ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 เหรียญ
วันที่ 24 ธันวาคม 2024 เวลา 18.27 น. สวนสาธารณะเมืองฟูโตะ
วันนั้นเป็นวันที่ชายหนุ่มธรรมดาคนนึงจะได้ออกเดทกับแฟนสาวของเขา
เนื่องจากเป็นการเดทครั้งแรก ฝ่ายชายรูู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากจึงรีบมาสถานที่ที่นัดไว้ก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมง พอเขามาถึงยังที่แห่งนั้นก็พบว่าที่นั่นเต็มไปด้วยคู่รักมากมาย เพราะวันนี้เป็นวันที่รู้จักกันดี...วันคริสมาสต์อีฟ...
"แฮ่ก...แฮ่ก....วันนี้ต้องตั้งใจทำให้ดีที่สุด!" ชายหนุ่มตั้งใจไว้เช่นนั้น เขาไปยืนรอแฟนสาวของเขาที่ขอบระเบียงบนเขา ที่ซึ่งเป็นจุดที่สามารถทำให้สถานที่ต่างๆภายในเมืองได้อย่างชัดเจน
ในวันคริสมาสต์อีฟนี้ทั้งเมืองเต็มไปด้วยแสงไฟ และการจัดงานเทศกาลหรืองานฉลองกันอย่างสนุกสนาน
คู่รักวัยรุ่นก็จะออกไปเดทด้วยกันภายในวันที่ดีๆนี้......แต่ว่า...เมื่อเวลาผ่านไป.....ผ่านไปโดยที่ชายหนุ่มได้แต่เพียงยืนมองแสงไฟของเมืองที่อยู่ตรงหน้า...เธอคนนั้น...ก็คงยังไม่มา
"....." ชายหนุ่มหันกลับไปมองภายในสวนสาธารณะที่ก่อนหน้านี้มีคู่รักมากมาย แต่ ณ ตอนนี้นั้นกลับไม่มีใครอยู่เลย มีเพียงคู่รักสอง-สามคู่ที่ยังคงเดินเผ่นพ่านแถวนี้
เขาเปิดแขนเสื้อดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง "2 ทุ่มแล้วเรอะ....ทำไมยังไม่มานะ...ที่เธอนัดผมมันก็ถูกเวลาและสถานที่แล้วนี่ ?"
ยามนั้นหิมะสีขาวเริ่มโปรยปรายลงมา ชายหนุ่มทำได้เพียงยืนรอคอยแฟนสาวของเขาโดยที่หวังว่าเธอคนนั้น...จะมา แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่มีวี่แววของเธอเลย.....ตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้ว ชายหนุ่มกลับมานั่งที่ม้านั่งและรู้สึกผิดหวังในการออกเดทในครั้งแรก...
ชายหนุ่มตัดสินใจล้มเลิก....เขาเดินกลับไปอย่างโดดเดี่ยว....ภายในค่ำคืนวันที่หิมะโปรยปรายนั้น....
.
.
.
.
เมษายน 2025 เวลา 08.33 น. บ้านทาจิบานะ
เวลาผ่านไป 5 เดือนหลังจากที่ชายผู้นั้นได้ผิดหวังกับรักแรก ชะตากรรมของเขาก็มาถึงจุดพลิกผัน.....
ที่บ้านหลังหนึ่งของครอบครัวปกติทั่วไป หญิงสาวที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อที่จะต้อนรับเช้าวันใหม่ที่สดใส เธอเปิดหน้าต่างให้ลมเย็นๆพัดเข้ามาในห้อง "....วันนี้อากาศดีจริงๆนะ"
หลังจากที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เธอก็เปิดประตูลงมาข้างล่างเข้าไปในห้องรับประทานอาหาร...
"เอ๋!? นี่พี่จ๋ายังไม่ตื่นอีกเรอะ จะนอนขี้เซาไปถึงไหนนะ!?" หญิงสาวรีบวิ่งกลับขึ้นไปยังชั้นบนและตรงไปที่ห้องของพี่ชายของเธอ "พี่จ๋า ตื่นได้แล้ว!!"
เธอเปิดประตูเข้าไปแต่ก็ไม่พบใครอยู่ในห้องแม้แต่คนเดียว "ไม่อยู่....หรือว่า!?"
หญิงสาวเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าและเปิดประตูตู้นั่นออกก็พบพี่ชยของเธอนอนเก็บตัวอยู่ภายในนั้น
"พี่จ๋าพี่นี่ล่ะก็หมกตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้าอีกแล้ว! วันนี้อากาศดีนะ ออกไปข้างนอกให้ชีวิตวันนี้มันแจ่มใสดีกว่าน่า"
ชายหนุ่มลุกขึ้นและปิดประตูตู้เสื้อผ้าแบบไม่ไยดี "วันนี้ยังปิดเทอมอยู่ขอนอนยาวเลย!"
โดนพี่ชายตัวเองปิดประตูแบบไม่ใยดี น้องสาวก็เกิดอาการอึ้งนิดๆ "พี่อ่ะ!!"
"หนวกหูน่า ขอฉันนอนต่ออีกหน่อยเถอะ ข้างนอกมันหนาวมากฉันไม่อยากออกไป!" ชายหนุ่มให้เหตุผลน้องสาว
"พี่จ๋า เดือนนี้มันฤดูใบไม้ผลินะ ไม่ใช่ฤดูหนาวจะให้มานั่งหนาวแบบนั้นคงไม่ใช่แล้วล่ะ!" น้องสาวตอบพี่ชายกลับไป แต่เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ
เธอจึงคิดแผนบางอย่างขึ้นมาได้ "นิชิชิ ถ้าพี่จ๋าไม่ยอมออกมา งั้นมิยะจะเข้าไปอยู่ในนั้นละกัน ท้องฟ้าจำลองที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าของพี่หนูอยากเห็นมานานแล้ว!!" หญิงสาวพยายามที่จะเปิดตู้เสื้อผ้าแต่ชายหนุ่มก็พยายามยันไว้ไม่ให้เปิดได้
"หยุดเลยไม่ต้องเข้ามา ที่นี่ฉันสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ส่วนของฉันนะ!!" พี่ชายบอกเหตุผลกลับไป
"สร้างขึ้นมาเรอะ ก็แค่เอาปากกาไปจุดๆเขียนไว้ไม่ใช่รึไงน่ะ!?" น้องสาวว่ากลับและพยายามออกแรงเปิดประตูมากขึ้น "ก็มิยะอยากเข้าไปดูนี่น่า!!"
"ก็ได้ จะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ!!" ชายหนุ่มปล่อยมือจากประตูตู้เสื้อผ้า น้องสาวของเขาก็เปิดตู้ได้สำเร็จแต่ว่าเธอก็ต้องล้มลงเพราะเธอนั้นดึงสุดแรงของเธอ
"โธ่!"
ชายหนุ่มห้าวก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าน้องสาวตัวเองทำหน้าไม่พอใจ "...มีอะไรเหรอ มิยะ ?"
"พี่จ๋าบ้าที่สุด!!" มิยะตะโกนใส่พี่ชายเธอกลับไปและลุกขึ้นยืน "กว่าจะออกมาได้นะ พี่เป็นโดราเอม่อนรึไงถึงไปนอนในนั้นน่ะ!?"
"แล้วที่อุตส่าห์บังคับจนออกมาได้เนี่ย มีธุระอะไรสำคัญมากรึไง ?" เขาถาม
"ก็ไม่ได้มีธุระสำคัญอะไรหรอก แค่อยากให้พี่จ๋าตื่นได้แล้วเท่านั้นเอง ถึงจะเป็นช่วงปิดเทอมแต่ว่าจะมาอ้างว่าใช้ช่วงนี้นอนพักอยู่บ้านมันก็ไม่ได้นะ" มิยะเทศน์ใส่พี่ชายของเธอเอง
"เป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลทาจิบานะเชียวนะ ทำตัวให้มันดีกว่านี่หน่อยซี้!"
"ก็ไม่ได้คิดอยากจะเป็นอยู่แล้วนี่น่า...ผู้สืบทอดอะไรนั่นน่ะ!" ชายหนุ่มตอบแบบเบื่อหน่าย
"พี่จ๋านี่จริงๆเลยน้า...พ่อกับแม่เองก็งานยุ่งซะจนไม่ได้กลับบ้านกลับช่องบ้างเลย ปล่อยให้หนูต้องมาคอยดูแลพี่ชายไม่เอาถ่านแบบนี้คนเดียว!" มิยะบ่น พี่ชายของเธอได้ยินแบบนั้นจึงเข้ามาล็อคคอเธอแล้วแกล้งเธอซะ "พะ..พี่จ๋า..จะทำอะไรน่ะ...ฮะๆๆ...มะ...มันจักจี้นะ.."
"เจ้าน้องสาวตัวแสบ..." เมื่อแกล้งน้องสาวจนพอใจแล้วพี่ชายก็ยอมปล่อยเธอออก "ก็ได้...เดี๋ยวจะลงไป ขอไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน มิยะลงไปรอก่อนเลย!"
"ค่าๆ!" มิยะเปิดประตูออกไปจากห้อง
ชายหนุ่มเมื่อน้องสาวของเขาออกไปจากห้องแล้วก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เช้าวันที่ดูสดใสวันนี้กลับดูเหมือนมืดครึ้มเหมือนวันอื่นๆสำหรับเขา เขาหันไปมองกรอบรูปภาพถ่ายเขากับครอบครัวและญาติๆจำนวนมาก ซึ่งในภาพนั้น....ไม่มีใครยิ้มจากใจจริงแม้แต่คนเดียว....มีเพียงแต่...เขาและน้องสาวของเขาเท่านั้น....
ที่กรอบรูปนั้นก็มีกระดาษใบนึงแปะติดอยู่ที่ริมขอบรูป กระดาษใบนั้นได้เขียนชื่อของชายคนนี้เอาไว้....
ชื่อของเขาคือ.....ทาจิบานะ จุนอิจิ.....
ตระกูลทาจิบานะ...เป็นหนึ่งในตระกูลที่มีส่วนรวมในการสร้าง พัฒนา ดูแล ฟื้นฟูเมืองฟูโตะในปัจจุบัน พวกเขามีสิทธิพิเศษและความยิ่งใหญ่ไม่แพ้กับหลายๆคนที่ช่วยลงทุนลงแรงในการสร้างเมืองนี้ขึ้นมา หากไม่ได้ทรัพย์สินจากพวกเขาช่วย คงจะไม่สามารถสร้าง 2 ใน 8 สิ่งมหัศจรรย์ของเมืองขึ้นมาได้
ชีวิตความเป็อยู่ของคนในตระกูลนี้นั้นเดิมที่จะต้องชอบการอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หรูหรือบ้านพักที่ดีเยี่ยมเพียงแต่สองพี่น้อง ทาจิบานะ จุนอิจิและทาจิบานะ มิยะนี้ ต่างจากคนในตระกูล ที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตแบบสามัญชนโดยที่ไม่มีใครมาขีดเขียนกำหนดไว้ว่าจะต้องให้พวกเขาทำยังไง ต้องเป็นอะไร พ่อแม่ของพวกเขาถึงกับยอมซื้อบ้านหลังนึงเพื่อที่จะให้สองคนนี้อาศัยอยู่แบบปกติชนได้อย่างมีความสุข โดยที่ตนเองคอยส่งมอบเงินให้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
แต่ในความเป็นจริง...ก็เพื่อที่จะตัดทั้งสองออกจากกองมรดกของตระกูล เพราะในพินัยกรรมของรุ่นทวดทาจิบานะ ได้เขียนไว้ว่า "ตระกูลทาจิบานะนี้ จะต้องสร้างคุณและความสุขให้กับชาวเมืองแห่งเมืองฟูโตะ และจะต้องไม่ทำให้เขาได้รับความเดือดร้อนอย่างเด็ดขาด หากกระทำผิดจะต้องชดใช้ด้วยแรงงานที่มหาศาส และหากใครไม่ยอมทำให้เมืองนี้พัฒนา..ก็จะขอตัดสิทธิออกจากการสืบทอดมรดกทันที"
สิ่งนั่นทำให้คนในตระกูลต่างพยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อที่จะทำให้ตนเองไม่ออกไปจากกองมรดก
โดยที่หาก...สามารถตัดคนในตระกูลคนอื่นๆออกไปได้ก็จะสามารถทำให้ตนได้รับประโยชน์ทางด้านนี้มากขึ้น ดังนั้นไม่ว่าจะใช้วิธีใด หากสามารถที่จะตัดคู่แข่งแย่งมรดกไปได้ พวกเขาสามารถยอมทำได้ทุกอย่าง...ไม่ว่าจะเป็นการใส่ร้าย ลอบสังหาร หรือวิธีใดก็ตามที่สามารถทำได้โดยที่ไม่มีใครรู้ และไม่ทำให้มือตัวเองสกปรก
สาเหตุที่พ่อและแม่ของพวกเขาทำเช่นนี้ก็สามารถมองได้สองทาง
แบบแรกเลือกที่จะตัดสองคนนี้ออกจากกองมรดกนี้เพื่อที่จะไม่ใ้พวกเขามาพบกับชะตากรรมที่โหดร้ายในตระกูล เพื่อปกป้องให้ปลอดภัยจากคนในตระกูล
หรือแบบที่สองพวกเขาก็แค่หวังทรัพย์สินเหล่านั้นโดยที่ไม่ได้สนใจลูกของตัวเอง....
แต่ก็ไม่มีใครทราบความจริง
ถึงจุนอิจิและมิยะจะเป็นเพียงเด็กมัธยม แต่พวกเขาก็พอจะรู้เรื่องความขัดแย้งภายในตระกูลตัวเอง จึงยอมรับข้อเสนอของพ่อและแม่ที่คิดจะเขี่ยให้พวกเขาออกจากกองมรดก และหากทำเช่นนี้โอกาสที่พวกเขาทั้งสองคนจะตกเป็นเป้าหมายของคนในตระกูลของจะลดน้อยลงด้วยเช่นกัน
ชายหนุ่มหลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เขากลับห้องมาที่ห้องรับประทานอาหารที่น้องสาวของเขากำลังนั่งดูโทรทัศน์รอเขาอยู่แล้ว "มิยะ มาทานข้าวกันได้แล้วล่ะ!"
"อา จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!" มิยะตอบรับ และเดินไปที่โต๊ะอาหารและนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับจุนอิจิ
"อาหารวันนี้ก็แซนท์วิชอีกแล้วเรอะ ?" จุนอิจิแอบบ่น
"ทำไงได้ล่ะ ก็พวกเราไม่ยอมทำอาหารนี่ ทั้งๆที่รู้ว่าบ้านนี่มีแค่พวกเราสองคนอยู่ พี่ก็ไม่ยอมทำหน้าที่ของพี่ชายเลยนะ พี่ต้องทำอาหารเช้าให้น้องสาวสิ!" มิยะบ่น
"ถ้าบ่นมากนักก็ไปทำเองเถอะ ฉันเองก็มีเรื่องที่ต้องทำอยู่เยอะเหมือนกันนะ!" จุนอิจิบอก
"ค่าๆ!" มิยะหยิบแซนท์วิซเข้าปากแบบเซ็งๆ "แล้วที่บอกว่ามีเรื่องต้องทำเยอะเนี่ย หนูเห็นวันๆพี่จ๋าก็แค่หมกตัวอยู่ในท้องฟ้าจำลองนั่น อ่านหนังสือสมบัติอยู่คนเดียว แล้วก็เก็บตัวอยู่คนเดียวไม่ใช่รึไง ?"
"นี่ๆจะว่าแบบนั้นก็ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ!" จุนอิจิว่ากลับ และเขาก็หันไปสนใจข่าวในโทรทัศน์
"วันนี้มีข่าวอะไรใหม่บ้างรึเปล่า ?"
"ก็เหมือนๆเดิมนั่นล่ะ ดูเหมือนจะโฟกัสไปที่ฟูดตะทาวเวอร์ล่ะนะ" มิยะบอก
"งั้นเรอะ..."
ฟูโตะทาวเวอร์เป็นกังหันลมที่มีขนาดใหญ่และสูงที่สุดในโลกเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของเมืองฟูโตะแห่งนี้ และยังเป็นสัญลักษณ์ประจำของเมืองฟูโตะแห่งนี้ มันถูกตั้งไว้ที่ทางเหนือของเมืองเอเรีย 1 แห่งนี้ ไม่ว่าใครๆในเมืองนี้ก็ต่างรู้จักสิ่งมหัศจรรย์นี้ หน้าที่ของมันก็เหมือนกับกังหันลมทั่วไปมีหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับเมือง เพียงแต่ฟูโตะทาวเวอร์สามารถให้คนขึ้นไปชมวิวรอบเมืองได้
และกังหันลมนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยความร่วมมือของตระกูลทาจิบานะอีกด้วย
หลังจากที่ทานข้าวเช้าเสร็จจุนอิจิก็มานั่งที่โซฟาและเริ่มเปิดดูข่าวที่น่าสนใจ แต่ก็พบแต่เรื่องเดิมๆไม่ว่าจะเป็นข่าวความขัดแย้งทางการเมือง เหตุการณ์จลาจลในต่างประเทศ เกิดการฆ่ากันตายด้วยสาเหตุต่างๆนาๆ หรือไม่ก็โฆษณาแก้เครียดที่มาคั่นรายการต่างๆ "วันๆก็มีแต่เรื่องพวกนี้สินะ..."
"ทีเป็นเรื่องของหนังสือสมบัติไม่เห็นจะบ่นเลยนะ!" มิยะล้อ
"เดี๋ยวเหอะ มิยะเรื่องนั้นมันไม่เกี่ยว จำไว้เลยนะว่าเรื่องนั้นน่ะเป็นความฝันสูงสุดของผู้ชายอย่างพี่ ต่อให้พี่ตกอับถึงขนาดไหนแต่ว่าความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ฉันไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงแน่!" จุนอิจิพูดอย่างภูมิใจ
"ค่าๆ สำหรับหนูก็เป็นเรื่องที่ฟังยังไงก็ไม่เห็นจะมีอะไรที่ดูมีประโยชน์เลย!" มิยะตอบกลับ และเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น "แล้ววันนี้พี่มีธุระอะไรต้องไปทำที่ไหนรึเปล่า ?"
จุนอิจิคิด "ธุระที่ต้องไปทำงั้นเรอะ...คงจะ.."
"ตอนเที่ยงไว้เจอกันนะ!"
ภาพความทรงจำในหัวของจุนอิจิผุดกลับขึ้นมาเขาเพิ่งนึกออกว่าตอนเที่ยงเขาได้นัดกับเพื่อนผู้หญิงคนนึงไว้
"จริงด้วยสิ เมื่อวานบอกว่าให้เราไปหาด้วยนี่น่า!"
"ใครเหรอที่นัดพี่ไว้น่ะ...หรือว่าแฟนใหม่เหรอ!?" มิยะถามอย่างตื่นเต้น
"จะบ้าเรอะ จะเป็นใครนอกจากเธอคนนั้นอีกล่ะ!" จุนอิจิตอบกลับ ทำเอามิยะผิดหวังเล็กน้อย
"โธ่ อะไรกันฮารุจังเองเรอะ นึกว่าพี่จะหาแฟนใหม่ได้แล้วซะอีก...หรือว่าพี่คิดจะขอคบกับฮารุจังล่ะ!?"
จุนอิจิถึงกับหน้าแดงเมื่อได้ยินน้องสาวของเขาล้อเช่นนั้น "ชะ..ใช่ซะที่ไหนกันเล่า วันนี้เธอบอกว่าจะต้องขึ้นแสดงเป็นครั้งแรกเลยอยากให้ไปให้กำลังใจหน่อยก็เท่าั้นั้นเองไม่มีอะไรมากกว่านี้ซะหน่อย!"
"นิชิชิ เหรอ หน้าแดงใหญ่แล้วน้า~" มิยะทำหน้าเจ้าเล่ห์กดดันจุนอิจิ
"โธ่ พอแล้วน่า ฉันจะออกไปแล้ว!" จุนอิจิรับแรงกดดันไม่ไหวจึงรีบลุกออกไปทันที
"แต่พี่จ๋านี่เพิ่งจะ 9 โมงเองนะ!"
"ที่โรงเรียนไม่ได้สอนเรื่องการไปก่อนเวลารึไง!?" จุนอิจิเดินออกจากบ้านไปโดยที่ไม่หันกลับไปมองน้องสาวของเขาเลย
"อา....แต่ว่าที่โรงเรียนก็ไม่ได้สอนว่าให้ไปที่หมายก่อนสามชั่วโมงแบบนี้นะ" มิยะบ่นพึมพำก่อนที่เธอจะกลับไปล้างจานต่อ
"พี่จ๋าจะเป็นอะไรมั้ยนะ หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ..."
ร้านอาหาร Cous Coussier เวลา 12.03 น.
จุนอิจิมานั่งรอเพื่อนของเขาที่ร้านอาหารที่เธอนัดไว้ และแล้วเธอก็มาถึง "มาสายนะ ฮารุกะ"
เพื่อนผู้หญิงอายุเท่าๆกับจุนอิจิเข้ามาในร้านและทักทายเขาทันที "สวัสดีตอนเที่ยง จุนอิจิ ขอโทษนะที่มา...ว้า!!"
