที่เกิดจากการใช้พลังของมณีโดยไม่ผ่านตัวกลาง จะทำให้ผู้ใช้แปรงสภาพเป็นสิ่งที่คล้ายกับสัตว์ประหลาด



         "ทุกคนยิง!" รองหัวหน้าสั่งอย่างไม่รอช้า แล้วทุก ๆ คนก็กระหน่ำยิงปืนพลาสมาใส่สัตว์ประหลาดนั่นอย่างไม่มียั้งมือ
         ลำแสงสีน้ำเงินที่รุมระเบิดกันอยู่ ณ จุด ๆ เดียวทำให้ร่างของมันถูกกลืนไปกับแสง


         รองหัวหน้ากำมือขึ้น เป็นสัญญาณบอกให้ทุกคนหยุดยิง


         ทุกคนรอดูซากที่หลงเหลืออยู่ของศัตรู


         และแล้วเมื่อควันนั้นจางออก..


         "~~~~~~~~~!"


         ไม่เป็นอะไรเลย ปืนพลาสมาที่สามารถทำให้คนสลบได้ แต่ยังแรงไม่มากพอที่จะทำลายเกราะของมันได้


         ในที่สุดมันก็เริ่มเคลื่อนไหว ถึงขนาดของมันจะใหญ่โต แต่ขาทั้งแปดของมันสามารถขยับได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มันสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าที่คาดไว้


         ผู้ที่มันพุ่งเข้าหาคือหัวหน้า


         เขาใช้ดาบตั้งรับอย่างมั่นคง คมดาบปะทะคมก้ามจนเกิดเสียงดังเพล้ง
         ทั้งสองสูสีกันจนสะท้อนออกมา ทว่าลูกตุ้มก็ตามมาอย่างรวดเร็วโดยที่หัวหน้าไม่อาจหลบพ้น ส่งผลให้เขาต้องยกดาบขึ้นป้องกัน ส่งผลให้..


         ดาบของหัวหน้าหักเป็นเสี่ยง ๆ ความแข็งของลูกตุ้มนั้นไม่ธรรมดา


         ตอนนี้พวกเราไม่น่าเหลืออาวุธอะไรไว้ต่อกรกับมันแล้ว..


         "ยูกิ รีบติดต่อฐานให้ส่งกำลังหนุนมาเดี๋ยวนี้!" รองหัวหน้าสั่งผม เพราะเขารู้สถานการณ์ดีว่าตอนนี้พวกเขาไม่มีทางชนะมันได้แน่


         "ครับ!"


         ผมทำตามที่หัวหน้าสั่งแล้วถอยออกจากสนามรบเล็กน้อยเพื่อไปติดต่อ
         มันก็แค่กดสัญญาณส่งรหัสที่สายข้อมือกลับไปยังฐาน โดยให้รายงายว่ายืนยันว่าที่นี่มีมณีแห่งบาปเจ็ดประการอยู่ แล้วขอกำลังหนุนเพราะตอนนี้กำลังเจอกับสถานการณ์ที่ลำบาก


         หลังจากที่ผมส่งสัญญาณไปเรียบร้อย ก็มีเสียงร้องดังขึ้น


        "ช่วยด้วย!!" พวกเด็ก ๆ กำลังร้องขอความช่วยเหลือ เพราะเจ้าสัตว์ประหลาดตนนั้นกำลังเข้าไปหาพวกเขา
        รองหัวหน้ากับรุ่นพี่ที่คอยคุ้มครองพวกเขาอยู่ถูกอัดปลิวกันไปคนละทาง ส่วนคนอื่น ๆ ที่พยายามช่วยยิงก็ไม่อาจทำอะไรมันได้


         ตอนนี้ที่จริงผมแค่รอให้กำลังหนุนมาช่วยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเสียงอีก แต่ว่าถ้าทำแบบนั้นพวกเด็ก ๆ ล่ะ..


         ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าพวกเด็ก ๆ ที่เพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้ ก็กำลังจะถูกความตายเข้าพรากอีกครั้งหนึ่งแล้ว
         ตัวผมควรจะทำอย่างไร..วิ่งเข้าไปช่วย หรือรอกำลังหนุนเพราะถึงเข้าไป ก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ก็อาจจะต้องถูกฆ่าก็ได้


         รอกำลังหนุน หรือเข้าไปช่วย


         
    รอ........................................ช่วย


         ช่วย





         ผมชักปืนของผมขึ้นมาแล้วยิงไปที่หน้าของเจ้าผู้นำเผ่าโยโรอิ
         แน่นอนว่าปืนของผมไม่อาจทำอะไรมันได้เลย แต่จู่ ๆ มันก็หยุดแล้วหันมาทางผม


         ได้ผล ?


         เหมือนว่าปืนของผมจะยิงเข้าไปที่ใดที่หนึ่งของมันแล้วทำให้มันรู้สึกได้ หลังจากที่ถึกทนต่อการโจมตีมานาน


        "~~~~~~~~~!"


         แล้วมันก็พุ่งทะยานมาผมด้วยความเร็วสูงสุด


         "หลบเร็วยูกิ!!" ผมได้ยินเสียงของรองหัวหน้าตะโกนบอกให้ผมหลบ


         มองเห็นหัวหน้าที่พยายามวิ่งตามเจ้าสัตว์ประหลาดมา แต่เขาก็ตามไม่ทัน


         เห็นเพื่อน ๆ ที่กำลังช่วยยิงใส่เจ้าสัตว์ประหลาดเกราะหนานี่อย่างสุดกำลัง


         และเห็นร่างขนาดยักษ์ของมันที่กำลังตรงเข้ามาหาผมเรื่อย ๆ..



         ผมหลับตาลงด้วยความกลัว ที่ทำให้ร่างกายขยับไม่ได้ แรงกดดันจากมันและพลังของมณีมันมีมากเกินไป..


         ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว..


         ตู้ม!!



         .
         .
         .
         .




         ผมยังมีชีวิตอยู่ ?


         ผมลืมตาตื่นขึ้นแล้วก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในตำแหน่งที่ต่างจากที่ก่อนหน้านี้


         และมีใครบางคนยืนอยู่ข้างหน้าผม


         "พยายามได้ดีมาก เดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการต่อเอง"


         ใคร ?


         เสียงของเธอฟังดูคุ้น เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน


         ผมหางม้าสีน้ำตาลที่พริ้วไสวกับสายลม ริบบิ้นสีขาวที่มัดผมเส้นนั้น ร่างกายผอมเพรียวที่เป็นผู้อุ้มร่างของผมหนีจากลูกตุ้มเหล็กของผู้นำเผ่าโยโรอิ


         เธอคือ..ผู้หญิงที่ผมเจอเมื่อตอนเช้า ?
     

         "จัสติสเบรก!"


         เธอพูดบางอย่างออกมา แล้วทันใดนั้นก็มีบางสิ่งเกิดขึ้น


         อุปกรณ์บนข้อมือของเธอทำตามคำสั่งเสียง แล้วทันใดนั้นร่างของเธอก็ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิง ชุดเครื่องแบบขององค์กรสลายหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยชุบอดี้สูทสีแดง-ขาว 
         ริบบิ้นสีขาวของเธอสลายหายไปเช่นกัน ทำให้ผมยาวสลวยของเธอถูกปล่อยออกมาจากนั้นก็มีหมวกคล้ายหมวกกันน็อกมาสวม


         เธอคนนี้เป็นกำลังหนุน..งั้นเรอะ ?


         เจ้าสัตว์ประหลาดพุ่งตรงเข้ามาอีกครั้ง หญิงสาวเองก็ตรงเข้าไปหามันอย่างไม่กลัวเกรง ความเร็วของเธอมากกว่าที่พวกผมสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยชุดของพวกเราเสียอีก


         เธอชักดาบที่มีความยาวประมาณสามฟุตออกมาจากฝักข้างหลัง มันเป็นดาบคล้ายคาตานะของหัวหน้า แต่มีความยาวมากกวาและมีลักษณะที่ต่างออกไป
         กล่าวคือของที่หัวหน้าใช้นั้นเป็นแบบรุ่นผลิตจำนวนมากที่เห็นได้สำหรับผู้ใช้อาวุธดาบ
         แต่สำหรับผู้หญิงคนนั้นดาบนั่นดูเป็นอาวุธที่เป็นแบบออริจินัล