เธอสะดุดล้มลงก่อนที่จะเดินมาที่โต๊ะของจุนอิจิ "เจ็บๆๆ"
"ยังซุ่มซ่ามไม่เปลี่ยนเลยนะเธอเนี่ย" จุนอิจิลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินเข้าไปช่วยพยุงหญิงสาวลุกขึ้น
"เจ็บตรงไหนรึเปล่า ?"
"อือๆ ไม่เป็นไรๆ แบบนี้ล้มเป็นประจำจนชินแล้วล่ะ" ฮารุกะตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม
"จุนอิจิมารอนานรึยัง ?"
"ก็ไม่นานมากหรอก ฉันก็เพิ่งมาน่ะ!" ถึงจะบอกไปแบบนั้นแต่จริงๆแล้วชายคนนี้มารอหญิงสาวคนนี้ตั้งแต่ร้านเปิด 10 โมง เป็นเวลาสองชั่วโมงกว่าเธอคนนี้จะมา
"วันนี้ที่นัดมามีธุระอะไรน่ะ ?"
"เรื่องนั้นน่ะ คือว่า..." ฮารุกะและจุนอิจิกลับมานั่งที่โต๊ะ ตอนนั้นบริกรก็เข้ามารับรายการอาหาร
"ออ ฉันขอเค้กนี่ แล้วก็นี่..นี่ด้วย แล้วก็นี่อีก!"
"นี่เธอน่ะทานมากเดี๋ยวก็อ้วนหรอก!" จุนอิจิเตือน
"ไม่เป็นไรๆ จุนอิจิก็รุ้นี่น่าว่าฉันน่ะเป็นพวกทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนน่ะ!"
"เรื่องนั้นมันก็จริงล่ะนะ แล้วน้ำหนักเธอ 46 มาตั้งแต่ม.ต้น จนตอนนี้ก็ยังไม่ขึ้นเลยเหรอ ?" จุนอิจิถาม
"อืม" ฮารุกะพยักหน้า "ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยนะ ยังเหมือนเดิมทุกอย่างเลย!"
"คงมีผู้หญิงต้องการความสามารถแบบเธออยู่หลายคนแหงๆ" เขาคิดเช่นนั้น "...วันนี้เธอก็จะขึ้นแสดงแล้วนี่ เป็นไงตื่นเต้นมั้ย ?"
"อืม ทั้งรู้สึกตื่นเต้น ทั้งรู้สึกกลัว ทั้งรู้สึกชอบ หลายๆอย่างรวมกันมั่วไปหมดเลยล่ะ แต่ว่าฉันก็ดีใจนะที่จะได้เริ่มทำตามสิ่งที่ฉันชอบแล้วน่ะ!" ฮารุกะพูดพร้อมกับทานสตอเบอร์รี่ของเค้กเข้าไป
"จุนอิจิล่ะเป็นยังไงบ้าง เดี๋ยวนี้หาอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันได้รึยังล่ะ ?"
"ก็...ยังเลยล่ะนะ..." จุนอิจิทำหน้าซึมและตอบเธอกลับไป
"วันนั้นน่ะขอบคุณมากเลยนะ ที่ช่วยเลือกซื้อของขวัญให้น่ะ!"
"ไม่เป็นไรๆ อย่างน้อยผู้หญิงก็น่าจะเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงด้วยกันดีกว่าผู้ชายอยู่แล้วล่ะ" ฮารุกะยิ้ม "แต่ว่าทำไมเธอคนนั้นถึงไม่ยอมมาตามที่นัดไว้นะ เธอคนนั้นเป้นฝ่ายชวนไม่ใช่เหรอ...แล้วถามเจ้าตัวรึยังล่ะ ?"
"คือว่า....ตั้งแต่วันนั้นมา ฉันก็ไม่ได้ติดต่อหาเธออีกเลย....แล้วก็ไม่กล้าที่จะไปเจอหน้าด้วย" จุนอิจิตอบ
"ก็นะ...ยังไงก็อย่าไปคิดมากล่ะ ชีวิตคนเราน่ะมันต้องเดินหน้าต่อไป จะมานั่งเสียใจไม่ยอมเดินไปข้างหน้ามันไม่ได้หรอกนะ" ฮารุกะสั่งสอนจุนอิจิ
"อืม.." จุนอิจิตอบแบบนิ่งๆ
"แล้วจุนอิจิวันนี้ว่างมั้ย...ฉันอยากให้มาดูฉันแสดงหน่อยน่ะ ฉันจะได้มีกำลังใจขึ้นหน่อย!" ฮารุกะถาม
"ขอโทษนะ เย็นนี้คงจะไม่ได้ล่ะ...ฉันมีเรื่องที่ต้องไปทำน่ะ" จุนอิจิตอบ
"เหรอ น่าเสียดายจังนะ อยากให้มาดูหน่อยแท้ๆ" ฮารุกะทำหน้าบูด
"ไว้คราวหน้าก็ได้นี่น่า ยังไงฉันก็คิดว่าเธอจะต้องไปได้ไกลอยู่แล้วล่ะ ฉันจะเอาใจช่วยนะ"
จุนอิจิชูนิ้วโป้งให้กำลังใจฮารุกะ "ทำให้เต็มที่ล่ะ!"
"อืม จะพยายามนะ!" หญิงสาวมีกำลังใจเพิ่มขึ้นเมื่อเพื่อนของเธอให้กำลังใจเธอเช่นนี้
"แต่ว่าอย่าไปสะดุดล้มบนเวทีนะ ฮะๆๆๆ" จุนอิจิล้อ
"เรื่องนั้น..ก็จะพยายามละกันนะ.."
"ข่าวด่วนค่ะ มีรายงานว่าที่อุโมงค์ทางเข้าที่เอเรีย 1 เขตตะวันตกเฉียงใต้ได้เกิดระเบิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะมีกลุ่มคนที่ไม่ประสงค์ดีเข้าไปก่อความไม่สงบ ตอนนี้ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือความเสียหายใดๆนอกจากการถล่มของอุโมงค์ค่ะ ขอให้ประชาชนทุกท่านระวังผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ด้วยค่ะ" ข่าวทางทีวีของร้านกล่าว
"เรื่องพวกนี้อีกแล้วเรอะ..?" จุนอิจิเบื่อที่จะเห็นข่าวอะไรแบบนี้แล้ว วันๆโลกนี้มีแต่ปัญหา
"เส้นทางนั้นตามปกติก็ไม่ค่อยจะมีใครใช้อยู่แล้วนี่ คงไม่เป็นไรหรอก!" ฮารุกะออกความเห็น
"นั่นสินะ" จุนอิจิเห็นด้วย แต่ในใจของเขาก็ยังรู้สึกเป็นกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้น "ทำไมถึงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนะ..."
หลังจากนั้นไม่นานเค้กที่ฮารุกะสั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะของพวกเธอ
"ว้าว ดูน่ากินจะเลยนะ จุนอิจิเอาสักชิ้นมั้ย!?" ฮารุกะถามพร้อมกับยื่นเค้กที่เธอจิ้มขึ้นมาให้
"อย่าเลย เธอน่ะทานให้เต็มที่เถอะ" จุนอิจิปฏิเสธ
"เออ...คือว่า ขอโทษค่ะ" เด็กสาวคนนึงเดินมาอยู่ที่ข้างโต๊ะของทั้งสอง
"มีอะไรเหรอจ๊ะ ?" ฮารุกะถามกลับและยิ้มให้กับเธอ "มีธุระอะไรกับพวกพี่รึเปล่า ?"
"คือพี่ใช่ อามามิ อารุกะ รึเปล่าคะ ?" เด็กสาวถาม
"อะ..อืม ใช่จ๊ะ" ฮารุกะตอบ หญิงสาวทำท่าทางประทับใจและยื่นสมุดสีขาวให้เธอ
"คือว่าหนูขอลายเซ็นหน่อยสิคะ หนูชอบเพลงที่พี่ร้องมากเลยค่ะ!" เด็กสาวขอร้อง
"ได้สิจ๊ะ พี่เต็มใจให้อยู่แล้วล่ะ" ฮารุกะตกลง และเซ็นลายเซ็นลงที่สมุดของเด็กผู้หญิงคนนี้ เธอก็รีบวิ่งกลับไปที่โต๊ะของเธอด้วยความดีใจ
"เธอเนี่ย ยังไม่เปลี่ยนเลยนะ" จุนอิจิบอกกับฮารุกะ "ใจดีให้ทุกๆคนจริงๆ"
"ขอบคุณที่ชมนะ"
หลังจากที่เสร็จธุระที่นี่แล้วจุนอิจิและฮารุกะก็เลือกที่จะออกจากร้าน
ระหว่างที่จะออกไปนั้นจุนอิจิก็ไปบังเอิญเดินชนกับชายอีกคนที่กำลังจะเข้ามาในร้าน "อะ โทษทีนะ"
"ไม่เป็นไร ฉันเองก็ขอโทษด้วยที่ไม่ดูทาง" ชายคนนั้นเดินผ่านจุนอิจิกับฮารุกะไปที่โต๊ะที่มีเด็กผู้หญิงที่เพิ่งมาขอลายเซ็นฮารุกะนั่งอยู่
จุนอิจิก็ไม่ได้ไปสนใจอะไรเขาอีกและเดินออกจากร้านนี้ไป
"ขอบคุณที่ใช้บริการนะครับ!" บริกรในร้านกล่าวก่อนที่ทั้งสองจะออกไปจากร้าน
หลังจากนั้นจุนอิจิมาส่งฮารุกะที่หน้าทางเข้าบริษัทของเธอ
"ไว้คราวหน้าฉันจะไปดูให้ได้เลยนะ การแสดงของเธอน่ะ" จุนอิจิให้คำสัญญา "คราวนี้เองก็ทำให้เต็มที่ล่ะ!"
"อืม! จะพยายามแบบเกินร้อยเลยล่ะ!" ฮารุกะตั้งมั่น "จุนอิจิเองเวลากลับก็ระวังตัวหน่อยนะ"
"ฮะ...ทำไมล่ะ ?" ชายหนุ่มสงสัย
"ก็ช่วงนี้มันมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นบ่อยมากเลยน่ะ เลยอยากจะให้ระวังตัวไว้หน่อยนะ" ฮารุกะแสดงความเป็นห่วง
"อะ...อืม" ถึงจะงงนิดหน่อยแต่จุนอิจิก็ตอบตกลงกลับไป และก็เดินออกจากที่นั้น "แล้วเรา...จะไปไหนต่อดีนะ..."
ชายหนุ่มเดินเตร็ดเตร่เข้าไปในเมือง มองดูชีวิตความเป็นอยู่คนผู้คนที่นี่ ทุกคนก็ต่างใช้ชีวิตไปตามแบบของตัวเอง คนบางคนต้องทำงานหนักเพื่อครอบครัว คนบางคนสนุกอยู่กับเพื่อนฝูง คนบางคนหาเรื่องเล่นสนุกอยู่คนเีดียว คนบางคนกำลังเดินคู่อยู่กับแฟนสาว คนบางคนกำลังป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น มนุษย์คนเดียวไม่อาจที่จะรับรู้ได้หมด
แต่ว่าการใช้ชีวิตไปในเส้นทางของตัวเองและพบปะกับสิ่งใหม่ๆก็เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตเช่นกัน....
ทาจิบานะ จุนอิจิมาหยุดอยู่ที่หน้าพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่ภายในเมือง เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาอยากจะเข้าไปในนั้น "...นานๆที เข้าไปดูบ้างคงไม่เป็นไรล่ะมั้ง..." เขาบอกกับตัวเองแบบนั้นก่อนที่จะเดินตรงเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์นั้น
เขาเดินไปที่หน้าเคาท์เตอร์เพื่อขอซื้อบัตรเข้าชมภายในพิพิธภัณฑ์ "อา...คือว่า...ผมขอบัตรเข้าชมใบนึงครับ"
"ค่ะ ได้ค่ะ!" พนักงานกดปุ่มแล้วก็มีบัตรเข้าชมออกมาพร้อมกับยื่นให้จุนอิจิ "500 เยนค่ะ"
"ครับ นี่ครับ!" จุนอิจิจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ก่อนที่จะเดินเข้าไปผ่านประตูเพื่อเข้าชมในพิพิธภัณฑ์ "หวังว่าที่นี่คงจะดีนะ"
หลังจากที่จุนอิจิเข้าไปได้ไม่นานก็มีชายคนนึงใส่เสื้อเหมือนกับทหารเข้ามาที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เขาซื้อบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์เช่นเดียวกับผู้เข้าชมคนอื่นๆแต่ที่ทำให้เขาดูแปลกกว่าคนทั่วไปคือเขาใส่หมวกปกปิดใบหน้าของตัวเองและยังมีกระเป๋าบางอย่างล็อคไว้กับข้อมือของตัวเอง....เขาเดินผ่านประตูเข้าไปในพิพิธภัณฑ์อย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้น...ก็ยังมีสายตาคู่นึงมองไปที่คนๆนั้น และเขาก็หายไปในความมืดโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ เวลา 14.42 น.
วิทยากรของทางพิพิธภัณฑ์ได้รวบรวมผู้เข้าชมทั้งหมดที่อยุ่ในช่วงเวลานี้โดยมีจุนอิจิ ชายใส่ชุดทหารคนนั้น แม่กับลูกชายอีกสองคน ชายวัยกลางคนใส่เสื้อสีน้ำเงินและอีกคนสีแดง ผู้หญิงที่แต่งตัวอย่างกับจะไปงานเต้นรำและเด็กวัยรุ่นชายหญิงสองคนที่เป็นแฟนกัน ถ้านับรวมทั้งหมดก็ 11 คนพอดี
นี่คือจำนวนคนทั้งหมดที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ในเวลานี้ ซึ่งเรียกได้ว่ามีจำนวนผู้ชมอยู่ในขั้นน้อยมาก
แต่ว่าคนของทางพิพิธภัณฑ์ก็ยังคงพยายามประคับประคองให้ที่นี่ไปได้อย่างราบรื่นให้ได้นานที่สุด หวังว่าจะมีผู้ประสงค์ดีมาช่วย แต่ว่าสถานที่ที่ดูไม่มีความสำคัญเพราะที่นี่ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ที่เดียวในเมืองนี้ ของที่อื่นออกจะมีชื่อเสียงและของให้ชมมากกว่าที่นี่ซะอีก จึงทำให้ลูกค้าของที่นี่ถูกดึงไปที่อื่นจนหมด คนที่จะมาชมที่นี่ส่วนมากก็จะมีแต่คนที่ไม่มีทรัพย์มากเพียงเท่านั้น
"เอาล่ะครับ แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ทางพิพิธภัณฑ์ของเรายินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ผมเป็นวิทยากรของที่นี่ที่จะพาคุณไปรู้จักถึงประวัติของเมืองนี้กันนะครับ ขอให้ทุกท่านเดินเรียงแถวตามผมมาเลยนะครับ!" วิทยากรเดินนำหน้าไป ผมชมทั้งสิบชีวิตก็ดินตามเขาไป
มาถึงเมืองจำลองขนาดย่อมแรกเป็นผังเมืองของเอเรีย 1 WIND ทั้งหมด เมืองทั้งเอเรียถูกจำกัดให้กลายเป็นขนาดเล็กและใช้ในการศึกษาเรื่องภูุมิศาสตร์ได้ "ทุกท่านครับ ที่นี่คือฟูโตะเอเรีย 1 หรืออีกชื่อนึง WIND สาเหตุที่มีชื่อเช่นนี้เพราะว่าที่นี่นั้นเป็นเอเรียที่ขนาดใหญ่ที่สุด และยังเป็นเอเรียที่มีกังหันลมซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองติดตั้งอยู่มากที่สุดอีกด้วย อย่างที่ทราบกันว่าที่เอเรียนี้นั้นมี 2 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของเมืองอยู่ด้วย สองที่นั้นคือ..."
"ลิฟท์วงโคจรครับ!" เด็กชายคนพี่ตอบ
"ฟูโตะทาวเวอร์ครับ!" เด็กชายคนน้องตอบ
"ถูกต้อง เก่งมากเลยทั้งสองคน!" วิทยากรชมเชยเด็กทั้งสองคนและให้ลูกอมให้กับทั้งคู่
"ฟูโตะทาวเวอร์ กังหันลมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและถือว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองของเรา ได้ถูกออกแบบโดยท่านฟูโตะ ยูคิมูระ ชายผู้เป็นผู้สร้างเมืองแห่งนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นเกียรติให้กับเขา กังหันลมนี้จึงใช้ชื่อนามสกุลของท่านมาตั้ง"
"และอีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ของที่นี่นั้นก็คือลิฟท์วงโคจรแห่งแรกของโลก ที่มีความสูงถึง 50,000 กิโลเมตร เป็นลิฟท์ที่ทำให้มนุษย์เราสามารถขึ้นไปยังอวกาศได้โดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ยานอวกาศหรือจรวดขนส่งใดๆทั้งสิ้น จึงเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก และที่แห่งนี้นั้นยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์ของประเทศต่างๆทั่วโลกที่ช่วยกันสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา" วิทยากรอธิบาย
"ฝันของมนุษย์ที่จะสามารถขึ้นไปบนอวกาศไม่ได้เป็นเพียงความฝันอีกต่อไปแล้ว"
ระหว่างที่วิทยากรกำลังพูดอธิบายนอกจากแม่ เด็กทั้งสองคน และจุนอิจิแล้ว คนที่เหลือนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะฟังที่เขาพูดเลยแม้แต่คนเดียว ชายวัยกลางคนสองคนนั้นก็มัวแต่ถกเถียงกันเรื่องหุ้นของบริษัท หญิงสาวที่เอาแต่ส่องกระจกและแต่งหน้าของเธอ คู่รักชายหญิงที่เอาแต่จีบกันจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แล้วก็ชายที่ใส่เสื้อลายทหารที่เอาแต่คุยโทรศัพท์พร้อมสีหน้าที่เคร่งเครียดอยู่ตลอดมาตั้งแต่เมื่อกี้ ทำให้จุนอิจิเกิดความสงสัยว่า.....ทำไมพวกเขาถึงต้องมาที่นี่ด้วยล่ะ...ในเมื่อดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจที่จะมาชมที่นี่เลย
วิทยากรเดินนำไปที่ผังเมืองจำลองเอเรียต่อไป ซึ่งคราวนี้นั้นพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าและภูเขาแต่ก่อมีสิ่งปลูกสร้างกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ เอเรีย 2 แห่งนี้ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ROYAL และที่นี่นั้นเป็นพื้นที่ของโรงเรียนทั้งพื้นที่
"เอเรียที่ 2 ROYAL นะครับ เป็นเอเรียที่มีความแปลกกว่าเอเรียอื่นๆอยู่พอสมควร ไม่ใช่เพราะว่าที่นี่เป็นป่าหรอกนะครับ แต่ว่าที่แปลกคือเรื่องที่ทั้งเอเรียนี้นั้น ถูกนับว่าเป็นเขตของโรงเรียนโรงเรียนหนึ่งที่ชื่อว่า SMART BRAIN รู้จักกันมั้ยครับ ?"
"รู้จักครับรู้จัก!" เด็กชายทั้งสองคนรีบตอบอย่างตื่นเต้น "พวกผมเรียนที่นั่น!"
"โห ที่นั่นเป็นที่ที่ดังมากเลยนะ ได้ยินว่าเป็นโรงเรียนที่มีค่าเข้าแพงมากเลยนี่ พวกเธอสองคนได้เรียนที่นั่นถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากเลยล่ะ!" วิทยากรบอกกับเด็กๆทั้งสองก็ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกภูมิใจไปด้วย
"ที่นั่นน่ะก็มีแต่พวกอวดรวยเท่ากับพวกใช้เส้นเท่านั้นแหละ บอกว่าเป็นที่ที่เข้าอยากแต่ว่านักเรียนกว่าครึ่งของที่นั่นได้เข้าเรียนฟรีเพราะต่างใช้เส้นกันทั้งนั้น" วัยรุ่นชายพูดประกาศออกมาแบบไม่อายใคร
"ใช่ๆ นักเรียนที่นั่นก็ดูเหมือนจะมีแต่ลูกคุณหนูกันทั้งนั้น ก็โรงเรียนดังนี่เนอะ" วัยรุ่นหญิงซบไหล่แฟนเธอ
"นี่พวกคุณอย่าพูดเรื่องแบบนี้ให้ลูกๆฉันฟังจะได้มั้ยคะ ?" แม่ของเด็กๆทั้งสองพูดขึ้น
"พวกเราก็แค่พูดความจริงเท่านั้นล่ะ" วัยรุ่นชายตอบกลับไป
"เออ....พี่ครับ" จุนอิจิยกมือให้วิทยากรหันมาสนใจเขา "ผมอยากเข้าห้องน้ำ ต้องไปทางไหนเหรอครับ ?"
"อ้อ อยู่ทางนั้นครับ ไปทำธุระให้เสร็จก่อนได้เลย!"
"ขอบคุณครับ!" จุนอิจิแยกตัวออกจากแถวไปเข้าห้องน้ำ
เขาเดินไปที่อ่างล้างหน้าและเปิดก๊อกน้ำล้างหน้าเขา พร้อมกับหาวิธีระบายความรู้สึกคับแค้นใจที่มีต่อวัยรุ่นสองคนนั้นที่มาต่อว่า โรงเรียนที่เขาเรียนอยู่ "มันก็อาจจะจริงอย่างที่พวกเขาว่า....นักเรียนส่วนมากที่เรียนที่นั่น จะมีแต่พวกที่ใช้เส้น....แม้แต่ตัวเราเอง..." จุนอิจิมองหน้าตัวเองในกระจก พร้อมกับนึกถึงอดีตของตัวเองที่ไม่ดีนัก
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงดังประหลาดที่ดังมาจากในห้องน้ำในสุดทำเอาเขาตกใจไปแว่บนึง ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปมองทางนั้น
"อะไรน่ะ!?" จุนอิจิรู้สึกถึงกลิ่นอายประหลาดที่มาจากทางห้องนั้น เป็นความรู้สึกที่ชวนให้รู้สึกไม่ดีนัก.....
ชายหนุ่มค่อยๆเอื้อมมือไปจับไม้ถูพื้นข้างๆเพื่อหวังอาจจะใช้มันเป็นอาวุธป้องกันตัวได้ซักเล็กน้อย "จะ..จะมาแล้ว!?"
ประตูห้องในสุดๆค่อยเปิดออกอย่างช้าๆ......แล้วก็มีภารโรงเดินออกมาจากห้องนั้น
"...." ภารโรงมองไปที่จุนอิจิด้วยสายตาที่ไม่เป้นมิตร ร่างของจุนอิจิเหมือนต้องมนต์สะกด....เขาไม่อาจที่จะขยับร่างกายของตัวเองได้แม้แต่ปลายนิ้ว...และชายคนนั้นก็เดินเข้ามาใกล้...เรื่อยๆ
"จะ...จะทำยังไงดี ?" ชายหนุ่มถามตัวเอง หัวใจของเขาเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ร่างของชายต้องหน้าค่อยๆเดินตรงเข้ามาใกล้เขาทีละนิด....จนในที่สุด.........ชายคนนั้นก็เดินผ่านไป
ปล่อยให้ทาจิบานะ จุนอิจิ คุกเข่าลงด้วยความกลัว "แฮ่ก...แฮ่ก..."
"ทำไม...คนๆนั้นถึง...?" จุนอิจิรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้นัก สิ่งเดียวที่จะช่วยขจัดสิ่งเดียวที่เขาสงสัยลงได้มีเพียง....
ชายหนุ่มค่อยๆพยายามลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปที่ห้องที่ภารโรงคนนั้นออกมา ชายหนุ่มจับลูกบิดประตูและค่อยๆหมุนเปิดประตูบานนั้นออกมาด้วยความกลัว.....
"หวังว่า....จะไม่ใช่...แบบที่เราคิดนะ..." จุนอิจิรวบรวมความกล้าเปิดประตูออก และสิ่งที่เขาพบคือ....
วิทยากรพูดขึ้นและกำลังจะนำทางผู้ชมทุกท่านไปชมส่วนต่อไป "เอาล่ะพวกเราจะไปส่วนต่อไปกันเลยนะครับ!"
"พี่ครับๆ" เด็กชายคนน้องเข้ามาสะกิดที่แขนเสื้อของวิทยากร
"เอ๋...มีอะไรเหรอครับ ?" วิทยากรก้มตัวลงเพื่อที่จะคุยกับเด็กชายได้อย่างสะดวก "มีปัญหาอะไรรึเปล่า ?"
"พี่ครับ ผมอยากรู้ว่าตรงนั้นคืออะไรน่ะครับ ?" เด็กชายถามและชี้ไปบนเพดานฝั่งตรงข้าม
"หืม...ตรงนั้นมันมีอะไรงั้นเหรอ...!!?" วิทยากรหันกลับไปมองทางที่เด็กชายชี้ก็พบกับ....ร่างของคนคนหนึ่งที่ถูกเฉือนผิวหนังออกจนเหลือเพียงแต่กล้ามเนื้อสีแดง....ลำไส้ที่ถูกขวักออกมา...เลือดสีแดงที่ไหลรินลงมา...ชายที่ถูกแขวนไว้กับโซ่เหล็ก
"นะ...นั่นมัน...อะไรกันน่ะ!?"
ชายวัยกลางคนเสื้อแดงสังเกตเห็นว่าวืทยากรสีหน้าดูแปลกไปเมื่อมองขึ้นไปบนนั้น เขาจึงหันไปมองตามก็พบกับร่างๆนั้น "แย่แล้วนั่นมันบ้าอะไรน่ะ!?"
ชายวัยกลางคนพูดขึ้น ทำให้ผู้ชมคนอื่นๆต่างหันไปตามเสียงนั้นและต่างก็เห็นศพที่ถูกแขวนไว้ทุกคน
"กรี๊ดดด!!!" วัยรุ่นหญิงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
"ใครก็ได้ทำให้ยัยเด็กบ้านี่เงียบทีซิ!" ชายวัยกลางคนเสื้อสีน้ำเงินหันกลับมาต่อว่า
"ว่าไงไอ้แก่นี่ นี่แฟนฉันนะเฟ้ย!" วัยรุ่นชายพยายามที่จะปกป้องแฟนสาวของเขา
"ช่วยสงบสติกันก่อนแล้วติดต่อตำรวจจะได้มั้ย!?" หญิงสาวตะโกนใส่ทั้งสองแต่พวกเขาก็ไม่สนใจ
"ริว เคน มาทางนี้เร็วเข้าลูก!" แม่ของเด็กทั้งสองเรียกลูกให้มาหาเธอ
"มะ...มันมาแล้วเรอะ..." ชายชุดทหารรู้สึกตื่นตระหนก
"โทรศัพท์....ไม่มีสัญญาณเลย!" ชายวัยกลางคนเสื้อแดงพยายามโทรแต่บริเวณนี้กลับไปมีสัญญาณ
"ตอนนี้ทุกๆคนช่วยอยู่ในความสงบหน่อยครับ!!" วิทยากรตะโกนเสียงดังคุมสติของทุกคนไว้ได้ "ตอนนี้เราต้องออกไปติดต่อพนักงานที่อยู่ข้างนอกให้ได้ก่อน..."
จุนอิจิออกมาจากห้องน้ำด้วยความกลัว เขาเพิ่งไปเห็นภาพบางอย่างที่ไม่ควรไปเห็นเข้า
"....คะ...คุณ..ครับ...ขะ...ข้างในนั้น...มะ..มี ศพของ....คนอยู่ครับ..." ชายหนุ่มยังคงจำภาพของสภาพศพที่เขาเห็นได้อย่างดี ร่างกายที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ...อวัยวะที่ถุกตัดขาดออกจากร่าง....ใบหน้าของคนที่หวาดกลัวอย่างสุดชีวิตก่อนที่จะตายไปแบบไม่รู้ตัว...
"ว่าไงนะ มีอีกศพงั้นเรอะ!" วิทยากรเริ่มเห็นว่าแบบนี้เป็นสถานการณ์ที่ไม่ดีแน่ จึงคิดจะพาทุกคนออกไป
"ทุกท่านครับ ยังไงตอนนี้เรารีบออกไปจา...."
กริ๊ง!!
ทันใดนั้นสัญญาณเตือนไฟไหม้ของพิพิธภัณฑ์ก็ดังขึ้น ทำให้ประตูทางออกทุกบานถูกประตูเหล็กปิดตายไว้ทุกทาง แสงไฟภายในพิพิธภัณฑ์ดับลงและมีสัญญาณไฟเตือนภัยสีแดงถูกเปิดขึ้นพร้อมกับเสียงสัญญาณแทน
ชายวัยกลางคนเสื้อสีน้ำเงินกระชากคอเสื้อของวิทยากรมาชักถามให้รู้เรื่อง "นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่!?"
"ทางเราก็ไม่ทราบครับ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทางเราเป็นคนจัดขึ้น!" วิทยากรตอบไปตามความจริง
"พวกเราจะตายกันหมด......พวกเราต้องตายกันหมดแน่ๆ!" หญิงสาวก้มหัวลงด้วยความกลัว
"ฉันกลัวจังเลย!" วัยรุ่นสาวกอดแฟนหนุ่มของเธอด้วยความกลัว
"ไม่เป็นไร..ฉะ..ฉันจะปกป้องเธอเอง..." วัยรุ่นชายปลอบใจแฟนของเขา
"นี่พวกเราจะไม่เป็นไรจริงๆเหรอ!?" แม่กอดลูกทั้งสองไว้ และพยายามถามคนอื่นๆแต่ตอนนี้ไม่มีใครที่พอจะพูดรู้เรื่องแล้ว
"...!!" ชายชุดทหารก็ยังทำหน้าหวาดกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เนื่องจากทุกคนเริ่มสติแตกจึงทำให้ชายวัยกลางคนเสื้อสีแดงที่กำลังจะหาทางติดต่อออกไปข้างนอกรู้สึกรำคาญ "เห้ย พวกแกน่ะช่วยเงียบๆกันหน่อยจะได้มั้ย!?"
ฉึก!
"อัก....อะ...ไร..." ร่างของชายผู้นั้นถูกบางสิ่งบางอย่างที่แหลมคมแทงทะลุเข้าท้อง ชายคนนั้นสิ้นลมหายใจลงไปก่อนที่จะได้เห็นใบหน้าของผู้ที่แทงสังหารเขา
"เจ้าพวกมนุษย์ชั้นต่ำอย่างพวกแกน่ะ ควรตายๆกันไปให้หมด..อนาคตน่ะพวกเราลอสท์จะขอเป็นผู้ริเริ่มใหม่เอง!"
ภารโรงที่จุนอิจิเดินสวนทางด้วยตอนอยู่ในห้องน้ำคือบุคลที่เป็นผู้สังหารชายชุดแดงนั้น
วิธีฆ่าของเขา..ไม่ได้ใช้อาวุธหรืออุปกรณ์ใดๆ แต่ว่า....สิ่งนั้นดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของร่างของของภารโรงคนนี้มากกว่า มือข้างขวาของเขาที่ใช้แทงใส่คนผู้นั้นมีลักษณะแหลมคมเหมือนดาบยาว เขาดึงดาบออกจากร่างของบุคคลผู้นั้นและขว้างออกไป
"พวกแกเอง....ถ้าไม่ยอมส่งกระเป๋าใบนั้นมา...พวกแกก็ต้องจบชีวิตลงที่นี่!" ร่างกายของภารโรงผู้นี้ค่อยๆมีไอควันความร้อนออกมาจากร่าง และค่อยกลายสภาพเปลี่ยนร่างไปเป็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับตั๊กแตนตำข้าว
"ฉะ..ฉันไม่เอา!!" ชายชุดสีแดงรีบวิ่งหนีทันที
"คิดว่าจะหนีข้าพ้นงั้นเรอะ!" เมนทิส(ตั๊กแตนตำข้าว) ปล่อยโซ่ที่แขนของมันแทงใส่ขาของชายผู้นั้น แล้วดึงเข้าหาตัวมัน จากนั้นก็ใช้แขนทั้งสองข้างที่เหมือนกับใบมีดล็อคคอของเขาไว้
"ชะ..ช่วย...ฉันด้วย!" ชายชุดแดงพยายามขอความชาวยเหลือ แต่กลับมีแต่คนถอยห่าง
"ทุกคนครับ รีบหนีเร็วเข้า!!" วิทยากรตะโกนบอกคนอื่นๆ
วัยรุ่นทั้งสองกับชายที่ใส่เสื้อทหารรีบวิ่งหนีไปอีกทางนึง แม่กับลูกๆทั้งสองของเธอและหญิงสาวรีบไปอีกทางนึง ส่วนวิทยากรก็กำลังจะตามไปแต่ว่าเมื่อเขาเห็นจุนอิจิที่ยังช็อคอยู่ ทำให้เขาต้องกลับไปช่วยเขาก่อน
"นี่เธอรีบหนีเร็วเข้า!"
"ตะ..แต่ว่า..." จุนอิจิคิดที่จะเข้าไปช่วยชายคนนั้น แต่ว่าวิทยากรก็จับมือเขาไว้พร้อมกับส่ายหน้าและพาเขาวิ่งหนีทันที
"ช่วยฉันด้วย!!!" ชายชุดแดงพยายามร้องขอความช่วยเหลือ...แต่ตอนนี้ทุกคน....ได้แยกกันไปหมดแล้ว
"เสียใจด้วยนะ...มนุษย์น่ะก็เป็นแบบนี้นั่นล่ะ ไม่คิดถึงเรื่องของคนอื่น นอกจากเรื่องของตนเอง...ฉันถึงอยากจะเปลี่ยนแปลงมันยังไงล่ะ!" เมนทิสตัดคอของชายวัยกลางคนอย่างไร้ปราณี
"..ไม่ยอมให้หนีไปได้หรอก!"
ทางด้านวิทยากรพยายามดึงตัวจุนอิจิวิ่งหนีมาอย่างสุดชีวิต จนมาถึงหน้าห้องโบราณวัตถุ
"ห้องนี้...ถ้าจำไม่ผิด" เขาผลักเชายหนุ่มเขาไปในห้องนั้นและกดปุ่มที่ข้างๆประตุห้อง "ฟังนะถ้าไปตามทางนี้ จะมีทางออกไปข้างนอกที่ยังไม่ได้ล็อค เธอน่ะจะต้องออกไปทางนั้น!"
"เดี๋ยวสิครับ แล้วถ้าอย่างงั้นคุณกับคนอื่นๆล่ะ ?" จุนอิจิถาม
"ฉันจะปิดล็อคประตูนี้และพยายามล่อมันไว้เอง...หากมันรู้ว่าเธอหนีไปได้ล่ะก็ มันก็อาจจะตามไปฆ่าเธอก็ได้" วิทยากรใส่รหัสปิดล็อคประตูเสร็จสิ้น ประตูเหล็กก็ค่อยๆเลื่อนลงมา "ฉันฝากด้วยล่ะ!"
"คุณครับ..!!" จุนอิจิพยายามที่จะปฏิเสธแต่ว่าทันใดที่ประตูนั้นปิดลงก็ทำให้เขาไม่สามารถกลับไปฝั่งนั้นได้อีกแล้ว
วิทยากรหันหลังกลับเขาก็เจอกับเมนทิสที่ยืนรออยู่แล้ว "นี่แกคิดเหรอว่าประตูแค่นั้นจะปกป้องเจ้าเด็กนั่นได้"
"อย่างน้อย....ก็น่าจะถ่วงเวลาไว้ได้เดี๋ยวนึงล่ะน่า..." วิทยากรหยิบท่อนไม้ข้างๆขึ้นมาแล้ววิ่งเข้าหาเมนทิสแบบไม่กลัวเกรง "ย้ากกกก!!!"
"ช่างโง่เขลานัก!" ปิศาจตั๊กแตนใช้ดาบของมันฟันท่อนไม้นั้นหักออกเป้นสองท่อนและใช้ดาบอีกข้างแทงทะลุหัวใจของชายผู้นี้ ทำให้เขาสิ้นใจลงในทันที "อย่างน้อยๆ...แกก็แสดงความดีจอมปลอมออกมาก่อนที่จะตาย..."
เมนทิสเหวี่ยงร่างของวิทยากรออกไป และเดินไปที่ประตูเหล็กด่านหน้า "ขอจัดการให้เรียบร้อยล่ะ..!"
มันยกดาบของมันขึ้นแต่เมื่อกำลังจะฟันมันก็เกิดหยุดชะงัก
"ตอนนี้เรากลับไปทำหน้าที่ของเราให้เสร็จก่อน...แล้วค่อยกลับมาคิดบัญชีกับมันทีหลังก็ได้!"
เมื่อตัดสินใจเช่นนั้นปิศาจตั๊กแตนตำข้าวก็หันหลังกลับและเดินไปตามทางที่ชายใส่เสื้อลายทหารผู้นั้นไป
ส่วนจุนอิจิที่ต้องเห็นคนมาตายต่อหน้าถึง 4 คน จิตใจของเขาก็ถึงกับรับไม่ไหว ต้องมานั่งเสียใจพิงที่กำแพงหินศิลาโบราณ ปล่อยให้เวลาผ่านไป....อย่างไร้ความหมาย....
.
.
.
.
ห้องชมหุ่นจำลองรูปสัตว์ เวลา 15.51 น.
วัยรุ่นชายหญิงและชายชุดทหารหนีมาห้องจำลองหุ่นสัตว์ เห็นว่าไม่มีใครตามมาแล้วจึงคิดว่าที่นี่น่าจะปลอดภัย
"ถะ...ถ้าเป็นที่นี่...อะ...อาจจะรอดก็ได้" วัยรุ่นชายบอกกับทั้งสองคน
"ที่รัก...พวกจะรอดออกไปด้ใช่มั้ยคะ ?" วัยรุ่นหญิงถาม
"ตะ...ต้องได้สิ....จะ..เจ้านั้น...มะ...มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก!" วัยรุ่นชายตอบกลับไปทั้งๆที่ตัวเองยังตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่
"ฉะ...ฉันไม่น่ารับงานนี้เลย!" ชายชุดทหรไปนั่งกุมขมับข้างๆรูปปั้นเสือ เหมือนกับว่าเขาไปทำอะไรสักอย่างผิดพลาดมา และนั่นทำให้วัยรุ่นชายเห็นถึงกระเป๋าที่ห้อยอยุ่ที่แขนของเขา
"เดี๋ยวนะ นั่นมัน..." วัยรุ่นชายนึกถุงคำพูดของเมนทิสขึ้นมาได้
"พวกแกเอง....ถ้าไม่ยอมส่งกระเป๋าใบนั้นมา...พวกแกก็ต้องจบชีวิตลงที่นี่!" คำพูดของเมนทิสที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ทำให้วัยรุ่นชาย คิดออกว่าจะหาวิธีรอดจากที่นี่ได้ด้วยวิธีใด
"นี่เป็นแกเองสินะ ที่ทำให้พวกเราต้องมาซวยกันน่ะ!" วัยรุ่นชายกระชากคอเสื้อของชายชุดทหารมาถาม
"ในกระเป๋านี้มันมีอะไรถึงทำให้มันต้องการถึงต้องฆ่าคนอื่นแบบนี้!!"
"ฉะ...ฉันไม่รุ้...ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น!!" ชายชุดทหารปฏิเสธอย่างสุดชีวิตและวิ่งหนีไป
"หยุดนะ!!" วัยรุ่นชายวิ่งตามไปและกระโดดจับขาของเขาไว้ จากนั้นก็ขยับขึ้นไปชกหน้าของชายชุดทหารนั้นทีนึง
"เพราะแก...เพราะแกทำให้พวกเราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้!" วัยรุ่นชายคลั่งชกหน้าของชายใส่ชุดทหารแบบไม่ยั้งจนทำให้ทั้งหน้าของเขาเละไม่มีชิ้นดี จนในที่สุดคนๆนั้นก็สิ้นลมหายใจลงไป
"ทะ...ทำไม ทำแบบนี้ล่ะ ?" แฟนสาวถามอย่างหวาดกลัว
"ไม่เป็นไร สิ่งที่เจ้านั่นมันต้องการคือกระเป๋าใบนี้ พวกเราปลอดภัยแล้วล่ะ!" วัยรุ่นชายปลดกระเป๋าที่ติดอยู่กับข้อมือของชายชุดทหารออก และนำกระเป๋าใบนั้นมา
"ถ้าเรามอบสิ่งนี้ให้มันเราก็จะรอด!"
"จริงสิ!" วัยรุ่นชายและวัยรุ่นหญิงพูดอย่างมีตวามหวัง แต่ว่าเมื่อเมนทิสเดินเข้ามาในห้องทั้งสองก็ต้องพร้อม
"นี่ไง ของที่นายต้องการน่ะ ปล่อยพวกเราไป แล้วฉันจะให้สิ่งนี้กับนาย!"
"เป็นข้อเสนอที่ดีหนิ แต่ว่า...ฉันใจดีได้แค่ให้คนนึงรอดเท่านั้น....พวกแกคนไหนจะยอมตายลงที่นี่ล่ะ ?" เมนทิสยื่นข้อเสนอ
"คุณคะ..!" แฟนสาวมองแฟนหนุ่มของเธออย่างมีหวัง
"ของมันแน่อยู่แล้วก็ต้องให้ฉันรอดอยู่แล้วสิ!" พูดเสร็จวัยรุ่นชายก็ยัดกระเป๋าใส่มือของวัยรุ่นหญิงและและผลักเธอไปหาเขี้ยวแห่งมัชจุราชตรงหน้า แทงทะลุหน้าอกเธอสิ้นลมหายใจในทันที
"งั้นฉันขอตัวล่ะ!!" วัยรุ่นชายรีบวิ่งหนีไปโดยที่ไม่หันกลับไปมองข้างหลังเลย....