         ทันทีที่เธอกวัดแกว่งดาบออกไปก็จะมีเปลวไฟปะทุออกมาจากดาบด้วย
         แล้วเมื่อลูกตุ้มเหล็กกับดาบเล่มนั้นปะทะกันก็เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ


         ลูกตุ้มเหล็กที่สามารถหักดาบของหัวหน้าได้ การที่เธอนำดาบไปปะทะตรง ๆ แบบนั้น ผมคิดว่ามันเป็นการกระทำที่ผิดพลาดอย่างมหันต์
         ทว่าภาพหลังจากนั้นกับบอกกับผมว่าสิ่งที่ผมคิดนั้นผิด


         ผลคือดาบไม่หักและยังเป็นฝ่ายที่ทำให้ลูกตุ้มเหล็กสะท้อนกลับไปด้วย


         ได้ยังไงกัน ?


         นี่เธอนั้นเป็นใครกันแน่ ?


         "ทำไมทำหน้าอย่างกับเห็นพี่แบบนั้นล่ะโจจิ" เพื่อนร่วมทีมของผมเดินเข้ามาหา


         "นายรู้จักเธอคนนั้นรึเปล่า เธอเป็นใครน่ะ กำลังหนุนขององค์กรเรอะ ?"


         "อ่าว นี่นายไม่รู้จักเหรอ นั่นคนดังขององค์กรเลยนะ" เขาดูแปลกใจมากที่ผมไม่รู้ว่าเธอคนนั้นเป็นใคร
         "นั่น ฮิคาเสะ สึซึฮะ หรืออีกชื่อหนึ่ง จัสติสสไตรค์เกอร์ เป็นหนึ่งในเอสขององค์กรเรายังไงล่ะ และเธอยังอยู่ที่ฐานของพวกเราด้วยนะ"


         ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย


         ผมไม่คิดเลยว่าจะมีใครที่พิเศษแบบนั้นอยู่ที่ฐานทัพเดียวกับผมด้วย


         เธอคนนั้น..เป็นระดับเอสยังงั้นหรือ..


         ผมยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่สิ ต้องเรียกว่ายังไม่รู้ว่าสิ่งที่เพื่อนผมบอกนั้นหมายความว่ายังไง
         แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ก็สามารถตอบคำถามผมได้


         เมื่อสัตว์ประหลาดใช้ก้ามปูทิ่มแทงใส่ เธอก็เคลื่อนหลบได้อย่างรวดเร็ว แล้วใช้ดาบที่หุ้มด้วยเปลวเพลิงตัดขาข้างขวาทั้งสี่ข้างของมันภายในดาบเดียว
         ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยิงไปเท่าไรก็ทำอะไรไม่ได้


         มันยังไม่ยอมแล้วม้วนตัวแล้วใช้ลูกตุ้มตรงกระแทกใส่เธอ
         ดาบถูกตั้งขึ้นมารับการโจมตีนั้น ผลคือลูกตุ้มที่พุ่งเข้ามาเป็นฝ่ายถูกดีดสะท้อนกลับไป


         หญิงสาวตวัดดาบเป็นรูปตัววี ทำให้เกิดรอยรูปเดียวกับบนร่างเกราะของมัน


         "~~~~~~~!"


         มันร้องคำรามออกมายอ่างก้องกังวาน ออร่าสีเขียวโพยพุ่งออกมาจากร่างของมันอีกครั้ง
        ภาพแบบนี้เป็นแบบเดียวกับตอนที่ผู้นำเผ่าโยโรอิกำลังจะกลายร่าง หรือว่ามันคิดจะเปลี่ยนร่างอีก


        เป็นอย่างที่คิด แม้จะอยู่ในแสงสีเขียว แต่ผมก็ยังมองเห็นเงาที่ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นของมันได้


         ถ้าไม่รีบทำอะไรเข้าล่ะก็มีหวัง..