"...มนุษย์้เรา ปากบอกว่ารักกัน....แต่จริงๆแล้วหาคนที่พูดความจริงไม่ได้สักคน" เมนทิสสลัดร่างที่ไร้วิญญาณของหญิงสาวออก และใช้คมเขี้ยวของมันตัดกล่องใบนั้นขาดออกเป็นสองท่อน พบว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ภายในนั้นเลย
"เป็นแค่ตัวล่ออย่างที่คิดไว้จริงๆ....อุตส่าห์ยอมเสียเวลาตามล่ามาตั้งนาน...ถ้าอย่างงั้น ก็ขอไประบายกับขยะพวกนั้นหน่อยก็แล้วกัน!" ปิศาจร่างตั๊กแตนเดินกลับไป...เพื่อที่จะฆ่าปิดปากผู้รอดชีวิตที่เหลือ...
ทาจิบานะ จุนอิจิ นั่งร้องไห้เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เพียงคนเดียวในห้องวัตถุโบราณ
"ถ้าเรา...ทำได้ดีกว่านี้...พวกเขาก็คงจะ..." ชายหนุ่มโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเหล่านั้นต้องมาตาย และนั่งสิ้นหวังกับเรื่องที่เกิดขึ้น "พอแล้วล่ะ...จะตายก็ตายเถอะ...เรา...ไม่อยากมีชีวิตต่อไปอีกแล้ว..."
"เรามันก็เป็นได้แค่...คนธรรมดาคนนึง..." จุนอิจิหมดอาลัยตายอยากจากทุกสิ่ง แต่ตอนนั้นเองแผ่นศิลาที่เขานั่งพิงอยู่นั้นก็เปล่งแสงสีทองออกมา ทำให้เขาต้องรีบลุกออกมา
"กะ..เกิดอะไรขึ้น!?"
ครืน!!
แผ่นศิลานั้นเกิดปฏิกิริยาบางอย่างขึ้น ที่กลางแผ่นศิลาได้แตกออกและได้ปล่อยวัตถุประหลาดที่รูปร่างและขนาดคล้ายกับหนังสือสมุดเล่มนึง
"นี่มัน ?" จุนอิจิเดินเข้าไปเก็บหนังสือเล่มนั้นขึนมาและพอเปิดออกก็พบกับเหรียญประหลาด
"นี่มัน...เหรียญงั้นเรอะ ?" ภายในหนังสือเล่มนี้ มีเหรียญทั้งหมด 6 สี แต่ละสีจะมีอย่างละสามเหรียญและทั้งหมดจะมีลายสลักที่ต่างกันออกไป เป็นรูปของสัตว์ต่างๆ
"เจ้าพวกนี่มัน...เป็นของพิพิธภัณฑ์งั้นเรอะ ?"
ตึง!
"โอ๊ย!" จุนอิจิถูกวัตถุประหลาดที่ตกลงมาจากข้างบนหล่นใส่หัว
"อะไีอีกล่ะ ?" ชายหนุ่มหยิบเจ้าวัตถุทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าที่หล่นใส่หัวของเขาขึ้นมา แต่เขาก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้มันคืออะไร....เพียงแต่เขารู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างน่าประหลาด....
"เจ้าพวกนี้....หรือว่า ?" ถึงจะยังไม่รู้ว่ามันสามารถนำไปใช้อะไรได้ แต่ความรู้สึกของจุนอิจิบอกว่าพวกมันเป็นสิ่งสำคัญ เขาจึงเก็บของทั้งสองลงเสื้อ
กรี๊ดดด!!!!~
เสียงร้องของหญิงสาวดังขึ้น....
จุนอิจิที่ได้เสียงนั้นจึงตัดสินใจที่จะกลับไป...กลับไปตัดสินกับเจ้าปิศาจร่างตั๊กแตนนั้น
ห้องนิทรรศกาลจัดภาพวาดเขียน เวลา 16.15 น.
เมนทิสแทงหญิงสาวในชุดเต้นรำและสะบัดเธอลงไปกองกับพื้น เธอไม่สามารถขยับได้...เพียงแต่เธอยังไม่ตาย
"ยังไม่ตายเรอะ....แต่ว่าก็ช่างมันเถอะ ลองชิมรสชาติของความทรมาณก่นที่จะค่อยๆตายไปก็แล้วกัน!" ปิศาจต๊กแตนตำข้าวเปลี่ยนหันไปสนใจสามแม่ลูกแทน
"ต่อให้เป็นเด็กฉันก็ไม่ปราณีหรอกนะ...เพราะยังๆหากพวกนั้นโตขึ้น..ก็คงเป็นได้แค่ขยะของโลกใบนี้อยู่วันยังค่ำ เหมือนแม่ของพวกมัน!" เมนทิสพุ่งเข้าหาพวกเขาทั้งสาม ตอนนั้นเองก็มีโทรศัพท์ขว้างใส่หัวมันจนทำให้มันต้องหยุดชะงัก "นี่แก...!?"
จุนอิจิเดินเข้ามาพร้อมกับแววตาและสีหน้าที่ไปคนละคนกับเมื่อก่อนหน้านี้
"หยุด..ทำแบบนั้นนะ!"
"แกเองเรอะ....ฉันนึกว่ากลัวหัวหดจนหนีไปแล้วซะอีก....แต่ก็ดี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาตามล่า!" เมนทิสชักดาบคู่ของมันพร้อมที่จะเข้าไปฆ่าจุนอิจิ
"ฉันอาจจะเป็นได้เพียงแค่คนๆนึงที่ไม่มีอะไรเลย....แต่ว่า ฉันนี่ล่ะจะเป็นจัดการกับนายเอง!" จุนอิจิกล่าว
"คิดว่าคนอย่างแกจะทำได้อย่างงั้นเรอะ!" เมนทิสเขวี้ยงโซ่เหล็กพุ่งใส่จุนอิจิ
ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบและวิ่งเข้าไปใกล้ตัวมันและเงื้อมหมัดที่จะชกใส่มัน แต่ว่าเมนทิสสามารถไหวตัวกลับมาตั้งรับได้อย่างรวดเร็ว และใช้หัวกระแทกจุนอิจิจนล้มลง
"ตายซะเถอะ!" เมนทิสใช้ดาบแทงลงไปที่อกของชายหนุ่ม
เพล้ง!!
เสียงปะทะกับบางอย่างที่เมนทิสคาดไม่ถึง สิ่งนั้นได้ปกป้องจุนอิจิไว้จากความตายได้
"อะ..อะไรน่ะ ?" เมนทิสรีบชักดาบกลับ และถอยห่างจากเด็กหนุ่ม "เมื่อกี้...ข้าแทงอะไรลงไป...ทำไมถึงไม่ทะลุ ?
"หรือว่า...!?" จุนอิจิหยิบสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขาออกมา สิ่งนั้นคือวัตถุประหลาดทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เขาเก็บมาด้วยที่แผ่นศิลานั้น "...งั้นเรอะ...นี่เราถูกช่วยไว้อีกแล้วสินะ..."
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอีกครั้งสายตามองตรงไปที่เมนทิส "ฉันเข้าใจแล้ว..."
"แกเข้าใจอะไรของแก!!?" เมนทิสชี้ดาบไปที่หน้าของจุนอิจิ
"ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้...ฉันได้พบกับเรื่องที่ต้องทำให้รู้สึกเจ็บปวดมามาก...แต่ว่า...ฉันก็เพิ่งได้รู้ว่า...จริงๆแล้ว ฉันเองก็ได้รับการช่วยเหลือจากคนมากมายๆ พวกเขาต่างก็เป็นคนสำคัญสำหรับฉัน!" ชายหนุ่มนึกถึงภาพของน้องสาวของเขาที่ช่วยปลุกเขาออกจากห้องดูดาวส่วนตัว ภาพของฮารุกะเพื่อนสมัยเด็กที่ให้กำลังใจเขา และวิทยากรที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
"พวกเขาช่วยเหลือฉันไว้มาก....แต่ว่า คราวนี้..ฉันจะเป็นฝ่ายช่วยบ้างล่ะ!!"
พูดเสร็จวัตถุประหลาดทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าก็แตกออกกลายเป็นสภาพเหมือนใหม่ หนังสือที่เก็บเหรียญไว้ก็เปลี่ยนสภาพกลับเป็นเหมือนใหม่เช่นกัน จากนั้นวัตถุทรงสี่เหลี่ยมนั้นก็เข้ามาสวมที่เอวกลายเป้นเข็มขัดให้กับจุนอิจิในทันที
รูปร่างของมันเหมือนจะมีช่องสามช่องวงกลมไว้ใส่อะไรบางอย่างลงไป
"ช่องสามช่อง....หรือว่าจะ..." ชายหนุ่มเปิดหนังสือที่เก็บเหรียญออกมาและเลือกเหรียญที่จะใส่ลงไป
"ไม่รู้หรอกนะว่าจะทำอะไร แต่ว่าไม่ยอมให้ทำได้หรอก!" ลอสท์เมนทิสปล่อยโซ่เข้าไปโจมตีใส่หนังสือเก็บเหรียญของจุนอิจิทำให้มันกระเด็นหลุดมือออกไป
"ถ้าไม่มีของนั้นเท่านี้แกก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว!!" เมนทิสชักโซ่กลับแล้วขว้าโจมตีใส่จุนอิจิอีกที
"อ้ากกก!!" ชายหนุ่มถูกโซ่เหล็กกระแทกไปชนกับกำแพง โซ่เหล็กแทงทะลุไหล่ข้างขวาจนเกิดเป็นแผลขนาดใหญ่
"เราจะต้อง...ทำให้ได้!" จุนอิจิเอื้อมมือไปหยิบเหรียญที่ตกอยู่ข้างสามเหรียญและนำมาใส่ที่เข็มขัดของเขา เหรียญที่หนึ่งเป็นสีแดง เหรียญที่สองสีเหลือง เหรียญที่สามสีเขียว
เมื่อใส่เหรียญทั้งสามได้สำเร็จ ของรูปร่างครึ่งวงกลมที่เอวข้างขวาก็เรืองแสงสีทองออกมา จุนอิจิจึงหยิบมันขึ้นมา "เอาล่ะนะ!" เขาใช้สิ่งนั้นสแกนลงไปที่เข็มขัดของเขาเอง
"ตายซะเถอะ!!" เมนทีสขว้างโซ้เหล็กใส่จุนอิจิอีกครั้ง แต่คราวนี้มีแสงสีทองออกมาป้องกันเขาเอาไว้
TAKA (เหยี่ยว)
TORA (เสือ)
BATTA (ตั๊กแตน)
TATOBA TATOBA TATOBA
ร่างของชายหนุ่มเปลี่ยนไปสวมเกราะประหลาดทั้งร่าง โดยที่มีส่วนหัวเป็นสีแดงคล้ายกับนกเหยี่ยว ส่วนลำตัวเป็นสีเหลืองมีลักษณะลายของเสือ และส่วนขาเป็นสีเขียวมีลักษณะเป็นลายของตั๊กแตน
"เสียงเมื่อกี้ ? เหยี่ยว เสือ ตั๊กแตน อะไรล่ะนั่น"
จุนอิจิมองร่างของตัวเองในกระจกก็พบว่าร่างของเขานั้นเปลี่ยนไป
"นี่คือ...ตัวเรางั้นเรอะ ?"
"อย่ามาแสดงกลอะไรหลอกคนอื่นหน่อยเลยน่า!!" เมนทีสขว้างโซ่เหล็กใส่จุนอิจิอีกครั้งแต่คราวนี้ชายหนุ่มกางกรงเล็บของเสือออกมาและปัดการโจมตีนั้นออกไป
"นี่เรา...ทำได้จริงๆ"
"แค่ฟลุ๊คล่ะน่า" ปิศาจตั๊กแตนพุ่งเข้าหาจุนอิจิแล้วใช้ดาบฟันในแนวนอนใส่เขา
แต่ว่าเพียงแค่เขากระโดดก็สามารถหลบการโจมตีนี้ก็เมนทีสได้อย่างง่ายดายแล้ว และยังสามารถเตะมันกระเด็นออกไปได้อีก
จุนอิจิกลับลงมาที่พื้น เขาหยิบหนังสือที่เก็บเหรียญเมดัลเหล่านี้ขึ้นมาและพบเห็นสักลักษณ์บนหนังสือที่เขียนว่า OOO "งั้นเรอะ....ชื่อของเราก็คือ โอส(OOO) นี่ล่ะคือพลัง...ของฉัน!!"
ดวงตาของโอสเปล่งแสงสีแดงขึ้นมา ด้วยพลังของเหยี่ยวทำให้เขาสามารถมองเห็นจุดอ่อนของเมนทีสได้อย่างชัดเจน
"ตรงนั้นสินะ!" โอสสร้างกรงเล็บขึ้นมาใหม่แล้วโจมตีใส่จุดที่อ่อนที่สุดของแขนข้างขวาและข้างซ้ายของเมนทีสพร้อมกัน ทำให้ดาบเขี้ยวของมันขาดออกในทันที
"จะ..เจ้านี่" เมนทีสเปลี่ยนไปใช้โซ่รัดตัวของโอสแทน
"ฮึ่ม...ถ้าอย่างงั้น..." จุนอิจิเปลี่ยนเมดัล(เหรียญ) ตรงส่วนกลางออกและใส่เมดัลสีเขียวอ่อนลงไป จากนั้นก็สแกน
TAKA (เหยี่ยว)
KAMAKIRI (ตั๊กแตนตำข้าว)
BATTA (ตักแตน)
TAKAKIRIBA
ลำตัวของโอสเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนและสั่งนั่นได้เปลี่ยนรูปแบบพลังของเขาที่ส่วนตัวไปด้วย
ทำให้อาวุธจากกรงเล็บของเขากลายเป็นเคียวของตั๊กแตนตำข้าวแทน และสามารถใช้สิ่งนั้นตัดโซ่เหล็กของเมนทีสออกได้อย่างง่ายดาย
"เอาล่ะนะ!" ขาของโอสเรืองแสงสีเขียวออกมา และช่วยเสริมแรงกระโดดให้เขาเข้าไปใกล้ตัวมันได้อย่างรวดเร็ว
"ฮ่าส์!!" ลำตัวของโอสเรืองแสงสีเขียวและใช้เคียวตักแตนหมุนตัวตัวฟันโจมตีใส่ลอสท์ จากนั้นก็ใช้มือต่อยกระแทกมันจนกระเด็นออกไปใกล้เด็กๆ
"มานี่เลย!" เมนทีสลุกขึ้นและจับเด็กผู้ชายคนนึงไว้เป็นตัวประกัน "ถ้าแกขยับแม้แต่นิดเดียว ข้าจะฆ่าเด็กคนนี้ซะ!"
"ริว!" แม่ของเด็กพยายามที่จะเข้าไปช่วยแต่ว่าก็สู้แรงของลอสท์ไม่ได้และถูกสลัดออก
"จะทำยังไงล่ะ เจ้าฮีโร่!?" เมนทีสจ่อมือไว้ที่คอเด็กพร้อมที่จะสังหารเขาได้ทุกเมื่อ
จุนอิจิเห็นแบบนั้นจึงค่อยๆถอดเมดัลที่ส่วนลำตัวและก็ส่วนขาออกอย่างช้าๆโดยที่ไม่ให้มันรู้ตัว
"ตายซะเถอะ" เมนทีสขว้างเคียวโซ่ใส่โอสอีกครั้งหวังที่จะจัดการเขาลงให้ได้ จังหวะนั่นเองชายหนุ่มก็ทำการหยิบเครื่องนั้นมาสแกนที่เข็มขัดแล้วรีบวิ่งตรงเข้าไปช่วยเด็กคนนั้น
TAKA (เหยี่ยว)
TORA (เสือ)
CHEETAH (เสือชีต้าร์)
TAKATORATAH
โอสเปลี่ยนส่วนลำตัวกลับเป็นเสือเช่นเดิม และเปลี่ยนส่วนขาเป็นเสือชีต้าร์ด้วยพลังของสัตว์ชนิดนี้ทำให้จุนอิจิสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วสูงจนเข้าประชิดตัวเมนทีสได้อย่างรวดเร็วและใช้กรงเล็บตัดจุดที่เป็นจุดเชื่อมโซ่เหล็กกับร่างของมันออก และช่วยเด็กผู้ชายออกมาได้
ชายหนุ่มรีบเอาเด็กผู้ชายกลับมาส่งคืนให้กับแม่ของเขา "ปลอดภัยแล้วครับ"
"ริว!" แม่รีบออบกอดลูกของเธอด้วยความเป็นห่วง
"พี่ชายจัดการเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นให้อยู่หมัดเลยนะฮะ!" พี่ชายของริวบอกับจุนอิจิ
"อา อีกเดี๋ยวก็จบแล้วล่ะ!" โอสเคลื่อนที่กลับไปหาเมนทีสด้วยความเร็วสูง ใช้กรงเล็บโจมตีใส่มันจนร่างกายของมันเต็มไปด้วยรอยข่วนของกรงเล็บ จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเมดัลส่วนลำตัวและส่วนขากลับเป็นสีเหลืองและสีเขียวตามลำดับ แล้วสแกนทันที
TAKA (เหยี่ยว)
TORA (เสือ)
BATTA (ตั๊กแตน)
TATOBA TATOBA TATOBA
โอสใช้เครื่องสแกนไปที่เข็มขัดอีกทีก็มีเสียงดังขึ้นพร้อมเมดัลสามสีเรืองแสงออกมา
SCANNING CHARGE
จุนอิจิหันหลังให้กับเมนทีส มันวิ่งตรงเข้ามาและโจมตีในจังหวะนั้น
"ฮ่าส์!!" ขาของโอสเปล่งแสงสีเขียวและเปลี่ยนรูปร่างเหมือนกับตั๊กแตนกระโดดหลบขึ้นไปเหนือหัวมัน จากนั้นก็เกิดวงกลมสามวงเรียงไล่ลงมาเป็นช่องทางให้กับโอส
"see ya!!" โอสพุ่งตัวลงมาตามวงกลมทั้งสามเตะใส่ลอสท์ิเข้าตรงๆ
บรึ้มมม!!!!
"อ้ากกก!!!" เมนทีสถูกท่าเตะเข้าไปก็ระเบิดไปในทันที พร้อมกับเกิดสัญลักษณ์ OOO ขึ้นมาหลังจากที่ควันระเบิดจางหายไปด้วย....
เวลา 17.00 น.
หลังจากที่เหตุการณ์ที่เลวร้ายได้ผ่านพ้นไป เหล่าตำรวจได้เข้ามาคุมพื้นที่ หน่วยพยาบาลได้มารับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตไป ส่วนผู้รอดชีวิตอีกสี่คนอย่างแม่ของเด็กๆทั้งสอง และวัยรุ่นชายก็ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและตรวจเช็คร่างกาย
"แม่ครับ แม่ครับ" เด็กน้อยสะกิดถามแม่ด้วยความใสซื่อ
"มีอะไรเหรอ ริว ?" แม่รอฟังคำถาม
"แล้วพี่สามสีคนนั้นไปไหนแล้วล่ะครับ ?" ริวถาม
"นั่นสิครับ พี่ชายคนนั้นเขาเท่มากเลย แล้วเขาจะไม่ไปกับเราเหรอครับ ?" เคนถาม
แม่ลูบหัวของลูกๆทั้งสอง "พี่ชายคนนั้นก็มีเรื่องที่เขาต้องไปทำอยู่น่ะจ่ะ"
จุนอิจิไม่ได้ออกไปทางด้านหน้าเหมือนกับคนอื่นๆ เขาลือกที่จะออกไปทางด้านหลัง ที่เป็นทางที่วิทยากรเคยบอกกับเขาไว้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเจอกับตำรวจหรือถูกบังคับให้ไปโรงพยาบาล
"แบบนี้ดีแล่้วล่ะ...เราเองก็คงจะกลับได้แล้ว..."
"เอ...เธอตรงนั้นน่ะ ฉันขอคุยด้วยจะได้มั้ย ?" เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งเรียกชายหนุ่ม ทำมห้เขาต้องหันกลับไป
"ท่าทางจะเป็นเธอสินะ...เด็กผู้ชายที่ได้รับบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เธอนั้นได้รับพลังที่แปลกประหลาดมา"
จุนอิจิแสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัดเขารู้สึกแปลกที่เธอคนนี้รู้เรื่องของเขาที่เกิดขึ้นภายในพิพิธภัณฑ์
"ทำไมถึงรู้ได้ล่ะ.....นี่คุณเป็นใครกันแน่!?"
"เอ...ฉันน่ะเหรอ...ก็เป็นแค่เลขานุการของบริษัทไอดอลธรรมดาๆคนนึงเท่านั้นล่ะ" เธอตอบและยิ้มให้กับชายหนุ่ม
"ฉันอยากให้เธอมากับพวกเราหน่อยน่ะ...ถ้าเธออยากจะรู้ว่า...คนพวกนั้นเป็นใครนะ...."
ทางเลือกที่หญิงสาวลึกลับที่ปรากฏตัวต่อหน้าจุนอิจิจะทำให้ชะตากรรมของเขาดำเนินต่อไปในทิศทางใด....
วันนั้นเป็นวันที่ชายหนุ่มธรรมดาคนนึงจะได้ออกเดทกับแฟนสาวของเขา
เนื่องจากเป็นการเดทครั้งแรก ฝ่ายชายรูู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากจึงรีบมาสถานที่ที่นัดไว้ก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมง พอเขามาถึงยังที่แห่งนั้นก็พบว่าที่นั่นเต็มไปด้วยคู่รักมากมาย เพราะวันนี้เป็นวันที่รู้จักกันดี...วันคริสมาสต์อีฟ...
"แฮ่ก...แฮ่ก....วันนี้ต้องตั้งใจทำให้ดีที่สุด!" ชายหนุ่มตั้งใจไว้เช่นนั้น เขาไปยืนรอแฟนสาวของเขาที่ขอบระเบียงบนเขา ที่ซึ่งเป็นจุดที่สามารถทำให้สถานที่ต่างๆภายในเมืองได้อย่างชัดเจน
ในวันคริสมาสต์อีฟนี้ทั้งเมืองเต็มไปด้วยแสงไฟ และการจัดงานเทศกาลหรืองานฉลองกันอย่างสนุกสนาน
คู่รักวัยรุ่นก็จะออกไปเดทด้วยกันภายในวันที่ดีๆนี้......แต่ว่า...เมื่อเวลาผ่านไป.....ผ่านไปโดยที่ชายหนุ่มได้แต่เพียงยืนมองแสงไฟของเมืองที่อยู่ตรงหน้า...เธอคนนั้น...ก็คงยังไม่มา
"....." ชายหนุ่มหันกลับไปมองภายในสวนสาธารณะที่ก่อนหน้านี้มีคู่รักมากมาย แต่ ณ ตอนนี้นั้นกลับไม่มีใครอยู่เลย มีเพียงคู่รักสอง-สามคู่ที่ยังคงเดินเผ่นพ่านแถวนี้
เขาเปิดแขนเสื้อดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง "2 ทุ่มแล้วเรอะ....ทำไมยังไม่มานะ...ที่เธอนัดผมมันก็ถูกเวลาและสถานที่แล้วนี่ ?"
ยามนั้นหิมะสีขาวเริ่มโปรยปรายลงมา ชายหนุ่มทำได้เพียงยืนรอคอยแฟนสาวของเขาโดยที่หวังว่าเธอคนนั้น...จะมา แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่มีวี่แววของเธอเลย.....ตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้ว ชายหนุ่มกลับมานั่งที่ม้านั่งและรู้สึกผิดหวังในการออกเดทในครั้งแรก...
ชายหนุ่มตัดสินใจล้มเลิก....เขาเดินกลับไปอย่างโดดเดี่ยว....ภายในค่ำคืนวันที่หิมะโปรยปรายนั้น....
.
.
.
.
เมษายน 2025 เวลา 08.33 น. บ้านทาจิบานะ
เวลาผ่านไป 5 เดือนหลังจากที่ชายผู้นั้นได้ผิดหวังกับรักแรก ชะตากรรมของเขาก็มาถึงจุดพลิกผัน.....
ที่บ้านหลังหนึ่งของครอบครัวปกติทั่วไป หญิงสาวที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อที่จะต้อนรับเช้าวันใหม่ที่สดใส เธอเปิดหน้าต่างให้ลมเย็นๆพัดเข้ามาในห้อง "....วันนี้อากาศดีจริงๆนะ"
หลังจากที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เธอก็เปิดประตูลงมาข้างล่างเข้าไปในห้องรับประทานอาหาร...
"เอ๋!? นี่พี่จ๋ายังไม่ตื่นอีกเรอะ จะนอนขี้เซาไปถึงไหนนะ!?" หญิงสาวรีบวิ่งกลับขึ้นไปยังชั้นบนและตรงไปที่ห้องของพี่ชายของเธอ "พี่จ๋า ตื่นได้แล้ว!!"
เธอเปิดประตูเข้าไปแต่ก็ไม่พบใครอยู่ในห้องแม้แต่คนเดียว "ไม่อยู่....หรือว่า!?"
หญิงสาวเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าและเปิดประตูตู้นั่นออกก็พบพี่ชยของเธอนอนเก็บตัวอยู่ภายในนั้น
"พี่จ๋าพี่นี่ล่ะก็หมกตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้าอีกแล้ว! วันนี้อากาศดีนะ ออกไปข้างนอกให้ชีวิตวันนี้มันแจ่มใสดีกว่าน่า"
ชายหนุ่มลุกขึ้นและปิดประตูตู้เสื้อผ้าแบบไม่ไยดี "วันนี้ยังปิดเทอมอยู่ขอนอนยาวเลย!"
โดนพี่ชายตัวเองปิดประตูแบบไม่ใยดี น้องสาวก็เกิดอาการอึ้งนิดๆ "พี่อ่ะ!!"
"หนวกหูน่า ขอฉันนอนต่ออีกหน่อยเถอะ ข้างนอกมันหนาวมากฉันไม่อยากออกไป!" ชายหนุ่มให้เหตุผลน้องสาว
"พี่จ๋า เดือนนี้มันฤดูใบไม้ผลินะ ไม่ใช่ฤดูหนาวจะให้มานั่งหนาวแบบนั้นคงไม่ใช่แล้วล่ะ!" น้องสาวตอบพี่ชายกลับไป แต่เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ
เธอจึงคิดแผนบางอย่างขึ้นมาได้ "นิชิชิ ถ้าพี่จ๋าไม่ยอมออกมา งั้นมิยะจะเข้าไปอยู่ในนั้นละกัน ท้องฟ้าจำลองที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าของพี่หนูอยากเห็นมานานแล้ว!!" หญิงสาวพยายามที่จะเปิดตู้เสื้อผ้าแต่ชายหนุ่มก็พยายามยันไว้ไม่ให้เปิดได้
"หยุดเลยไม่ต้องเข้ามา ที่นี่ฉันสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ส่วนของฉันนะ!!" พี่ชายบอกเหตุผลกลับไป
"สร้างขึ้นมาเรอะ ก็แค่เอาปากกาไปจุดๆเขียนไว้ไม่ใช่รึไงน่ะ!?" น้องสาวว่ากลับและพยายามออกแรงเปิดประตูมากขึ้น "ก็มิยะอยากเข้าไปดูนี่น่า!!"
"ก็ได้ จะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ!!" ชายหนุ่มปล่อยมือจากประตูตู้เสื้อผ้า น้องสาวของเขาก็เปิดตู้ได้สำเร็จแต่ว่าเธอก็ต้องล้มลงเพราะเธอนั้นดึงสุดแรงของเธอ
"โธ่!"
ชายหนุ่มห้าวก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าน้องสาวตัวเองทำหน้าไม่พอใจ "...มีอะไรเหรอ มิยะ ?"
"พี่จ๋าบ้าที่สุด!!" มิยะตะโกนใส่พี่ชายเธอกลับไปและลุกขึ้นยืน "กว่าจะออกมาได้นะ พี่เป็นโดราเอม่อนรึไงถึงไปนอนในนั้นน่ะ!?"
"แล้วที่อุตส่าห์บังคับจนออกมาได้เนี่ย มีธุระอะไรสำคัญมากรึไง ?" เขาถาม
"ก็ไม่ได้มีธุระสำคัญอะไรหรอก แค่อยากให้พี่จ๋าตื่นได้แล้วเท่านั้นเอง ถึงจะเป็นช่วงปิดเทอมแต่ว่าจะมาอ้างว่าใช้ช่วงนี้นอนพักอยู่บ้านมันก็ไม่ได้นะ" มิยะเทศน์ใส่พี่ชายของเธอเอง
"เป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลทาจิบานะเชียวนะ ทำตัวให้มันดีกว่านี่หน่อยซี้!"
"ก็ไม่ได้คิดอยากจะเป็นอยู่แล้วนี่น่า...ผู้สืบทอดอะไรนั่นน่ะ!" ชายหนุ่มตอบแบบเบื่อหน่าย
"พี่จ๋านี่จริงๆเลยน้า...พ่อกับแม่เองก็งานยุ่งซะจนไม่ได้กลับบ้านกลับช่องบ้างเลย ปล่อยให้หนูต้องมาคอยดูแลพี่ชายไม่เอาถ่านแบบนี้คนเดียว!" มิยะบ่น พี่ชายของเธอได้ยินแบบนั้นจึงเข้ามาล็อคคอเธอแล้วแกล้งเธอซะ "พะ..พี่จ๋า..จะทำอะไรน่ะ...ฮะๆๆ...มะ...มันจักจี้นะ.."
"เจ้าน้องสาวตัวแสบ..." เมื่อแกล้งน้องสาวจนพอใจแล้วพี่ชายก็ยอมปล่อยเธอออก "ก็ได้...เดี๋ยวจะลงไป ขอไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน มิยะลงไปรอก่อนเลย!"
"ค่าๆ!" มิยะเปิดประตูออกไปจากห้อง
ชายหนุ่มเมื่อน้องสาวของเขาออกไปจากห้องแล้วก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เช้าวันที่ดูสดใสวันนี้กลับดูเหมือนมืดครึ้มเหมือนวันอื่นๆสำหรับเขา เขาหันไปมองกรอบรูปภาพถ่ายเขากับครอบครัวและญาติๆจำนวนมาก ซึ่งในภาพนั้น....ไม่มีใครยิ้มจากใจจริงแม้แต่คนเดียว....มีเพียงแต่...เขาและน้องสาวของเขาเท่านั้น....
ที่กรอบรูปนั้นก็มีกระดาษใบนึงแปะติดอยู่ที่ริมขอบรูป กระดาษใบนั้นได้เขียนชื่อของชายคนนี้เอาไว้....
ชื่อของเขาคือ.....ทาจิบานะ จุนอิจิ.....
ตระกูลทาจิบานะ...เป็นหนึ่งในตระกูลที่มีส่วนรวมในการสร้าง พัฒนา ดูแล ฟื้นฟูเมืองฟูโตะในปัจจุบัน พวกเขามีสิทธิพิเศษและความยิ่งใหญ่ไม่แพ้กับหลายๆคนที่ช่วยลงทุนลงแรงในการสร้างเมืองนี้ขึ้นมา หากไม่ได้ทรัพย์สินจากพวกเขาช่วย คงจะไม่สามารถสร้าง 2 ใน 8 สิ่งมหัศจรรย์ของเมืองขึ้นมาได้
ชีวิตความเป็อยู่ของคนในตระกูลนี้นั้นเดิมที่จะต้องชอบการอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หรูหรือบ้านพักที่ดีเยี่ยมเพียงแต่สองพี่น้อง ทาจิบานะ จุนอิจิและทาจิบานะ มิยะนี้ ต่างจากคนในตระกูล ที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตแบบสามัญชนโดยที่ไม่มีใครมาขีดเขียนกำหนดไว้ว่าจะต้องให้พวกเขาทำยังไง ต้องเป็นอะไร พ่อแม่ของพวกเขาถึงกับยอมซื้อบ้านหลังนึงเพื่อที่จะให้สองคนนี้อาศัยอยู่แบบปกติชนได้อย่างมีความสุข โดยที่ตนเองคอยส่งมอบเงินให้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
แต่ในความเป็นจริง...ก็เพื่อที่จะตัดทั้งสองออกจากกองมรดกของตระกูล เพราะในพินัยกรรมของรุ่นทวดทาจิบานะ ได้เขียนไว้ว่า "ตระกูลทาจิบานะนี้ จะต้องสร้างคุณและความสุขให้กับชาวเมืองแห่งเมืองฟูโตะ และจะต้องไม่ทำให้เขาได้รับความเดือดร้อนอย่างเด็ดขาด หากกระทำผิดจะต้องชดใช้ด้วยแรงงานที่มหาศาส และหากใครไม่ยอมทำให้เมืองนี้พัฒนา..ก็จะขอตัดสิทธิออกจากการสืบทอดมรดกทันที"
สิ่งนั่นทำให้คนในตระกูลต่างพยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อที่จะทำให้ตนเองไม่ออกไปจากกองมรดก
โดยที่หาก...สามารถตัดคนในตระกูลคนอื่นๆออกไปได้ก็จะสามารถทำให้ตนได้รับประโยชน์ทางด้านนี้มากขึ้น ดังนั้นไม่ว่าจะใช้วิธีใด หากสามารถที่จะตัดคู่แข่งแย่งมรดกไปได้ พวกเขาสามารถยอมทำได้ทุกอย่าง...ไม่ว่าจะเป็นการใส่ร้าย ลอบสังหาร หรือวิธีใดก็ตามที่สามารถทำได้โดยที่ไม่มีใครรู้ และไม่ทำให้มือตัวเองสกปรก
สาเหตุที่พ่อและแม่ของพวกเขาทำเช่นนี้ก็สามารถมองได้สองทาง
แบบแรกเลือกที่จะตัดสองคนนี้ออกจากกองมรดกนี้เพื่อที่จะไม่ใ้พวกเขามาพบกับชะตากรรมที่โหดร้ายในตระกูล เพื่อปกป้องให้ปลอดภัยจากคนในตระกูล
หรือแบบที่สองพวกเขาก็แค่หวังทรัพย์สินเหล่านั้นโดยที่ไม่ได้สนใจลูกของตัวเอง....
แต่ก็ไม่มีใครทราบความจริง
ถึงจุนอิจิและมิยะจะเป็นเพียงเด็กมัธยม แต่พวกเขาก็พอจะรู้เรื่องความขัดแย้งภายในตระกูลตัวเอง จึงยอมรับข้อเสนอของพ่อและแม่ที่คิดจะเขี่ยให้พวกเขาออกจากกองมรดก และหากทำเช่นนี้โอกาสที่พวกเขาทั้งสองคนจะตกเป็นเป้าหมายของคนในตระกูลของจะลดน้อยลงด้วยเช่นกัน
ชายหนุ่มหลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เขากลับห้องมาที่ห้องรับประทานอาหารที่น้องสาวของเขากำลังนั่งดูโทรทัศน์รอเขาอยู่แล้ว "มิยะ มาทานข้าวกันได้แล้วล่ะ!"
"อา จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!" มิยะตอบรับ และเดินไปที่โต๊ะอาหารและนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับจุนอิจิ
"อาหารวันนี้ก็แซนท์วิชอีกแล้วเรอะ ?" จุนอิจิแอบบ่น
"ทำไงได้ล่ะ ก็พวกเราไม่ยอมทำอาหารนี่ ทั้งๆที่รู้ว่าบ้านนี่มีแค่พวกเราสองคนอยู่ พี่ก็ไม่ยอมทำหน้าที่ของพี่ชายเลยนะ พี่ต้องทำอาหารเช้าให้น้องสาวสิ!" มิยะบ่น
"ถ้าบ่นมากนักก็ไปทำเองเถอะ ฉันเองก็มีเรื่องที่ต้องทำอยู่เยอะเหมือนกันนะ!" จุนอิจิบอก
"ค่าๆ!" มิยะหยิบแซนท์วิซเข้าปากแบบเซ็งๆ "แล้วที่บอกว่ามีเรื่องต้องทำเยอะเนี่ย หนูเห็นวันๆพี่จ๋าก็แค่หมกตัวอยู่ในท้องฟ้าจำลองนั่น อ่านหนังสือสมบัติอยู่คนเดียว แล้วก็เก็บตัวอยู่คนเดียวไม่ใช่รึไง ?"
"นี่ๆจะว่าแบบนั้นก็ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ!" จุนอิจิว่ากลับ และเขาก็หันไปสนใจข่าวในโทรทัศน์
"วันนี้มีข่าวอะไรใหม่บ้างรึเปล่า ?"
"ก็เหมือนๆเดิมนั่นล่ะ ดูเหมือนจะโฟกัสไปที่ฟูดตะทาวเวอร์ล่ะนะ" มิยะบอก
"งั้นเรอะ..."
ฟูโตะทาวเวอร์เป็นกังหันลมที่มีขนาดใหญ่และสูงที่สุดในโลกเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของเมืองฟูโตะแห่งนี้ และยังเป็นสัญลักษณ์ประจำของเมืองฟูโตะแห่งนี้ มันถูกตั้งไว้ที่ทางเหนือของเมืองเอเรีย 1 แห่งนี้ ไม่ว่าใครๆในเมืองนี้ก็ต่างรู้จักสิ่งมหัศจรรย์นี้ หน้าที่ของมันก็เหมือนกับกังหันลมทั่วไปมีหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับเมือง เพียงแต่ฟูโตะทาวเวอร์สามารถให้คนขึ้นไปชมวิวรอบเมืองได้
และกังหันลมนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยความร่วมมือของตระกูลทาจิบานะอีกด้วย
หลังจากที่ทานข้าวเช้าเสร็จจุนอิจิก็มานั่งที่โซฟาและเริ่มเปิดดูข่าวที่น่าสนใจ แต่ก็พบแต่เรื่องเดิมๆไม่ว่าจะเป็นข่าวความขัดแย้งทางการเมือง เหตุการณ์จลาจลในต่างประเทศ เกิดการฆ่ากันตายด้วยสาเหตุต่างๆนาๆ หรือไม่ก็โฆษณาแก้เครียดที่มาคั่นรายการต่างๆ "วันๆก็มีแต่เรื่องพวกนี้สินะ..."
"ทีเป็นเรื่องของหนังสือสมบัติไม่เห็นจะบ่นเลยนะ!" มิยะล้อ
"เดี๋ยวเหอะ มิยะเรื่องนั้นมันไม่เกี่ยว จำไว้เลยนะว่าเรื่องนั้นน่ะเป็นความฝันสูงสุดของผู้ชายอย่างพี่ ต่อให้พี่ตกอับถึงขนาดไหนแต่ว่าความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ฉันไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงแน่!" จุนอิจิพูดอย่างภูมิใจ
"ค่าๆ สำหรับหนูก็เป็นเรื่องที่ฟังยังไงก็ไม่เห็นจะมีอะไรที่ดูมีประโยชน์เลย!" มิยะตอบกลับ และเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น "แล้ววันนี้พี่มีธุระอะไรต้องไปทำที่ไหนรึเปล่า ?"
จุนอิจิคิด "ธุระที่ต้องไปทำงั้นเรอะ...คงจะ.."
"ตอนเที่ยงไว้เจอกันนะ!"
ภาพความทรงจำในหัวของจุนอิจิผุดกลับขึ้นมาเขาเพิ่งนึกออกว่าตอนเที่ยงเขาได้นัดกับเพื่อนผู้หญิงคนนึงไว้
"จริงด้วยสิ เมื่อวานบอกว่าให้เราไปหาด้วยนี่น่า!"
"ใครเหรอที่นัดพี่ไว้น่ะ...หรือว่าแฟนใหม่เหรอ!?" มิยะถามอย่างตื่นเต้น
"จะบ้าเรอะ จะเป็นใครนอกจากเธอคนนั้นอีกล่ะ!" จุนอิจิตอบกลับ ทำเอามิยะผิดหวังเล็กน้อย
"โธ่ อะไรกันฮารุจังเองเรอะ นึกว่าพี่จะหาแฟนใหม่ได้แล้วซะอีก...หรือว่าพี่คิดจะขอคบกับฮารุจังล่ะ!?"
จุนอิจิถึงกับหน้าแดงเมื่อได้ยินน้องสาวของเขาล้อเช่นนั้น "ชะ..ใช่ซะที่ไหนกันเล่า วันนี้เธอบอกว่าจะต้องขึ้นแสดงเป็นครั้งแรกเลยอยากให้ไปให้กำลังใจหน่อยก็เท่าั้นั้นเองไม่มีอะไรมากกว่านี้ซะหน่อย!"
"นิชิชิ เหรอ หน้าแดงใหญ่แล้วน้า~" มิยะทำหน้าเจ้าเล่ห์กดดันจุนอิจิ
"โธ่ พอแล้วน่า ฉันจะออกไปแล้ว!" จุนอิจิรับแรงกดดันไม่ไหวจึงรีบลุกออกไปทันที
"แต่พี่จ๋านี่เพิ่งจะ 9 โมงเองนะ!"
"ที่โรงเรียนไม่ได้สอนเรื่องการไปก่อนเวลารึไง!?" จุนอิจิเดินออกจากบ้านไปโดยที่ไม่หันกลับไปมองน้องสาวของเขาเลย
"อา....แต่ว่าที่โรงเรียนก็ไม่ได้สอนว่าให้ไปที่หมายก่อนสามชั่วโมงแบบนี้นะ" มิยะบ่นพึมพำก่อนที่เธอจะกลับไปล้างจานต่อ
"พี่จ๋าจะเป็นอะไรมั้ยนะ หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ..."
ร้านอาหาร Cous Coussier เวลา 12.03 น.
จุนอิจิมานั่งรอเพื่อนของเขาที่ร้านอาหารที่เธอนัดไว้ และแล้วเธอก็มาถึง "มาสายนะ ฮารุกะ"
เพื่อนผู้หญิงอายุเท่าๆกับจุนอิจิเข้ามาในร้านและทักทายเขาทันที "สวัสดีตอนเที่ยง จุนอิจิ ขอโทษนะที่มา...ว้า!!"