         ถึงผมและคนอื่น ๆ ในหน่วย รวมถึงพวกชนเผ่าจะรู้สึกหวาดกลัว แต่มีอยู่ผู้หนึ่งที่ไม่แสดงอาการหวั่นไหวใด ๆ


         เธอควงดาบแล้วตั้งไว้เหนือไหล่ขวา พร้อมกับจับดาทั้งสองมือ
         เปลวเพลิงที่ปลดปล่อยออกมาจากดาบค่อย ๆ ถูกสะสมเอาไว้ภายในนั้น


         หญิงสาวกำลังจะกระทำบางอย่างที่เป็นการปิดฉากการต่อสู้นี้ลง


         "จัสติสเบลด!!"


         ดาบยาวฟันผ่านห้วงอากาศพร้อมปลดปล่อยเปลวเพลิงชำระล้างออกมา
         แสงสว่างสีเหลือง-ส้มส่องสว่างไปทั่วอาณาบริเวณ พลังของดาบที่ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ทำให้ทุกอย่างตรงนั้นกลายเป็นสีขาว


         และแล้วเมื่อแสงจางไป..ภาพของความจริงก็ปรากฏ


         ร่างของผู้นำเผ่าโยโรอิที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดเหลือเพียงแ่ซากที่ไหม้เกรียม


         ตามปกติองค์กรของผมจะไม่ฆ่าโดยไม่จำเป็น
         แต่หากศัตรูเปิกนที่จะสามารถหยุดยั้งได้ก็มีแต่ต้องลงมือ


         หญิงสาวเข้าไปที่ซากของสัตว์ประหลาดแล้วดึงเอามณีสีเขียวที่ฝังอยู่ในร่างของมันออกมา


         "Mission Complete เก็บกู้หนึ่งในมณีแห่งบาปเจ็ดประการสำเร็จ"


         และแล้วภารกิจแรกของพวกผมก็จบลง













         หลังจากนั้น พวกผมกับหน่วยอื่น ๆ ก็กลับมาที่ฐานบัญชาการ
         ทุกหน่วยสามารถเก็บกู้มณีทั้งเจ็ดชิ้นกลับมาได้ มีหน่วยที่ต้องขอกำลังหนุนถึงหกหน่วย จากเจ็ดที่ที่ค้นพบมณี จึงทำให้พวกเราทราบถึงพลังของมณีพวกนั้นมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้รู้ว่าองค์กรของพวกเรามีคนมีฝีมือระดับหัวกะทิอยู่


         หน่วยจัสติส


         หน่วยพิเศษที่มีการคัดเลือกเฉพาะคนที่มีฝีมือระดับสูงมากเข้า
         เป็นกองกำลังพิเศษที่มีความสามารถที่เหนือล้ำกว่าทุก ๆ คน เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดในองค์กร


         หลังจากเสร็จภารกิจ ผมจะไม่ได้เจอกับฮิคาเสะ สึซึฮะ ทำให้ไม่รู้ข้อมูลอะไรมาก อีกทั้งหน่วยนี้ยังเป็นหน่วยลับที่ไม่ค่อยมีใครรู้ข้อมูล แม้กระทั่งรองหัวหน้าเองก็ไม่รู้รายละเอียดของหน่วยนี้มากนัก


         แต่ไม่แน่ว่าหลังจากนี้ก็อาจจะได้พบกันอีกก็ได้




         หลังจากที่สำเร็จภารกิจแรกก็ทำให้ผมค่อนข้างเข้าใจถึงการทำงานขององค์กรนี้มากขึ้น


         ชาวเขตอนารยชนที่ตาฮิติได้รับการช่วยเหลือ และฟื้นฟูเกาะของตัวเอง
         พวกชาวเผ่าโยโรอิถูกนำส่งกลับเกาะของตัวเอง พวกมันคงจะไมกล้าทำอะไรมากไประยะหนึ่งเพราะเพิ่งสูญเสียผู้นำเผ่าไป


         พวกเราพยายามที่จะช่วยคงสมดุลของโลกที่เป็นไปอยู่นี้อยู่เบื้องหลัง และทำลายสิ่งแปลกปลอม หรือเก็บกู้สิ่งที่ไม่ควรมี เพื่อไม่ให้วัฏจักรที่กำลังดำเนินไปอยู่นี้เสียหาย