เธอสะดุดล้มลงก่อนที่จะเดินมาที่โต๊ะของจุนอิจิ "เจ็บๆๆ"
"ยังซุ่มซ่ามไม่เปลี่ยนเลยนะเธอเนี่ย" จุนอิจิลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินเข้าไปช่วยพยุงหญิงสาวลุกขึ้น
"เจ็บตรงไหนรึเปล่า ?"
"อือๆ ไม่เป็นไรๆ แบบนี้ล้มเป็นประจำจนชินแล้วล่ะ" ฮารุกะตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม
"จุนอิจิมารอนานรึยัง ?"
"ก็ไม่นานมากหรอก ฉันก็เพิ่งมาน่ะ!" ถึงจะบอกไปแบบนั้นแต่จริงๆแล้วชายคนนี้มารอหญิงสาวคนนี้ตั้งแต่ร้านเปิด 10 โมง เป็นเวลาสองชั่วโมงกว่าเธอคนนี้จะมา
"วันนี้ที่นัดมามีธุระอะไรน่ะ ?"
"เรื่องนั้นน่ะ คือว่า..." ฮารุกะและจุนอิจิกลับมานั่งที่โต๊ะ ตอนนั้นบริกรก็เข้ามารับรายการอาหาร
"ออ ฉันขอเค้กนี่ แล้วก็นี่..นี่ด้วย แล้วก็นี่อีก!"
"นี่เธอน่ะทานมากเดี๋ยวก็อ้วนหรอก!" จุนอิจิเตือน
"ไม่เป็นไรๆ จุนอิจิก็รุ้นี่น่าว่าฉันน่ะเป็นพวกทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนน่ะ!"
"เรื่องนั้นมันก็จริงล่ะนะ แล้วน้ำหนักเธอ 46 มาตั้งแต่ม.ต้น จนตอนนี้ก็ยังไม่ขึ้นเลยเหรอ ?" จุนอิจิถาม
"อืม" ฮารุกะพยักหน้า "ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยนะ ยังเหมือนเดิมทุกอย่างเลย!"
"คงมีผู้หญิงต้องการความสามารถแบบเธออยู่หลายคนแหงๆ" เขาคิดเช่นนั้น "...วันนี้เธอก็จะขึ้นแสดงแล้วนี่ เป็นไงตื่นเต้นมั้ย ?"
"อืม ทั้งรู้สึกตื่นเต้น ทั้งรู้สึกกลัว ทั้งรู้สึกชอบ หลายๆอย่างรวมกันมั่วไปหมดเลยล่ะ แต่ว่าฉันก็ดีใจนะที่จะได้เริ่มทำตามสิ่งที่ฉันชอบแล้วน่ะ!" ฮารุกะพูดพร้อมกับทานสตอเบอร์รี่ของเค้กเข้าไป
"จุนอิจิล่ะเป็นยังไงบ้าง เดี๋ยวนี้หาอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันได้รึยังล่ะ ?"
"ก็...ยังเลยล่ะนะ..." จุนอิจิทำหน้าซึมและตอบเธอกลับไป
"วันนั้นน่ะขอบคุณมากเลยนะ ที่ช่วยเลือกซื้อของขวัญให้น่ะ!"
"ไม่เป็นไรๆ อย่างน้อยผู้หญิงก็น่าจะเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงด้วยกันดีกว่าผู้ชายอยู่แล้วล่ะ" ฮารุกะยิ้ม "แต่ว่าทำไมเธอคนนั้นถึงไม่ยอมมาตามที่นัดไว้นะ เธอคนนั้นเป้นฝ่ายชวนไม่ใช่เหรอ...แล้วถามเจ้าตัวรึยังล่ะ ?"
"คือว่า....ตั้งแต่วันนั้นมา ฉันก็ไม่ได้ติดต่อหาเธออีกเลย....แล้วก็ไม่กล้าที่จะไปเจอหน้าด้วย" จุนอิจิตอบ
"ก็นะ...ยังไงก็อย่าไปคิดมากล่ะ ชีวิตคนเราน่ะมันต้องเดินหน้าต่อไป จะมานั่งเสียใจไม่ยอมเดินไปข้างหน้ามันไม่ได้หรอกนะ" ฮารุกะสั่งสอนจุนอิจิ
"อืม.." จุนอิจิตอบแบบนิ่งๆ
"แล้วจุนอิจิวันนี้ว่างมั้ย...ฉันอยากให้มาดูฉันแสดงหน่อยน่ะ ฉันจะได้มีกำลังใจขึ้นหน่อย!" ฮารุกะถาม
"ขอโทษนะ เย็นนี้คงจะไม่ได้ล่ะ...ฉันมีเรื่องที่ต้องไปทำน่ะ" จุนอิจิตอบ
"เหรอ น่าเสียดายจังนะ อยากให้มาดูหน่อยแท้ๆ" ฮารุกะทำหน้าบูด
"ไว้คราวหน้าก็ได้นี่น่า ยังไงฉันก็คิดว่าเธอจะต้องไปได้ไกลอยู่แล้วล่ะ ฉันจะเอาใจช่วยนะ"
จุนอิจิชูนิ้วโป้งให้กำลังใจฮารุกะ "ทำให้เต็มที่ล่ะ!"
"อืม จะพยายามนะ!" หญิงสาวมีกำลังใจเพิ่มขึ้นเมื่อเพื่อนของเธอให้กำลังใจเธอเช่นนี้
"แต่ว่าอย่าไปสะดุดล้มบนเวทีนะ ฮะๆๆๆ" จุนอิจิล้อ
"เรื่องนั้น..ก็จะพยายามละกันนะ.."
"ข่าวด่วนค่ะ มีรายงานว่าที่อุโมงค์ทางเข้าที่เอเรีย 1 เขตตะวันตกเฉียงใต้ได้เกิดระเบิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะมีกลุ่มคนที่ไม่ประสงค์ดีเข้าไปก่อความไม่สงบ ตอนนี้ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือความเสียหายใดๆนอกจากการถล่มของอุโมงค์ค่ะ ขอให้ประชาชนทุกท่านระวังผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ด้วยค่ะ" ข่าวทางทีวีของร้านกล่าว
"เรื่องพวกนี้อีกแล้วเรอะ..?" จุนอิจิเบื่อที่จะเห็นข่าวอะไรแบบนี้แล้ว วันๆโลกนี้มีแต่ปัญหา
"เส้นทางนั้นตามปกติก็ไม่ค่อยจะมีใครใช้อยู่แล้วนี่ คงไม่เป็นไรหรอก!" ฮารุกะออกความเห็น
"นั่นสินะ" จุนอิจิเห็นด้วย แต่ในใจของเขาก็ยังรู้สึกเป็นกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้น "ทำไมถึงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนะ..."
หลังจากนั้นไม่นานเค้กที่ฮารุกะสั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะของพวกเธอ
"ว้าว ดูน่ากินจะเลยนะ จุนอิจิเอาสักชิ้นมั้ย!?" ฮารุกะถามพร้อมกับยื่นเค้กที่เธอจิ้มขึ้นมาให้
"อย่าเลย เธอน่ะทานให้เต็มที่เถอะ" จุนอิจิปฏิเสธ
"เออ...คือว่า ขอโทษค่ะ" เด็กสาวคนนึงเดินมาอยู่ที่ข้างโต๊ะของทั้งสอง
"มีอะไรเหรอจ๊ะ ?" ฮารุกะถามกลับและยิ้มให้กับเธอ "มีธุระอะไรกับพวกพี่รึเปล่า ?"
"คือพี่ใช่ อามามิ อารุกะ รึเปล่าคะ ?" เด็กสาวถาม
"อะ..อืม ใช่จ๊ะ" ฮารุกะตอบ หญิงสาวทำท่าทางประทับใจและยื่นสมุดสีขาวให้เธอ
"คือว่าหนูขอลายเซ็นหน่อยสิคะ หนูชอบเพลงที่พี่ร้องมากเลยค่ะ!" เด็กสาวขอร้อง
"ได้สิจ๊ะ พี่เต็มใจให้อยู่แล้วล่ะ" ฮารุกะตกลง และเซ็นลายเซ็นลงที่สมุดของเด็กผู้หญิงคนนี้ เธอก็รีบวิ่งกลับไปที่โต๊ะของเธอด้วยความดีใจ
"เธอเนี่ย ยังไม่เปลี่ยนเลยนะ" จุนอิจิบอกกับฮารุกะ "ใจดีให้ทุกๆคนจริงๆ"
"ขอบคุณที่ชมนะ"
หลังจากที่เสร็จธุระที่นี่แล้วจุนอิจิและฮารุกะก็เลือกที่จะออกจากร้าน
ระหว่างที่จะออกไปนั้นจุนอิจิก็ไปบังเอิญเดินชนกับชายอีกคนที่กำลังจะเข้ามาในร้าน "อะ โทษทีนะ"
"ไม่เป็นไร ฉันเองก็ขอโทษด้วยที่ไม่ดูทาง" ชายคนนั้นเดินผ่านจุนอิจิกับฮารุกะไปที่โต๊ะที่มีเด็กผู้หญิงที่เพิ่งมาขอลายเซ็นฮารุกะนั่งอยู่
จุนอิจิก็ไม่ได้ไปสนใจอะไรเขาอีกและเดินออกจากร้านนี้ไป
"ขอบคุณที่ใช้บริการนะครับ!" บริกรในร้านกล่าวก่อนที่ทั้งสองจะออกไปจากร้าน
หลังจากนั้นจุนอิจิมาส่งฮารุกะที่หน้าทางเข้าบริษัทของเธอ
"ไว้คราวหน้าฉันจะไปดูให้ได้เลยนะ การแสดงของเธอน่ะ" จุนอิจิให้คำสัญญา "คราวนี้เองก็ทำให้เต็มที่ล่ะ!"
"อืม! จะพยายามแบบเกินร้อยเลยล่ะ!" ฮารุกะตั้งมั่น "จุนอิจิเองเวลากลับก็ระวังตัวหน่อยนะ"
"ฮะ...ทำไมล่ะ ?" ชายหนุ่มสงสัย
"ก็ช่วงนี้มันมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นบ่อยมากเลยน่ะ เลยอยากจะให้ระวังตัวไว้หน่อยนะ" ฮารุกะแสดงความเป็นห่วง
"อะ...อืม" ถึงจะงงนิดหน่อยแต่จุนอิจิก็ตอบตกลงกลับไป และก็เดินออกจากที่นั้น "แล้วเรา...จะไปไหนต่อดีนะ..."
ชายหนุ่มเดินเตร็ดเตร่เข้าไปในเมือง มองดูชีวิตความเป็นอยู่คนผู้คนที่นี่ ทุกคนก็ต่างใช้ชีวิตไปตามแบบของตัวเอง คนบางคนต้องทำงานหนักเพื่อครอบครัว คนบางคนสนุกอยู่กับเพื่อนฝูง คนบางคนหาเรื่องเล่นสนุกอยู่คนเีดียว คนบางคนกำลังเดินคู่อยู่กับแฟนสาว คนบางคนกำลังป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น มนุษย์คนเดียวไม่อาจที่จะรับรู้ได้หมด
แต่ว่าการใช้ชีวิตไปในเส้นทางของตัวเองและพบปะกับสิ่งใหม่ๆก็เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตเช่นกัน....
ทาจิบานะ จุนอิจิมาหยุดอยู่ที่หน้าพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่ภายในเมือง เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาอยากจะเข้าไปในนั้น "...นานๆที เข้าไปดูบ้างคงไม่เป็นไรล่ะมั้ง..." เขาบอกกับตัวเองแบบนั้นก่อนที่จะเดินตรงเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์นั้น
เขาเดินไปที่หน้าเคาท์เตอร์เพื่อขอซื้อบัตรเข้าชมภายในพิพิธภัณฑ์ "อา...คือว่า...ผมขอบัตรเข้าชมใบนึงครับ"
"ค่ะ ได้ค่ะ!" พนักงานกดปุ่มแล้วก็มีบัตรเข้าชมออกมาพร้อมกับยื่นให้จุนอิจิ "500 เยนค่ะ"
"ครับ นี่ครับ!" จุนอิจิจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ก่อนที่จะเดินเข้าไปผ่านประตูเพื่อเข้าชมในพิพิธภัณฑ์ "หวังว่าที่นี่คงจะดีนะ"
หลังจากที่จุนอิจิเข้าไปได้ไม่นานก็มีชายคนนึงใส่เสื้อเหมือนกับทหารเข้ามาที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เขาซื้อบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์เช่นเดียวกับผู้เข้าชมคนอื่นๆแต่ที่ทำให้เขาดูแปลกกว่าคนทั่วไปคือเขาใส่หมวกปกปิดใบหน้าของตัวเองและยังมีกระเป๋าบางอย่างล็อคไว้กับข้อมือของตัวเอง....เขาเดินผ่านประตูเข้าไปในพิพิธภัณฑ์อย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้น...ก็ยังมีสายตาคู่นึงมองไปที่คนๆนั้น และเขาก็หายไปในความมืดโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ เวลา 14.42 น.
วิทยากรของทางพิพิธภัณฑ์ได้รวบรวมผู้เข้าชมทั้งหมดที่อยุ่ในช่วงเวลานี้โดยมีจุนอิจิ ชายใส่ชุดทหารคนนั้น แม่กับลูกชายอีกสองคน ชายวัยกลางคนใส่เสื้อสีน้ำเงินและอีกคนสีแดง ผู้หญิงที่แต่งตัวอย่างกับจะไปงานเต้นรำและเด็กวัยรุ่นชายหญิงสองคนที่เป็นแฟนกัน ถ้านับรวมทั้งหมดก็ 11 คนพอดี
นี่คือจำนวนคนทั้งหมดที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ในเวลานี้ ซึ่งเรียกได้ว่ามีจำนวนผู้ชมอยู่ในขั้นน้อยมาก
แต่ว่าคนของทางพิพิธภัณฑ์ก็ยังคงพยายามประคับประคองให้ที่นี่ไปได้อย่างราบรื่นให้ได้นานที่สุด หวังว่าจะมีผู้ประสงค์ดีมาช่วย แต่ว่าสถานที่ที่ดูไม่มีความสำคัญเพราะที่นี่ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ที่เดียวในเมืองนี้ ของที่อื่นออกจะมีชื่อเสียงและของให้ชมมากกว่าที่นี่ซะอีก จึงทำให้ลูกค้าของที่นี่ถูกดึงไปที่อื่นจนหมด คนที่จะมาชมที่นี่ส่วนมากก็จะมีแต่คนที่ไม่มีทรัพย์มากเพียงเท่านั้น
"เอาล่ะครับ แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ทางพิพิธภัณฑ์ของเรายินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ผมเป็นวิทยากรของที่นี่ที่จะพาคุณไปรู้จักถึงประวัติของเมืองนี้กันนะครับ ขอให้ทุกท่านเดินเรียงแถวตามผมมาเลยนะครับ!" วิทยากรเดินนำหน้าไป ผมชมทั้งสิบชีวิตก็ดินตามเขาไป
มาถึงเมืองจำลองขนาดย่อมแรกเป็นผังเมืองของเอเรีย 1 WIND ทั้งหมด เมืองทั้งเอเรียถูกจำกัดให้กลายเป็นขนาดเล็กและใช้ในการศึกษาเรื่องภูุมิศาสตร์ได้ "ทุกท่านครับ ที่นี่คือฟูโตะเอเรีย 1 หรืออีกชื่อนึง WIND สาเหตุที่มีชื่อเช่นนี้เพราะว่าที่นี่นั้นเป็นเอเรียที่ขนาดใหญ่ที่สุด และยังเป็นเอเรียที่มีกังหันลมซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองติดตั้งอยู่มากที่สุดอีกด้วย อย่างที่ทราบกันว่าที่เอเรียนี้นั้นมี 2 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของเมืองอยู่ด้วย สองที่นั้นคือ..."
"ลิฟท์วงโคจรครับ!" เด็กชายคนพี่ตอบ
"ฟูโตะทาวเวอร์ครับ!" เด็กชายคนน้องตอบ
"ถูกต้อง เก่งมากเลยทั้งสองคน!" วิทยากรชมเชยเด็กทั้งสองคนและให้ลูกอมให้กับทั้งคู่
"ฟูโตะทาวเวอร์ กังหันลมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและถือว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองของเรา ได้ถูกออกแบบโดยท่านฟูโตะ ยูคิมูระ ชายผู้เป็นผู้สร้างเมืองแห่งนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นเกียรติให้กับเขา กังหันลมนี้จึงใช้ชื่อนามสกุลของท่านมาตั้ง"
"และอีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ของที่นี่นั้นก็คือลิฟท์วงโคจรแห่งแรกของโลก ที่มีความสูงถึง 50,000 กิโลเมตร เป็นลิฟท์ที่ทำให้มนุษย์เราสามารถขึ้นไปยังอวกาศได้โดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ยานอวกาศหรือจรวดขนส่งใดๆทั้งสิ้น จึงเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก และที่แห่งนี้นั้นยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์ของประเทศต่างๆทั่วโลกที่ช่วยกันสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา" วิทยากรอธิบาย
"ฝันของมนุษย์ที่จะสามารถขึ้นไปบนอวกาศไม่ได้เป็นเพียงความฝันอีกต่อไปแล้ว"
ระหว่างที่วิทยากรกำลังพูดอธิบายนอกจากแม่ เด็กทั้งสองคน และจุนอิจิแล้ว คนที่เหลือนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะฟังที่เขาพูดเลยแม้แต่คนเดียว ชายวัยกลางคนสองคนนั้นก็มัวแต่ถกเถียงกันเรื่องหุ้นของบริษัท หญิงสาวที่เอาแต่ส่องกระจกและแต่งหน้าของเธอ คู่รักชายหญิงที่เอาแต่จีบกันจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แล้วก็ชายที่ใส่เสื้อลายทหารที่เอาแต่คุยโทรศัพท์พร้อมสีหน้าที่เคร่งเครียดอยู่ตลอดมาตั้งแต่เมื่อกี้ ทำให้จุนอิจิเกิดความสงสัยว่า.....ทำไมพวกเขาถึงต้องมาที่นี่ด้วยล่ะ...ในเมื่อดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจที่จะมาชมที่นี่เลย
วิทยากรเดินนำไปที่ผังเมืองจำลองเอเรียต่อไป ซึ่งคราวนี้นั้นพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าและภูเขาแต่ก่อมีสิ่งปลูกสร้างกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ เอเรีย 2 แห่งนี้ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ROYAL และที่นี่นั้นเป็นพื้นที่ของโรงเรียนทั้งพื้นที่
"เอเรียที่ 2 ROYAL นะครับ เป็นเอเรียที่มีความแปลกกว่าเอเรียอื่นๆอยู่พอสมควร ไม่ใช่เพราะว่าที่นี่เป็นป่าหรอกนะครับ แต่ว่าที่แปลกคือเรื่องที่ทั้งเอเรียนี้นั้น ถูกนับว่าเป็นเขตของโรงเรียนโรงเรียนหนึ่งที่ชื่อว่า SMART BRAIN รู้จักกันมั้ยครับ ?"
"รู้จักครับรู้จัก!" เด็กชายทั้งสองคนรีบตอบอย่างตื่นเต้น "พวกผมเรียนที่นั่น!"
"โห ที่นั่นเป็นที่ที่ดังมากเลยนะ ได้ยินว่าเป็นโรงเรียนที่มีค่าเข้าแพงมากเลยนี่ พวกเธอสองคนได้เรียนที่นั่นถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากเลยล่ะ!" วิทยากรบอกกับเด็กๆทั้งสองก็ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกภูมิใจไปด้วย
"ที่นั่นน่ะก็มีแต่พวกอวดรวยเท่ากับพวกใช้เส้นเท่านั้นแหละ บอกว่าเป็นที่ที่เข้าอยากแต่ว่านักเรียนกว่าครึ่งของที่นั่นได้เข้าเรียนฟรีเพราะต่างใช้เส้นกันทั้งนั้น" วัยรุ่นชายพูดประกาศออกมาแบบไม่อายใคร
"ใช่ๆ นักเรียนที่นั่นก็ดูเหมือนจะมีแต่ลูกคุณหนูกันทั้งนั้น ก็โรงเรียนดังนี่เนอะ" วัยรุ่นหญิงซบไหล่แฟนเธอ
"นี่พวกคุณอย่าพูดเรื่องแบบนี้ให้ลูกๆฉันฟังจะได้มั้ยคะ ?" แม่ของเด็กๆทั้งสองพูดขึ้น
"พวกเราก็แค่พูดความจริงเท่านั้นล่ะ" วัยรุ่นชายตอบกลับไป
"เออ....พี่ครับ" จุนอิจิยกมือให้วิทยากรหันมาสนใจเขา "ผมอยากเข้าห้องน้ำ ต้องไปทางไหนเหรอครับ ?"
"อ้อ อยู่ทางนั้นครับ ไปทำธุระให้เสร็จก่อนได้เลย!"
"ขอบคุณครับ!" จุนอิจิแยกตัวออกจากแถวไปเข้าห้องน้ำ
เขาเดินไปที่อ่างล้างหน้าและเปิดก๊อกน้ำล้างหน้าเขา พร้อมกับหาวิธีระบายความรู้สึกคับแค้นใจที่มีต่อวัยรุ่นสองคนนั้นที่มาต่อว่า โรงเรียนที่เขาเรียนอยู่ "มันก็อาจจะจริงอย่างที่พวกเขาว่า....นักเรียนส่วนมากที่เรียนที่นั่น จะมีแต่พวกที่ใช้เส้น....แม้แต่ตัวเราเอง..." จุนอิจิมองหน้าตัวเองในกระจก พร้อมกับนึกถึงอดีตของตัวเองที่ไม่ดีนัก
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงดังประหลาดที่ดังมาจากในห้องน้ำในสุดทำเอาเขาตกใจไปแว่บนึง ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปมองทางนั้น
"อะไรน่ะ!?" จุนอิจิรู้สึกถึงกลิ่นอายประหลาดที่มาจากทางห้องนั้น เป็นความรู้สึกที่ชวนให้รู้สึกไม่ดีนัก.....
ชายหนุ่มค่อยๆเอื้อมมือไปจับไม้ถูพื้นข้างๆเพื่อหวังอาจจะใช้มันเป็นอาวุธป้องกันตัวได้ซักเล็กน้อย "จะ..จะมาแล้ว!?"
ประตูห้องในสุดๆค่อยเปิดออกอย่างช้าๆ......แล้วก็มีภารโรงเดินออกมาจากห้องนั้น
"...." ภารโรงมองไปที่จุนอิจิด้วยสายตาที่ไม่เป้นมิตร ร่างของจุนอิจิเหมือนต้องมนต์สะกด....เขาไม่อาจที่จะขยับร่างกายของตัวเองได้แม้แต่ปลายนิ้ว...และชายคนนั้นก็เดินเข้ามาใกล้...เรื่อยๆ
"จะ...จะทำยังไงดี ?" ชายหนุ่มถามตัวเอง หัวใจของเขาเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ร่างของชายต้องหน้าค่อยๆเดินตรงเข้ามาใกล้เขาทีละนิด....จนในที่สุด.........ชายคนนั้นก็เดินผ่านไป
ปล่อยให้ทาจิบานะ จุนอิจิ คุกเข่าลงด้วยความกลัว "แฮ่ก...แฮ่ก..."
"ทำไม...คนๆนั้นถึง...?" จุนอิจิรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้นัก สิ่งเดียวที่จะช่วยขจัดสิ่งเดียวที่เขาสงสัยลงได้มีเพียง....
ชายหนุ่มค่อยๆพยายามลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปที่ห้องที่ภารโรงคนนั้นออกมา ชายหนุ่มจับลูกบิดประตูและค่อยๆหมุนเปิดประตูบานนั้นออกมาด้วยความกลัว.....
"หวังว่า....จะไม่ใช่...แบบที่เราคิดนะ..." จุนอิจิรวบรวมความกล้าเปิดประตูออก และสิ่งที่เขาพบคือ....
วิทยากรพูดขึ้นและกำลังจะนำทางผู้ชมทุกท่านไปชมส่วนต่อไป "เอาล่ะพวกเราจะไปส่วนต่อไปกันเลยนะครับ!"
"พี่ครับๆ" เด็กชายคนน้องเข้ามาสะกิดที่แขนเสื้อของวิทยากร
"เอ๋...มีอะไรเหรอครับ ?" วิทยากรก้มตัวลงเพื่อที่จะคุยกับเด็กชายได้อย่างสะดวก "มีปัญหาอะไรรึเปล่า ?"
"พี่ครับ ผมอยากรู้ว่าตรงนั้นคืออะไรน่ะครับ ?" เด็กชายถามและชี้ไปบนเพดานฝั่งตรงข้าม
"หืม...ตรงนั้นมันมีอะไรงั้นเหรอ...!!?" วิทยากรหันกลับไปมองทางที่เด็กชายชี้ก็พบกับ....ร่างของคนคนหนึ่งที่ถูกเฉือนผิวหนังออกจนเหลือเพียงแต่กล้ามเนื้อสีแดง....ลำไส้ที่ถูกขวักออกมา...เลือดสีแดงที่ไหลรินลงมา...ชายที่ถูกแขวนไว้กับโซ่เหล็ก
"นะ...นั่นมัน...อะไรกันน่ะ!?"
ชายวัยกลางคนเสื้อแดงสังเกตเห็นว่าวืทยากรสีหน้าดูแปลกไปเมื่อมองขึ้นไปบนนั้น เขาจึงหันไปมองตามก็พบกับร่างๆนั้น "แย่แล้วนั่นมันบ้าอะไรน่ะ!?"
ชายวัยกลางคนพูดขึ้น ทำให้ผู้ชมคนอื่นๆต่างหันไปตามเสียงนั้นและต่างก็เห็นศพที่ถูกแขวนไว้ทุกคน
"กรี๊ดดด!!!" วัยรุ่นหญิงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
"ใครก็ได้ทำให้ยัยเด็กบ้านี่เงียบทีซิ!" ชายวัยกลางคนเสื้อสีน้ำเงินหันกลับมาต่อว่า
"ว่าไงไอ้แก่นี่ นี่แฟนฉันนะเฟ้ย!" วัยรุ่นชายพยายามที่จะปกป้องแฟนสาวของเขา
"ช่วยสงบสติกันก่อนแล้วติดต่อตำรวจจะได้มั้ย!?" หญิงสาวตะโกนใส่ทั้งสองแต่พวกเขาก็ไม่สนใจ
"ริว เคน มาทางนี้เร็วเข้าลูก!" แม่ของเด็กทั้งสองเรียกลูกให้มาหาเธอ
"มะ...มันมาแล้วเรอะ..." ชายชุดทหารรู้สึกตื่นตระหนก
"โทรศัพท์....ไม่มีสัญญาณเลย!" ชายวัยกลางคนเสื้อแดงพยายามโทรแต่บริเวณนี้กลับไปมีสัญญาณ
"ตอนนี้ทุกๆคนช่วยอยู่ในความสงบหน่อยครับ!!" วิทยากรตะโกนเสียงดังคุมสติของทุกคนไว้ได้ "ตอนนี้เราต้องออกไปติดต่อพนักงานที่อยู่ข้างนอกให้ได้ก่อน..."
จุนอิจิออกมาจากห้องน้ำด้วยความกลัว เขาเพิ่งไปเห็นภาพบางอย่างที่ไม่ควรไปเห็นเข้า
"....คะ...คุณ..ครับ...ขะ...ข้างในนั้น...มะ..มี ศพของ....คนอยู่ครับ..." ชายหนุ่มยังคงจำภาพของสภาพศพที่เขาเห็นได้อย่างดี ร่างกายที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ...อวัยวะที่ถุกตัดขาดออกจากร่าง....ใบหน้าของคนที่หวาดกลัวอย่างสุดชีวิตก่อนที่จะตายไปแบบไม่รู้ตัว...
"ว่าไงนะ มีอีกศพงั้นเรอะ!" วิทยากรเริ่มเห็นว่าแบบนี้เป็นสถานการณ์ที่ไม่ดีแน่ จึงคิดจะพาทุกคนออกไป
"ทุกท่านครับ ยังไงตอนนี้เรารีบออกไปจา...."
กริ๊ง!!
ทันใดนั้นสัญญาณเตือนไฟไหม้ของพิพิธภัณฑ์ก็ดังขึ้น ทำให้ประตูทางออกทุกบานถูกประตูเหล็กปิดตายไว้ทุกทาง แสงไฟภายในพิพิธภัณฑ์ดับลงและมีสัญญาณไฟเตือนภัยสีแดงถูกเปิดขึ้นพร้อมกับเสียงสัญญาณแทน
ชายวัยกลางคนเสื้อสีน้ำเงินกระชากคอเสื้อของวิทยากรมาชักถามให้รู้เรื่อง "นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่!?"
"ทางเราก็ไม่ทราบครับ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทางเราเป็นคนจัดขึ้น!" วิทยากรตอบไปตามความจริง
"พวกเราจะตายกันหมด......พวกเราต้องตายกันหมดแน่ๆ!" หญิงสาวก้มหัวลงด้วยความกลัว
"ฉันกลัวจังเลย!" วัยรุ่นสาวกอดแฟนหนุ่มของเธอด้วยความกลัว
"ไม่เป็นไร..ฉะ..ฉันจะปกป้องเธอเอง..." วัยรุ่นชายปลอบใจแฟนของเขา
"นี่พวกเราจะไม่เป็นไรจริงๆเหรอ!?" แม่กอดลูกทั้งสองไว้ และพยายามถามคนอื่นๆแต่ตอนนี้ไม่มีใครที่พอจะพูดรู้เรื่องแล้ว
"...!!" ชายชุดทหารก็ยังทำหน้าหวาดกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เนื่องจากทุกคนเริ่มสติแตกจึงทำให้ชายวัยกลางคนเสื้อสีแดงที่กำลังจะหาทางติดต่อออกไปข้างนอกรู้สึกรำคาญ "เห้ย พวกแกน่ะช่วยเงียบๆกันหน่อยจะได้มั้ย!?"
ฉึก!
"อัก....อะ...ไร..." ร่างของชายผู้นั้นถูกบางสิ่งบางอย่างที่แหลมคมแทงทะลุเข้าท้อง ชายคนนั้นสิ้นลมหายใจลงไปก่อนที่จะได้เห็นใบหน้าของผู้ที่แทงสังหารเขา
"เจ้าพวกมนุษย์ชั้นต่ำอย่างพวกแกน่ะ ควรตายๆกันไปให้หมด..อนาคตน่ะพวกเราลอสท์จะขอเป็นผู้ริเริ่มใหม่เอง!"
ภารโรงที่จุนอิจิเดินสวนทางด้วยตอนอยู่ในห้องน้ำคือบุคลที่เป็นผู้สังหารชายชุดแดงนั้น
วิธีฆ่าของเขา..ไม่ได้ใช้อาวุธหรืออุปกรณ์ใดๆ แต่ว่า....สิ่งนั้นดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของร่างของของภารโรงคนนี้มากกว่า มือข้างขวาของเขาที่ใช้แทงใส่คนผู้นั้นมีลักษณะแหลมคมเหมือนดาบยาว เขาดึงดาบออกจากร่างของบุคคลผู้นั้นและขว้างออกไป
"พวกแกเอง....ถ้าไม่ยอมส่งกระเป๋าใบนั้นมา...พวกแกก็ต้องจบชีวิตลงที่นี่!" ร่างกายของภารโรงผู้นี้ค่อยๆมีไอควันความร้อนออกมาจากร่าง และค่อยกลายสภาพเปลี่ยนร่างไปเป็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับตั๊กแตนตำข้าว
"ฉะ..ฉันไม่เอา!!" ชายชุดสีแดงรีบวิ่งหนีทันที
"คิดว่าจะหนีข้าพ้นงั้นเรอะ!" เมนทิส(ตั๊กแตนตำข้าว) ปล่อยโซ่ที่แขนของมันแทงใส่ขาของชายผู้นั้น แล้วดึงเข้าหาตัวมัน จากนั้นก็ใช้แขนทั้งสองข้างที่เหมือนกับใบมีดล็อคคอของเขาไว้
"ชะ..ช่วย...ฉันด้วย!" ชายชุดแดงพยายามขอความชาวยเหลือ แต่กลับมีแต่คนถอยห่าง
"ทุกคนครับ รีบหนีเร็วเข้า!!" วิทยากรตะโกนบอกคนอื่นๆ
วัยรุ่นทั้งสองกับชายที่ใส่เสื้อทหารรีบวิ่งหนีไปอีกทางนึง แม่กับลูกๆทั้งสองของเธอและหญิงสาวรีบไปอีกทางนึง ส่วนวิทยากรก็กำลังจะตามไปแต่ว่าเมื่อเขาเห็นจุนอิจิที่ยังช็อคอยู่ ทำให้เขาต้องกลับไปช่วยเขาก่อน
"นี่เธอรีบหนีเร็วเข้า!"
"ตะ..แต่ว่า..." จุนอิจิคิดที่จะเข้าไปช่วยชายคนนั้น แต่ว่าวิทยากรก็จับมือเขาไว้พร้อมกับส่ายหน้าและพาเขาวิ่งหนีทันที
"ช่วยฉันด้วย!!!" ชายชุดแดงพยายามร้องขอความช่วยเหลือ...แต่ตอนนี้ทุกคน....ได้แยกกันไปหมดแล้ว
"เสียใจด้วยนะ...มนุษย์น่ะก็เป็นแบบนี้นั่นล่ะ ไม่คิดถึงเรื่องของคนอื่น นอกจากเรื่องของตนเอง...ฉันถึงอยากจะเปลี่ยนแปลงมันยังไงล่ะ!" เมนทิสตัดคอของชายวัยกลางคนอย่างไร้ปราณี
"..ไม่ยอมให้หนีไปได้หรอก!"
ทางด้านวิทยากรพยายามดึงตัวจุนอิจิวิ่งหนีมาอย่างสุดชีวิต จนมาถึงหน้าห้องโบราณวัตถุ
"ห้องนี้...ถ้าจำไม่ผิด" เขาผลักเชายหนุ่มเขาไปในห้องนั้นและกดปุ่มที่ข้างๆประตุห้อง "ฟังนะถ้าไปตามทางนี้ จะมีทางออกไปข้างนอกที่ยังไม่ได้ล็อค เธอน่ะจะต้องออกไปทางนั้น!"
"เดี๋ยวสิครับ แล้วถ้าอย่างงั้นคุณกับคนอื่นๆล่ะ ?" จุนอิจิถาม
"ฉันจะปิดล็อคประตูนี้และพยายามล่อมันไว้เอง...หากมันรู้ว่าเธอหนีไปได้ล่ะก็ มันก็อาจจะตามไปฆ่าเธอก็ได้" วิทยากรใส่รหัสปิดล็อคประตูเสร็จสิ้น ประตูเหล็กก็ค่อยๆเลื่อนลงมา "ฉันฝากด้วยล่ะ!"
"คุณครับ..!!" จุนอิจิพยายามที่จะปฏิเสธแต่ว่าทันใดที่ประตูนั้นปิดลงก็ทำให้เขาไม่สามารถกลับไปฝั่งนั้นได้อีกแล้ว
วิทยากรหันหลังกลับเขาก็เจอกับเมนทิสที่ยืนรออยู่แล้ว "นี่แกคิดเหรอว่าประตูแค่นั้นจะปกป้องเจ้าเด็กนั่นได้"
"อย่างน้อย....ก็น่าจะถ่วงเวลาไว้ได้เดี๋ยวนึงล่ะน่า..." วิทยากรหยิบท่อนไม้ข้างๆขึ้นมาแล้ววิ่งเข้าหาเมนทิสแบบไม่กลัวเกรง "ย้ากกกก!!!"
"ช่างโง่เขลานัก!" ปิศาจตั๊กแตนใช้ดาบของมันฟันท่อนไม้นั้นหักออกเป้นสองท่อนและใช้ดาบอีกข้างแทงทะลุหัวใจของชายผู้นี้ ทำให้เขาสิ้นใจลงในทันที "อย่างน้อยๆ...แกก็แสดงความดีจอมปลอมออกมาก่อนที่จะตาย..."
เมนทิสเหวี่ยงร่างของวิทยากรออกไป และเดินไปที่ประตูเหล็กด่านหน้า "ขอจัดการให้เรียบร้อยล่ะ..!"
มันยกดาบของมันขึ้นแต่เมื่อกำลังจะฟันมันก็เกิดหยุดชะงัก
"ตอนนี้เรากลับไปทำหน้าที่ของเราให้เสร็จก่อน...แล้วค่อยกลับมาคิดบัญชีกับมันทีหลังก็ได้!"
เมื่อตัดสินใจเช่นนั้นปิศาจตั๊กแตนตำข้าวก็หันหลังกลับและเดินไปตามทางที่ชายใส่เสื้อลายทหารผู้นั้นไป
ส่วนจุนอิจิที่ต้องเห็นคนมาตายต่อหน้าถึง 4 คน จิตใจของเขาก็ถึงกับรับไม่ไหว ต้องมานั่งเสียใจพิงที่กำแพงหินศิลาโบราณ ปล่อยให้เวลาผ่านไป....อย่างไร้ความหมาย....
.
.
.
.
ห้องชมหุ่นจำลองรูปสัตว์ เวลา 15.51 น.
วัยรุ่นชายหญิงและชายชุดทหารหนีมาห้องจำลองหุ่นสัตว์ เห็นว่าไม่มีใครตามมาแล้วจึงคิดว่าที่นี่น่าจะปลอดภัย
"ถะ...ถ้าเป็นที่นี่...อะ...อาจจะรอดก็ได้" วัยรุ่นชายบอกกับทั้งสองคน
"ที่รัก...พวกจะรอดออกไปด้ใช่มั้ยคะ ?" วัยรุ่นหญิงถาม
"ตะ...ต้องได้สิ....จะ..เจ้านั้น...มะ...มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก!" วัยรุ่นชายตอบกลับไปทั้งๆที่ตัวเองยังตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่
"ฉะ...ฉันไม่น่ารับงานนี้เลย!" ชายชุดทหรไปนั่งกุมขมับข้างๆรูปปั้นเสือ เหมือนกับว่าเขาไปทำอะไรสักอย่างผิดพลาดมา และนั่นทำให้วัยรุ่นชายเห็นถึงกระเป๋าที่ห้อยอยุ่ที่แขนของเขา
"เดี๋ยวนะ นั่นมัน..." วัยรุ่นชายนึกถุงคำพูดของเมนทิสขึ้นมาได้
"พวกแกเอง....ถ้าไม่ยอมส่งกระเป๋าใบนั้นมา...พวกแกก็ต้องจบชีวิตลงที่นี่!" คำพูดของเมนทิสที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ทำให้วัยรุ่นชาย คิดออกว่าจะหาวิธีรอดจากที่นี่ได้ด้วยวิธีใด
"นี่เป็นแกเองสินะ ที่ทำให้พวกเราต้องมาซวยกันน่ะ!" วัยรุ่นชายกระชากคอเสื้อของชายชุดทหารมาถาม
"ในกระเป๋านี้มันมีอะไรถึงทำให้มันต้องการถึงต้องฆ่าคนอื่นแบบนี้!!"
"ฉะ...ฉันไม่รุ้...ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น!!" ชายชุดทหารปฏิเสธอย่างสุดชีวิตและวิ่งหนีไป
"หยุดนะ!!" วัยรุ่นชายวิ่งตามไปและกระโดดจับขาของเขาไว้ จากนั้นก็ขยับขึ้นไปชกหน้าของชายชุดทหารนั้นทีนึง
"เพราะแก...เพราะแกทำให้พวกเราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้!" วัยรุ่นชายคลั่งชกหน้าของชายใส่ชุดทหารแบบไม่ยั้งจนทำให้ทั้งหน้าของเขาเละไม่มีชิ้นดี จนในที่สุดคนๆนั้นก็สิ้นลมหายใจลงไป
"ทะ...ทำไม ทำแบบนี้ล่ะ ?" แฟนสาวถามอย่างหวาดกลัว
"ไม่เป็นไร สิ่งที่เจ้านั่นมันต้องการคือกระเป๋าใบนี้ พวกเราปลอดภัยแล้วล่ะ!" วัยรุ่นชายปลดกระเป๋าที่ติดอยู่กับข้อมือของชายชุดทหารออก และนำกระเป๋าใบนั้นมา
"ถ้าเรามอบสิ่งนี้ให้มันเราก็จะรอด!"
"จริงสิ!" วัยรุ่นชายและวัยรุ่นหญิงพูดอย่างมีตวามหวัง แต่ว่าเมื่อเมนทิสเดินเข้ามาในห้องทั้งสองก็ต้องพร้อม
"นี่ไง ของที่นายต้องการน่ะ ปล่อยพวกเราไป แล้วฉันจะให้สิ่งนี้กับนาย!"
"เป็นข้อเสนอที่ดีหนิ แต่ว่า...ฉันใจดีได้แค่ให้คนนึงรอดเท่านั้น....พวกแกคนไหนจะยอมตายลงที่นี่ล่ะ ?" เมนทิสยื่นข้อเสนอ
"คุณคะ..!" แฟนสาวมองแฟนหนุ่มของเธออย่างมีหวัง
"ของมันแน่อยู่แล้วก็ต้องให้ฉันรอดอยู่แล้วสิ!" พูดเสร็จวัยรุ่นชายก็ยัดกระเป๋าใส่มือของวัยรุ่นหญิงและและผลักเธอไปหาเขี้ยวแห่งมัชจุราชตรงหน้า แทงทะลุหน้าอกเธอสิ้นลมหายใจในทันที
"งั้นฉันขอตัวล่ะ!!" วัยรุ่นชายรีบวิ่งหนีไปโดยที่ไม่หันกลับไปมองข้างหลังเลย....