         SHOCKER


         นั่นคือชื่อขององค์กรที่ผมสังกัดอยู่












          2 วันหลังจากนั้น


         แน่นอนว่าวันแรกผมถูกรองหัวหน้าลงโทษข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง
         แต่ผมก็ไม่เสียใจเพราะสิ่งที่ผมทำลงไปได้ช่วยเหลือเด็ก ๆ เหล่านั้นเอาไว้
         แม้จะต้องแลกกับการถูกทำโทษทั้งวันมันก็..ไม่รู้นะว่าโอเครึเปล่า..


         ในระหว่างที่ผมกำลังถูกทำโทษให้วิ่งรอบสนามเป็นรอบที่หนึ่งร้อย ผมบังเอิญไปได้ยินคนคุยกันว่า สาเหตุที่พลังของมณีเพิ่มขึ้นจนสามารถตรวจพบได้ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เจอ หรือมีการตรวจพบพลังงานทั้งที่อยู่เขตอื่น


         นั่นเพราะมีบางอย่างเกิดขึ้นที่เขตเอาต์ไซด์ แล้วมันก็ส่งผลกระทบมาเขตข้างในอื่น ๆ


         แต่เพราะขอบเขตของสาขาที่ที่หน่วยผมอยู่ ไม่ได้มีเขตเอาต์ไซด์อยู่ด้วย จึงต้องเป็นหน้าที่ของสาขาอื่น
         

         ที่จริงแล้วเหมือนว่าองค์กรของเราจะมีเครือข่ายอยู่ทุกที่และสามารถเข้าถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีได้เกือบทุกอย่าง


         แต่สำหรับเขตรอบนอกนั้นเหมือนจะเป็นข้อยกเว้น


         ว่าแต่เรื่องสัตว์ประหลาดบุกที่นั่นจะเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้รึเปล่านะ ?


         
    ก็คงต้องให้พวกเขาเป็นคนจัดการและรายงานว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น


         วันต่อหรือวันนี้ หลังจากที่ผมถูกทำโทษซะอ่วม หน่วยของผมก็ได้รับภารกิจให้ไปส่งมณีแห่งบาปเจ็ดประการที่อีกสาขาหนึ่ง
         จริงอยู่ที่พวกเราจะใช้การเคลื่อนย้ายมวลสารไป แต่ก็คงจะต้องมีตัวกลางคอยรายงานและขนส่งไปด้วย


         การเดินทางมาด้วยเครื่องย้ายมวลสารครั้งนี้ มีผลกระทบต่อตัวผมน้อยลงกว่าที่ผ่าน ๆ มา แม้จะยังมีอาการเวียนหัวอยู่บ้าง
         แต่คนอื่นในหน่วยผมก็ยังมีคนที่ไม่ไหวกับเครื่องนี้จนอ้วกออกมาอยู่ดี


         ตอนนี้พวกเรามาอยู่ที่ฐานบัญชาการสำหรับเก็บของอันตรายที่ไม่ควรที่จะให้หลุดออกไปอยู่โลกภายนอก
         มณีแห่งบาปเจ็ดประการซึ่งถือว่าเป็นวัตถุที่สมควรจะหมดบทบาทต่อโลก นับตั้งแต่ที่ถูกทำลายภาชนะไปจึงถูกตกลงว่าจะนำมาไว้ที่นี่


         รองหัวหน้าเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด พวกผมก็แค่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขารอให้เขาคุยและจัดการงานเอกสารให้เรียบร้อยก็เท่านั้น


         ส่วนหัวหน้าเหมือนจะแยกไปไหนกับเจ้าหน้าที่ของที่นี่


         "เฮ้อ งานแบบนี้น่าเบื่อจังเลยนะ"


         "นั่นสิ ฉันอยากได้งานที่ออกไปยืดเส้นยืดสาย ไม่ใช่งานแมสเซนเจอร์แบบนี้"


         เพื่อนรวมทีมของผมบ่นกันซะแล้ว แต่พวกเขาบ่นแบบกระซิบกันเพราะไม่อยากให้รองหัวหน้าได้ยิน


         "อยากจะมีใครให้สู้บ้างจังเลย.."