"...มนุษย์้เรา ปากบอกว่ารักกัน....แต่จริงๆแล้วหาคนที่พูดความจริงไม่ได้สักคน" เมนทิสสลัดร่างที่ไร้วิญญาณของหญิงสาวออก และใช้คมเขี้ยวของมันตัดกล่องใบนั้นขาดออกเป็นสองท่อน พบว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ภายในนั้นเลย
"เป็นแค่ตัวล่ออย่างที่คิดไว้จริงๆ....อุตส่าห์ยอมเสียเวลาตามล่ามาตั้งนาน...ถ้าอย่างงั้น ก็ขอไประบายกับขยะพวกนั้นหน่อยก็แล้วกัน!" ปิศาจร่างตั๊กแตนเดินกลับไป...เพื่อที่จะฆ่าปิดปากผู้รอดชีวิตที่เหลือ...
ทาจิบานะ จุนอิจิ นั่งร้องไห้เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เพียงคนเดียวในห้องวัตถุโบราณ
"ถ้าเรา...ทำได้ดีกว่านี้...พวกเขาก็คงจะ..." ชายหนุ่มโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเหล่านั้นต้องมาตาย และนั่งสิ้นหวังกับเรื่องที่เกิดขึ้น "พอแล้วล่ะ...จะตายก็ตายเถอะ...เรา...ไม่อยากมีชีวิตต่อไปอีกแล้ว..."
"เรามันก็เป็นได้แค่...คนธรรมดาคนนึง..." จุนอิจิหมดอาลัยตายอยากจากทุกสิ่ง แต่ตอนนั้นเองแผ่นศิลาที่เขานั่งพิงอยู่นั้นก็เปล่งแสงสีทองออกมา ทำให้เขาต้องรีบลุกออกมา
"กะ..เกิดอะไรขึ้น!?"
ครืน!!
แผ่นศิลานั้นเกิดปฏิกิริยาบางอย่างขึ้น ที่กลางแผ่นศิลาได้แตกออกและได้ปล่อยวัตถุประหลาดที่รูปร่างและขนาดคล้ายกับหนังสือสมุดเล่มนึง
"นี่มัน ?" จุนอิจิเดินเข้าไปเก็บหนังสือเล่มนั้นขึนมาและพอเปิดออกก็พบกับเหรียญประหลาด
"นี่มัน...เหรียญงั้นเรอะ ?" ภายในหนังสือเล่มนี้ มีเหรียญทั้งหมด 6 สี แต่ละสีจะมีอย่างละสามเหรียญและทั้งหมดจะมีลายสลักที่ต่างกันออกไป เป็นรูปของสัตว์ต่างๆ
"เจ้าพวกนี่มัน...เป็นของพิพิธภัณฑ์งั้นเรอะ ?"
ตึง!
"โอ๊ย!" จุนอิจิถูกวัตถุประหลาดที่ตกลงมาจากข้างบนหล่นใส่หัว
"อะไีอีกล่ะ ?" ชายหนุ่มหยิบเจ้าวัตถุทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าที่หล่นใส่หัวของเขาขึ้นมา แต่เขาก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้มันคืออะไร....เพียงแต่เขารู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างน่าประหลาด....
"เจ้าพวกนี้....หรือว่า ?" ถึงจะยังไม่รู้ว่ามันสามารถนำไปใช้อะไรได้ แต่ความรู้สึกของจุนอิจิบอกว่าพวกมันเป็นสิ่งสำคัญ เขาจึงเก็บของทั้งสองลงเสื้อ
กรี๊ดดด!!!!~
เสียงร้องของหญิงสาวดังขึ้น....
จุนอิจิที่ได้เสียงนั้นจึงตัดสินใจที่จะกลับไป...กลับไปตัดสินกับเจ้าปิศาจร่างตั๊กแตนนั้น
ห้องนิทรรศกาลจัดภาพวาดเขียน เวลา 16.15 น.
เมนทิสแทงหญิงสาวในชุดเต้นรำและสะบัดเธอลงไปกองกับพื้น เธอไม่สามารถขยับได้...เพียงแต่เธอยังไม่ตาย
"ยังไม่ตายเรอะ....แต่ว่าก็ช่างมันเถอะ ลองชิมรสชาติของความทรมาณก่นที่จะค่อยๆตายไปก็แล้วกัน!" ปิศาจต๊กแตนตำข้าวเปลี่ยนหันไปสนใจสามแม่ลูกแทน
"ต่อให้เป็นเด็กฉันก็ไม่ปราณีหรอกนะ...เพราะยังๆหากพวกนั้นโตขึ้น..ก็คงเป็นได้แค่ขยะของโลกใบนี้อยู่วันยังค่ำ เหมือนแม่ของพวกมัน!" เมนทิสพุ่งเข้าหาพวกเขาทั้งสาม ตอนนั้นเองก็มีโทรศัพท์ขว้างใส่หัวมันจนทำให้มันต้องหยุดชะงัก "นี่แก...!?"
จุนอิจิเดินเข้ามาพร้อมกับแววตาและสีหน้าที่ไปคนละคนกับเมื่อก่อนหน้านี้
"หยุด..ทำแบบนั้นนะ!"
"แกเองเรอะ....ฉันนึกว่ากลัวหัวหดจนหนีไปแล้วซะอีก....แต่ก็ดี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาตามล่า!" เมนทิสชักดาบคู่ของมันพร้อมที่จะเข้าไปฆ่าจุนอิจิ
"ฉันอาจจะเป็นได้เพียงแค่คนๆนึงที่ไม่มีอะไรเลย....แต่ว่า ฉันนี่ล่ะจะเป็นจัดการกับนายเอง!" จุนอิจิกล่าว
"คิดว่าคนอย่างแกจะทำได้อย่างงั้นเรอะ!" เมนทิสเขวี้ยงโซ่เหล็กพุ่งใส่จุนอิจิ
ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบและวิ่งเข้าไปใกล้ตัวมันและเงื้อมหมัดที่จะชกใส่มัน แต่ว่าเมนทิสสามารถไหวตัวกลับมาตั้งรับได้อย่างรวดเร็ว และใช้หัวกระแทกจุนอิจิจนล้มลง
"ตายซะเถอะ!" เมนทิสใช้ดาบแทงลงไปที่อกของชายหนุ่ม
เพล้ง!!
เสียงปะทะกับบางอย่างที่เมนทิสคาดไม่ถึง สิ่งนั้นได้ปกป้องจุนอิจิไว้จากความตายได้
"อะ..อะไรน่ะ ?" เมนทิสรีบชักดาบกลับ และถอยห่างจากเด็กหนุ่ม "เมื่อกี้...ข้าแทงอะไรลงไป...ทำไมถึงไม่ทะลุ ?
"หรือว่า...!?" จุนอิจิหยิบสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขาออกมา สิ่งนั้นคือวัตถุประหลาดทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เขาเก็บมาด้วยที่แผ่นศิลานั้น "...งั้นเรอะ...นี่เราถูกช่วยไว้อีกแล้วสินะ..."
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอีกครั้งสายตามองตรงไปที่เมนทิส "ฉันเข้าใจแล้ว..."
"แกเข้าใจอะไรของแก!!?" เมนทิสชี้ดาบไปที่หน้าของจุนอิจิ
"ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้...ฉันได้พบกับเรื่องที่ต้องทำให้รู้สึกเจ็บปวดมามาก...แต่ว่า...ฉันก็เพิ่งได้รู้ว่า...จริงๆแล้ว ฉันเองก็ได้รับการช่วยเหลือจากคนมากมายๆ พวกเขาต่างก็เป็นคนสำคัญสำหรับฉัน!" ชายหนุ่มนึกถึงภาพของน้องสาวของเขาที่ช่วยปลุกเขาออกจากห้องดูดาวส่วนตัว ภาพของฮารุกะเพื่อนสมัยเด็กที่ให้กำลังใจเขา และวิทยากรที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
"พวกเขาช่วยเหลือฉันไว้มาก....แต่ว่า คราวนี้..ฉันจะเป็นฝ่ายช่วยบ้างล่ะ!!"
พูดเสร็จวัตถุประหลาดทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าก็แตกออกกลายเป็นสภาพเหมือนใหม่ หนังสือที่เก็บเหรียญไว้ก็เปลี่ยนสภาพกลับเป็นเหมือนใหม่เช่นกัน จากนั้นวัตถุทรงสี่เหลี่ยมนั้นก็เข้ามาสวมที่เอวกลายเป้นเข็มขัดให้กับจุนอิจิในทันที
รูปร่างของมันเหมือนจะมีช่องสามช่องวงกลมไว้ใส่อะไรบางอย่างลงไป
"ช่องสามช่อง....หรือว่าจะ..." ชายหนุ่มเปิดหนังสือที่เก็บเหรียญออกมาและเลือกเหรียญที่จะใส่ลงไป
"ไม่รู้หรอกนะว่าจะทำอะไร แต่ว่าไม่ยอมให้ทำได้หรอก!" ลอสท์เมนทิสปล่อยโซ่เข้าไปโจมตีใส่หนังสือเก็บเหรียญของจุนอิจิทำให้มันกระเด็นหลุดมือออกไป
"ถ้าไม่มีของนั้นเท่านี้แกก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว!!" เมนทิสชักโซ่กลับแล้วขว้าโจมตีใส่จุนอิจิอีกที
"อ้ากกก!!" ชายหนุ่มถูกโซ่เหล็กกระแทกไปชนกับกำแพง โซ่เหล็กแทงทะลุไหล่ข้างขวาจนเกิดเป็นแผลขนาดใหญ่
"เราจะต้อง...ทำให้ได้!" จุนอิจิเอื้อมมือไปหยิบเหรียญที่ตกอยู่ข้างสามเหรียญและนำมาใส่ที่เข็มขัดของเขา เหรียญที่หนึ่งเป็นสีแดง เหรียญที่สองสีเหลือง เหรียญที่สามสีเขียว
เมื่อใส่เหรียญทั้งสามได้สำเร็จ ของรูปร่างครึ่งวงกลมที่เอวข้างขวาก็เรืองแสงสีทองออกมา จุนอิจิจึงหยิบมันขึ้นมา "เอาล่ะนะ!" เขาใช้สิ่งนั้นสแกนลงไปที่เข็มขัดของเขาเอง
"ตายซะเถอะ!!" เมนทีสขว้างโซ้เหล็กใส่จุนอิจิอีกครั้ง แต่คราวนี้มีแสงสีทองออกมาป้องกันเขาเอาไว้
TAKA (เหยี่ยว)
TORA (เสือ)
BATTA (ตั๊กแตน)
TATOBA TATOBA TATOBA
ร่างของชายหนุ่มเปลี่ยนไปสวมเกราะประหลาดทั้งร่าง โดยที่มีส่วนหัวเป็นสีแดงคล้ายกับนกเหยี่ยว ส่วนลำตัวเป็นสีเหลืองมีลักษณะลายของเสือ และส่วนขาเป็นสีเขียวมีลักษณะเป็นลายของตั๊กแตน
"เสียงเมื่อกี้ ? เหยี่ยว เสือ ตั๊กแตน อะไรล่ะนั่น"
จุนอิจิมองร่างของตัวเองในกระจกก็พบว่าร่างของเขานั้นเปลี่ยนไป
"นี่คือ...ตัวเรางั้นเรอะ ?"
"อย่ามาแสดงกลอะไรหลอกคนอื่นหน่อยเลยน่า!!" เมนทีสขว้างโซ่เหล็กใส่จุนอิจิอีกครั้งแต่คราวนี้ชายหนุ่มกางกรงเล็บของเสือออกมาและปัดการโจมตีนั้นออกไป
"นี่เรา...ทำได้จริงๆ"
"แค่ฟลุ๊คล่ะน่า" ปิศาจตั๊กแตนพุ่งเข้าหาจุนอิจิแล้วใช้ดาบฟันในแนวนอนใส่เขา
แต่ว่าเพียงแค่เขากระโดดก็สามารถหลบการโจมตีนี้ก็เมนทีสได้อย่างง่ายดายแล้ว และยังสามารถเตะมันกระเด็นออกไปได้อีก
จุนอิจิกลับลงมาที่พื้น เขาหยิบหนังสือที่เก็บเหรียญเมดัลเหล่านี้ขึ้นมาและพบเห็นสักลักษณ์บนหนังสือที่เขียนว่า OOO "งั้นเรอะ....ชื่อของเราก็คือ โอส(OOO) นี่ล่ะคือพลัง...ของฉัน!!"
ดวงตาของโอสเปล่งแสงสีแดงขึ้นมา ด้วยพลังของเหยี่ยวทำให้เขาสามารถมองเห็นจุดอ่อนของเมนทีสได้อย่างชัดเจน
"ตรงนั้นสินะ!" โอสสร้างกรงเล็บขึ้นมาใหม่แล้วโจมตีใส่จุดที่อ่อนที่สุดของแขนข้างขวาและข้างซ้ายของเมนทีสพร้อมกัน ทำให้ดาบเขี้ยวของมันขาดออกในทันที
"จะ..เจ้านี่" เมนทีสเปลี่ยนไปใช้โซ่รัดตัวของโอสแทน
"ฮึ่ม...ถ้าอย่างงั้น..." จุนอิจิเปลี่ยนเมดัล(เหรียญ) ตรงส่วนกลางออกและใส่เมดัลสีเขียวอ่อนลงไป จากนั้นก็สแกน
TAKA (เหยี่ยว)
KAMAKIRI (ตั๊กแตนตำข้าว)
BATTA (ตักแตน)
TAKAKIRIBA
ลำตัวของโอสเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนและสั่งนั่นได้เปลี่ยนรูปแบบพลังของเขาที่ส่วนตัวไปด้วย
ทำให้อาวุธจากกรงเล็บของเขากลายเป็นเคียวของตั๊กแตนตำข้าวแทน และสามารถใช้สิ่งนั้นตัดโซ่เหล็กของเมนทีสออกได้อย่างง่ายดาย
"เอาล่ะนะ!" ขาของโอสเรืองแสงสีเขียวออกมา และช่วยเสริมแรงกระโดดให้เขาเข้าไปใกล้ตัวมันได้อย่างรวดเร็ว
"ฮ่าส์!!" ลำตัวของโอสเรืองแสงสีเขียวและใช้เคียวตักแตนหมุนตัวตัวฟันโจมตีใส่ลอสท์ จากนั้นก็ใช้มือต่อยกระแทกมันจนกระเด็นออกไปใกล้เด็กๆ
"มานี่เลย!" เมนทีสลุกขึ้นและจับเด็กผู้ชายคนนึงไว้เป็นตัวประกัน "ถ้าแกขยับแม้แต่นิดเดียว ข้าจะฆ่าเด็กคนนี้ซะ!"
"ริว!" แม่ของเด็กพยายามที่จะเข้าไปช่วยแต่ว่าก็สู้แรงของลอสท์ไม่ได้และถูกสลัดออก
"จะทำยังไงล่ะ เจ้าฮีโร่!?" เมนทีสจ่อมือไว้ที่คอเด็กพร้อมที่จะสังหารเขาได้ทุกเมื่อ
จุนอิจิเห็นแบบนั้นจึงค่อยๆถอดเมดัลที่ส่วนลำตัวและก็ส่วนขาออกอย่างช้าๆโดยที่ไม่ให้มันรู้ตัว
"ตายซะเถอะ" เมนทีสขว้างเคียวโซ่ใส่โอสอีกครั้งหวังที่จะจัดการเขาลงให้ได้ จังหวะนั่นเองชายหนุ่มก็ทำการหยิบเครื่องนั้นมาสแกนที่เข็มขัดแล้วรีบวิ่งตรงเข้าไปช่วยเด็กคนนั้น
TAKA (เหยี่ยว)
TORA (เสือ)
CHEETAH (เสือชีต้าร์)
TAKATORATAH
โอสเปลี่ยนส่วนลำตัวกลับเป็นเสือเช่นเดิม และเปลี่ยนส่วนขาเป็นเสือชีต้าร์ด้วยพลังของสัตว์ชนิดนี้ทำให้จุนอิจิสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วสูงจนเข้าประชิดตัวเมนทีสได้อย่างรวดเร็วและใช้กรงเล็บตัดจุดที่เป็นจุดเชื่อมโซ่เหล็กกับร่างของมันออก และช่วยเด็กผู้ชายออกมาได้
ชายหนุ่มรีบเอาเด็กผู้ชายกลับมาส่งคืนให้กับแม่ของเขา "ปลอดภัยแล้วครับ"
"ริว!" แม่รีบออบกอดลูกของเธอด้วยความเป็นห่วง
"พี่ชายจัดการเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นให้อยู่หมัดเลยนะฮะ!" พี่ชายของริวบอกับจุนอิจิ
"อา อีกเดี๋ยวก็จบแล้วล่ะ!" โอสเคลื่อนที่กลับไปหาเมนทีสด้วยความเร็วสูง ใช้กรงเล็บโจมตีใส่มันจนร่างกายของมันเต็มไปด้วยรอยข่วนของกรงเล็บ จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเมดัลส่วนลำตัวและส่วนขากลับเป็นสีเหลืองและสีเขียวตามลำดับ แล้วสแกนทันที
TAKA (เหยี่ยว)
TORA (เสือ)
BATTA (ตั๊กแตน)
TATOBA TATOBA TATOBA
โอสใช้เครื่องสแกนไปที่เข็มขัดอีกทีก็มีเสียงดังขึ้นพร้อมเมดัลสามสีเรืองแสงออกมา
SCANNING CHARGE
จุนอิจิหันหลังให้กับเมนทีส มันวิ่งตรงเข้ามาและโจมตีในจังหวะนั้น
"ฮ่าส์!!" ขาของโอสเปล่งแสงสีเขียวและเปลี่ยนรูปร่างเหมือนกับตั๊กแตนกระโดดหลบขึ้นไปเหนือหัวมัน จากนั้นก็เกิดวงกลมสามวงเรียงไล่ลงมาเป็นช่องทางให้กับโอส
"see ya!!" โอสพุ่งตัวลงมาตามวงกลมทั้งสามเตะใส่ลอสท์ิเข้าตรงๆ
บรึ้มมม!!!!
"อ้ากกก!!!" เมนทีสถูกท่าเตะเข้าไปก็ระเบิดไปในทันที พร้อมกับเกิดสัญลักษณ์ OOO ขึ้นมาหลังจากที่ควันระเบิดจางหายไปด้วย....
เวลา 17.00 น.
หลังจากที่เหตุการณ์ที่เลวร้ายได้ผ่านพ้นไป เหล่าตำรวจได้เข้ามาคุมพื้นที่ หน่วยพยาบาลได้มารับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตไป ส่วนผู้รอดชีวิตอีกสี่คนอย่างแม่ของเด็กๆทั้งสอง และวัยรุ่นชายก็ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและตรวจเช็คร่างกาย
"แม่ครับ แม่ครับ" เด็กน้อยสะกิดถามแม่ด้วยความใสซื่อ
"มีอะไรเหรอ ริว ?" แม่รอฟังคำถาม
"แล้วพี่สามสีคนนั้นไปไหนแล้วล่ะครับ ?" ริวถาม
"นั่นสิครับ พี่ชายคนนั้นเขาเท่มากเลย แล้วเขาจะไม่ไปกับเราเหรอครับ ?" เคนถาม
แม่ลูบหัวของลูกๆทั้งสอง "พี่ชายคนนั้นก็มีเรื่องที่เขาต้องไปทำอยู่น่ะจ่ะ"
จุนอิจิไม่ได้ออกไปทางด้านหน้าเหมือนกับคนอื่นๆ เขาลือกที่จะออกไปทางด้านหลัง ที่เป็นทางที่วิทยากรเคยบอกกับเขาไว้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเจอกับตำรวจหรือถูกบังคับให้ไปโรงพยาบาล
"แบบนี้ดีแล่้วล่ะ...เราเองก็คงจะกลับได้แล้ว..."
"เอ...เธอตรงนั้นน่ะ ฉันขอคุยด้วยจะได้มั้ย ?" เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งเรียกชายหนุ่ม ทำมห้เขาต้องหันกลับไป
"ท่าทางจะเป็นเธอสินะ...เด็กผู้ชายที่ได้รับบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เธอนั้นได้รับพลังที่แปลกประหลาดมา"
จุนอิจิแสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัดเขารู้สึกแปลกที่เธอคนนี้รู้เรื่องของเขาที่เกิดขึ้นภายในพิพิธภัณฑ์
"ทำไมถึงรู้ได้ล่ะ.....นี่คุณเป็นใครกันแน่!?"
"เอ...ฉันน่ะเหรอ...ก็เป็นแค่เลขานุการของบริษัทไอดอลธรรมดาๆคนนึงเท่านั้นล่ะ" เธอตอบและยิ้มให้กับชายหนุ่ม
"ฉันอยากให้เธอมากับพวกเราหน่อยน่ะ...ถ้าเธออยากจะรู้ว่า...คนพวกนั้นเป็นใครนะ...."
ทางเลือกที่หญิงสาวลึกลับที่ปรากฏตัวต่อหน้าจุนอิจิจะทำให้ชะตากรรมของเขาดำเนินต่อไปในทิศทางใด....
.................... TO BE CONTINUE ....................
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น