         บรึ้ม!!


         เหมือนฟ้าเป็นใจให้สิ่งที่เพื่อนรวมทีมของผมเป็นจริง
         มันมีบางอย่างเกิดขึ้น ผมได้ยินเหมือนเสียงของระเบิดดังมาจากด้านหนึ่งของฐานบัญชาการ 


         ในระหว่างที่ทุกคนกำลังสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาอีก


         พอรู้ตัวอีกทีก็มีบางอย่างตกลงมาจากข้างบน แล้วทำให้ผมสลบไป..











         "ก..เกิดอะไรขึ้น ?"


         ผมลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากที่เหมือนมีอะไรสักอย่างแข็ง ๆ กระแทกลงมาที่หัวผม
         ภาพที่ผมมองเห็นตอนนี้ช่างเบลอไปหมด ต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่ทัศนวิสัยจะหลับมาเป็นปกติ


         แล้วพอผมสามารถมองเห็นได้ปกติ ผมก็พบกับ..


         "...!?"


         คนคนหนึ่งดูจากลักษณะของร่างกายแล้วน่าจะเป็นผู้ชาย
         สวมหน้ากากทำให้มองไม่ห็นใบหน้าที่แท้จริง หน้ากากนั้นมีลักษณะคล้ายหน้ากากแมลง
         ดวงตากลมโตที่ส่องแสงสีม่วง รอยสลักรูปฟันฉลามบนหน้ากาก
         สวมชุดเกราะทั้งตัว อย่างกับว่าชุดกับร่างกายนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน


         กำลังยืนอยู่เบื้องหน้า เพื่อน ๆ และรองหัวหน้าของผมที่ถูกบังคับให้นั่งคุกเข่า


         รอบข้างของมัน มีคนที่สวมเกราะคล้าย ๆ กันอยู่อีกหกคน
         เปลวเพลิงที่กำลังลุกโชนกลายเป็นภาพพื้นหลัง ที่เสริมความสะพรึงกลัวแก่พวกมัน

         
         ชายผู้นั้นตรงไปที่รุ่นพี่ของผมคนแรกจากนั้นก็


         ปัง!



         กระสุนปืนทะลุผ่ากะโหลก แล้วร่างนั้นก็แน่นิ่งไป


         มันมาหารุ่นพี่อีกคนแล้วจ่อปืนในแบบเดียวกัน


         ปืนกระบอกนั้นเป็นแค่ปืนพกธรรมดาแน่ ๆ แต่ไม่ว่าประสิทธิภาพอาวุธจะเป็นยังไง การยิงเข้าหัวก็ทำให้ถึงตายอยู่ดี


         ปัง!


         มันกำลังไล่ฆ่าคนในหน่วยของผมทีละคน..ทีละคน..


         ปัง!


         ปัง!


         ปัง!



         จนในที่สุดก็มาถึงเพื่อนรุ่นเดียวกับผม


         "ไม่ ฉันยังไม่อยากตาย!"


         เพื่อนผมร้องขอชีวิต แต่หน้ากากนั้นไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ


         ผมจะต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่งั้นเขาจะต้องตายแน่ ๆ
         แต่ถ้าออกไป ผมจะทำอะไรได้ ดีไม่ดีอาจจะถูกพวกมันจับอีก


         ตัวผมคนเดียว กับพวกมันเจ็ดคน ไม่มีทางที่ผมจะสู้ได้แน่ ๆ


         แต่ถ้าผมไม่ไปช่วย เพื่อนของผมก็จะ..


         นี่ผมจะทำยังไงดี..?


         ออกไปช่วย หรืออยู่ตรงนี้ปล่อยให้เขาตาย


         ออกไปช่วย หรืออยู่เฉย


         
    ออกไป.....................................อยู่เฉย















         ออกไป.............................................อยู่เฉย













    What are you choice ?
    ..................... To Be Continue ....................

          

         









































         




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×